ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี) (ลบแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนพิเศษ (ภาควิเรนทรราช) : หึง

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 49


    รักต้องห้าม (ภาควิเรนทรราช)

     

    ตอนพิเศษ : หึง

     

    คำเตือน : ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูง

     

                    เจ้าหญิงชนิสรา...เจ้าหญิงรัชทายาทอันดับหนึ่ง และเจ้าชายศิวาวุธ...เจ้าชายรัชทายาทอันดับสองแห่งแคว้นวิธัญญาเสด็จพระดำเนินเยือนสวราชย์เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี เจ้าหลวงวิเรนทรราชจึงพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำเป็นการต้อนรับ เนื่องเพราะเจ้าชายศาสวัตราซึ่งต้องทรงทำหน้าที่นี้โดยตรง เพิ่งจะถวายบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีต่างประเทศ และเจ้าชายพระองค์หนึ่งซึ่งเพิ่งทรงเข้ารับตำแหน่งยังทรงปรับอะไรต่างๆ ได้ไม่ดีนัก

     

                    เจ้าหญิงชนิสราทรงเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสูง...สูงมาก แน่นอนว่าสูงกว่าองค์รานีแห่งสวราชย์อยู่พอสมควร วรองค์สมส่วน และแลดูประเปรียว แต่ไม่ผอมบางเหมือนอย่างรานี พระฉวีสีน้ำตาลอ่อนเนียนสวย ดวงพระพักตร์แม้ไม่งามซึ้ง แต่ค่อนข้างโดดเด่น สะดุดตาด้วยพระขนงคมเข้ม โก่งสวย และดวงพระเนตรสีลูกหว้า เป็น ดวงตา ที่แลดูมีเสน่ห์นัก มีเสน่ห์จนรานีแห่งสวราชย์ทรงหวั่นพระทัย ว่าพระสวามี...เจ้าของดวงพระเนตรสีน้ำทะเลลึกจะทรง หลงเสน่ห์ ดวงตานั้น

     

                    เจ้าชายศิวาวุธทรงสูงกว่าพระขนิษฐาเล็กน้อย วรองค์ค่อนข้างโปร่งบาง พระกิริยาและอิริยาบถของพระองค์เป็นเช่นเดียวกับพระพักตร์ คือสุภาพ นุ่มนวล

     

                    บนโต๊ะเสวยตัวยาวขนาดยี่สิบคนนั่ง เจ้าหลวงประทับหัวโต๊ะ ขนาบข้างด้วยรานีและเจ้าหญิงชนิสรา เจ้าชายศิวาวุธประทับถัดจากรานี เก้าอี้ที่เหลือเป็นของบรรดาเสนาบดีและข้าราชบริพารคนอื่น

     

                    ตอนแรกสองหญิงสาวดูเหมือนจะผูกขาดการสนทนา เพราะเจ้าหญิงชนิสราทรงช่างรับสั่ง ไม่ได้รับสั่งมากเหมือนอย่างเจ้าหญิงอรอุมารังษี แต่ทรงต่อบทสนทนาไปได้เรื่อยๆ วิธีการรับสั่ง การทอดจังหวะ และการใช้พระสุรเสียง ล้วนแต่เป็นแบบพิเศษ ฟังดูมีอำนาจและสามารถสะกดให้คนฟังตั้งใจฟังได้ และพระองค์ก็ดูเหมือนจะโปรดให้รานีแห่งสวราชย์ทรงเป็นผู้ฟังอยู่แต่เพียงผู้เดียว

     

                    เมธาวดียินดีเป็นผู้ฟัง แต่เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่ดูเหมือนเจ้าหญิงต่างแคว้นจะไม่สนพระทัยบรรดาเสนาบดีหรือข้าราชบริพารคนอื่นเลย รับสั่งแต่กับเธอเท่านั้น และยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้น เมื่อหลายเรื่องที่รับสั่งนั้นเป็นเรื่องที่เธอฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก

     

                    เจ้าหญิงชนิสราทรงพยายามอธิบายเรื่องต่างๆ อย่างพระทัยเย็น แต่เมธาวดีเริ่มยิ้มไม่ค่อยออก เมื่อเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ในสายพระเนตรของเจ้าหญิงชนิสรา เธอจะดูเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยรึเปล่า ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น คือไม่มีครั้งใดเลยที่เธอจะรู้สึกเช่นนี้ รู้สึกว่าตัวเองเป็น รานี ที่แย่เต็มที ทำให้เจ้าหลวงทรงภาคภูมิพระทัยไม่ได้เลย แต่...นี่มันความผิดของเธอหรือยังไงเล่า! ความผิดของเธอหรือ ที่เธอไม่รู้เรื่องต่างประเทศน่ะ!

     

    ทำไมไม่รับสั่งเรื่องวิธัญญาหรือสวราชย์ ปกติต้องพูดกันเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ ไปรับสั่งเรื่องตะวันตกทำไม ไม่ว่าจะรับสั่งเรื่องสถานที่ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม อะไรเธอก็รู้เรื่องหมดแหละ ขอแค่อย่าพูดถึงเรื่องอะไรที่มันไกลตัวขนาดนี้

     

    คิดอยู่ว่าเจ้าหญิงผิวสีน้ำผึ้งจะทรงแกล้งให้เธอได้อายรึเปล่า แต่เมื่อเห็นพระพักตร์ใสซื่อบริสุทธิ์นั่นแล้ว เมธาวดีก็ต้องปัดความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ของเธอออกไปโดยเร็ว

     

    โชคดีที่เมื่อมีรับสั่งถึงม้าและการทหาร เจ้าหลวงก็ทรงดึงเรื่องและความสนพระทัยของเจ้าหญิงชนิสราไปไว้ที่พระองค์เอง ไปๆ มาๆ จึงกลายเป็นว่า เจ้าหลวงมีพระปฏิสันถารกับเจ้าหญิงชนิสรา ส่วนเมธาวดีก็คุยกับเจ้าชายศิวาวุธ ทิ้งให้บรรดาเสนาบดีและข้าราชบริพารกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์

     

    เมธาวดีโล่งใจขึ้นมาก เมื่อเธอคุยกับเจ้าชายศิวาวุธรู้เรื่อง ทรงเป็นผู้ฟังที่ดี และเป็นคู่สนทนาที่ดีด้วย รับสั่งแต่เรื่องที่เธอมีความรู้อยู่แล้วทั้งนั้น...เรื่องประวัติศาสตร์

     

                                                    **************************

     

    เหนื่อยมั้ย เจ้าหลวงตรัสถาม เมื่อเสด็จออกมาจากห้องแต่งพระองค์ เข้ามาในห้องพระบรรทม และทรงพบว่าเมธาวดีกำลังนั่งแปรงผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องหอม

     

    คำถามที่ง่ายดายอย่างนั้น เมธาวดีถึงกับนิ่งคิดอยู่นาน จนเจ้าหลวงต้องเสด็จมาวางพระหัตถ์ลงบนไหล่บางทั้งคู่ รับสั่งว่า

     

    ไม่ต้องคิดมาก รู้สึกยังไงก็บอกมาตรงๆ

     

    เหนื่อยเพคะ โล่งใจนักที่กราบทูลออกมาได้

     

    เหนื่อยมากมั้ย รับสั่งถามแสดงความเอาพระทัยใส่

     

    มาก...เพคะ คราวนี้คำทูลตอบสะดุดนิดๆ ทั้งที่หม่อมฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แถมยังคุยกับเจ้าหญิงชนิสราไม่ค่อยรู้เรื่องอีก

     

    ไม่ต้องคิดมาก เธอทำได้ดีมากแล้วสำหรับครั้งแรก แม้เมธาวดีจะทำหน้าที่ รานี มาหลายเดือนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องต้อนรับแขกเมืองที่เป็นเจ้าหญิงและเจ้าชายรัชทายาท

     

    ชนิสราอาจจะมีประสบการณ์น้อยเกินไป ไม่รู้ว่าต้องสนทนากับคนทั้งโต๊ะ ไม่ใช่คุยกับคนคนเดียวและปล่อยให้พวกเสนาบดีกลายเป็นใบ้ ไม่รู้ว่าการพบกันครั้งแรกควรคุยเรื่องทั่วๆ ไป เช่นเรื่องสวราชย์หรือวิธัญญาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์น้อย ก็คงเพราะเป็นคนที่เอาแต่ใจและชอบโอ้อวดเกินไป ไม่ใช่ความผิดของเธอที่เธอฟังเขาไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเธออยากฟังและคุยกับเขาได้ พอชนิสรากลับไปแล้ว เราไปเที่ยวยุโรปกันบ้างดีไหม

     

    ถ้อยรับสั่งที่ผู้รับสั่งกระซิบดังอยู่ข้างหูทำให้เมธาวดีถึงกับรู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ ดูจากสีพระพักตร์แบบนั้น สายพระเนตรแบบนั้นที่สะท้อนออกมาจากกระจกบานใหญ่เบื้องหน้า เธอก็พอจะรู้ว่าคำว่า ไปเที่ยว นั้นมีความหมายว่าอย่างไร คงเหมือนกับที่เคยรับสั่งชวน ไปเที่ยว เมืองตกวันตกที่ติดทะเล หลังจากแต่งงานได้สองสามวันนั่นแหละ วันคืนอันหวานชื่นที่นั่นยังติดตรึงอยู่ในใจ คิดถึงขึ้นมาเมื่อไรเป็นต้องรู้สึกอบอุ่นจนร้อนขึ้นมาถึงดวงหน้าทุกที

     

    ไม่ต้องลงทุนไปไกลถึงที่นั่นหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่อยากไปไหนไกลๆ โดยเฉพาะที่ที่ไม่เคยรู้จัก อยู่ที่สวราชย์ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็มีความสุขทั้งนั้น ขอเพียงที่นั่นมีฝ่าบาทอยู่ด้วย...ในใจของเมธาวดีคิดอย่างนี้ แต่ประโยคต่อมากลับเป็นอีกอย่าง

     

    อีกอย่าง ถึงหม่อมฉันจะคุยกับเจ้าหญิงไม่รู้เรื่อง แต่ฝ่าบาทรับสั่งกับเธอรู้เรื่องนี่เพคะ แค่นี้ก็คงพอแล้ว แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ที่บ่งบอกความรู้สึกได้ดียิ่งกว่าอะไรคือใบหน้า เจ้าหลวงทอดพระเนตรมองสีหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รักแล้วก็ทรงทราบได้ทันที ว่าเมธาวดีกำลังน้อยใจ และ หึง...หึงตัดหน้าพระองค์ ทั้งที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะรับสั่งเรื่องนี้ก่อนอยู่แล้วเชียว

     

    แล้วยังไงอีก

     

    อะไรยังไงเพคะ หญิงสาวทูลถามอย่างงงงง กำลังจะหันกลับไปมองพระพักตร์ อีกฝ่ายก็ทรงยื่นพระพักตร์ด้านข้างมาแนบแก้ม บังคับให้พูดคุยกันผ่านภาพสะท้อนจากกระจก

     

    ก็ที่พูดออกมาน่ะ มีความหมายแฝงว่าอะไร

     

    ไม่มีความหมายแฝงอะไรนี่เพคะ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจนัยแห่งคำถาม แต่จะให้ทูลยังไง คำพูดแบบนั้น

     

    เมธาวดี เจ้าหลวงมักจะโปรดเรียกชื่อเต็มของรานีมากกว่าชื่อสั้นๆ เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่ารู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ก็ให้บอกมา ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะรู้ทุกเรื่องที่อยู่ในใจเธอ แต่พร้อมจะรับฟังทุกเรื่องที่เธอพูด ว่ายังไง...ฉันคุยกับชนิสรารู้เรื่องแล้วยังไงอีก

     

    เมธาวดีเม้มปาก ก่อนกราบทูลออกมาตรงๆ ว่า

     

    เจ้าหญิงชนิสราทรง...งาม มีความรู้ดี มีลักษณะของการเป็นเจ้าคนนายคน รับสั่งกับฝ่าบาทได้อย่างดี ถ้า...ฝ่าบาทอภิเษกกับเธอ คง...เหมาะสมกันมาเพคะ มองสบสายพระเนตรดุๆ ที่สะท้อนออกมาจากกระจกนั่นแล้ว เมธาวดีก็คิด...ว่าแล้วเชียวว่าต้องกริ้ว อย่างนี้แล้วจะบังคับให้พูดอีก แล้วคนเคราะห์ร้ายก็ต้องเป็นเธอทุกที

     

    คราวนี้เจ้าหลวงทรงจับให้อีกฝ่ายหันมาด้านข้าง พระองค์ประทับลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ เพื่อหญิงสาวจะได้ไม่ต้องเงยหน้า ก่อนจะรับสั่งด้วยพระสุรเสียงจริงจังว่า

     

    คนที่เหมาะสมกับฉัน คือคนที่ฉันรักเท่านั้น ซึ่งก็คือเธอคนเดียว ไม่มีใครอื่นอีก ชนิสราเหมาะจะเป็นเจ้าคนนายคน แต่สวราชย์มีเจ้าหลวงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีใครมาปกครองอีก หน้าที่และบัลลังก์ของเขาอยู่ที่วิธัญญา ไม่ใช่ที่นี่ เข้าใจไหม

     

    เข้าใจเพคะ รับสั่งถามราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ ไปได้ ถามดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำพระพักตร์ดุด้วยล่ะ

     

    เข้าใจว่าอะไร

     

    ว่าเจ้าหญิงชนิสราทรงมีหน้าที่อยู่ที่วิธัญญา เป็นรานีของแคว้นไหนไม่ได้ทั้งนั้น

     

    ไม่ใช่ เธอเข้าใจผิด ไหนบอกใหม่ซิ เธอเข้าใจว่าอะไร

     

    คนถูกถามมองพระพักตร์อย่างงงๆ หงุดหงิดนิดๆ ก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆ แบบอีกฝ่ายทรงได้ยินด้วย เพราะประทับอยู่ใกล้แค่คืบ

     

    หม่อมฉันก็ไม่ได้เป็นผู้วิเศษนะ จะได้รู้ทุกเรื่องที่ทรงคิด ก็รับสั่งอยู่ว่าเจ้าหญิงชนิสราทรงมีบัลลังก์อยู่ที่วิธัญญา หม่อมฉันก็เข้าใจตามที่รับสั่ง แล้วยังจะทรงหาว่าเข้าใจผิด เข้าใจผิดตรง...

     

    ฉันรักเธอ รับสั่งเรียบๆ ที่แทรกขึ้นมาทำเอาคนบ่นเอาๆ ถึงกับสะอึกอึ้ง ทูลถามไม่เป็นประโยค

     

    อะ...อะไรนะเพคะ

     

    ฉันบอกว่าฉันรักเธอ ที่อยากให้เข้าใจก็มีแค่นี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชนิสราทั้งนั้น ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม

     

    ไม่มีคำตอบจากคนที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาดุแกมหวาน สิ่งที่บ่งบอกว่าเข้าใจได้ดียิ่งกว่าคำพูด คือใบหน้าอีกเช่นเคย ดวงหน้าขาวจัดของเมธาวดีเริ่มขึ้นสีเรื่อและค่อยๆ เป็นสีจัดขึ้นอย่างน่ามอง เจ้าหลวงแย้มพระสรวลแล้วก็รับสั่งต่อว่า

     

    เอาล่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็มาพูดเรื่องของเธอกับศิวาวุธบ้าง รู้สึกว่าจะคุยกันถูกคอดีนะ เห็นคุยกันไม่หยุด แถมเธอยังยิ้มได้ตลอดเวลาด้วย

     

    แล้ว...แล้วยังไงเพคะ หญิงสาวพยายามกลบความเก้อเขิน ทูลถามหน้าตายด้วยประโยคเดียวกับที่รับสั่งเมื่อครู่

     

    ไม่ยังไง...ฉันหึง เจ้าหลวงรับสั่งได้พระพักตร์เฉยเช่นกัน เมธาวดีแทบจะอ้าปากค้าง เธอลืมไปได้ยังไงนะ ว่าถ้าเป็นเรื่องอย่างนี้ เจ้าหลวงจะรับสั่งได้ตรงไปตรงมากว่าเธอมากมายนัก

     

    เอ่อ...แต่หม่อมฉันก็แค่ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี แล้วก็คุยเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรสักหน่อย จะให้ทำหน้าบึ้งใส่ได้ยังไง

     

    พูดอ้อมเกินไป ฉันไม่เข้าใจ ช่วยสรุปย่อให้สั้นลงหน่อยได้มั้ย ว่าที่พูดมานี่หมายความว่าอะไร พระสุรเสียงเข้ม พระพักตร์ขรึม ทว่าประกายเนตรพราว ช่างเป็นอะไรที่ขัดกันจริงๆ

     

    ก็...ก็หมายความตามนั้นแหละเพคะ

     

    เมธาวดี รับสั่งพระสุรเสียงอย่างนี้อีกแล้ว เหมือนรับสั่งเรียกในคืนแต่งงาน ที่ทรงพยายามคาดคั้นเอาคำรักจากเธอไม่มีผิด

     

    เมธาวดีไม่เข้าใจเลย ว่า เจ้าชายรัชทายาท ที่เคยทรงทำให้เธอกลัวแทบตายในตอนแรกๆ ที่เริ่มรู้จักนั้นทรงกลายมาเป็นคนอย่างนี้ได้อย่างไร คนที่ทวงคำบอกรักในคืนแต่งงาน และคนที่กระซิบ พร่ำบอกคำรักได้ทั้งคืน ตอนที่ ไปเที่ยว แล้วตอนนี้ยังจะ...

     

    หมายความตามนั้นน่ะ หมายความว่าอะไร

     

    หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องทรงหึง เพราะหม่อมฉันก็รักแต่ฝ่าบาท ไม่เคย...และจะไม่รักใครอื่นด้วย อุตส่าห์ทูลตอบยาวขนาดนี้ ถ้ายังรับสั่งว่า ว่าอะไรนะ ฉันไม่ค่อยได้ยิน เหมือนวันนั้นอีกล่ะก็...ฮึ่ม

     

    เจ้าหลวงแย้มพระสรวลกว้างทั้งบนพระโอษฐ์และในพระเนตร ไม่รับสั่งอะไร นอกจาก

     

    อุ๊ย!” เมธาวดีอุทาน เมื่อจู่ๆ เจ้าหลวงก็ทรงช้อนตัวเธอให้ลอยขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีสบายๆ แถมยังโน้มพระพักตร์ลงมาใกล้ๆ รับสั่งล้อเลียนว่า

     

    คราวนี้ไม่ร้องว่า เฮ้ย แล้วหรือ ดวงพระเนตรสีน้ำทะเลลึกมีประกายขำขัน ริมโอษฐ์บาง งามได้รูปก็แย้มพราย ยิ่งแย้มออกกว้างเมื่อหญิงสาวในอ้อมพระพาหาทำหน้าคว่ำ เพราะรับสั่งถึงความหลัง...ครั้งแรกที่ทรงทำอย่างนี้ รานีแห่งสวราชย์...อดีตราชองครักษ์ประจำพระองค์เจ้าหลวงร้องอุทานอย่างตกใจว่า เฮ้ย

     

    เพราะมัวแต่ขุ่นเคืองเรื่องที่ถูกล้อเลียน เมธาวดีจึงไม่รู้ว่าถูกพามาวางไว้บนพระที่ตั้งแต่เมื่อไร รู้สึกตัวก็ต่อเมื่อหลังสัมผัสกับเตียงหนานุ่ม และพระพักตร์งามของเจ้าหลวงก็อยู่ห่างออกไปไม่มาก หญิงสาวรีบใช้สองมือดันพระอุระกว้างเอาไว้ กราบทูลว่า

     

    เอ่อ...ฝ่าบาท...หม่อมฉันเหนื่อย...

     

    เจ้าหลวงทอดพระเนตรมองสีหน้าลำบากใจกับดวงตากลมโต ดำขลับที่มีแววอ้อนวอนนิดๆ โดยไม่รู้ตัวนั่นแล้วก็แย้มพระสรวลกึ่งขำขัน พระสุรเสียงอ่อนโยนนักเมื่อรับสั่ง

     

    เหนื่อยก็พักผ่อนสิ คิดว่าฉันจะทำอะไรหรือไง...หือม์

     

    ดวงตาคู่ที่อ่านได้ง่ายนักหนาของเมธาวดีมีแววโล่งใจ กึ่งเคืองๆ กึ่งซาบซึ้ง แม้จะไม่พูดออกมาจากปาก แววตาของหญิงสาวก็บ่งบอกว่ารักจนสุดหัวใจเสมออยู่แล้ว ข้อนี้เจ้าหลวงทรงทราบดี หากแต่ยังทรงปรารถนาจะได้ยิน และเมธาวดีก็ไม่เคยทำให้ทรงผิดหวัง

     

    กษัตริย์หนุ่มทรงจรดริมโอษฐ์ลงบนหน้าผากนวลเกลี้ยงนั้นเบาๆ ก่อนจะรับสั่ง

     

    พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีอะไรต้องทำอีกมากนัก แต่คงไม่มีปัญหาอะไร ในเมื่อทำความเข้าใจกันไว้ตั้งแต่วันนี้แล้ว

     

                                                    **************************

     

    เจ้าหลวงทรงมอบหมายให้เจ้าชายพระองค์หนึ่งทรงนำเสด็จเจ้าชายศิวาวุธทอดพระเนตรกิจการทหาร เพราะพระองค์ทรงมีราชกิจมาก ส่วนเจ้าหญิงชนิสรานั้น รานีทรงนำเสด็จทอดพระเนตรโครงการในพระราชดำริเอง แน่นอนว่าในพระราชดำริของเจ้าหลวง และในพระดำริของเจ้าชายศาสวัตราและเจ้าหญิงอรอุมารังษี ไม่มีโครงการไหนเป็นพระราชดำริของรานีทั้งนั้น

     

    จากการที่ได้พูดคุยกันมาทั้งวัน เมธาวดีจึงพบว่า เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งวิธัญญาทรงมีลักษณะของความเป็นผู้นำสูงมาก เดินไปด้วยกัน เธอต้องเป็นฝ่าย นำ ชมแท้ๆ แต่กลับมีความรู้สึกว่า เจ้าหญิงชนิสราทรงเป็น เจ้าบ้าน และเธอเองที่เป็น แขก ไม่ว่าเรื่องอะไร พระองค์เป็นต้องทรงทราบไปเสียทุกสิ่ง ซ้ำยังรับสั่งประทานความรู้เพิ่มเติมให้กับเธออีกด้วย นอกจากนี้ยังโปรดการออกคำสั่ง ไม่ว่าทหารหรือนางกำนัล เจ้าหญิงต่างแคว้นทรงสามารถสั่งได้ราวกับว่าคนเหล่านั้นเป็นคนของวิธัญญา

     

    แม้จะอายุเท่ากัน เจ้าหญิงชนิสราทรงแก่เดือนกว่าสองเดือน แต่เมธาวดีก็รู้สึกว่าเธอได้พี่สาวอายุมากกว่าประมาณห้าปีมาคนหนึ่ง เจ้าหญิงพระฉวีสีน้ำผึ้งพระองค์นี้ทรงดูแลเธอเป็นอย่างดี เอาพระทัยใส่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตักอาหารประทานให้ กันให้เธอเดินให้พ้นจากแสงแดด เมธาวดีจึงพอจะลืมๆ ความตะขิดตะขวงใจที่เป็นฝ่าย ถูกนำ ไปได้บ้าง มาขุ่นใจอีกทีก็ตอนที่เธอเดินสะดุดก้อนหิน เกือบจะล้มและก็ทรงตัวได้ แล้วโดนหัวเราะนี่แหละ เจ้าหญิงชนิสราทรงพระสรวลพระสุรเสียงดังแบบไม่ประหยัดเสียง เมธาวดีเกือบจะทำหน้างออย่างลืมตัว แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทัน

     

    ฝ่าบาทนี่...ทรงน่ารักดีนะเพคะ

     

    ถึงจะรับสั่งอย่างนั้น แต่ก็ไม่สามารถลบความจริงที่ว่า เมื่อครู่นี้ทรง หัวเราะเยาะเธอไปได้ เมธาวดีเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีกับเจ้าหญิงพระองค์นี้นัก หากแต่ก็พยายามคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งพระทัย เพราะสีพระพักตร์ไม่มีร่องรอยเยาะเย้ยให้เห็นเลย

     

     

     

    กลับมาถึงวังในตอนบ่าย เจ้าหญิงชนิสราก็ทูลถามรานีแห่งสวราชย์ว่า

     

    ดอกไม้ที่ทรงเก็บมานี่ โปรดจะเอาไปทำอะไรหรือเพคะ

     

    คงใส่แจกันเพคะ จะเอาไปทำอะไรนอกจากนี้ได้อีกล่ะ

     

    หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทจะถวายเจ้าหลวงเสียอีก เห็นทรงทะนุถนอมอย่างดี

     

    เมธาวดีไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้เป็นพิรุธ แต่เจ้าหญิงวิธัญญาก็ทรงทึกทักเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น (ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมธาวดีคิดว่าจะให้นางกำนัลเอาไปจัดใส่แจกันในห้องนอน) จึงทรงขอว่า

     

    ให้หม่อมฉันเป็นคนเอาไปถวายได้ไหมเพคะ หม่อมฉันก็ไปดูสวนดอกไม้มาเหมือนกัน แต่กลับไม่มีอะไรมาถวายเลย น่าอายจริง ถ้าจะขอเป็นเจ้าของดอกไม้นี่ร่วมกับฝ่าบาท จะทรงว่าอะไรไหมเพคะ

     

    แน่นอนว่าเมธาวดีไม่ได้ปฏิเสธ เพราะปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น ยิ่งเป็นแขกเมืองเธอยิ่งไม่ควรปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงเวลาของว่างยามบ่าย รานีแห่งสวราชย์จึงต้องทรงทนมองภาพบาดพระเนตร เพราะเจ้าหญิงชนิสราทรงเป็นผู้ถวายดอกไม้ที่เธอเก็บมาให้กับเจ้าหลวง แม้จะรับสั่งว่า

     

    รานีทรงเก็บมาถวายฝ่าบาท แต่หม่อมฉันขอเป็นเจ้าของร่วมเพคะ

     

    แต่ทำไมยังต้องไปกระซิบทูลอะไรบางอย่างที่ข้างพระกรรณเจ้าหลวงอย่างนั้นด้วย ทูลว่าอะไร ทำไมเจ้าหลวงจึงดูเหมือนจะทรงอึ้งไป ขณะที่เจ้าหญิงชนิสราทรงดึงดอกไม้ก้านยาวในพระหัตถ์ของเจ้าหลวงออกมาดอกหนึ่ง ยกขึ้นมาจรดพระนาสิก และทรงหันมาแย้มพระสรวลประทานให้เธอย่าง ใสซื่อ และอ่อนหวาน

     

     

     

    ตอนเย็น เจ้าหลวงทรงเรียกประชุมเสนาบดีด่วน และประชุมอยู่จนดึก เมธาวดีรออยู่นานจนเผลอหลับไปก่อน ตื่นขึ้นมาตอนเช้า จึงรู้จากนางกำนัลว่าเจ้าหลวงทรงประชุมอยู่ทั้งคืน แต่เสด็จกลับมาครู่หนึ่งตอนช่วงพักประชุม...เมธาวดีนึกถึงผ้าห่มบนตัวเธอที่คลุมขึ้นมาจนถึงอกเมื่อตอนที่เธอตื่นขึ้นมา

     

                                                                    ******************

     

    เมื่อนางกำนัลเข้ามากราบทูลว่า เจ้าหญิงชนิสราเสด็จมาขอเข้าเฝ้าฯ เมธาวดีก็สั่งให้คนไปบอกให้ทรงรออยู่ที่ห้องรอเฝ้าฯ ชั้นล่างก่อน ก่อนจะเร่งให้นางกำนัลแต่งตัวให้เธอเร็วขึ้นอีกนิด

     

    ทว่า เมื่อลงไป รับแขก ได้ไม่นาน เมธาวดีก็ต้องขึ้นมาที่ห้องแต่งตัวอีกครั้ง เพราะเจ้าหญิงแห่งวิธัญญาเสด็จมาพร้อมของขวัญ ซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองของวิธัญญา และทรงปรารถนาจะให้เธอลองใส่วันนี้เลย

     

    ชุดของวิธัญญามีหลายชั้นและค่อนข้างสวมใส่ยาก เจ้าหญิงรัชทายาทจึงต้องทรงช่วย ทว่าเมื่อเรียบร้อยแล้วยังทรงขอให้เมธาวดีถอดออกและลองสวมใส่เองอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เมธาวดีอยากจะแย้งว่า ถึงยังไงก็ไม่ต้องแต่งเอง ให้นางกำนัลช่วย เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องทำเป็นก็ได้ แต่หญิงสาวก็ยังยอมตามใจอีกฝ่าย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าพระองค์จะต้องทรงถอดและใส่เข้าไปใหม่พร้อมกับเธอด้วยทำไม

     

    ทุกคนในห้องอึ้งสนิทเมื่อเจ้าหลวงเสด็จเข้ามา นางพระกำนัลทำอะไรไม่ถูก เมธาวดีเองก็เช่นกัน ทั้งรู้สึกเก้อกระดากและรู้สึกขุ่นมัวด้วย เมื่อเห็นว่าเจ้าหลวงทรงอึ้งไป หลังจากทอดพระเนตรเห็นช่วงพระอังสางามกลมกลึง และเนินพระอุระสีน้ำตาลอ่อนเนียนสวยของเจ้าหญิงชนิสรา

     

    ขอโทษ เจ้าหลวงรับสั่งเรียบและสั้นออกมาได้ในที่สุด ก่อนเสด็จกลับออกไป

     

     

     

    บนโต๊ะเสวยตอนเช้า ที่ความจริงควรมีเพียงเจ้าหลวงกับรานี เพราะไม่มีกำหนดการพระราชทานเลี้ยง เวลานี้กลับมีเจ้าหญิงและเจ้าชายรัชทายาทแห่งวิธัญญาประทับร่วมอยู่ด้วย เจ้าหลวงตรัสสั่งให้มหาดเล็กไปทูลเชิญเจ้าชายศิวาวุธมาร่วมโต๊ะเสวยด้วย อาจเพราะทรงหวังจะให้มาช่วยผ่อนคลายบรรยากาศ และแก้ความกระอักกระอ่วนใจที่เกิดขึ้นในห้องแต่งพระองค์

     

    ทว่า เมธาวดีรู้สึกว่านั่นจะช่วยได้มากนัก เพราะบรรยากาศยังคงอึมครึม และผู้ที่ทำให้เป็นเช่นนั้นคือเจ้าหลวงเอง เมธาวดีรู้สึกว่าอะไรก็กลับตาลปัตรไปหมด เจ้าหญิงชนิสราที่ควรจะทรงขุ่นเคืองหรือขัดเขินกลับทรงทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รับสั่งกับเจ้าหลวงได้อย่างปกติ ดูสีพระพักตร์จะชื่นบาน พระอารมณ์ดีกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ เจ้าหลวงเองเสียอีก แทนที่จะทรงกระอักกระอ่วน ทำสีพระพักตร์ไม่ถูก กลับดูจะทรงมึนตึงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

     

    หรือจะเป็นเพราะทอดพระเนตรเห็นว่า เจ้าชายศิวาวุธรับสั่งกับเธอมากเป็นพิเศษ แต่เรื่องนี้ก็ตกลงกันไว้ก่อนแล้วนี่นา ว่าแค่ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเท่านั้น แล้วตอนนี้มาทำพระพักตร์บึ้งทำไม เธอต่างหากที่ควรจะบึ้ง เมื้อกี้ทอดพระเนตรมองผิวสวยๆ ของเจ้าหญิงแสนสวยจนพระเนตรค้างแล้วยังไม่พอ ตอนนี้ยังรับสั่งกับเจ้าหญิงคนงามราวกับว่ากำลังประทับอยู่ตามลำพังอีก

     

     

     

    วันนี้ มีสิ่งที่รานีแห่งสวราชย์ทรงทราบเพิ่มขึ้นอีกอย่าง คือเจ้าหญิงวิธัญญาทรงเอาแต่พระทัยพระองค์เองมิใช่น้อย ไม่ใช่เอาแต่ใจแบบเจ้าหญิงอรอุมารังษี ที่มักจะทรงใช้วิธีออดอ้อน แต่เอาแต่ใจแบบเผด็จการ แม้พระโอษฐ์จะรับสั่งว่า ขอ แต่ฟังยังไงก็เหมือนการออกคำสั่งมากกว่า วันนี้ กำหนดการทั้งหลายที่เตรียมไว้จึงต้องถูกยกเลิก เพราะผู้ทรงมีเนตรสีลูกหว้ารับสั่งว่า

     

    หม่อมฉันอยากไปดูการซ้อมรบกับเจ้าพี่ศิวาวุธเพคะ

     

    เมธาวดีที่ชักจะเริ่มหงุดหงิดนิดๆ จึงบอกเสียงเรียบๆ ว่า

     

    ความจริงวันนี้มีกำหนดการหลายอย่างจัดเตรียมไว้เพื่อฝ่าบาท แต่หากมีพระประสงค์อย่างนั้น หม่อมฉันให้เขายกเลิกไปเป็นกรณีพิเศษก็ได้เพคะ นั่นหมายความว่า วันอื่นจะต้องไม่เป็นอย่างนี้อีก

     

    ขอบพระทัยเพคะ ดูจากสีพระพักตร์สดใสและประกายเนตรพราวระยับอย่าง ซาบซึ้ง นั่นแล้ว เมธาวดีก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าหญิงต่างแคว้นจะเข้าพระทัยความหมายของเธอหรือไม่ แต่ประเมินจากความฉลาดก็น่าจะเข้าพระทัยอยู่

     

     

     

    เย็นมากแล้ว กำหนดการต่างๆ ในวันนี้จบลง หากแต่เจ้าหญิงชนิสรายังรับสั่ง

     

    หม่อมฉันอยากไปดูกรมทหารม้า

     

    ทหารทั้งกรมทหารม้ารักษาพระองค์จึงต้องรับเคราะห์ ต้องรับเสด็จอย่างไม่รู้ตัวล่วงหน้า ทหารหลายนายกลับบ้านไปแล้ว ดีที่ผู้บังคับการกรมคนใหม่ที่มาแทนวิษณุยังอยู่ จึงสามารถนำเสด็จชมและอธิบายเรื่องต่างๆ ได้

     

    เมธาวดีรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เมื่อผู้เป็นราชอาคันตุกะฝ่ายหญิงรับสั่งถามว่า

     

    หม่อมฉันขอทดสอบฝีมือต่อสู้บนหลังม้าของตัวเองหน่อยได้มั้ยเพคะ

     

    คนถูกถามหันไปมองผู้บังคับการกรม เห็นฝ่ายนั้นยังคงยืนนิ่งอย่างสำรวม หญิงสาวก็ต้องตอบไปในฐานะเจ้าบ้านที่ดีว่า

     

    ได้สิเพคะ ฝ่าบาทโปรดจะทดสอบฝีมือกับใคร

     

    ได้ข่าวว่าก่อนอภิเษกสมรส ฝ่าบาททรงเคยเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์เจ้าหลวงมาก่อนใช่ไหมเพคะ

     

    ฟังคำถามแล้วเมธาวดีก็แทบอยากจะเอามือกุมศีรษะ ทำไมรู้สึกเหมือนคราวที่เจ้าชายเจษฎาบดีทูลถามเจ้าหลวงว่าเธอมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์เป็นพิเศษรึเปล่านั่นเลยก็ไม่รู้

     

    ทำไมหรือเพคะ กลั้นใจถามหรอกนะนี่

     

    หม่อมฉันอยากทดสอบฝีมือกับฝ่าบาทดูสักครั้ง หากจะทรงพระกรุณาโปรด เจ้าหญิงชนิสราแย้มพระสรวลอ่อนหวาน หวานจนดูน่ากลัว

     

    คง...ไม่ได้หรอกเพคะ ชุดอย่างนี้คงไม่เหมาะ ในที่สุดก็หาทางเอาตัวรอดไปได้ ทว่า

     

    เรื่องนั้นไม่ต้องทรงห่วง หม่อมฉันให้คนเตรียมมาแล้วเพคะ รับสั่งตอบพร้อมรอยแย้มพระสรวลหวานยิ่งกว่าเดิม

     

    ให้ตายเถอะ! อยากจะบ้า! เมธาวดีเอ็ดอึงอยู่แต่ในใจ ทำไมช่างเอาแต่ใจจริง เตรียมพร้อมมาเหมือนเจ้าชายเจษฎาฯ ไม่มีผิด รายนั้นอยากจะวาดรูปก็ทรงให้คนเตรียมเครื่องเขียนมาพร้อมเหมือนกัน

     

    สุดท้าย หญิงสาวก็ต้องยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อมาต่อสู้บนหลังม้า ทั้งที่พยายามบอกไปแล้วว่าเธอไม่ถนัดต่อสู้บนหลังม้า แต่เจ้าหญิงจอมเผด็จการและเอาแต่พระทัยก็ยังแย้มพระสรวลอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ รับสั่งว่า

     

    ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แค่ออกกำลังกายสนุกๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้จริงจัง

     

    ไม่เป็นไร...ไม่ได้จริงจัง แล้วที่ทำอยู่นี่มันอะไรกันเล่า!

     

    เคร้ง!

     

    อดีตราชองครักษ์ประจำพระองค์เจ้าหลวงแห่งสวราชย์ยกดาบขึ้นรับดาบของอีกฝ่ายที่ฟาดลงมาแทบไม่ทัน แม้จะมองไม่เห็นการต่อสู้ของตัวเองเหมือนที่คนนอกมองเห็น แต่หญิงสาวก็รู้ได้ว่ามันคงดูแย่มาก และทุลักทุเลสิ้นดี จะขี่ม้าก็ขี่ จะประลองดาบก็ประลองดาบ ทำเป็นอย่างๆ ไปสิ เรื่องอะไรต้องมาทำพร้อมกันให้มันลำบากด้วย แล้วดูสีพระพักตร์คู่ต่อสู้ของเธอสิ มีแต่แววสนุกและพึงพอใจ เหมือนกำลังเล่นกับเด็กอ่อนหัดยังไงอย่างนั้น

     

    เมธาวดีไม่รู้ว่าเจ้าหญิงชนิสราทรงมีฝีพระหัตถ์มากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่ๆ คือกำลังทรง ออมมือ ให้เธอ ท่าทางคล้ายกำลังทรงเล่นสนุกมากกว่าจริงจัง เอาแต่หลอกล่อเข้าประชิดตัวไปมา จนเมธาวดีฉุนขาด แววตาเด็ดเดี่ยวเปล่งประกาย ทุ่มเทสุดฝีมือ ทว่า...

     

    เมธาวดี!”

     

    จังหวะเดียวกับที่พระสุรเสียงห้าว คุ้นหู ดังขึ้น หญิงสาวก็พลาด ดาบถูกปัดหลุดจากมือ และเสียการทรงตัวจนพลาดตกลงจากม้า ใจหายวูบ ก่อนถูกฉุดดึงขึ้นไปบนหลังม้าอีกตัวหนึ่งได้ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

     

    ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหม พระสุรเสียตกพระทัยแกมห่วงใยดังอยู่ข้างหู เมื่อหันไปเห็นพระพักตร์เผือดสีที่แสดงอารมณ์แบบเดียวกับพระสุรเสียง เมธาวดีก็ระงับอาการตื่นตระหนกไว้ได้อย่างรวดเร็ว พยายามแย้มยิ้มเพื่อให้เจ้าหญิงต่างแคว้นสงบพระทัยลงบ้าง ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดปลอบว่า

     

    ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ไม่เป็นไรแล้ว

     

    หม่อมฉันขอพระราชทานอภัย แต่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ฝ่าบาทต้องประสบอันตรายอย่างนี้จริงๆ จะทรงเชื่อหม่อมฉันได้ไหม

     

    เชื่อสิเพคะ เชื่อ ที่จริงก็โกรธอยู่หรอก แต่พอได้เห็นพระพักตร์สำนึกผิด และแววเนตรสีม่วงเข้มที่มองตรงมาอย่างจริงใจแล้วก็ต้องใจอ่อน เชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา ทว่า ดูท่าผู้ที่เสด็จมาทันทอดพระเนตรเหตุการณ์เข้าพอดีจะไม่ทรงเชื่อไปด้วย

     

    เป็นอะไรมากมั้ย เจ้าหลวงตรัสถามหลังจากเสด็จเข้าไปหาเมธาวดีที่ลงจากหลังม้าแล้ว ถ้อยรับสั่งแสดงความปักพระทัยว่ารานีของพระองค์จะต้อง เป็นอะไรสักอย่างแน่ ขึ้นอยู่กับว่ามากหรือน้อยเท่านั้น

     

    เมธาวดี!”

     

    จังหวะเดียวกับที่พระสุรเสียงห้าว คุ้นหู ดังขึ้น หญิงสาวก็พลาด ดาบถูกปัดหลุดจากมือ และเสียการทรงตัวจนพลาดตกลงจากม้า ใจหายวูบ ก่อนถูกฉุดดึงขึ้นไปบนหลังม้าอีกตัวหนึ่งได้ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

     

    ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหม พระสุรเสียตกพระทัยแกมห่วงใยดังอยู่ข้างหู เมื่อหันไปเห็นพระพักตร์เผือดสีที่แสดงอารมณ์แบบเดียวกับพระสุรเสียง เมธาวดีก็ระงับอาการตื่นตระหนกไว้ได้อย่างรวดเร็ว พยายามแย้มยิ้มเพื่อให้เจ้าหญิงต่างแคว้นสงบพระทัยลงบ้าง ก่อนจะเป็นฝ่ายพูดปลอบว่า

     

    ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ไม่เป็นไรแล้ว

     

    หม่อมฉันขอพระราชทานอภัย แต่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ฝ่าบาทต้องประสบอันตรายอย่างนี้จริงๆ จะทรงเชื่อหม่อมฉันได้ไหม

     

    เชื่อสิเพคะ เชื่อ ที่จริงก็โกรธอยู่หรอก แต่พอได้เห็นพระพักตร์สำนึกผิด และแววเนตรสีม่วงเข้มที่มองตรงมาอย่างจริงใจแล้วก็ต้องใจอ่อน เชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา ทว่า ดูท่าผู้ที่เสด็จมาทันทอดพระเนตรเหตุการณ์เข้าพอดีจะไม่ทรงเชื่อไปด้วย

     

    เป็นอะไรมากมั้ย เจ้าหลวงตรัสถามหลังจากเสด็จเข้าไปหาเมธาวดีที่ลงจากหลังม้าแล้ว ถ้อยรับสั่งแสดงความปักพระทัยว่ารานีของพระองค์จะต้อง เป็นอะไรสักอย่างแน่ ขึ้นอยู่กับว่ามากหรือน้อยเท่านั้น

     

    ไม่เป็นไรเพคะ เมธาวดีทูลตอบทั้งที่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรับสั่งถามเพราะความเป็นห่วงจริงหรือไม่ ทำไมพระพักตร์จึงเครียดขรึมขนาดนั้น

     

    แล้วนึกยังไงขึ้นมาถึงได้เล่นอะไรอันตรายแบบนี้ รับสั่งถามรานี แต่สายพระเนตรกลับปรายไปทางเจ้าหญิงต่างแคว้น ประกายเนตรคมดุทำเอาเจ้าหญิงชนิสราทรงกลืนพระเขฬะลงไปในพระศออย่างอย่างเย็น และออกห่างจากเมธาวดีเพื่อปล่อยให้เจ้าหลวงทรงเข้ามาใกล้และตรวจดูความผิดปกติของหญิงสาว

     

    ไม่ได้เล่น แล้วก็ไม่ได้อันตรายมากสักหน่อย หม่อมฉันเคยฝึกกับครูออกบ่อย หญิงสาวหมายถึงวิษณุ

     

    อ้อ ต้องให้ตกลงมาจากม้า แขนขาหักก่อนใช่ไหมถึงจะเรียกว่าอันตรายได้ ทำผิดแล้วยังจะเถียงอีก ทั้งพระสุรเสียง และพระพักตร์ของเจ้าหลวงแลดูดุจนคนถูกมองใจเสียไปเล็กน้อย ทั้งที่ใจหนึ่งก็คิดว่าเธอไม่ผิดเสียหน่อย แต่เมื่อมองเห็นความห่วงใยที่ฉายอยู่ในดวงพระเนตรสีน้ำเงินเข้มจนเต็ม เมธาวดีก็ยอมพูดแต่โดยดีว่า

     

    ของพระราชทานอภัยเพคะ ความผิดของเธอ คือทำให้คนที่รักเธอต้องเป็นห่วง

     

    ไม่เป็นไร แต่ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีก เพราะเมธาวดีก้มหน้าอยู่นิดๆ จึงไม่เห็นว่าขณะรับสั่งประโยคหลัง สายพระเนตรของเจ้าหลวงตวัดไปทางเจ้าหญิงต่างแคว้นอีกครั้ง พระเนตรแลดูดุจนเจ้าชายศิวาวุธต้องเสด็จมาประทับเคียงพระขนิษฐา ทั้งที่เจ้าหญิงชนิสราไม่ได้ดูเกรงกลัวเจ้าหลวงเท่าใดนักแล้ว

     

    เจ้าชายศิวาวุธคล้ายจะรับสั่งอะไรบางอย่างเพื่อคลายความอึดอัด ทว่าเจ้าหลวงดูจะไม่สนพระทัยอะไร นอกจากรับสั่งกับรานีของพระองค์ว่า

     

    ถ้าอยากซ้อมมือก็ซ้อมกับฉันคนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหม

     

    เพคะ เรื่องแบบนี้เอาไว้พูดกันตามลำพังก็ได้ ทำไมต้องดุเธอต่อหน้าคนอื่นด้วยล่ะ

     

    ไม่มีใครเห็น ว่าเจ้าหญิงชนิสราทรงเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นทันที เหยียดริมโอษฐ์ออกนิดๆ เป็นเชิงว่าทรงเอียน ฉากรักนี้เต็มที

     

    ใกล้ค่ำแล้ว เรื่องทั้งหมดน่าจะยุติเพียงเท่านี้ ถ้าเพียงแต่เจ้าหลวงจะไม่รับสั่งขึ้นมาว่า

     

    ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงเชี่ยวชาญการต่อสู้บนหลังม้ามาก ไหนๆ ก็อยู่ที่กรมทหารม้าแล้ว เรามาทดสอบฝีมือกันหน่อยดีมั้ย

     

    ด้วยความยินดีเพคะ เจ้าหญิงวิธัญญาทรงตอบรับด้วยพระสุรเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด

     

    เมธาวดียืนดูการต่อสู้ระหว่างสองคนด้วยความกระวนกระวายใจนิดๆ ก่อนจะรู้สึกหงิดหงิดและกลายเป็นเจ็บแปลบในเวลาต่อมา ตอนแรกก็คิดว่าเจ้าหลวงจะทรงตอบโต้แทนเธอ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ยิ่งเห็นความพึงพระทัยฉายชัดออกมาจากสีพระพักตร์ของเจ้าหลวง เป็นความพอใจที่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีกับพระองค์ เจ้าหญิงชนิสราทรงมีสีพระพักตร์แบบเดียวกัน แต่แลดูตื่นเต้นมากกว่า ดวงเนตรของทั้งคู่เป็นประกายจัดจ้า พราวระยับขึ้นอย่างที่เมธาวดีอ่านความหมายไม่ออก รู้แต่ว่าเป็นเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

     

    นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่การกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูกันทุกครั้งที่หาทางเข้าประชิดตัวกันได้นั่นมันอะไรกัน!

     

                                                   ***************************

     

    พรุ่งนี้เช้า เจ้าหญิงชนิสราและเจ้าชายศิวาวุธจะเสด็จกลับวิธัญญาแล้ว คืนนี้ เจ้าหลวงจึงพระราชทานพระกระยาหารค่ำเป็นการเลี้ยงส่ง ที่พิเศษไปกว่านั้น คือจัดเป็นงานฉลองเล็กๆ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติของเจ้าหญิงชนิสราด้วย

     

    ตลอดเวลา บนโต๊ะเสวย เจ้าหลวงทรงผูกขาดการสนทนากับเจ้าหญิงแห่งวิธัญญาไว้ที่พระองค์เอง เมธาวดีจึงต้องคุยกับเจ้าชายศิวาวุธไปโดยปริยาย หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองเผลอแสดงอาการไม่พอใจออกไปบ้างหรือไม่ แต่เจ้าหญิงชนิสราทรงมีท่าทีว่าจะเปลี่ยนมาสนทนากับเธออยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้ง เจ้าหลวงจะทรงดึงความสนพระทัยของเจ้าของดวงเนตรสีลูกหว้ากลับไปอยู่ที่พระองค์ภายในเวลาอันรวดเร็ว

     

    เมื่อถึงเวลาเต้นรำ เป็นธรรมดาที่เจ้าหลวงต้องทรงคู่กับเจ้าหญิงชนิสรา และเมธาวดีต้องคู่กับเจ้าชายศิวาวุธ แต่นั่นก็น่าจะเป็นแค่มารยาทในเพลงแรกเท่านั้น ทว่า เจ้าหลวงกลับไม่ทรงยอม ปล่อยเจ้าหญิงพระฉวีสีน้ำผึ้งออกมาจากอ้อมพระพาหาเลย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เพลง เมธาวดีมองพระหัตถ์ซ้ายที่กุมพระหัตถ์เรียว สีน้ำตาลอ่อนสวย และพระหัตถ์ขวาที่แตะอยู่ที่บั้นพระองค์คอดกิ่วของเจ้าหญิงชนิสราแล้วก็ต้องรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

     

    เมธาวดีเต้นรำกับเจ้าชายหนุ่มไปเพียงสองเพลงก็ขอตัวกลับมานั่งที่โต๊ะ มองภาพบาดตาไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยที่จะมอง แล้วจึงหันหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองนั่งเหม่อ จนกระทั่งใครบางคนมากระซิบเรียกอยู่ใกล้ๆ

     

    ฝ่าบาท...ฝ่าบาท

     

    หญิงสาวสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันไปมองสีพระพักตร์และแววพระเนตรของเจ้าหญิงชนิสราที่มองมาอย่างเป็นห่วง

     

    อะ...อะไรหรือเพคะ

     

    เจ้าหญิงชนิสราทรงดึงพระพักตร์ออกห่าง ก่อนจะประทับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ เมธาวดีมองพระฉวีสีน้ำผึ้งเนียนสวยบริเวณลาดพระอังสาและพระพาหาเปลือยเปล่าที่เห็นอยู่ใกล้ๆ แล้วก็นึกอิจฉานัก

     

    วันนี้วันเกิดของหม่อมฉัน หม่อมฉันขอพระราชทานอะไรสักอย่างได้ไหมเพคะ

     

    อะไรหรือเพคะ อดที่จะขมวดคิ้วแถมไปด้วยไม่ได้ เจ้าหญิงวิธัญญามีพระประสงค์จะได้อะไรจากเธอ เมื่อครู่เจ้าหลวงกับเธอก็ให้ของขวัญให้ไปชิ้นหนึ่งแล้ว

     

    เมธาวดีสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เมื่อรู้สึกว่ามองเห็นความเจ้าเล่ห์ปนอยู่ในรอยแย้มพระสรวล หญิงสาวผงะถอยนิดหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายทรงยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ แต่เพราะหลังติดพนักเก้าอี้แล้วจึงต้องยอมให้อีกฝ่ายทรงปัดนวลปรางเฉียดข้างแก้มของเธอไป และกระซิบอยู่ข้างหูว่า

     

    หม่อมฉันขอจะ...

     

    ฝ่าบาท พระสุรเสียงของเจ้าหลวงดังขึ้นก่อนที่เมธาวดีจะได้ยินเจ้าหญิงชนิสรารับสั่งจนจบประโยค

     

    เจ้าหญิงแห่งวิธัญญาทรงชะงักรับสั่ง และผินพระพักตร์ไปทางเจ้าหลวงแห่งสวราชย์

     

    ทรงให้เกียรติเต้นรำกับหม่อมฉันอีกสักเพลงได้มั้ย

     

    เมธาวดีมองพระพักตร์เจ้าหลวง แต่เจ้าหลวงไม่ทอดพระเนตรมองมาทางเธอเลย เจ้าหญิงชนิสราเสียอีกที่ทรงสบสายพระเนตรเจ้าหลวงแล้วจึงผินพระพักตร์แสดงความลำบากพระทัยมาทางเธอ ก่อนกราบทูลเจ้าหลวงว่า

     

    แต่ฝ่าบาทยังไม่ได้ทรงเต้นรำกับรานีเลยนะเพคะ

     

    เจ้าหลวงทรงตวัดสายพระเนตรมาทาง รานีแวบหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้น ก่อนจะรับสั่งโดยไม่ปรึกษาหารือใครว่า

     

    เมธาวดีคงเหนื่อยแล้ว แล้วหม่อมฉันก็อยากเต้นรำกับฝ่าบาทมากกว่า

     

    คนที่ถูกคาดเดาว่าน่าจะเหนื่อยแล้วถึงกับอึ้ง หญิงสาวจ้องมองพระพักตร์เจ้าหลวง แล้วจึงหันมามองพระพักตร์ของเจ้าหญิงชนิสรา เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงต่างแคว้นมีท่าทีเขินอายอย่างปิดไม่มิดก็ต้องรู้สึกอึ้งยิ่งกว่าเดิม หัวใจชาและปวดแปลบเมื่อเจ้าหลวงทรงยื่นพระหัตถ์มาตรงหน้าเธอ แต่ไม่ได้ยื่นให้เธอ เจ้าหญิงชนิสราทรงวางพระหัตถ์สีน้ำผึ้งเนียนสวยลงไปบนนั้น และปล่อยให้เจ้าหลวงทรงจับจูงออกไปเต้นรำ เมธาวดีมองวรองค์สูงเพรียวของเจ้าหญิงแห่งวิธัญญาที่เคลื่อนไหวอยู่ในอ้อมกอดของ พระสวามีของเธอไปเรื่อยๆ เพราะไม่อาจละสายตาได้

     

    เมื่อกี้...คงจะรับสั่งขอ เจ้าหลวงจากเธอสินะ ช่างเป็นเจ้าหญิงที่กล้าหาญดีแท้ แต่ที่จริงไม่ต้องทรงขอก็ได้ เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าหลวงทรงเป็นฝ่ายเสด็จเข้ามาหาเอง...เมธาวดีเม้มปากอย่างโกรธเคืองกึ่งน้อยใจ

     

    หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยแทนน้องหญิงชนิสราด้วย

     

    รับสั่งของเจ้าชายศิวาวุธที่เสด็จมาประทับอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทำให้เมธาวดีถอนสายตาจากคู่เต้นรำ และหันหน้ากลับมาได้

     

    รับสั่งว่าอะไรนะเพคะ

     

    เจ้าชายแห่งวิธัญญาแย้มพระสรวลนุ่มนวล รับสั่งว่า

     

    ชนิสราเธอเป็นอย่างนี้เองพระเจ้าค่ะ ชอบเอาชนะ อาจจะทำให้ทรงขุ่นเคืองพระทัยไปบ้าง แต่หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงถือสาและพระราชทานอภัยให้

     

    เมธาวดีไม่ตอบ เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร อภัยให้เรื่องอะไร เรื่องที่เจ้าหญิงชนิสราทรงสนองตอบไมตรีที่เจ้าหลวงทรงเป็นฝ่ายทอดมาให้อย่างนั้นหรือ

     

    ดูเหมือนเจ้าชายหนุ่มจะไม่ทรงปรารถนาคำตอบเท่าใดนักเช่นกัน สายพระเนตรอ่อนโยนที่ทอดมองไปทางคู่เต้นรำมีทั้งแววเอื้อเอ็นดูและเจ็บปวดรวดร้าวระคนกัน แจ่มชัดจนหญิงสาวพอจะเดาความรู้สึกที่เจ้าชายพระองค์นี้ทรงมีต่อพระขนิษฐาของพระองค์ขึ้นมาได้รางๆ

     

    รู้สึกสงสารเจ้าชายศิวาวุธนัก หากแต่เมธาวดีก็สงสารตัวเองด้วย

     

    คืนนั้น รานีแห่งสวราชย์เข้าบรรทมก่อนพระสวามี แม้เจ้าหลวงจะทรงกระซิบเรียกก็ไม่ได้ลืมพระเนตรขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ทรงพร้อมจะรับฟังอะไรทั้งนั้น

     

                                                                  **********************

     

    วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงชนิสราทรงกลับมาเป็นเจ้าหญิงที่น่ารัก สนิทสนมกับรานีแห่งสวราชย์ดังเดิม ก่อนจาก...เจ้าหญิงผู้ทรงมีพระฉวีสีน้ำผึ้งทรงสวมกอดเมธาวดีไว้อย่างแนบแน่น ทำราวกับว่าที่ทรงเต้นรำกับเจ้าหลวงทั้งคืนเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย ไม่สำคัญ ไม่น่าจะทำให้เมธาวดีรู้สึกใดใดได้

     

    ถ้าทรงมีปัญหาอะไร และไม่โปรดที่จะอยู่ที่สวราชย์อีกแล้ว หม่อมฉันและวิธัญญายินดีต้อนรับฝ่าบาทเสมอนะเพคะ เจ้าหญิงชนิสรากับสั่งกับเมธาวดีโดยเฉพาะ หญิงสาวฟังแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ไม่แน่ใจว่าเธอเข้าใจความหมายแล้วหรือยังไม่เข้าใจกันแน่

     

    สิ่งที่หม่อมฉันเสียดายที่สุดมีเพียงอย่างเดียว คือไม่มีโอกาสรู้จักกับฝ่าบาทก่อนที่ฝ่าบาทจะอภิเษกสมรส

     

    ประโยคนี้ เจ้าหญิงรัชทายาทวิธัญญารับสั่งกับรานีแห่งสวราชย์แน่ๆ แต่เมธาวดีไม่เข้าใจว่า พูดกับเธอ แล้วทำไมต้องปรายสายพระเนตรสีลูกหว้านั้นไปทางเจ้าหลวงด้วย อย่างนี้จะให้เธอเข้าใจว่าอะไร!

     

                                                   ********************

     

    คืนนี้เมธาวดีอาบน้ำทีหลัง แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พบว่าเจ้าหลวงประทับรออยู่บนพระที่ก่อนแล้ว หญิงสาวชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะเลี่ยงไปขึ้นเตียงจากอีกทางหนึ่ง

     

    เมธาวดี นั่นมันฝั่งของฉันนะ เจ้าหลวงรับสั่งเรียบๆ มีแววระอากึ่งรู้ทัน

     

    วันนี้เปลี่ยนกันสักวันก็ดีนะเพคะ เปลี่ยนบรรยากาศ ทูลตอบอย่างรวดเร็วแล้วก็เตรียมจะเข้านอน

     

    ง่วงมากหรือ รับสั่งถามมาอีกด้วยพระสุรเสียงแบบเดิม

     

    เพคะ หญิงสาวทูลตอบหน้าตาย

     

    คุยกันสักนิดได้ไหม

     

    เอ่อ...ได้ก็ได้เพคะ ว่าแล้วเชียวว่าต้องไม่รอด

     

    ซ้อมมือกับวิษณุเหนื่อยไหม รับสั่งถามเรียบเรื่อยขณะทรงเปลี่ยนที่ เสด็จขึ้นมาประทับใกล้ๆ

     

    ไม่มากนักเพคะ คำถามที่ไม่อยู่ในความคาดหมายทำเอาเมธาวดีตอบไม่ค่อยถูก

     

    แล้วคิดยังไงถึงได้ซ้อมต่อสู้บนหลังม้าเกือบทั้งวันแบบนี้

     

    เมธาวดีมองพระพักตร์เรียบเฉยนั่นแล้วก็ทำหน้าปั้นยาก ก่อนจะทูลตอบแบบทื่อๆ ว่า

     

    แค่อยากฝึกเฉยๆ เพคะ ผิดด้วยหรือยังไง หม่อมฉันไม่ใช่นักโทษนะ ทำไมต้องรับสั่งถามเอาๆ ด้วย ประโยคหลังๆ หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เบาๆตามความเคยชิน

     

    ไม่ใช่เพราะอิจฉาที่ชนิสราได้ซ้อมมือกับฉันวันนั้นหรอกหรือ

     

    รับสั่งถามตรงไปตรงมา และสันนิษฐานได้ตรงจุดจนคนถูกถามเบิกตากว้างขึ้นนิด อ้าปากค้าง ก่อนจะรู้สึกตัวและหุบปากฉับ ทูลตอบเสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบว่า

     

    ไม่ใช่เสียหน่อย

     

    เมธาวดี อยู่กันสองคน ตอบให้ตรงกับความรู้สึกจริงๆ หน่อยได้มั้ย พระสุรเสียงแสดงการบังคับกึ่งระอา

     

    เมธาวดีทำหน้ายุ่ง ก็ถ้าความจริงมันไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย เธอก็คงตอบไปนานแล้ว หญิงสาวเม้มปากก่อนทูลตอบ

     

    ถ้าใช่ล่ะเพคะ

     

    ถ้าใช่ ฉันจะได้บอกให้เข้าใจไว้เดี๋ยวนี้ ว่าฉันไม่ได้ชอบผู้หญิงที่เก่งกล้าหรือมีความสามารถเหมือนผู้ชาย ไม่ได้รักผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เธอ

     

    ปฏิกิริยาตอบสนองของคนที่ถูกบอกรักกลายๆ คือการทำตาโต จ้องมองพระพักตร์อย่างอึ้งๆ และลืมตัว ส่วนปฏิกิริยาของเจ้าหลวงเมื่อทอดพระเนตรมองอาการนั้นของคนตรงหน้า คือการแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดูกึ่งขำขัน

     

    เข้าใจแล้วใช่ไหม

     

    ขะ...เข้าใจเพคะ ดวงหน้าขาวจัดเพิ่งจะเปลี่ยนเป็นสีเรื่อขึ้นเมื่อตอบรับ กษัตริย์หนุ่มทรงปรารถนาจะตรัสถามนัก ว่าเพิ่งจะเขินอายตอนนี้ ไม่รู้สึกว่าช้าเกินไปหน่อยหรือ

     

    ทีนี้มีอะไรสงสัยจะถามฉันรึเปล่า

     

    ไม่มีเพคะ คำตอบหลุดออกมาจากปากเอง ทั้งที่ยังไม่ทันได้คิดหรือไตร่ตรองอะไรทั้งนั้น

     

    งั้นก็นอนเถอะ ง่วงมากไม่ใช่หรือ รับสั่งแล้วก็เตรียมเข้าบรรทม ทว่า

     

    เดี๋ยวเพคะ

     

    หือม์

     

    เอ่อ ฝ่าบาท...ทรงเบื่อหม่อมฉันบ้างไหม แล้ว...เคยทรงคิดจะมีใครอื่นนอกเหนือจากหม่อมฉันรึเปล่า

     

    ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ แล้วคิดตั้งแต่เมื่อไหร่ พระสุรเสียงเรียบๆ ของเจ้าหลวงเข้มขึ้นมาทันใด พระพักตร์ขรึมดุจนคนมองอยู่ชักจะใจฝ่อขึ้นมานิดๆ แต่ก็ทูลตอบไปตามที่ใจคิด

     

    ก็เห็นว่าดูจะทรงมีความสุขดีเวลาอยู่กับเจ้าหญิงชนิสรา

     

    เจ้าหลวงทรงขมวดพระขนงมุ่น

     

    ฉันน่ะหรือมีความสุข ทรงปรารถนาจะตรัสถามจริงๆ ว่าใช้อะไรดู

     

    เมธาวดีนิ่งเงียบแทนการยอมรับว่าใช่ ต่างคนต่างเงียบ จนกระทั่งเจ้าหลวงทรงสรุปเรียบๆ ว่า

     

    เธอหึงฉัน

     

    เพคะ หญิงสาวยอมรับหน้าตายทั้งที่เขินอายไม่น้อย

     

    หึงฉันกับชนิสรา

     

    เพคะ คราวนี้แถมหน้าง้ำๆ ให้ด้วย รับสั่งย้ำทำไมหลายรอบ

     

    เจ้าหลวงทรงถอนพระทัยยาวเหยียด รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเหนื่อยหน่ายคล้ายจะทรงระอาเต็มทนว่า

     

    ฉันอุตส่าห์ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เธอยังจะพูดขึ้นมาอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกันนะ...จะบอกให้รู้ไว้ก็ได้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายรู้สึก

     

    แต่หม่อมฉันกับเจ้าชายศิวาวุธไม่ได้สนิทกัน แล้วเจ้าชายก็ไม่ทรงมีทีท่าว่าจะทรงรู้สึกอะไรกับหม่อมฉันเลย ดูๆ ไปเหมือนจะทรงหลงรักเจ้าหญิงชนิสราเสียด้วยซ้ำ

     

    ใช่ ศิวาวุธรักชนิสรา เจ้าชายศิวาวุธทรงเป็นพระโอรสบุญธรรมของเจ้าหลวงแห่งวิธัญญา ขณะที่เจ้าหญิงชนิสราทรงเป็นพระธิดาแท้ๆ จึงทรงเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทอันดับหนึ่ง

     

    แล้วฝ่าบาทจะทรงหึงหม่อมฉันทำไม ไม่เข้าใจจริงๆ

     

    ฉันบอกหรือว่าหึงเธอกับศิวาวุธ

     

    อ้าว แล้วทรงหึงหม่อมฉันกับใคร ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของเมธาวดีงุนงงขนาดหนัก ทว่าเมื่อมองพระพักตร์ของเจ้าหลวงนานเข้าก็เริ่มเข้าใจ

     

    ฝ่าบาท อย่ารับสั่งเล่นสิเพคะ จะเป็นไปได้ยังไง เรื่องแบบนั้น ปากพูด ใจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สีหน้าเริ่มมีแวววิตกกังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันชอบชนิสรา หรือชนิสราชอบฉัน เจ้าหลวงตรัสถามเรียบๆ สายพระเนตรจ้องมองมาตรงๆ

     

    ก็...ฝ่าบาททรงคุยกับเธอถูกคอดี ตั้งแต่วันแรกก็คุยกันไม่หยุด แถมคุยแต่เรื่องที่หม่อมฉันไม่ค่อยรู้เรื่อง

     

    ตอนแรกสุดเขาคุยกับใคร

     

    กับหม่อมฉัน

     

    คุยกันอยู่สองคนจนฉันต้องช่วยดึงความสนใจของชนิสราออกมาจากเธอใช่ไหม ทีนี้มีอะไรอีก

     

    วันนั้น เธอเอาดอกไม้มาถวายฝ่าบาท หยิบออกมาดอกหนึ่ง กระซิบทูลอะไรก็ไม่รู้ แล้วยังเอาดอกไม้ขึ้นมาดมอีก

     

    เมธาวดีจำได้แม่นยำ แต่เจ้าหลวงต้องทรงใช้เวลานิดหนึ่งในการระงับพระอารมณ์ ก่อนจะตรัสเรียบๆ ว่า

     

    ดอกไม้นั่นเธอเป็นเจ้าของร่วมกับเขา เขาหยิบไปดอกหนึ่ง และบอกฉันว่าดอกไม้ดอกนั้นเธอดมมาก่อนหน้านี้ เขาจะเอาไปไว้ข้างเตียง

     

    เมธาวดีเริ่มรู้สึกหนาวๆ สะท้านขึ้นมานิดๆ แบบบอกไม่ถูก เมื่อนึกถึงวันนั้นที่เจ้าหญิงชนิสราทรงดูแลเธอเป็นอย่างดีเหมือนเป็น พี่สาว

     

    ยังมีอะไรอีก

     

    วันที่เสด็จเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้ว...แล้วทอดพระเนตรมอง เอ่อ...

     

    ฉันมองมือของเขาที่วางอยู่บนไหลของเธอ...ไหล่เปล่าๆ ไม่มีเสื้อผ้า ประโยคสุดท้ายรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเข้ม พระเนตรเป็นประกายวาวขึ้นมาเพราะพระอารมณ์ขุ่นมัวที่ยังตกค้าง

     

    เมธาวดีรู้สึกว่าขนอ่อนๆ ตามตัวลุกชัน รู้สึกเหมือนเมื่อครั้งที่ถูกศรุตสารภาพรักและจู่โจมเข้าหา แต่ไม่ขยะแขยงเท่า

     

    หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทจะทรงคิดว่าผิวสีน้ำผึ้งของเธอสวยดีเสียอีก หญิงสาวอดบ่นงึมงำออกมาไม่ได้

     

    เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองไหม เจ้าหลวงตรัสถามเรียบๆ

     

    เพคะ ตอบรับทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ยังไง

     

    คิดว่าเป็นยังไงบ้าง...หน้าของเธอน่ะ

     

    ก็...ไม่เห็นเป็นยังไงนี่เพคะ ก็ดูธรรมดาๆ แบบที่เห็นอยู่ทุกวัน

     

    งั้นฉันจะบอกให้ ว่าชนิสราหน้าตาสวยคมกว่าเธอ ดึงดูดสายตาได้มากกว่าเธอ... แต่ฉันไม่ชอบ ที่ฉันชอบคือผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดา ไม่ต้องสวยมาก ผิวขาวสะอาด แก้มนุ่ม ตากลมโตสีดำสวยและมีประกายเด็ดเดี่ยวอยู่เสมอ จมูกโด่งนิดๆ แล้วก็ริมฝีปากสีแดงสวยตัดกับสีผิว ไหล่บาง ทรวงอก...

     

    พะ...พอ พอเถอะเพคะ...หม่อมฉันรู้แล้ว เมธาวดีเอ่ยห้ามแทบไม่ทัน รู้สึกว่าเหนื่อยจนอยากจะหอบหายใจถี่ๆ เพื่อผ่อนคลาย ทั้งที่ก็แค่นั่งฟังเฉยๆ

     

    ชอบตอนที่หน้าขาวๆ ค่อยๆแดงขึ้นอย่างตอนนี้ด้วย เจ้าหลวงหนุ่มยังตรัสเรียบๆ เป็นการปิดท้าย ทั้งที่ดวงพระเนตรเป็นประกายวิบวับ พราวระยับอย่างพอพระทัยกึ่งขบขันอย่างปิดไม่มิด เมธาวดีส่งค้อนขวับให้พระองค์ ก่อนจะพยายามกลับเข้ามาเรื่องเดิม ทูลถามใหม่ว่า

     

    ตอนที่ทรงต่อสู้บนหลังม้า เหมือนฝ่าบาทจะทรงพอพระทัยมาก กระซิบอะไรกับเธอตลอดเวลา

     

    ฉันพอใจฝีมือเขา เจ้าหลวงทรงยอมรับ เขากระซิบบอกฉันว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอเป็นอันตราย แต่เธอน่ารัก น่าแกล้งจนอดใจไม่ไหว มีอะไรอีกไหม

     

    เรื่องเต้นรำล่ะเพคะ

     

    คิดว่าฉันชอบนักหรือไง เดินก้าวไปก้าวมาย่ำๆ อยู่กับที่เป็นชั่วโมงๆ น่ะ ถ้าไม่กลัวว่าเขาจะมาฉวยโอกาสกับเธอ ฉันจะต้องทำอะไรน่าเบื่ออย่างนั้นหรือ สายพระเนตรของเจ้าหลวงทอดมองมาอย่างกึ่งตำหนิ อุตส่าห์ช่วยแล้วยังไม่เห็นบุญคุณอีก

     

    แต่ตอนนั้นเจ้าหญิงรับสั่งขอของขวัญวันเกิด รับสั่งว่าขอ จะหม่อมฉันก็คิดว่าจะทรงขอ...เจ้าหลวง

     

    เจ้าหลวงทรงทำพระพักตร์กึ่งระอาในความซื่อ ไร้เดียงสา กึ่งหงุดหงิดพระทัย

     

    ไม่คิดบ้างหรือยังไงว่าเขาจะขอ จูบน่ะ แค่หันหน้าไปข้างๆ ปากก็คงชนกับแก้มของเธอพอดี

     

    เมธาวดีนึกย้อนเหตุการณ์แล้วก็จำต้องคล้อยตามอย่างรู้สึกเห็นจริง ถ้าอย่างนั้น ที่เจ้าชายศิวาวุธรับสั่งว่าเจ้าหญิงชนิสราทรงชอบเอาชนะ ก็หมายถึงเอาชนะเจ้าหลวงน่ะสิ ที่ดวงพระเนตรมีรอยเศร้าก็เพราะทรงทราบว่าคนที่ทรงรักไม่มีวันรักพระองค์ เพราะเหตุผลที่ว่าพระองค์ทรงเป็น ผู้ชาย

     

    สุดท้าย ที่เจ้าหญิงวิธัญญารับสั่งว่าทรงเสียดายที่ไม่ได้รู้จักเธอก่อนแต่งงาน ก็เป็นเรื่องจริงอีก ทรงเสียดายเธอ ไม่ได้เสียดายเจ้าหลวง

     

    เมธาวดีนั่งมองพระพักตร์บึ้งๆ ของเจ้าหลวงนิ่ง นาน หญิงสาวรู้สึกไม่ดีเลยที่รู้ว่าเจ้าหญิงชนิสรา โปรดเธอ แต่เมื่อคิดถึงว่าเจ้าหลวงทรงทราบมาตั้งแต่ต้น และ หึงเธอมาตลอด ความรู้สึกของเธอก็เปลี่ยนไป ยิ่งมองพระพักตร์หงุดหงิดของเจ้าหลวงนานเข้ายิ่งรู้สึกมากขึ้นจนต้องหาทางระบายออก

     

    หึ...หึ หึ... หึ ฮ่ะ ฮ่ะ...ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ... รานีแห่งสวราชย์ทรงพระสรวลออกมาอย่างสุดกลั้น รู้ดีว่าผิดโอกาส แต่ก็อดที่จะรู้สึกขำขันไม่ได้ ที่รู้ว่าความกังวลใจหลายวันที่ผ่านมาของเธอเป็นเรื่องสูญเปล่าและไร้สาระ ขณะที่เธอกังวลอย่างหนึ่ง เจ้าหลวงกลับทรงกังวลอีกอย่างอยู่เพียงลำพัง จะทรงเก้อกระดากบ้างไหมนะ ที่ต้องทรงยอมรับว่าทรงหึงเธอกับ ผู้หญิงอีกคน

     

    เมธาวดี จะหัวเราะอีกนานไหม เจ้าหลวงรับสั่งถามพระสุรเสียงเข้ม พระพักตร์บึ้งสนิท

     

    หึ หึ...นาน...นานเพคะ...หึ หึ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ...อุ๊บ...อื้อ...ฝ่าบาท...ทรงทำอะไร

     

    เสียงหัวเราะขาดหาย ลมหายใจขาดตอน เมื่อริมฝีปากถูกปิดด้วยเรียวโอษฐ์บาง งามได้รูป

     

    ไม่รู้หรอกหรือว่าฉันทำอะไร...หือ

     

    ฝ่า...อือ...เดี๋ยวเพคะ ก็รู้อยู่หรอกว่าทรงทำอะไร แต่หมายถึงว่าทำไมทรงทำตอนนี้ต่างหาก

     

    อื้อ...ฝ่าบาท...จะทรงทำอีกนานไหมเนี่ย

     

    เจ้าหลวงทรงยอมถอนเรียวโอษฐ์ออกมา ทว่าพระพักตร์ห่างจากดวงหน้าขาวใสหมดจดที่เริ่มเป็นสีเรื่อออกไปเพียงนิดเดียว ดวงพระเนตรคมดุสีน้ำทะเลลึกเจือรอยหวานแกมเจ้าเล่ห์นิดๆ มองดูมีเสน่ห์อย่างประหลาดเมื่อทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตสีดำขลับของคนตรงหน้า รับสั่งไม่ดังไปกว่ากระซิบว่า

     

    ไม่นานหรอก เดี๋ยวจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้ว

     

    แต่...อุ๊บ... เมธาวดีรู้สึกว่าหลังสัมผัสกับความนุ่มของเตียงแล้ว ขณะสองมือพยายามดันพระอุระไว้ เบือนหน้าหลบจนพอจะมีโอกาสพูดออกมาได้ว่า

     

    ฝ่าบาท...หม่อมฉันเหนื่อยเพคะ หญิงสาวพูดปนหอบนิดๆ ในที่สุดก็มีโอกาสพูดแล้ว คำที่เคยใช้ได้ผลตลอดมา แต่ว่า...เจ้าหลวงทรงใช้พระหัตถ์แตะพวงแก้มขาวใสเบาๆ กึ่งบังคับให้ รานีหันหน้ามามองพระองค์ แย้มพระสรวลใส่ดวงตาของอีกฝ่ายแล้วรับสั่งเรียกอย่างอ่อนหวานว่า

     

    เมธาวดี ความจริงควรรับสั่งเรียก วดีมากกว่า เพราะทั้งสั้นและแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมได้มากกว่า แต่ว่า...เรื่องอะไรต้องรับสั่งเรียกเหมือนอุรุพงษ์ด้วย

     

    เราแต่งงานกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ

     

    หกเดือนเพคะ อุตส่าห์ตอบออกมาได้อย่างงงๆ หลังจากใช้ความคิดอยู่นาน เพราะสมองมักไม่ค่อยทำงานเมื่ออยู่ในสภาพอย่างนี้

     

    เจ้าหลวงแย้มพระสรวลอีกครั้ง ทั้งในดวงพระเนตรและบนริมโอษฐ์ เป็น รอยยิ้มที่ชวนให้หัวใจคนที่ได้รับกระตุกและสั่นไหวได้อย่างง่ายๆ เปี่ยมเสน่ห์จนไม่อาจถอนสายตา

     

    หมดอายุแล้ว

     

    อะไรเพคะ อะไรหมดอายุ

     

    คำว่า เหนื่อยของเธอไง หมดอายุการใช้งานแล้ว คราวหลังต้องหาคำใหม่มาแทน

     

    งั้น...อุ๊บ...ฝ่าบาท...หม่อมฉันไม่มีเวลาคิด...เดี๋ยวสิเพคะ...อือ...

     

    คราวนี้เจ้าหลวงไม่ทรงถอนพระนาสิกและพระโอษฐ์ออกมา แต่รับสั่งกระซิบอยู่ข้างหูของรานีของพระองค์ว่า

     

    ไม่อนุญาตให้คิดคืนนี้

     

                                       

     

    ***   THE   END ***

     

    ต่อจากนี้ก็ขอเชิญจิ้นๆ เอาเองนะคะ บทอย่างนี้จะได้อ่านอีกทีก็คงเป็นตอนเข้าเรือนหอ กับ...ตอนพิเศษห้า (มั้งคะ) ป.ล. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำวิจารณ์ของตอนนี้จะไม่เป็น ทำไมโรซาน่าเขียนอะไรอย่างนี้ หรอกนะคะ...แอบกลัวอ่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×