คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนพิเศษ 2 (ภาคอรอุมารังษี) : เมื่อวิษณุหึง
รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี)
ตอนพิเศษ 2 : เมื่อวิษณุหึง
โรซาน่า.
“เจ้าแม่”
น้ำเสียงเล็กๆ สดใสที่ดังขึ้น เรียกขานสตรีเพียงนางเดียว แต่ผู้หญิงสองคนที่นั่งสนทนากันอยู่ในศาลาสีขาวทรงแปดเหลี่ยมที่ยื่นลงไปในสระบัวกลางราชอุทยานกลับหันไปมองทั้งคู่
เจ้าของเสียงเป็นเด็กชายวัยห้าขวบ ผิวขาวจัด รูปร่างสมส่วน บนดวงหน้าสะอาดประกอบด้วยเครื่องหน้าที่เหมาะเจาะได้รูปไปเสียทุกอย่าง ทำให้พอจะเดาได้ว่า อนาคตคงเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปงาม ดวงตาสีน้ำทะเลลึกสดใส แลดูเปี่ยมเสน่ห์ ริมฝีปากฉ่ำ สีแดงสดอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งส่งให้หนูน้อยแลดูน่ารัก น่าเอ็นดูขึ้นอีกมาก เจ้าตัวกำลังวิ่งมาทางศาลาแห่งนี้ นางพระกำนัลสองคนเดินกึ่งวิ่งตามมา
สตรีผิวขาวจัด และมีริมฝีปากแบบเดียวกับเด็กชายไม่ผิดเพี้ยนคลี่ริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แขนสองข้างอ้าออกเพื่อรอรับเด็กชายมาไว้ในอ้อมแขนเช่นเดียวกับทุกครั้ง ทว่าคนเรียก ‘เจ้าแม่’ ด้วยเสียงสดใสเมื่อครู่กลับหยุดชะงักอยู่ตรงบันไดขั้นเตี้ยๆ รอบศาลา ดวงหน้าค่อนข้างกลม เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นเรียบร้อยขึ้น เมื่อเห็นผู้หญิงอีกคนที่อยู่กับ ‘เจ้าแม่’ หนูน้อยยืนตัวตรง ค้อมศีรษะทุยๆ นั้นลง ถวายคำนับแด่ ‘เจ้าแม่’ เฉกเช่นนายทหารราชองครักษ์ถวายความเคารพแด่ ‘รานีแห่งสวราชย์’ ก่อนจะหันไปทางหญิงสาวอีกคน ค้อมศีรษะลงเช่นกัน ก่อนจะทูลเรียก
“อาหญิง”
เจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงแย้มพระสรวลกว้างขวาง ก่อนจะทรงพระสรวลคิกออกมา รับสั่งว่า
“เรียบร้อย มีมารยาทจริงชายภาณุ... หญิงคิดว่าตอนเด็กๆ เจ้าพี่คงไม่เรียบร้อยอย่างนี้แน่ๆ” ประโยคหลังทรงหันมารับสั่งกับรานีของพระเชษฐาองค์โต อีกฝ่ายเพียงแย้มพระสรวลรับ
“แล้วนี่เพิ่งไปขี่ม้ามาหรือจ๊ะ”
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าชายภาณุภาคย์ทรงใช้คำนี้แทนที่จะเป็น ‘ค่ะ’ อย่างเจ้าชายพระองค์อื่น
“เรียนถึงไหนแล้วล่ะ”
“ขี่ได้คล่องแล้วพระเจ้าค่ะ คล่องตั้งนานแล้ว แต่ครูชอบติโน่นตินี่ หาเรื่องสอนทั้งที่ชายคิดว่าชายขี่เก่งกว่าครูอีก” เจ้าชายน้อยทูลตอบฉาดฉาน เจ้าหญิงอรอุมาทรงฟังแล้วก็ผินพระพักตร์ไปทางรานี ไม่ได้รับสั่งว่าอะไร แต่สตรีสูงสุดแห่งสวราชย์ก็ทรงเข้าพระทัยความหมายในรอยแย้มพระสรวลของอีกฝ่าย ว่าถ้าเป็นคำพูดแบบนี้ก็พอจะเหมือนเจ้าหลวงอยู่
“ไหนมาให้อากอดหน่อยสิจ๊ะ ดูหน่อยว่าตัวโตแค่ไหนแล้วถึงได้เก่งขนาดขี่ม้าเก่งกว่าครู”
เจ้าชายภาณุภาคย์เสด็จเข้ามาซุกองค์ไว้ในอ้อมกอดของ ‘อาหญิง’ ที่ทรงอ้าพระพาหาออกรอแต่โดยดี หากแต่เข้าไปแนบชิดมากไม่ได้ เพราะติดพระอุทรที่ใหญ่ขึ้นทุกวันของอาหญิง หัตถ์น้อยๆ วางแปะลงบนพระอุทรและลูบไล้อย่างเบามือ ก่อนเงยพระพักตร์ขึ้นทูลถาม
“เมื่อไหร่อาหญิงจะคลอดน้องให้ชายหรือพระเจ้าค่ะ”
“อีกสองเดือนจ้ะ ชายอยากได้น้องหญิงหรือน้องชาย”
“อือม์...น้องหญิงพระเจ้าค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ถ้าเป็นน้องหญิงเหมือนน้องหญิงอัน” เจ้าชายน้อยทรงหมายถึงเจ้าหญิงอันธิการิณี พระขนิษฐาที่มีพระชนม์เพียงสองชันษา “จะได้เป็นของชายคนเดียว ถ้าเป็นน้องชาย เดี๋ยวน้องชายจะมาแย่งน้องหญิงอันไป ชายไม่อยากแบ่งน้องหญิงอันให้ใครพระเจ้าค่ะ” รับสั่งด้วยสีพระพักตร์จริงจัง มุ่งมั่น
เจ้าหญิงอรอุมาทรงฟังแล้วก็หันไปแย้มพระสรวลกับพระมารดาของเจ้าชายน้อยที่แม้จะทำพระพักตร์ดุๆ เป็นเชิงปรามพระโอรส แต่ก็ปิดรอยแย้มพระสรวลด้วยความรักและเอ็นดูไว้ไม่ได้
เจ้าหญิงโฉมงามแห่งสวราชย์ทรงสงสัยนัก ว่าตอนเด็ก พระเชษฐาทั้งสองพระองค์จะทรงรักและหวงแหนพระองค์ขนาดนี้มั้ย แต่ที่จริงก็ไม่น่าสงสัยเลย เพราะคงต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ
พูดคุยอยู่สักพัก รานีก็รับสั่งให้พระโอรสเสด็จไปสรงและเปลี่ยนฉลองพระองค์ เจ้าชายภาณุภาคย์ทรงยอมเสด็จไปโดยดี เพราะใกล้เวลาที่ทรงสัญญาไว้กับพระขนิษฐาว่าจะไปเล่นด้วยแล้ว
“ฝ่าบาทโปรดจะได้พระโอรสหรือพระธิดาเพคะ” รานีแห่งสวราชย์ตรัสถามพระขนิษฐาของพระสวามีด้วยคำราชาศัพท์ตามความเคยชิน เหมือนครั้งที่พระองค์ยังทรงเป็นเพียง ‘ท่านหญิงเมธาวดี’
“หญิงอยากได้ลูกชายค่ะ” รับสั่งตอบไม่ลังเล
“ทำไมล่ะเพคะ” แปลกพระทัยนิดๆ หากเป็นพระองค์ จะรับสั่งตอบว่า หญิงหรือชายก็ได้ ทรงรักทั้งนั้น
“พี่ชายคนโตจะได้คอยปกป้องดูแลน้องสาวคนเล็กไงคะ” รอยแย้มพระสรวลสดใสเต็มดวงพักตร์เมื่อทรงก้มลงทอดพระเนตรมองพระอุทรและลูบไล้อย่างทะนุถนอม
“แล้วครูล่ะเพคะ” รานีตรัสเรียกคนที่สอนการเป็นราชองครักษ์ที่ดีให้พระองค์อย่างให้เกียรติว่า ‘ครู’ อยู่เสมอ
“วิษณุบอกว่าหญิงหรือชายก็ได้ค่ะ เขารักทั้งนั้น ดูเห่อลูกมากกว่าหญิงอีก ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นหน้าแท้ๆ”
“ทรง...อิจฉาลูกหรือเพคะ” รานีทรงคาดเดาอย่างที่ทรงคิด ก็พระพักตร์ยู่ขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่น
เจ้าหญิงอรอุมาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทรงยอมรับ
“เขาดูสนใจลูกมากกว่าจริงๆ นี่คะ กลับมาบ้านเจอหน้าหญิงทีไรก็ถามเรื่องลูกก่อนทุกที ตั้งแต่แต่งงานกันมาเพิ่งเคยบอกรักไปแค่ครั้งเดียว แถมไม่เคยหึงหญิงอีกด้วย มีแต่หญิงที่หึงหวงเขาฝ่ายเดียว”
“ครูเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกอยู่แล้วนี่เพคะ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้รักฝ่าบาทเสียหน่อย”
ที่จริงก็พอจะเข้าพระทัยอีกฝ่ายอยู่บ้างหรอก หากเจ้าหลวงเป็นแบบเดียวกับคุณวิษณุ พระองค์คงแอบน้อยพระทัยอยู่คนเดียวบ่อยๆ แน่ๆ แต่ก็ไม่ทรงทราบเหมือนกันว่าแบบที่เจ้าหลวงทรงเป็นอยู่นี่ดีแน่รึเปล่า ต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ทรงแสดงออกมากนัก แต่พออยู่ตามลำพัง กลายเป็นกลับกันชนิดที่ใครก็คาดเดาไม่ถึง ที่ยิ่งร้ายไปกว่านั้น คือทรงมีขีดจำกัดความอดทนของพระองค์ เจ้าชายต่างแคว้นพระองค์ไหนทรง ‘ล้ำเส้น’ พระองค์ก็ทรงหาวิธีตอบกลับได้อย่างไม่เกรงความสัมพันธ์ทางการทูตจะร้าวฉาน
“หญิงก็รู้อยู่หรอกค่ะ ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น แต่บางทีก็อยากให้เขาปรับเปลี่ยนบ้าง แสดงออกให้เห็นว่าหึงหวงบ้างนิดหน่อยก็ยังดี”
“แต่ครูเป็นผู้ใหญ่แล้วนะเพคะ เป็นถึงเสนาบดีกลาโหมด้วย”
เจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงเม้มพระโอษฐ์ สีพระพักตร์แสดงความขัดพระทัย วิษณุก็เคยแย้งเรื่องความแตกต่างทางอายุ ที่ต่างกันมากถึงสิบปีนี้เหมือนกัน แต่พระองค์ทรงคิดว่านี่เป็นข้อดี วิษณุจะได้ปรามพระองค์ได้บ้าง และพระองค์ก็ทรงเป็นผู้ใหญ่พอ แต่พระองค์เป็นผู้ใหญ่บางเวลา ส่วนวิษณุ เป็นตลอดเวลา
“แก่แล้วก็หึงหวงได้นี่คะ ไม่เห็นเกี่ยวกับอายุเลย” ที่จริงวิษณุอายุแค่สามสิบสามปีเท่านั้น แต่ยามที่พระอารมณ์ไม่ดี เจ้าหญิงโฉมงามก็รับสั่งว่าชายหนุ่มเป็นคนแก่เสียอย่างนั้น
สตรีสูงสุดแห่งสวราชย์ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรับสั่งถาม
“มีพระประสงค์จะให้ครูแสดงความหึงหวงออกมาบ้างใช่ไหมเพคะ”
“ค่ะ”
“งั้นหม่อมฉันจะส่งตัวช่วยไปช่วย”
“ใครคะ”
“เจ้าหลวงนิมมานเพคะ พระองค์จะเสด็จสวราชย์อาทิตย์หน้า หม่อมฉันจะกราบทูลให้เสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนฝ่าบาทที่พระตำหนักริมผา ถ้าเป็นเจ้าหลวงเจษฎาบดี ครูต้องหึงแน่เพคะ” ที่จริงต้องรับสั่งว่า ‘ต้องทำให้ครูหึงได้แน่’ จึงจะถูกกว่า
เจ้าหญิงอรอุมารังษีทอดพระเนตรมอง ‘พี่หญิงเมธาวดี’ เห็นรอยมุ่งมั่นและหมายมาดบนพระพักตร์ขาวผ่องผุดผาดและในสายพระเนตรแล้วก็ทรงรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ กลัวแทนเจ้าหลวงนิมมาน
ปกติรานีแห่งสวราชย์จะทรง ‘ซื่อๆ’ และน้ำพระทัยดี ไม่มีทางคิดแผนการกลั่นแกล้งใครออก มีแต่ถูกพระสวามีกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ แต่พอมาถึงเรื่องเจ้าหลวงแห่งนิมมาน พระองค์ก็ดูจะทรงเจ้าแผนการขึ้นมาทันที
เจ้าหลวงเจษฎาบดีทรงคิดผิดแล้ว ที่เมื่อหกปีก่อนทรงกลั่นแกล้งราชองครักษ์ประจำพระองค์เจ้าหลวงแห่งสวราชย์ที่ชื่อ ‘เมธิน’ เพราะจนถึงตอนนี้ รานีแห่งสวราชย์ที่ทรงพระนาม ‘เมธาวดี’ ยังทรงขุ่นเคืองไม่เลิก
หรือบางที นี่อาจเป็นการแสดงความสนิทสนมในแบบของรานีก็เป็นได้ ใครจะรู้
*********************
ตึกบัญชาการทหาร
ปกติแล้วเสนาบดีกลาโหมจะทานอาหารกลางวันในห้องทำงานเพียงลำพัง ทานไปด้วยทำงานไปด้วยบ้าง เรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาร่วมโต๊ะแล้วคุยเรื่องานไปด้วยบ้าง บางวันไม่มีงานเร่งด่วนอะไรก็กลับไปทานอาหารที่บ้าน แต่วันนี้มีแขกพิเศษ นายทหารที่มีหน้าที่คอยรับใช้ไม่ต้องอยู่ทำหน้าที่ในวันนี้ เพราะท่านเสนาฯ จะคุยเรื่องส่วนตัวกับรองแม่ทัพภาคเหนือ
วิษณุไม่ได้พบตรัยบ่อยนัก หลังจากที่ฝ่ายหลังย้ายไปประจำการทางเหนือ โดยมีอภิรดีกับลูกตามไปด้วย ชายหนุ่มสองคนมีเรื่องคุยกันมากมาย ส่วนใหญ่ตรัยเป็นคนพูด และวิษณุเป็นคนฟังเช่นเดิม กระนั้น วิษณุก็ยังมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงพอให้ตรัยสังเกตเห็นอยู่บ้าง
“นายดูยิ้มง่ายขึ้นเยอะ จะได้เป็นพ่อคนแล้วเลยอารมณ์ดีหรือไง” คนได้เป็นพ่อคน มีลูกสาวอายุสามขวบแล้วถาม
“อือ คงอย่างนั้น” วิษณุไม่ปฏิเสธ อีกไม่นาน ภาพที่เขาเคยวาดฝันไว้ก็จะสมบูรณ์ ทุกวันที่กลับถึงบ้าน จะไม่ได้มีเพียงผู้หญิงที่เขารักอยู่รอรับ แต่จะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาในอ้อมแขนของเธอรออยู่ด้วย
เขาอารมณ์ดีจริงๆ แม้จะไม่ได้แสดงออกมากมายเหมือนอย่างตรัย ที่ทำตัวเสมือนว่าทุกวันคือวันที่เขาเพิ่งแต่งงานกับอภิรดีใหม่ๆ และหลังจากรู้ว่าเธอตั้งท้อง ก็เที่ยวป่าวประกาศให้คนทั้งกองทัพรู้ ตลอดเวลาหลายเดือนที่เธออุ้มท้องก็ประคบประหงม ดูแลอย่างดี ท่าทางดีใจนั้นเหมือนกับว่าเขาเพิ่งรู้เมื่อวานนี้ว่าภรรยาท้อง
“นายอยากได้ลูกสาวหรือลูกชาย” ตรัยถาม
“หญิงหรือชายก็ได้” เขาคงรักเท่ากัน
“ลูกชายสิ เป็นผู้ชายจะได้แต่งงานกับลูกสาวฉัน” ตรัยวาดอนาคต ทว่า
“ลูกสาวนายอายุมากกว่าลูกชายฉันสามปีนะ”
“เออ จริง แต่ไม่เป็นไร มีลูกชายไว้ก่อนก็ดี รอไว้แต่งกับลูกสาวคนเล็กของฉัน”
“คุณหนูดีท้องหรือ”
“ยัง...แต่อาจจะท้องเร็วๆ นี้ก็ได้” คุณพ่อลูกหนึ่งหมายมั่น แต่คนเป็นเพื่อนเกือบจะถอนหายใจออกมา กระนั้นก็ยังถามต่อเรียบๆ
“ถ้าลูกคนต่อไปของนายเป็นผู้ชายล่ะ”
“ก็ให้แต่งกับลูกชายคนแรกของนาย” ตรัยแกล้งพูดหน้าตาย ก่อนจะทำหน้าเอือมระอาอีกฝ่าย แต่พูดอย่างมั่นใจว่า “นายกับฉันก็มีลูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แต่งงานกันสักคู่สิ ไม่เห็นยาก”
วิษณุเป็นฝ่ายยอมแพ้ ไม่ถามต่ออีก รู้ดีว่าคนอย่างตรัยคงไม่บังคับฝืนใจลูก และอนาคตก็อีกยาวไกล แต่หากลูก(ที่ยังไม่เกิด) ของเขากับลูกของตรัยจะรักกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขากับตรัยเป็นเพื่อนกัน อภิรดีก็เป็นพระสหายของเจ้าหญิงอรอุมา ที่สำคัญ เขาไม่เคยดูถูกความรักที่เกิดจากความผูกพันวัยเด็ก
“ขนมไหม” เจ้าของห้องเลื่อนจานขนมไปให้ เมื่ออีกฝ่ายยกน้ำขึ้นดื่มเป็นอันจบมื้ออาหาร
“อะไร”
วิษณุบอกชื่อขนมปิดท้ายด้วยคำขยายความ “เจ้าหญิงอรอุมาทรงทำ”
“งั้นฉันไม่เสี่ยงดีกว่า” รองแม่ทัพหนุ่มปฏิเสธได้ทันที สีหน้าหวาดผวาจนคนเป็นเพื่อนต้องยิ้มกว้างอย่างขำๆ จนเกือบจะกลายเป็นหัวเราะออกมา
ตรัยคงไม่กล้ากินขนมที่เจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงทำไปจนตลอดชีวิต หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยชิมแล้วต้องคายออกมาแทบไม่ทัน วันนั้นวิษณุนั่งทำงานอยู่ในห้อง ตรัยถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา เห็นขนมหน้าตาน่าทานวางอยู่บนโต๊ะเพื่อน จึงหยิบเข้าปากไปชิ้นหนึ่ง ทันทีที่กัดเข้าไปเจอไส้ที่เผ็ดจนสุดบรรยายก็ต้องรีบคายออกมา
วิษณุที่ชิมแล้วบอกว่า ขนมที่เหลือแต่ละชิ้นมีรสชาติไม่เหมือนกัน มีทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด แบบสุดบรรยายทั้งนั้น เจ้าหญิงอรอุมา คู่หมั้นของเขาทำประทานมาเพราะกริ้วที่เขารับขนมจากน้องสาวของเพื่อนร่วมรุ่นมา จึงทรงหาทางแกล้ง
“แล้วทำไมยังเอามากินที่ทำงานอีก อย่าบอกนะว่านายเอามาวางล่อ แกล้งฉันอีกต่อหนึ่ง” ตรัยขู่ถามอย่างเคืองๆ หลังจากดื่มน้ำไปสองแก้ว
“เปล่า กินแก้ง่วง” วิษณุตอบหน้าตาเฉย ถ้ากัดทีละนิด ไม่ได้กินเข้าไปทั้งชิ้นแบบตรัยก็แก้ง่วงได้จริงๆ แม้ว่า ปกติแล้วชายหนุ่มจะไม่ค่อยเกิดอาการง่วงขณะทำงานก็ตาม
นอกจากนี้ วิษณุยังเคยไม่สบาย ไม่มาทำงานสองวันเต็มเพราะท้องเสีย ตรัยรู้จากอภิรดีว่าเจ้าหญิงอรอุมาทรงใส่สมุนไพรเข้าไปในขนมมากเกินไป ‘นิดหน่อย’ เป็นขนมที่ทรงทำประทานหลังจากทรงทราบว่าวิษณุไปงานแต่งงานของเพื่อนแล้วเต้นรำกับเพื่อนเจ้าสาวอย่างแนบชิด
ตรัยถึงกับกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอเมื่อได้ยิน แม้วิษณุจะบอกว่าเจ้าหญิงโฉมงามทรงงอนง้อขอโทษแล้ว หลังจากทรงทราบว่าข่าวที่ทรงได้ยินนั้นห่างไกลความจริงไปมากโข แต่นั่นก็ไม่ช่วยลดความน่ากลัวของเจ้าหญิงอรอุมาในใจของตรัยลงไปได้ ชายหนุ่มภาวนาอยู่ทุกวันว่า ขออย่าให้ ‘หนูดี’ ของเขาติดพระอุปนิสัยอย่างนี้ของพระองค์มาเลย
พระอุปนิสัยเช่นนี้ของเจ้าหญิงโฉมงาม เอามารวมกับนิสัยไม่ค่อยแสดงออกของวิษณุแล้วแบ่งครึ่ง คงพอดี
************************
วันนี้เสนาบดีกลาโหมแห่งสวราชย์กลับบ้านเร็วกว่าปกติ หลังจากที่หลายวันมานี้เขากลับบ้านช้าเพราะงานยุ่งมากทุกวัน หากดูตามเวลาแล้ว ตอนนี้คงแค่บ่ายแก่ๆ แต่เพราะเป็นช่วงต้นฤดูหนาวจึงมองดูเย็นย่ำเร็วกว่าปกติ ถึงอย่างนั้น แสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่ไม่ช่วยให้เกิดความอบอุ่นเท่าใดนักก็ยังให้ความสว่างแก่วันอยู่
หัวคิ้วของวิษณุขมวดเข้าหากันทันทีที่ขี่ม้าขึ้นเนินไปพร้อมนายทหารติดตามแล้วเห็นว่ามีคนในเครื่องแบบกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บริเวณลานอุษามณีฝั่งขวาของตัวบ้าน ม้าพันธุ์ดีประมาณยี่สิบตัวยืนอยู่บริเวณเดียวกัน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าม้าขึ้นอีกจนสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แบบทหารเกือบยี่สิบคนนั้นสวมเครื่องแบบทหารราชองครักษ์ ราชองครักษ์ของแคว้นนิมมาน! เจ้าหลวงเจษฎาบดีเสด็จที่นี่! ทั้งที่เมื่อวาน ในงานพระราชทานเลี้ยงต้อนรับ พระองค์ยังรับสั่งกับเขาว่าทรงฝากความระลึกถึงมาถึงเจ้าหญิงอรอุมารังษีด้วย เพราะเสด็จมาแค่ไม่กี่วัน คงไม่ทรงมีเวลาเสด็จมาเยี่ยมเยียน
แล้ววันนี้เสด็จมาทำไม เสด็จมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมต้องเสด็จมาตอนเขาไม่อยู่!!
เสนาบดีหนุ่มชะลอฝีเท้าม้าเมื่อผ่านลานอุษามณี ทหารราชองครักษ์นิมมานทั้งหมดค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างให้ความเคารพ
“เจ้าหลวงเสด็จมาที่นี่หรือ”
“ขอรับ” ราชองครักษ์นายหนึ่งเป็นตัวแทนตอบ วิษณุพยักหน้ารับรู้แบบเครียดนิดๆ หากแต่ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของใคร เพราะทุกคนเข้าใจว่าปกติเสนาบดีกลาโหมสวราชย์ก็หน้าขรึมดุแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าจะมีคนสงสัยอยู่บ้าง ก็คงสงสัยว่าทั้งที่ยังหนุ่มอยู่แท้ๆ จะทำหน้าเครียดไปทำไม ไม่มีใครรู้ว่านี่คือสีหน้าตอนชายหนุ่มนึกหึงทั้งที่ยังไม่เห็นเหตุการณ์
หลังลงจากม้าและยื่นบังเหียนให้นายทหารติดตามพาม้าไปเก็บที่คอกแล้ววิษณุก็เดินเข้าไปในบ้าน และต้องออกมาอีกครั้งเมื่อมหาดเล็กรายงานว่า เจ้าหญิงอรอุมารังษีและเจ้าหลวงเจษฎาบดีประทับอยู่ในสวนข้างบ้าน
เจ้าหลวงแห่งนิมมานทอดพระเนตรเห็นอดีตราชองครักษ์หนุ่มตั้งแต่ตอนที่เขาหยุดถามราชองครักษ์ที่ตามเสด็จมาด้วยนั่นแล้ว บทสนทนาที่เจ้าหญิงอรอุมาทรงใช้ความพยายามพอสมควร กว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องการเมืองได้ จึงถูกเปลี่ยนกลับอีกครั้งอย่างกะทันหัน ยิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าวิษณุกำลังเดินมาทางนี้ เจ้าหลวงหนุ่มยิ่งรับสั่งเบา แต่ใช้วิธียื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้แทนเมื่อรับสั่งว่า
“เขาว่ากันว่า ผู้หญิง เวลาท้องจะยิ่งดูสวยเป็นพิเศษ พี่เพิ่งเห็นว่าจริง” เจ้าหลวงวัยฉกรรจ์ทรงแทนองค์ว่า ‘พี่’ มาหลายปีแล้ว
“สวยที่ไหนเพคะ หญิงทั้งอ้วนทั้งท้องโตขนาดนี้” เจ้าหญิงอรอุมารังษีรับสั่งตอบพลางหลบสายพระเนตรเหมือนจะทรงขวยเขิน เอียงพระองค์ออกห่างนิดหนึ่ง...นิดเดียวเท่านั้น
“อย่างนี้แหละ พี่ว่ากำลังน่ารัก” คราวนี้กษัตริย์หนุ่มทรงก้มพระพักตร์นิดๆ รอยแย้มพระสรวลและประกายเนตรแพรวพราวเปี่ยมเสน่ห์ที่เมื่อครู่พระราชทานให้แม่ เหมือนจะเผื่อแผ่ไปถึงลูกด้วย
“อุ๊ย!” จู่ๆ เจ้าหญิงโฉมงามก็ทรงออกอุทาน
“เป็นอะไรหรือ”
“ลูกดิ้นน่ะเพคะ”
“ไหน” รับสั่งถามสั้น และทรงโน้มองค์ลงแนบพระกรรณเข้ากับพระอุทรโตๆ ของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่แลดูทั้งนุ่มนวลและฉาบฉวยจนเกินกว่าจะพูดได้เต็มปากว่าทรงฉวยโอกาส เจ้าหญิงอรอุมาทรงนิ่งอึ้งไปนิดเพราะผิดความคาดหมายไปเล็กน้อย ขณะเจ้าหลวงนิมมานทรงยืดองค์ขึ้นมาแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัยกึ่งล้อเลียนเมื่อรับสั่ง
“ดิ้นจริงๆ ด้วย ท่าทางจะซนเอาการ” รอยแย้มพระสรวลนั้นยังคงอยู่ แม้เมื่อรับสั่งทักทายชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินมาทางนี้ด้วยฝีเท้ายาวกว่าปกติว่า
“อ้าว วิษณุ กลับมาแล้วหรือ นั่งกินของว่างด้วยกันไหม” พระปรีชาสามารถในการยั่วอารมณ์ของกษัตริย์หนุ่มยังคงเยี่ยมยอดอยู่เช่นเดิม เมื่อรับสั่งราวกับพระองค์ทรงเป็นเจ้าของบ้าน และวิษณุเป็นแขก
เจ้าหญิงอรอุมารังษีทอดพระเนตรมองสีหน้าและแววตาของพระสวามีแล้วก็ต้องทรงสะดุ้งนิดๆ ทั้งที่เตรียมพระทัยไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว นึกเสียพระทัยขึ้นมาบ้างที่ทรงยอมให้เจ้าหลวงนิมมานทรงทำเช่นนี้ได้ ไม่ทรงทราบเลย ว่าภายใต้รอยแย้มพระสรวลแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว เจ้าหลวงวัยฉกรรจ์ก็ทรงแอบสะดุ้งอยู่เหมือนกัน เพราะแม้สีหน้าวิษณุจะดูขรึมๆ ธรรมดา อาจขรึมกว่าปกตินิดหน่อย แต่สายตาที่มองมาช่างน่ากลัวจนน่าขนลุก
วิษณุไม่ลืมมารยาทที่ดี ชายหนุ่มค้อมศีรษะถวายความเคารพอีกฝ่ายตามพิธีการ แต่ประโยคแรกที่กราบทูลไม่ใช่คำตอบ ทว่าเป็นคำถาม
“เมื่อวานรับสั่งว่าไม่ทรงว่างไม่ใช่หรือพระเจ้าค่ะ”
“พอดีฉันคิดถึงหญิงอรน่ะ มีลางสังหรณ์ด้วยว่าเธอคงไม่ได้บอกหญิงอรว่าฉันฝากความคิดถึงมาให้” เจ้าหลวงเจษฎาบดีรับสั่งได้คล่องโอษฐ์ รับสั่งบอกไปคงไม่มีใครเชื่อ แต่ความจริงก็คือ เรื่องเช่นนี้ พระโอษฐ์มักจะ ‘พาไป’ก่อนที่จะทรงยับยั้งได้เสมอ รอยแย้มพระสรวล พระพักตร์ และดวงพระเนตรที่ดูเหมือนจะท้าทายก็เช่นเดียวกัน เป็นไปเองทั้งนั้น แม้ว่าในพระทัยจะทรงนึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง มีพระราชดำริว่า ไม่ได้เจอหลายปีนี่เอาเวลาไปฝึกทำตาดุอยู่หรือไงนะ
เจ้าหญิงอรอุมากลับทรงเป็นผู้ที่อึดอัดที่สุด ทั้งที่ทุกอย่างเหมือนจะสัมฤทธิ์ผลตามที่ทรงหวัง
บรรยากาศคุกรุ่น อุ่นจนร้อนยังคงตามมาถึงโต๊ะอาหาร ทั้งที่นี่เป็นฤดูหนาว
เจ้าหญิงโฉมงามทูลเชิญให้เสวยพระกระยาหารเย็นที่นี่ ทูลเชิญตามมารยาท ตามมารยาทเท่านั้นจริงๆ แต่เจ้าหลวงนิมมานกลับทรงตกโอษฐ์รับคำทันที เวลาตั้งโต๊ะอาหารเย็นจึ้งต้องเลื่อนขึ้นมา เพราะกษัตริย์หนุ่มไม่มีพระราชประสงค์จะประทับค้างแรมที่นี่ ทั้งวิษณุและเจ้าหญิงอรอุมารังษีจึงต้องเผชิญกับความอึดอัดบนโต๊ะอาหารวันนี้ มีแต่เจ้าหลวงวัยฉกรรจ์เท่านั้นที่ดูจะทรง ‘สนุก’
วิษณุพยายามใช้ความอดทนอย่างมากในการฟังและโต้ตอบบทสนทนา พยายามรักษาสีหน้าสงบเรียบเฉยไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบโต้กลับอย่างตรงไปตรงมาและทันทีบ้างเป็นบางครั้ง และทั้งที่คิดว่าตัวเองใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่มากพอ แต่เขาก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ ที่เจ้าหญิงอรอุมาแทบจะไม่ทรงช่วยเหลือเขาเลย ทั้งที่ถ้าเป็นผู้ชายหรือเจ้าชายพระองค์อื่นมาเกี้ยวพา เจ้าหญิงโฉมงามจะทรงตอบโต้จนฝ่ายนั้นถอนตัวกลับไปในเวลาอันรวดเร็วด้วยอาการมึนงงและ ‘หน้าชา’
แต่ละถ้อยรับสั่งของเจ้าหลวงนิมมานก็ช่างร้ายเหลือ นอกจากจะแทนองค์ว่า ‘พี่’ และตรัสเรียก ‘ภรรยา’ ของเขาว่า ‘น้องหญิง’ ทุกคำ ทั้งที่เขายังไม่เคยใช้คำพวกนั้นแล้ว ยังคล้ายจะทรงเกี้ยวเจ้าหญิงอรอุมาต่อหน้าต่อตาเขา
“พี่ว่าหญิงต้องได้ลูกสาวแน่ มีคนบอกว่าถ้าเป็นลูกชาย แม่จะไม่สวย แต่ถ้าเป็นลูกสาว แม่จะสวยขึ้น”
ถ้อยรับสั่งนั้น วิษณุตอบด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉยสนิท ว่า
“กระหม่อมว่าอาจจะเป็นลูกชายก็ได้พระเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงกระหม่อมก็รักทั้งนั้น เพราะเขาเป็นลูกของกระหม่อม” ทั้งประโยคราบเรียบ ไม่มีการเน้นย้ำ และกษัตริย์หนุ่มก็ดูจะไม่ทรงรู้สึกสะทกสะท้าน
“นี่ถ้าน้องหญิงตกลงแต่งงานกับพี่ ป่านนี้คงมีลูกน่ารักๆ อายุสักสามสี่ขวบได้แล้วมั้ง”
รับสั่งประโยคนี้ เจ้าหญิงอรอุมาทรงโต้ตอบอยู่ในพระทัยว่า ‘เจ้าพี่เคยทรงขอหม่อมฉันแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่’ ที่ไม่ได้รับสั่งออกไปเพราะมีพระประสงค์จะทรงรอดูว่าวิษณุจะมีท่าทีอะไรบ้าง ทว่าที่ทอดพระเนตรเห็น ชายหนุ่มเพียงมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ ดวงหน้าคมคายติดจะขรึมนิดๆ เมื่อทานอาหารตามปกติ ไม่สนใจจะตักกับข้าวให้พระองค์ด้วย ผิดกับผู้ที่ประทับหัวโต๊ะอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าลูกคนใดคนหนึ่งของน้องหญิงเป็นผู้หญิง พี่จองไว้ให้ลูกชายพี่ได้ไหม ถึงไม่ได้แต่งานกับคนที่พี่รักอย่างน้องหญิง แต่ได้ลูกสาวมาเป็นสะใภ้ก็ยังดี”
“ที่รับสั่งว่ารักรนี่ รักอย่างน้องสาวใช่ไหมเพคะ” เจ้าหญิงโฉมงามรีบทูลถาม เมื่อทอดพระเนตรเห็นวิษณุชะงักมือที่ถือแก้วน้ำ และมองสบสายพระเนตรเจ้าหลวงนิมมานนิ่งๆ โปรดจะทอดพระเนตรเห็นวิษณุมีปฏิกิริยาก็จริง แต่อาการแบบนี้ออกจะน่ากลัว
“ก็ปนๆ กันไปนั่นแหละจ้ะ” รับสั่งพร้อมรอยแย้มพระสรวลอ่อนหวานนั้นหมายถึง ปนกันระหว่างน้องสาวและเพื่อน ซึ่งเจ้าหญิงอรอุมาก็ทรงเข้าพระทัย แต่ วิษณุไม่ได้เข้าใจไปด้วย
หลังจากทรงป่วนครอบครัวอันแสนสุขอยู่นานพอสมควร เจ้าหลวงแห่งนิมมานก็เสด็จกลับ หากแต่ยังไม่วายส่งสายพระเนตรหวานพระราชทานเจ้าหญิงโฉมงามและรับสั่งทิ้งท้ายว่า
“กลับถึงนิมมานแล้วพี่คงคิดถึงน้องหญิง”
“เพคะ” คราวนี้รับสั่งตอบสั้น ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน ที่จริงก็ตั้งพระทัยว่าจะ ‘หวาน’ ตอบ แต่ทอดพระเนตรเห็นสีหน้าขรึมๆ ของคนร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็ทรงเปลี่ยนพระทัย เพราะไม่มีอะไรสนุก และน่าพอใจอย่างที่ทรงคิดไว้
เจ้าหลวงหนุ่มทรงพระสรวลเบาๆ เป็นเชิงล้อเลียน ประกายเนตรแพรวพราวราวกับจะทรงรู้เท่าทันความคิด ประโยคสุดท้ายก่อนเสด็จกลับ พระองค์รับสั่งกับวิษณุ
“ความสัมพันธ์ที่สูงส่งงดงาม บางครั้งก็ไม่ได้ให้แต่ความทรมานเสมอไปสินะ ขอให้มีความสุข”
************************
เจ้าหญิงอรอุมารังษีเสด็จเข้าบ้านพร้อมกับวิษณุ ไม่ได้รับสั่งอะไร เพราะทรงรอให้วิษณุเป็นฝ่ายพูดก่อน แต่เมื่อชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากพูดอะไร พระองค์ก็ต้องรับสั่งขึ้นมาก่อน
“วิษณุ”
“กระหม่อมมีงานด่วนต้องทำ คงนานกว่าจะเสร็จ คืนนี้เข้าบรรทมก่อนเถอะนะพระเจ้าค่ะ อย่างทรงานรอเลย”
เป็นครั้งแรก ที่วิษณุตอบรับคำเรียกขานด้วยประโยคยาวๆ ก่อนจะเดินแยกไปทางห้องสมุดที่ใช้เป็นห้องทำงานด้วยในบางครั้ง ปกติแล้วเมื่อเจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงเรียกขาน ชายหนุ่มจะรับคำสั้นๆ ว่า ‘พระเจ้าค่ะ’ หรือที่บ่อยกว่านั้นคือไม่พูดอะไร แต่หันมามองด้วยสีหน้าและแววตาที่พร้อมจะรับฟัง
เจ้าหญิงโฉมงามประทับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น วิษณุโกรธหรือ
ถ้าเป็นแต่ก่อน เจ้าหญิงอรอุมาคงไม่ทรงรีรอที่จะตามไปงอนง้อ แต่ตอนนี้ทรงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว พระดำริจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นว่ารออีกสักพักก็ได้กระมัง รอให้อารมณ์ของวิษณุเย็นลงกว่านี้แล้วค่อยคุยกันให้รู้เรื่อง หรือบางที เขาอาจมีงานด่วนต้องทำจริงๆ
ห้องสมุดห้องเดียวของบ้านเป็นห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือสูงจากพื้นจรดเพดาน ชั้นบนไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์มากนัก มีแต่ชั้นล่างๆ จนถึงชั้นที่แขนยาวๆ ของวิษณุจะเอื้อมถึงเท่านั้นที่มีหนังสือประเภทต่างๆ บรรจุไว้เกือบเต็ม หนังสือบนชั้นวางฝั่งซ้ายของห้องเป็นของวิษณุ ส่วนฝั่งขวาที่มีหนังสือมากไม่แพ้กันเป็นของเจ้าหญิงอรอุมารังษี ชุดเก้าอี้บุนวมสีครีมสองชุดวางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง กลางห้องเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ สุดปลายห้องเป็นตู้เก็บเอกสารสำคัญทางทหารของเสนาบดีหนุ่ม ห้องกว้างดูคับแคบกว่าความเป็นจริงบ้างเพราะชั้นหนังสือสูงๆ โดยรอบ หากแต่ไม่ดูทึมทึบหรืออึมครึม เพราะแจกันดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามมุมต่างๆ ให้ทั้งความสดใส สบายตา และกลิ่นหอมอบอวล
เจ้าหญิงอรอุมารังษีเสด็จเข้ามาในห้อง สวนกับมหาดเล็กนายหนึ่งที่วิษณุใช้ให้เอาจดหมายด่วนที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จไปส่งพอดี มหาดเล็กหยุดถวายความเคารพก่อนรีบไปทำตามคำสั่งที่ท่านเสนาฯ กลาโหมกำชับว่า ‘ด่วนพิเศษ’
“ยังไม่เข้าบรรทมอีกหรือ” ประโยคคำถามไม่มีคำลงท้าย แต่ทอดเสียงอ่อนโยน ขณะที่คนพูดลุกขึ้นและเดินเข้ามาแตะประคองให้เจ้าหญิงโฉมงามเสด็จไปประทับบนเก้าอี้บุแพรตัวยาวหน้าชั้นวางหนังสือ และนั่งลงข้างๆ
“วิษณุมีเรื่องอะไรจะคุยกับหญิงไหม” แทนที่จะรับสั่งว่าพระองค์ทรงมีเรื่อง ‘คุย’ เจ้าหญิงอรอุมากลับตรัสถามตรงข้าม
“เรื่องอะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
“ก็ อย่างเรื่องเมื่อตอนบ่าย ในสวน”
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่ ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ กราบทูลว่า
“ช่วงนี้อากาศหนาวทั้งวัน ถ้าจะเสด็จออกไปข้างนอกก็ทรงหาผ้าคลุมหนาๆ ติดไปด้วย ไม่งั้นจะปะชวรหวัดเอาได้ง่ายๆ”
นานๆ ทีวิษณุจะพูดอย่างเป็นห่วงโดยที่ไม่มีประโยคต่อท้ายว่า ‘จะทรงทำอะไรก็ต้องคิดถึงลูกให้มาก’ หากแต่แทนที่เจ้าหญิงโฉมงามจะทรงดีพระทัย พระพักตร์เล็กๆ ที่เวลานี้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเพราะน้ำหนักขึ้นง้ำลงนิดๆ อย่างไม่พอพระทัยในคำตอบ
“ไม่มีเรื่องอื่นอีกหรือไง”
“ไม่มีพระเจ้าค่ะ” คนถูกถามตอบเรียบๆ ไม่ลังเลหรือติดขัด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทูลถาม “วันนี้ลูกดิ้นไหมพระเจ้าค่ะ” สีหน้าของวิษณุอ่อนโยนเสมอเมื่อพูดถึงลูก ชายหนุ่มถามคำถามนี้เกือบทุกวัน แทบไม่เคยขาด มือใหญ่แต่เรียวยาววางลงบนพระอุทรที่ใหญ่มากจนใครหลายคนทักว่าเขาอาจจะได้ลูกแฝดนั้นอย่างเบามือ และลูบไล้ด้วยความทะนุถนอม นึกถึงภาพเมื่อตอนบ่ายแล้วก็เจ็บใจ แต่เพราะอารมณ์ขุ่นเคืองของเขาหายไปได้รวดเร็ว เขาจึงไม่คิดอะไรอีก จะคิดมากให้ใจขุ่นไปทำไม ในเมื่อความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่า ‘แม่’ หรือ ‘ลูก’ ก็ล้วนแต่เป็นของเขาเท่านั้น ของเขาคนเดียว
และคนที่จะทำอย่างนี้ได้ก็มีแต่เขาคนเดียวด้วย...วิษณุบรรจงจรดริมฝีปากลงบนพระอุทร
ความอดทนของเจ้าหญิงอรอุมารังษีหมดลง ความน้อยพระทัยพลุ่งขึ้นมาจนถึงดวงพระเนตร วิษณุจึงตกใจนักหนาเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นหยาดน้ำใสๆ ปริ่มขอบเนตร
“ทรงเป็นอะไร”
“ขนาดลูกยังไม่เกิด วิษณุยังรักเขามากกว่าหญิง แล้วถ้าเขาเกิดมา วิษณุจะเอาหญิงไปไว้ไหน”
“อรอุมา...” วิษณุครางอย่างอึ้งๆ เจ้าหญิงอรอุมาทรงคิดอย่างนี้มานานหรือยัง
เจ้าหญิงโฉมงามทรงเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นอย่างน้อยพระทัย วิษณุใช้ปลายข้อนิ้วแตะพระหนุมนๆ นั้นให้หันกลับมา สบสายพระเนตรและกราบทูลด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่นและมั่นคงเป็นเอกลักษณ์ว่า
“ไม่เข้าพระทัยหรือ ว่าเหตุที่กระหม่อมรักลูก ก็เพราะกระหม่อมรักแม่ของลูก”
พระพักตร์ขาวนวลอมชมพูซับสีเรื่อขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นแดงก่ำขึ้นทันตา ไม่ทรงคิดเลย ว่าจะทรงรู้สึกพระพักตร์ร้อนซู่ขึ้นมาได้ เพียงเพราะคำพูดเรียบๆ ไม่เห็นจะอ่อนหวานตรงไหนเลยของวิษณุ แต่เพราะความจริงใจที่เปี่ยมล้นในดวงตาคมสีเข้มนั่นแท้ๆ เชียว
“รักแล้วทำไมไม่หึงล่ะ” ไม่ได้ยินบ่อยๆ หรอกนะ คำรักจากวิษณุ พระทัยของพระองค์หวามไหวและอ่อนยวบลงมากมาย แต่เรื่องนี้ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
“เพราะกระหม่อมเชื่อใจฝ่าบาท เชื่อว่าทรงเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะทรงทราบว่าต้องทำยังไงจึงจะไม่ ‘เกินเลย’ เจ้าหลวงเจษฎาฯ จะทรงเป็นยังไงก็ช่าง กระหม่อมเชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงหวั่นไหว” ที่จริงเขาไม่ได้คิดอย่างนี้ได้ในทันที แต่จะให้ยอมรับว่าหึงจนต้องใช้เวลานั่งสงบสติอารมณ์อยู่นานก็ดูจะกระไรอยู่ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเจ้าหญิงอรอุมาถึงสิบปี หึงหวงออกนอกหน้าก็คงน่าอาย ไม่ใช่นิสัยของเขาด้วย
ความรู้สึกละอายจุดประกายวาบขึ้นในพระทัยของเจ้าหญิงโฉมงาม นึกเสียพระทัยขึ้นมาบ้างที่ทรงวางแผนนี้ขึ้นมา แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่ทรงทำอย่างนี้ก็ไม่มีทางทรงทราบว่าวิษณุคิดยังไง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรับสั่งขอโทษก็ได้กระมัง คำที่ต้องรับสั่งน่าจะเปลี่ยนเป็น
“ขอบคุณนะคะที่เชื่อใจหญิง หญิงรักวิษณุจัง” สำหรับเจ้าหญิงอรอุมา การเอ่ยคำรักไม่ใช่เรื่องยากเย็น หรือสิ่งที่น่าเขินอาย ทรงอภิเษกสมรสแล้ว เป็นภรรยาที่ถูกต้อง ที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือ ใบหน้าคมเข้มของ ‘เสนาบดีกลาโหม’ ตอนที่เขินๆ และทำหน้าไม่ค่อยถูกเมื่อถูกบอกรักนี่น่าดูน้อยอยู่เมื่อไหร่
“หญิงถามอะไรหน่อยได้ไหม”
คนที่กำลังเขินอุตส่าห์พยายามทำหน้าขรึมและหันมามองสบสายพระเนตรอย่างพร้อมจะรับฟัง
“วิษณุรำคาญรึเปล่าที่หญิงชอบหึงวิษณุอยู่บ่อยๆ”
“ไม่รำคาญพระเจ้าค่ะ แต่ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทรงทำอย่างนั้น”
“ก็แปลว่ารำคาญนั่นแหละ” เจ้าหญิงโฉมงามทรงทำพระพักตร์ยู่อีกแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบ ไม่แก้ไขคำแปล แต่ยืนยันคำพูดที่พูดไปแล้วด้วยสายตา พระองค์ก็รับส่งต่อด้วยพระสุรเสียงอ่อนลงมานิด
“มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็นหรอกนะ เรื่องหึงเนี่ย แต่มันเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ มันเป็นไปเอง เธอไม่เข้าใจหรือ”
เข้าใจสิ เข้าใจมาตลอด และเข้าใจอย่าง ‘ลึกซึ้ง’ วันนี้เอง...นั่นเป็นสิ่งที่วิษณุคิด แต่สิ่งที่พูดออกมาก็คือ
“กระหม่อมไม่ได้ขอให้ทรง ‘ห้าม’ พระเจ้าค่ะ แต่ทูลว่าไม่ควรทรงรู้สึกอย่างนั้น ต่อไปอย่าทรงรู้สึกอย่างนั้นอีก”
“ทำไม”
“เพราะสำหรับกระหม่อม ความหึงหวงไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เกิดจากความระแวง ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทรงระแวงกระหม่อม เพราะกระหม่อมไม่เคยรักใคร และไม่คิดจะรักใครอื่น นอกจากฝ่าบาทพระองค์เดียว”
น้ำเสียงเรียบๆ ของวิษณุมั่นคง ดวงตาคมที่มองมามีแต่ความจริงใจ มือใหญ่ที่กุมพระหัตถ์ไว้ก็ช่างแสนอบอุ่น อุ่นจนร้อนขึ้นมาถึงดวงพระพักตร์ ไม่เคยทรงคิดเลย ว่าอภิเษกมาเกือบสองปีแล้วจะยังทรงรู้สึกอย่างนี้อีก รู้สึกเหมือนกำลังถูกสารภาพรักเป็นครั้งแรก
เจ้าหญิงอรอุมารังษีประทับยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว หันวรองค์ด้านข้างให้ ทว่าเสด็จไปไหนไม่ได้เพราะวิษณุลุกขึ้นยืนตามและยึดข้อพระหัตถ์ไว้
“ทรงเป็นอะไร กระหม่อมพูดอะไรผิดหรือ”
“ไม่...ไม่เป็นอะไร ไม่ได้พูดอะไรผิด แต่หญิงง่วงแล้ว จะไปนอน”
วิษณุไม่เห็น ว่าเจ้าหญิงโฉมงามทรงขัดเขินจนพระพักตร์แดงก่ำเพียงใด แต่ก็คลายใจว่าพระองค์ไม่ได้ทรงงอนหรือกริ้วอีกจึงคลายมือออกเล็กน้อย เจ้าหญิงอรอุมาทรงถือโอกาสเสด็จออกจากห้องสมุด ตรงไปยังห้องพระบรรทมทันที
ผู้ตกอยู่ในอาการเขินกะทันหันเมื่อครู่นี้ เวลานี้กำลังบรรทมตะแคงข้างอยู่บนพระยี่ภู่อ่อนนุ่ม หันพระปฤษฎางค์ไปทางประตู หลับพระเนตรทั้งที่พระทัยยังคงเต้นแรง ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเคยพูด ขอให้พูดให้ได้ยินบ้างก็เอาแต่ทำหน้าขรึม วันนี้ทำไมพูดถึงสองรอบ ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น ไยพระทัยจึงเต้นแรงถึงเพียงนี้ ทั้งที่เคยทรงคิดว่า คำพูดเรียบๆ ไม่ค่อยเน้นหนักหรืออ่อนหวานเลยนั้นคงไม่สามารถทำให้พระองค์ทรงขวยเขินได้ แล้วนี่มันอะไรกัน หรือนี่จะเป็นข้อดีของการที่นานๆ ทีจะได้ยินคำรักสักครั้ง
พระองค์ไม่ควรทรงปรารถนาให้วิษณุเปลี่ยนแปลงอะไรใช่ไหม ในเมื่อตั้งแต่แรก วิษณุที่พระองค์ทรงรักก็คือวิษณุที่เป็นแบบนี้ และเขาก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
เจ้าหญิงอรอุมารังษีไม่ทรงได้ยินเสียงฝีเท้า แต่ไออุ่นจากตัวของใครคนหนึ่งมาอยู่ใกล้ๆ มือของใครคนนั้นเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมพระวรกายให้อย่างนุ่มนวล ก่อนจะเดินห่างออกไป
วิษณุคงกลับไปทำงานอีก แต่ไม่เกินครึ่งคืนก็จะกลับมาห้อง ไออุ่นจากผ้าห่มจะถูกเปลี่ยนเป็นไออุ่นจากอ้อมแขนแข็งแรง ตลอดค่ำคืนอันหนาวเย็น พระองค์จะทรงอบอุ่นปลอดภัยในอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เงียบขรึมแต่ซื่อสัตย์มั่นคงในรัก เป็นอย่างนี้จนถึงเช้าตรู่ และเมื่อลืมพระเนตรขึ้นมา อ้อมแขนแข็งแรงนั้นจะยังโอบกอดอยู่ บ่งบอกให้รู้ว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝันเพียงชั่วคืนเหมือนเมื่อคืนนั้น ในกระท่อมริมทะเลสาบ
เสนาบดีกลาโหมแห่งสวราชย์กลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง ไม่ได้ทำงาน แต่กำลังครุ่นคิด ว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กเกินไปรึเปล่า เจ้าหลวงนิมมานจะทรงหัวเราะเยาะเขาไหม
เอาเถอะ...ไม่ว่ายังไง เขาก็แก้ไขสิ่งที่ทำลงไปแล้วไม่ได้
เขาเชื่อใจเจ้าหญิงอรอุมา แต่ไม่ไว้วางใจเจ้าหลวงเจษฎาบดี
เพราะฉะนั้น ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวก็แล้วกัน
*********************
แคว้นนิมมาน
พระตำหนักหลวง ห้องพระบรรทมของเจ้าหลวง
“รานีล่ะ” กษัตริย์หนุ่มตรัสถามนางพระกำนัลที่กำลังจัดพระที่ เมื่อทอดพระเนตรมองไม่เห็นร่างบอบบางแต่ปราดเปรียวของสตรีคู่บัลลงก์ คู่ชีวิต และคู่พระทัย
“เสด็จกลับ ‘บ้าน’ ตั้งแต่บ่ายแล้วเพคะ” นางพระกำนัลนางหนึ่งทำใจกล้ากราบทูลทั้งที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ทำไมไม่มีใครบอกฉัน” เจ้าหลวงที่ปกติทรงเยือกเย็น เวลานี้กลับทรงร้อนรน
“รานีมีรับสั่งไม่ให้กราบทูลเพคะ”
“แล้วใครอนุญาตให้กลับ”
“อะ...เอ่อ...รานีรับสั่งว่าหากฝ่าบาทรับสั่งถามให้กราบทูลว่า เอ่อ...พระองค์ไม่ใช่นักโทษ เพราะฉะนั้นทรงมีสิทธิไปไหนมาไหนได้เพคะ”
เจ้าหลวงเจษฎาบดีเกือบจะทรงทอดถอนพระทัยยาวเหยียด แต่แล้วก็เพียงพยักพระพักตร์เป็นเชิงรับรู้เท่านั้น คืนนั้น กษัตริย์หนุ่มทรงหา ‘สาเหตุ’ ทั้งคืน จนทรงพบในที่สุด
จดหมายฉบับหนึ่งจากเสนาบดีกลาโหมแห่งสวราชย์ กราบทูลองค์รานีแห่งนิมมานถูกเก็บอยู่ในสมุดบันทึกขององค์รานี มีใจความว่า
สวราชย์
บ้านริมผา
กราบทูลองค์รานีแห่งนิมมานทรงทราบ
ตามที่ฝ่าบาทได้ทรงพระกรุณาพระราชทานความระลึกถึง และพระราชทานของขวัญแสดงความยินดีที่เจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงพระครรภ์มา เจ้าหญิงอรอุมารังษีและกระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ.................
..................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................
เจ้าหลวงแห่งนิมมานทรงไล่สายพระเนตรลงมาเรื่อยๆ คำกราบทูลของวิษณุเป็นปกติดีทุกอย่าง จนมาถึงท้ายหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีปัญหา
ปัจฉิมลิขิต : ขอถวายพระพรให้ทรงพระเกษมสำราญ และมีพระโอรสหรือพระธิดาในเร็ววันนี้ กระหม่อมเชื่อว่า เจ้าหลวงเจษฎาบดีจะทรงเป็นพระราชบิดาที่ดี และทรงรักพระโอรส พระธิดาอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ลูกของกระหม่อมที่ยังอยู่ในพระครรภ์ของเจ้าหญิงอรอุมารังษี พระองค์ยังทรงพระเมตตาถึงขนาดเอียงพระกรรณไปฟังเสียงว่ากำลังดิ้นอยู่หรือไม่ ในโอกาสเดียวกันนี้ ขอพระราชทานพระกรุณาโปรด กราบทูลถวายคำตอบที่กระหม่อมยังไม่ได้ถวายบนโต๊ะอาหารในวันนี้ด้วยว่า ขอพระราชทานอภัยที่ถวายตำแหน่ง ‘พ่อทูนหัว’ ให้ไม่ได้ เพราะเจ้าหลวงวิเรนทรราชทรงออกโอษฐ์ รับสั่งเรื่องเดียวกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว อีกประการหนึ่ง ขอกราบทูลว่าหากพระองค์ทรง ‘คิดถึง’ เจ้าหญิงอรอุมารังษี...ภรรยาของกระหม่อมมากอย่างที่เคยออกโอษฐ์รับสั่งว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเมื่อเสด็จกลับถึงนิมมาน และมีพระราชประสงค์จะเสด็จมาที่สวราชย์อีกครั้ง เจ้าหญิงอรอุมารังษีและกระหม่อมก็พร้อมจะยินดีต้อนรับเสมอ
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดฯ
วิษณุ
(เสนาบดีกลาโหมแคว้นสวราชย์)
เจ้าหลวงแห่งนิมมานทรงวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะทรงพระอักษร ปรารถนาจะทรงพระสรวลออกมาเบาๆให้กับการกระทำของวิษณุที่ไม่เคยทรงคาดคิดมาก่อน แต่แม้จะแย้มพระสรวลก็ยังแย้มไม่ออก
ไม่เคยทรงคิดเลย ว่าวิษณุจะทำอย่างนี้ได้ด้วย หย่อนระเบิดตูมใหญ่ลงมาที่วังของพระองค์ เป็นการกระทำที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ไม่สำนึกบุญคุณที่พระองค์อุตส่าห์พระราชทาน ‘พระนาม’ ให้เอาไปใช้ประโยชน์เสียบ้างเลย หากไม่ใช่เพราะ(พระนามของ)พระองค์ วิษณุจะได้แต่งงานกบเจ้าหญิงที่ทั้งสวยและฉลาดที่สุดในสวราชย์หรือ
ต่อไปนี้จะไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์สวราชย์อีกแล้ว ร้ายกันทุกคน! นึกว่าพระองค์ไม่ทรงทราบหรือไง ว่านี่น่าจะเป็นแผนของ ‘รานีสวราชย์’ สะกิดพระทัยตั้งแต่ตอนที่ฝ่ายนั้นคะยั้นคะยอให้ไปเยี่ยมหญิงอรที่ตำหนักริมผาแล้ว หญิงอรก็คงมีส่วนร่วมด้วย เพราะแทบจะไม่ได้ ‘ตอบโต้’ กลับเลย
ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ จะทรงทำยังไงกับรานีของพระองค์ดี
เจ้าหลวงนิมมานที่ทั้งพระรูปโฉมงาม เฉลียวฉลาด เปี่ยมเสน่ห์ พระทัยเย็น และเจ้าเล่ห์(นิดๆ) เวลานี้ถึงกับทรงกุมพระเศียร
หากรานีของพระองค์เป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่น พระองค์คงไม่ทรงเดือดร้อน แต่นี่...ทอดตาแลทั่วทั้งแผ่นดินสวราชย์และนิมมาน ใครจะขี้หึงและโกรธรุนแรงเท่ารานีนิมมานเป็นไม่มี!
จบตอนพิเศษ 2
****************************************************
1.เรื่องหนังสือคงออกไม่ทันงานหนังสือแน่ๆ ค่ะ อาจจะปลายปีหรือไม่ก็ต้นปี
2.เดียร์จัง สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะจ๊ะ ขอให้มีความสุขมากๆ ^_^
ความคิดเห็น