คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑
บทที่ ๑
“ได้ยินว่าหญิงรับนางบำเรอมาคนหนึ่ง”
คนถามเป็นชายหนุ่มผิวเข้มวัยสามสิบสอง โครงร่างกำยำใต้เครื่องแบบทหารสีเทาเข้มทำให้ยิ่งแลดูน่าเกรงขาม ทว่าสิ่งที่ช่วยลดทอนความเข้มขรึมลงไปคือดวงตาที่ดูจะมีประกายพราวพรายแห่งความรื่นรมย์อยู่เสมอ
“อยากรู้ก็ช่วยหญิงเขียนรายงานหน่อยสิคะ”
คนประทับหลังโต๊ะทรงงานซึ่งแต่งทหารเหมือนกันกราบทูลพระพักตร์มุ่ยทั้งที่ยังไม่ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นจากรายงานที่กำลังทรงเขียนอยู่
“ไม่ล่ะ พี่ถามวฤธมาแล้ว” คนพูดหมายถึงนายทหารคนสนิทของอีกฝ่ายซึ่งติดตามไปรบด้วย
“ทรงทราบแล้วจะมารับสั่งถามอีกทำไม” ทำไมถึงเขียนไม่จบไม่สิ้นเสียทีนะ ไอ้เจ้ารายงานบ้าบอนี่
“คนของหญิงไม่ได้ให้รายละเอียดพี่”
คนที่จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาในห้องทำงานของคนอื่นทรงหาที่นั่งของพระองค์เองได้เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องให้เจ้าของห้องทรงเชิญ เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับง่วนอยู่กับการเขียนรายงานยิกๆ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเร่งรัด ครั้นทหารนายหนึ่งทูลขอประทานพระอนุญาตอยู่หน้าห้อง พระองค์ก็ทรงอนุญาตแทนเจ้าของห้องเสร็จสรรพ กาแฟกับขนมที่นายทหารหนุ่มยกเข้ามาถวายเพียงพอที่จะทำให้พระองค์ทรงตั้งหลักปักฐานจนรากงอกอยู่ตรงนี้ได้อีกนาน
ระหว่างทรงดื่มกาแฟ ผู้มาเป็นแขกโดยไม่ได้รับเชิญก็ทอดพระเนตรเจ้าของห้องไปพลางๆ
เจ้าหญิงสี่แห่งคันธารัตน์ทรงเป็นเจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวที่ทรงรับราชการทหาร เป็นเจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวที่ทรงรับถ่ายทอดลักษณะหลายประการมาจากเจ้าหลวง เริ่มตั้งแต่ส่วนสูงที่สูงเกินมาตรฐานของผู้หญิงคันธารัตน์ แต่สูงพอกับผู้ชายส่วนใหญ่ พระฉวีสีน้ำผึ้ง พระอังสากว้าง สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาบนพระพักตร์... ไม่มีเลย รวมๆ แล้วดูเป็นผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดามากคนหนึ่ง แม้ว่าพระมารดาซึ่งสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระองค์มีพระชันษาได้เพียงขวบเดียวจะเป็นหญิงสาวที่งามมากคนหนึ่งก็ตาม
ก็อกๆๆ
“เข้ามาได้”
แขกของเจ้าของห้องรับสั่งอนุญาต ทว่านายทหารร่างผอมสูงที่ยืนชิดเท้าอยู่หน้าห้องยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้า จนกระทั่งเจ้าของห้องทรงเงยพระพักตร์มุ่ยๆ ขึ้นมาจากรายงานและประทานพระอนุญาตด้วยสีพระพักตร์แช่มชื่นขึ้นทันตาว่า
“เข้ามาสิ” เขาจึงก้าวเข้ามา ยืนชิดเท้าถวายความเคารพผู้บังคับบัญชาก่อน แล้วค่อยหันไปถวายความเคารพผู้มาเป็นแขก
“เขียนรายงานเสร็จแล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ”
“ไหนเอามาดู”
นายทหารหนุ่มวางแฟ้มสีดำในมือถวาย พลเอกพิเศษแห่งกองทัพหลวงทรงหยิบมาเปิดอ่านคร่าวๆ
“เขียนดี” ตรัสชมแล้วจึงทรงปิดรายงานของพระองค์ก่อนจะยื่นประทานให้อีกฝ่าย “เอาของฉันไปเขียนต่อให้ที” อีกฝ่ายยังไม่ทันทูลว่าอะไร พระองค์ก็รับสั่งต่อ “ขอบใจมาก”
คนเป็นแขกทรงพระสรวลพรวด
“ซวยแล้ววฤธ”
“กระหม่อมชินแล้วพระเจ้าค่ะ” คนที่มียศต่ำสุดในห้องทูลตอบหน้าตาย หลังจากรับแฟ้มของผู้บังคับบัญชามา “บ่ายโมงตรงรองเจ้ากรมสรรพาวุธจะมาเข้าเฝ้าเรื่องชุดเกราะผ้าฝ้ายจากคริษฐ์ ฝ่าบาทจะโปรดให้เลื่อนออกไปหรือไม่พระเจ้าค่ะ” ประโยคนี้ทูลถามคนที่เพิ่งยัดเยียดงานขององค์เองมาให้เขา... เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็นับไม่ถ้วน
“ไม่ต้อง” พระเชษฐามักจะทรงชวนพระองค์เถลไถลอยู่เรื่อยจนใครๆ แม้แต่วฤธพานคิดไปว่าถ้าอีกฝ่ายเสด็จมาคุยด้วยเมื่อไหร่ พระองค์จะต้องทรง ‘สาย’ เสมอ “ถ้าเขามาก่อนเวลาก็ให้ช่างฝีมือคริษฐ์คุยกับเขาไปพลางก่อน” คนเผ่าคริษฐ์มีฝีมือด้านการช่าง โชคดีที่คราวนี้ทรงพาช่างฝีมือกลับมาได้หลายคน
“พระเจ้าค่ะ”
วฤธทูลลากลับไปทำงานแล้ว ห้องทำงานของนายทหารหนุ่มอยู่ข้างๆ ห้องนี้นี่เอง เจ้าหญิงสี่แห่งคันธารัตน์โปรดทรงงานเงียบๆ ตามลำพัง นายทหารคนสนิทอย่างเขาจึงไม่มีโต๊ะทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน และชั้นสามของอาคารสำนักงานของกองบัญชาการทหารหลวงแห่งนี้ก็มีห้องทำงานอยู่เพียงสามห้อง อีกห้องหนึ่งในชั้นเดียวกันนี้เป็นของนายทหารระดับพลเอกอีกคนหนึ่ง
“หญิงมีความสามารถด้านยอคนไว้ใช้งานนะ นี่วฤธเขารู้ไหมว่าหญิงแกล้งชมเพราะจะหลอกให้เขาทำ”
“เขาไม่โง่หรอกค่ะ” ความพิเศษอีกประการหนึ่งก็คือ เจ้าหญิงสี่แห่งคันธารัตน์ทรงเป็นเจ้าหญิงเพียงพระองค์เดียวที่รับสั่งแบบขวานผ่าซากได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก คนฟังสะอึกดังอึ๊กๆ กันบ่อย แต่นั่นย่อมไม่รวมถึงเจ้าชายรองแห่งคันธารัตน์ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดา “แล้วหญิงก็ไม่ได้แกล้งชม”
“เปิดผ่านๆ อ่านยังไงก็ไม่ทันแบบนั้นแล้วยังอุตส่าห์ชมว่าเขียนดีได้น่ะหรือ ไม่ได้แกล้ง”
“หญิงหมายถึง เขาเขียนดีกว่าหญิง”
“อืม” คนฟังเพิ่งจะเข้าพระทัย “ข้อนี้พี่ยอมรับ แล้วลายมือไม่เหมือนกัน เจ้าพ่อไม่ทรงสงสัยหรือ”
“ไม่เห็นจะรับสั่งถามอะไรสักทีนี่คะ”
“คงจะทรงเห็นใจคนไม่ชอบเขียนหนังสือ เป็นมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่าไม้แก่ดัดยากแล้วล่ะนะ” กระบวนการขวานผ่าซาก เจ้าชายทหารแห่งคันธารัตน์ก็ไม่ทรงเป็นรองใครเหมือนกัน และคนสองคนที่ชอบรับสั่งโผงผางเหมือนกันทั้งคู่ก็ยังไม่เคยผิดใจกันเพราะเหตุว่าอีกฝ่ายพูดตรงไปตรงมาเกินไปเลยสักครั้ง
“แล้วเรื่องนางบำเรอของหญิงว่าไง”
แต่บางครั้งอีกฝ่ายก็วกกลับมาถามเร็วเกินไปจนไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไม่ว่าไงหรอกค่ะ เจ้าพ่อให้หญิงเลือกว่าอยากจะได้บำเหน็จรางวัลเป็นอะไร หญิงก็ขอเครื่องบรรณาการทั้งหมดจากตฤณดา ในเมื่อพวกเขาไม่มีจ่าย หญิงก็เอาตัวลูกชายของหัวหน้าเผ่ามาแทน เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือคะ”
ถึงจะรับสั่งว่า ‘ธรรมดา’ แต่สังเกตจากการไม่ยอมสบสายพระเนตร พระเชษฐาก็ทรงเดาได้ว่าคนรับสั่งเองก็ทรงทราบดีว่ามัน ‘ไม่ธรรมดา’ จู่ๆ เจ้าหญิงทหารก็ทรงรู้สึกว่าพระศอแห้งจนต้องทรงยกพระสุธารสชาขึ้นมาจิบ แต่เมื่อพระชิวหาสัมผัสกับความเย็นชืดแทนความอุ่น พระองค์ก็ต้องทรงวางถ้วยลงดังเดิม
จังหวะนั้นเองที่วฤธทูลขอประทานพระอนุญาตเข้ามาอีกหน นำพระสุธารสชาถ้วยใหม่มาถวายได้อย่างประจวบเหมาะจนเจ้าหญิงสี่อดจะทรงดำริไม่ได้ว่า บางทีคนสนิทของพระองค์อาจจะมีญาณวิเศษ
“ก็คงจะธรรมดา ถ้าหญิงเป็นผู้ชายแล้วเอาตัวลูกสาวของหัวหน้าเผ่ามา แต่กลับกันอย่างนี้คงจะเรียกนางบำเรอไม่ได้ นายบำเรอท่าจะเหมาะ” รับสั่งเองก็ทรงพระสรวลเองดังหึหึ “ประหลาดดีเหมือนกัน แล้วนี่ใครๆ ไม่ตกอกตกใจกันแย่รึที่หญิงทำพิลึกๆ แบบนี้”
“หญิงไม่ทราบหรอกค่ะ ไม่ได้สนใจ” ตอนนั้น ผู้ชายคนนั้นดึงดูดความสนพระทัยของพระองค์ไว้ได้ทั้งหมดจริงๆ “หญิงให้เวลาพวกเขาตัดสินใจหนึ่งวัน”
“แล้วตฤณดาก็ตกลง”
“ค่ะ ไม่มีใครมาต่อรองอะไร”
“ใครตกลง หัวหน้าเผ่า หรือนายบำเรอของหญิง”
“หัวหน้าเผ่าค่ะ”
“เจ้าตัวล่ะ”
“ก็ ดูเฉยๆ ค่ะ ดูไม่ออกว่ารู้สึกยังไง”
“แล้วเจ้าพ่อมีรับสั่งว่ายังไงบ้าง”
“ตรัสถามว่าคิดดีแล้วหรือ พอหญิงทูลยืนยัน ก็ทรงอนุญาตค่ะ”
เจ้าชายรองแห่งคันธารัตน์ทรงพยักพระพักตร์ คำถามนี้พระองค์ตรัสถามไปอย่างนั้นเอง ช่วงที่พระขนิษฐาต่างพระมารดาเสด็จกลับมาจากรบพระองค์เสด็จไปราชการต่างเมืองพอดีจึงทรงทราบข่าวล่าช้า เมื่อกลับมาเข้าเฝ้าพระบิดาเพื่อทูลรายงานเรื่องที่โปรดให้ไปราชการแทนพระองค์ ยังไม่ทันได้รายงาน เจ้าหลวงก็รับสั่งเรื่องนี้ขึ้นก่อน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าค่อนข้างทรงกังวลพระทัยมาก รับสั่งว่าทรงซักไซ้และเกลี้ยกล่อมอยู่นานแต่พระราชธิดาก็ไม่เปลี่ยนพระทัย เพราะฉะนั้นเรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายไปหมดอย่างที่พระขนิษฐารับสั่งบอกเป็นแน่ เหตุผลที่พระองค์เสด็จมาวันนี้ก็เพราะพระบิดาทรงฝากความหวังเอาไว้ด้วยส่วนหนึ่ง
“พี่ขอถามคำถามหนึ่ง”
เจ้าหญิงสี่ทรงพยักพระพักตร์ พลางทรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ นึกยังไงรับสั่งขอ ปกติไม่เคยทรงขอสักทีไม่ว่าจะถามกี่สิบคำถามก็ตาม
“เรื่องนี้เกี่ยวกับภูมัยกับมญใหญ่รึเปล่า”
ทั้งที่ทรงจิบคำเล็กๆ แต่เมื่อเกิดสำลักขึ้นมา ชาร้อนก็ลวกผิวพระโอษฐ์เอาจนเจ็บแสบได้เหมือนกัน เจ้าหญิงสี่ทรงใช้หลังพระหัตถ์เช็ดพระโอษฐ์ลวกๆ เห็นสายพระเนตรของพระเชษฐาแล้วก็ทรงทราบว่าปิดบังไม่ได้ พระองค์ไม่เคยทรงคิดจะโป้ปดอีกฝ่ายอยู่แล้ว ทว่าก็ไม่ปรารถนาจะรับสั่งเช่นกัน จึงได้แต่ทรงเบือนสายพระเนตรออกไปนอกหน้าต่างและนิ่งอยู่อย่างนั้น
“สรุปว่าเกี่ยว” เรื่องคิดเองเออเองเจ้าชายรองแห่งคันธารัตน์ก็ทรงถนัด ที่น่าเจ็บใจก็คือสิ่งที่ทรงคิดมักจะถูก “เจ้าพ่อก็รับสั่งบอกหญิงแล้วไม่ใช่หรือ ว่าไม่ว่าหญิงอยากจะได้อะไร หรือได้ ‘ใคร’ ก็จะให้ทุกอย่าง”
“หญิงไม่ต้องการสามีพระราชทาน” ไม่พูดก็แล้วไป แต่เมื่อพูดออกมาประโยคหนึ่งแล้ว ประโยคต่อไปก็มักจะพรั่งพรูออกมาหมดอย่างอดไม่ได้ “รู้อยู่ว่าเขารักใคร รู้อยู่ว่าเขาไม่เต็มใจ ถึงเจ้าพ่อจะทรงบังคับให้เขามาแต่งกับหญิงได้ หญิงก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ” หยุดไปครู่จึงรับสั่งต่อ
“พวกเขาเป็นคู่หมั้นกัน หญิงพูดไม่ได้ว่าแค่เห็นเขามีความสุขหญิงก็มีความสุขไปด้วย แต่อย่างน้อยมีคนที่มีความสุขสองคนก็ต้องดีกว่าไม่มีใครมีความสุขเลย”
คนฟังทรงนิ่งเงียบไปนาน หมายพระทัยจะให้พระขนิษฐาทรงปรับพระอารมณ์มากกว่าอะไรอื่น แม้อีกฝ่ายจะรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ ราวกับไม่ใส่พระทัย แต่เป็นพี่น้องกันมานานเกือบสามสิบปี พระองค์ย่อมทรงดูออกว่าความทุกข์โศกของอีกฝ่ายเพียงแค่ถูกกักเก็บไว้ลึกเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก
“ลูกชายหัวหน้าเผ่าตฤณดา หญิงก็บังคับมาเหมือนกัน” ไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงปลอบใจใครไม่เป็น แต่ทรงทราบดีว่าการปลอบใจไม่ใช่สิ่งที่พระขนิษฐาองค์นี้ต้องการ เมื่อไม่ต้องปลอบ ก็ซ้ำเติมเอาเสียเลย
“เป็นแค่นายบำเรอ ไม่ต้องถามความสมัครใจหรอกค่ะ หญิงไม่ได้ต้องการให้เขามาเป็นสามี”
“แล้วนายบำเรอของหญิงนี่ต้องทำอะไรบ้างล่ะ พี่คิดว่าต้องทำหน้าที่คล้ายๆ เมียน้อยเสียอีก” กรณีนี้คงต้องเรียกว่า ‘ผัวน้อย’ ซึ่งหมายความว่าจะเรียกว่าเป็น ‘สามี’ คนหนึ่งก็ย่อมได้
เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล เมื่อในที่สุดคนที่เอาแต่พูดเรื่อง ‘นายบำเรอ’ ได้อย่างหน้าตาเฉยเรื่อยมาก็มีทีท่าเก้อกระดากที่จะพูด เป็นผู้หญิงแต่พูดเรื่องอย่างนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย ยังไงก็ดูจะไม่ใช่ลางดีสักเท่าไหร่
“หญิง... ยังไม่ได้คิดหรอกค่ะว่าต้องทำอะไร ช่วงนี้หญิงยุ่งๆ เลยยังไม่มีเวลาคิด”
“ยังไม่ได้พูดคุยกันหรือ”
“ยังค่ะ พูดกันครั้งเดียวตั้งแต่วันที่หญิงให้ข้อเสนอ”
“หญิงให้เขาอยู่ที่ไหน”
“เรือนกลางน้ำค่ะ”
พระเชษฐาทรงพยักพระพักตร์
“ถ้ายังไม่ได้คิดว่าจะให้เขาทำอะไร ก็คิดตอนนี้สิ กำลังว่างไม่ใช่หรือ”
เจ้าหญิงทหารทรงวิเคราะห์ได้มานานแล้วว่าพระเชษฐารองทรงเป็นนักเผด็จการคนหนึ่ง ไม่สั่งก็เหมือนสั่ง บ่อยครั้งก็สั่งแต่สิ่งที่พระองค์เองทรงทำได้แต่ไม่ได้คิดว่าคนอื่นเขาจะทำได้เหมือนพระองค์ไหม อย่างไรก็ดี เจ้าหญิงสี่แห่งคันธารัตน์ก็นับว่าทรงเป็น ‘น้องสาว’ ที่ว่าง่ายคนหนึ่งสำหรับ ‘พี่ชาย’
แม้จะต้องทรงใช้เวลาในการคิดนาน แต่เมื่อต้องตัดสินพระทัย พระองค์ก็ไม่ลังเล
“ให้เป็นคู่รักของหญิงสักหนึ่งปีค่ะ”
คนฟังทรงเลิกพระขนง “ขอคำอธิบาย”
“เหมือนเป็นสามี แต่ไม่ต้องนอนด้วยกัน”
คราวนี้แม้แต่คนโผงผางอย่างเจ้าชายรองแห่งคันธารัตน์ก็ถึงกับทรงวางพระพักตร์ไม่ถูก จะติติงว่าพระขนิษฐาทรง ‘ก๋ากั่น’ เกินหญิงก็รับสั่งได้ไม่เต็มปาก เพราะอายุอานามของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ ใกล้จะสามสิบเต็มที อายุเท่านี้ พูดเรื่องอย่างนี้ก็ไม่แปลกนัก อีกทั้งคนที่พูดด้วยก็เป็นพี่ชายที่สนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ ขอแต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดตรงขนาดนี้กับคนอื่นเท่านั้น
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะค่ะ หญิงไม่อยากคุย”
พระเชษฐาทรงพยักพระพักตร์ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุยกันได้นานทั้งที่พูดจาขวานผ่าซากด้วยกันทั้งคู่แบบนี้ ก็เพราะเมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการคุยต่อ อีกฝ่ายก็ไม่เซ้าซี้ตอแย แต่อาจจะยกเว้นคราวนี้ไว้คราวหนึ่งที่ผู้มีพระชนม์มากกว่าสามปีทรงสรุปปิดท้าย
“ขอพี่ไปรู้จักกับนายบำเรอของหญิงหน่อย”
เจ้าหญิงทหารทรงขยับพระโอษฐ์จะรับสั่งถามเหตุผล แต่แล้วก็ทรงเปลี่ยนพระทัย
“เจ้าพี่ทรงว่างวันไหนล่ะคะ”
ในวันที่เจ้าชายอาร์ชวัส เจ้าชายรองแห่งคันธารัตน์ทรงว่าง เจ้าหญิงสี่กลับไม่ทรงว่าง พระองค์จึงโปรดให้อารยา พระพี่เลี้ยงวัยปลายสามสิบซึ่งควบตำแหน่งหัวหน้านางพระกำนัลในวังของพระองค์ไปด้วยเป็นผู้นำเสด็จพระเชษฐาต่างพระมารดาไปยังเรือนกลางน้ำ
เจ้าชายทหารทรงใช้เวลาอยู่ที่นั่นกับนายบำเรอของพระขนิษฐาองค์โปรดตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำอะไรกันบ้างไม่มีใครรู้ ตอนที่สองพี่น้องเสวยมื้อเย็นด้วยกัน เจ้าชายอาร์ชวัสไม่ได้ทรงเล่ารายละเอียดประทาน และเจ้าหญิงสี่ก็ไม่ได้ทูลถาม เพียงแต่บ่อยครั้งที่พระขนิษฐาไม่ได้มองมาทางพระองค์ เจ้าชายหนุ่มจะทอดพระเนตรมองอีกฝ่ายด้วยสายพระเนตรแสดงความเวทนาสงสาร จะขำก็ขำได้ไม่เต็มที่ จะปลงรึก็ปลงไม่ค่อยตก
เมื่อเจ้าหญิงสี่ออกมาส่งเสด็จขึ้นม้าที่หน้ามุข เจ้าชายรองก็รับสั่งอย่างหวังดี
“พี่ขอให้หญิงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ นะ ตั้งแต่คืนนี้ไปสวดมนตร์ก่อนนอนทุกคืนด้วยก็จะดีมาก พี่ไปล่ะ สาธุ เจริญพร”
ความคิดเห็น