คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บท 4 ความหลังกับความจริง
บท 4 ความหลังกับความจริง
"ดึกแล้วนะ.....นายควรจะเข้านอนได้แล้ว....ฉันไม่อยากทะเลาะกับนายในเวลาดึกดื่นแบนี้ ชาวบ้านจะแตกตื่น"
"เจ้าป้าฮะ....ผมอยากปรบมือให้จังเลย" เขาพูดเมื่อกำลังจะผละจากเก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าเพื่อหลบไปทำงานกรมอุตุ
"ปรบมือให้ฉันทำไม...ฉันไม่ได้แข่งกีฬาเอเชียนเกมส์ชนะซะหน่อย" เธอแกล้งยั่วโมโหเขาบ้าง
"คุณป้านักเขียนซกมกฮะ อย่ายียวนคนกำลังอารมย์ดี ผมหมายถึงคุณทำอาหารได้อร่อยสุดหยอดต่างหาก"
"แถวบ้านนายเรียกชมเหรอ ถ้าบ้านฉันเขาเรียกด่า"
"อ้าว...ก็มันอร่อย"
"อร่อยน่ะชม...แต่ไอ้ประโยคข้างหน้าน่ะด่า"
"อะนะ ผมก็ปากเสียแบบนี้ล่ะแต่....ผมจริงใจนะฮะ"
"ก็ยังดี...ที่กล้ายอมรับว่าตัวเองปากเสีย"
"ป้าบอกให้ผมไปนอน...แล้วป้าไม่ไปนอนกับผมเหรอ" เขาทำหน้าทะเล้นอาจจะปนทลึ่งด้วยก็ได้
"หมายคาวามว่ายังไงให้ฉันไปนอนกับนาย นี่ชักทลึ่งใหญ่พึ่งรู้จักกันนะ อย่าพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่"
"ผู้ใหญ่....โถผู้ใหญ่ตายล่ะ....ผมหมายความว่าเจ้าป้าไม่นอนหรือฮะ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปนอนด้วยกันซะหน่อย"
"ใครจะไปรู้ล่ะพูดแบบนั้นหน้าทะเล้นด้วยแบบนี้"
"อย่าบอกนะว่าเจ้าป้าคิดว่าผมน่ะพิศวาส....ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทาง"
"เชอะ...ไอ้พวกหลงตัวเอง" รติเชิดหน้าใส่นายแสบซ่าคิมอินวอน
"ป้าอย่าหวังได้เห็นขาอ่อนผมซะให้ยาก ผมหวงแหนไว้ให้คนที่คู่ควรเท่านั้น" เขาพูดพรางบิดตัวกลับจะเข้าห้องนอน
"นั่น...น่ะเขาเรียกว่าปากหรือส้วม....ถึงฉันจะไม่เลิศเลอ แต่ฉันก็ไม่สิ้นคิดไปคว้าเด็กใจแตกมาทำแฟนหรอกยะ"
"ให้มันจริงเถ๊อะ..." เขาว่ายั่วให้เธอโกรธพร้อมส่งแววตาวาวๆ
"พอเถอะ วันนี้ทั้งวันฉันกับนายก็ทะเลาะกันจนฉันๆไม่ต้องทำงานอะไร"
"ใครบอกให้ทะเลาะล่ะฮะ...ยอมๆผมซะเราก็ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว"
"เบื่อวะเด็กพูดมาก...ทำให้ฉันต้องกลายเป็นคนพูดมากไปด้วย"
เช้าวันแรกซึ่งมีบุคคลอื่นในบ้าน มันคือสาเหตุทำใหห้รติลืมตัว เพียงเพราะเธอลืมไปว่าตอนนี้มีใครเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอ แต่ไม่รู้ฐานะอะไร ด้วยความเคยชินกับการเดินหลับตาเข้าห้องน้ำเป็นประจำในทุกๆเช้า วันนี้ก็เช่นกันตาปรือจากการนอนน้อยของเธอมันบังคับให้เท้าเธอเดินตรงเข้าห้องน้ำตามที่มันเคยทำหน้าที่อย่างเที่ยงทุกวัน แต่วันนี้เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเคย ไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าพ้นประตูห้องน้ำ แค่มีเสียงเปิดประตูเท่านั้นเองเสียงทุ้มๆ ของใครคนหนึ่งดังลั่นปลุกสติที่กำลังงัวเงียให้สว่างจ้าขึ้นทันควัน
"เฮ้ย...โรคจิตรึไงอาจุมม่าชอบดูเด็กผู้ชายแก้ผ้าอาบน้ำ"
"หา...!!!! นี่มันอะไรกัน เต็มสองตาเลย"
รติ ตกใจสุดขีดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกปลอมที่อยู่หน้า ผู้ชายตัวโตๆ ผิวขาวๆ กำลังอยู่ในห้องน้ำเธอในเช้าวันนี้ เสียงลั่นห้องน้ำทั้งเขาและเธอเปลี่ยนความเงียบสงัดให้กลายเป็นเสียงหวีดสยอง เธอรีบยกสองมือปิดตาสองข้าง เพื่อป้องกันภาพอนาจารวิ่งปะทะลูกตา แต่นิ้วห่างๆ คงไม้พ้นเห็นภาพตรงหน้าแน่อน ลมหน้ามืดตีแสกหน้าเธอทันที เธอล้มไปกองพับกับพื้นห้องน้ำต่อหน้าต่อตาเขา
"วู้......เป็นลมซะแล้วยัยป้ามหาภัยแอบดูเด็กอาบน้ำสงสัยตกใจความสวยงามแห่งธรรมชาติสร้าง"
คิมอินวอน ช้อนร่างไร้สติของรติลอยลิ่วเดินออกจาห้องน้ำเมื่อหาผ้าขนหนูมาพันกายเรียบร้อย แต่เนื้อตัวยังเปียกน้ำ เขาวางเธอลงยังโซฟา ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อให้เธอได้สติกลับมา แต่เธอก็ยังไม่มีสติกลับมา เขาจำเป็นต้องใช้วิธีสมัยเรียนมาใช้ซะเพราะอาจารย์เคยสอนไว้ เมื่อมีคนเป็นลมไม่ฟื้นแสดงว่าเขาขาดอาการหายใจควรช่วยชีวิตด้วยการผายปอด โดยวิธีเม้าส์ทูเม้าส์ แต่ยังไม่ทันที่ปากเขาจะถึงปากนิ่มอิ่มของเธอ...เธอกลับฟื้นขึ้นมาซะก่อน...พอดีกับภาพริมฝีปากและใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้แค่คืบ
"ว๊าย !!! นี่นายจะทำอะไรน่ะ" ฝ่ามือพิฆาตลงกลางแก้มขาวเนียนของเขาเสียงลั่นเพี๊ยะ คนหวังดีหน้าหงายเห็นดาวลอยเต็มหน้า
"โอ๊ย....ป้าตบผมทำไม"
"ก็นายกำลัง...."
"อย่าบอกนะว่ากำลังคิดว่าผมกำลังจูบป้า....แค่คิดผมก็จะอ๊วกแล้ว"
"ถ้าไม่ใช่...เมื่อกี้นายกำลังทำอะไร" ในเมื่อเธอกำลังเห็นใบหน้าเขาโน้มลงมาจะชิดหน้าเธออยู่ไม่กี่เซน
"ผมจะผายปอดให้ป้า" เขาบอกความจริงแต่...เธอกลับไม่ค่อยจะเชื่อนัก
"ฉันเป็นอะไรต้องผายปอด ฉันไม่ได้จมน้ำนะ" เธอพยายามดึงเกมกลับ
"คิดว่าผมจะจูบป้าหรือไง ตบมาได้หน้าชาเลยคนหวังดีแท้ๆทำกันลง" เขาลูบแก้มตัวเองปรอยๆ เพราะความเจ็บชา
"ใครอยากให้นายล้อนจ้อนแบบนั้นล่ะ"
"อ้าว !!! ก็ผมอาบน้ำจะให้อาบทั้งชุดหรือไง"
"ก็นั่นแหละทำไมไม่ล็อคประตู"
"ใครจะรู้ว่าป้าจะเซ่อซ่าเข้ามาแบบนั้นล่ะ"
"บ้านฉันนี่นาและอกีอย่างฉันชินกับการต้องอยู่คนเดียวเช้าๆ ฉันต้องเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว" เธอพยายามบอกความเคยชินเมื่อครั้งที่เขายังไม่มาที่นี่
"เสียงดังซ่าๆ ขนาดนั้นยังไงมันก็ต้องมีคนอยู่ข้างในไม่คิดบ้างหรือไง"
"ไม่รู้ล่ะ....คราวหน้าล็อคประตูด้วย"
รติ แอบเผลอลอบมองกล้ามเนื้อกำยำของเขาเข้าโดยบังเอิญ ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบๆ คิดในใจว่าเขาช่างเป็นผู้ชายมีร่างกายเซ็กซี่ซะเหลือเกิน....ในที่สุดสติสตังเธอกลับคืน เมื่อเขาปล่อยร่างเธอลงกับพื้อน เดินดุ่มๆ กลับไปยังห้องน้ำมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปกปิดช่วงล่าง เขาหันมาสบตาเธอเพราะรู้ว่าเธอกำลังจ้องมองเขาอยู่
"ป้า...นั่นแน๊กำลังแอบมองผมตาเขม็งเชียว.....อย่าให้ผมสยองอีกเป็นครั้งที่สองนะ....ยัยป้าโรคจิต"
"เดี๋ยวเถอะ.....จะโดนปากดีนักใครจะไปรู้ล่ะ" เธอหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงภาพร่างกายกำยำของผู้ชายขาวนวลเนียนอย่างเขา
'ใครอยากให้มันเป็นแบบนั้นล่ะ ฉันเข้าห้องน้ำของฉันอย่างนี้ทุกวัน มันก็มีลืมบ้างสิ เซ็ง...เข้าไปนอนต่ออีกนิดดีกว่า'
รติ บ่นอุบกับตัวเองเมื่อต้องชีวิตพลิกผันต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนที่เคยชินอะไรแตกต่างกัน
รติหายเข้าไปในห้องร่วมชั่วโมงยังไม่กลับออกมา กว่าจะได้เวลาเยื้องย่างจากถ้ำ หลังจากเข้าไปหลับต่อราวเกือบชั่วโมง เธอกลับมาไม่พบใครคนนั้นอยู่ให้กวนอารมย์
'เขาหายไปไหนนะ หรือออกไปหาอะไรทาน แต่...ก็ช่างเถอะโตจนสุนัขเลียตูดไม่ถึงแล้วคงไม่โดนจับไปขายสวนสัตว์หรอกมั๊ง อยู่เมืองไทยก็ตั้งนานย่อมรู้ทางไปมาบ้างแหละ'
ในขณะที่ยังไม่สลัดความงัวเงียรอบสองเสียงออดหน้าบ้านก็ส่งเสียงขึ้น เมื่อรับรู้ว่ามีใครสักคนมากดออดหน้าบ้าน จึงร้อนรนออกทั้งที่ยังไม่จัดการกับตัวเอง
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
'ใครกันนะมาแต่เช้าเชียว....น่าจะใช่นายตัวแสบ' เธอว่าพลางเดินรุดไปยังหน้าบ้านเพื่อไขข้อข้องใจของตัวเอง
"รติครับ.....เปิดประตูให้พี่หน่อยครับ พี่กันย์เอง"
'พี่กันย์...มะ...มีธุรอะไรคะ" เธอประหลาดใจที่มีแขกไม่ได้รับเชิญมาบ้านเธออีกรายในรอบสองวัน แต่ตอนนี้เธอยังอยู่ในสภาพที่ยังไม่แต่งตัวไม่อาบน้ำเลย แต่สำหรับผู้ชายคนนี้เธอคงไม่ต้องมีอะไรที่จะรักษาภาพพจน์
"ไม่มีธุระพี่มาที่นี่ไม่ได้แล้วหรือไงจ๊ะ.....ก่อนอื่นพี่ขอเข้าไปข้างในได้ไม๊"
"เชิญค่ะ....แหมพี่กันย์อุตส่าให้เกียรติแวะมาเยี่ยมรังหนูของรติ"
"ไม่นะจ๊ะ....รติอย่าพูดแบบนั้นสิ...พูดยังกับว่าเราเป็นคนอื่นคนไกล"
"แต่....เราเลิกกันแล้ว....พี่กันย์ก็รู้"
"ไม่เอาน่ารติ ทำไมต่อว่าพี่แบบนั้นล่ะครับ"
"คู่หมั้นไม่มาด้วยหรือคะ" เธอแกล้งยอกเย้าเขาเล่นเขาเล่น
"รติเชื่อว่าพี่กันย์ต้องมีธุระกับรติไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงบ้านโทรมของรติหรอก"
"ไม่เชิญพี่เข้าบ้านก่อนรึ" เขาตัดบท
บ้านรติเล็กนิดเดียวมันไม่เหมาะกับพี่หรอกอย่าเข้าไปเลยดีกว่ามีอะไรเราก็นั่งคุยกันหน้าบ้านนี้ก็ได้....เชิญนั่งตรงม้านั่งตัวนั้นดีกว่าค่ะ" เธอชี้ไปยังม้านั่งไม้สีเปลือกไม้เก่าๆ
"พี่ไม่ใส่ใจเรื่องนั้นหรอกนะรติ"
"คุยกันหน้าบ้านนี้แหละค่ะ"
รติเชื้อเชิญให้เขานั่ง ...ตัวเธอขอตัวไปหาเครื่องดื่มประจำบ้านเธอมาให้มันคือน้ำเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยน้ำใจงามของเจ้าของ เธอกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำเย็นหนึ่งแก้ว ส่งให้เขาตามมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี
"ขอบคุณ" เขารับแก้วน้ำมาถือไว้และไม่ลืมจะขอบคุณอดีตคนเคยรัก
"ว่าไงคะ มีอะไรจะคุยกับรติ" เธอจ้องหน้าขาวสะอาดของเขา หน้าขาวตี๋ตาตี่ที่เคยมีเมตตาต่อเธอเสมอมา
"พี่อยากรู้เรื่องที่ไม่ได้รับความกระจ่าง พอดีพี่ได้ยินจากคนอื่นมา"
"เรื่องที่ไม่ได้รับความกระจ่าง...เรื่องอะไรคะ !!!" เธอไม่คิดว่าระหว่างเธอกับหนุ่มหน้าตี๋นี้จะยังมีอะไรค้างคาต่อกันอีกในเมื่อมันจบไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว
"ใช่มียังมีข้อสงสัยกับการเลิกราของเรา....พี่รับฟังมาจากแม่แบบหนึ่ง...แต่เมื่อไม่นานมานี้พี่กลับรับฟังมาอีกอย่างหนึ่งจากคนๆ หนึ่ง" เขารับฟังเรื่องราวที่ไม่ตรงกันระหว่างคนสองคนแต่ทั้งสองคนไม่ใช่อดีตคนรักของเขา
"เรื่องของเรามันน่าจะกระจ่างตั้งแต่สองปีมาแล้วนะคะ....เวลามันผ่านมานานแล้ว เราจะฟื้นฝอยหาตะเข็บดีกว่าค่ะมันไม่มีประโยชน์นอกจากจะเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดของรติแล้วมันจะมีประโยชน์อื่นอีกไม๊คะ ยังไงซะเราก็กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ ถึงแม้วันนี้พี่กันย์จะได้รับฟังอะไรก็มีค่าเท่ากัน"
"เปล่านะรติพี่ไม่ได้คิดแบบนั้น แค่พี่อยากรู้ความจริง ในเมื่อรติรักพี่ทำไมเราต้องเลิกกัน"
"รติ คงอยากได้เงิน รติจน พอรติเห็นเงินตาโตคว้าเงินของแม่พี่กันย์ไว้ซะหนึบ แค่นี้พี่กันย์ยังไม่เข้าใจอีกรึไง" รติแกล้งว่าทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น
"พี่รู้นะรติรักพี่มาก...แต่...อยู่ๆ รติต้องการเลิกกับพี่...พี่ว่ามันต้องมีอะไร"
"แล้วทำไมพี่กันย์พึ่งจะสงสัยเอาป่านนี้สองปีที่แล้วนะ....พี่กันย์มันนานไปสำหรับความเจ็บปวดที่ทำร้ายจิตใจ....ตอนนี้พี่ก็หมั้นตรมที่แม่พี่ต้องการ อีกไม่นานพี่คงต้องแต่งมันคือจุดจบสำหรับความรักของเราอย่างสมบูรณ์"
"พี่ไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้น" เขาบอกเธอด้วยความรู้สึกนั้นจริงๆ
"พี่กันย์...เราต่างกันแม่พี่ไม่ชอบรติ เท่านั้นเหตุผลที่เรารักกันไม่ได้ มันไม่ใช่ความรัก"
"ไม่นะ...พี่จะไม่ยอมแต่งงานถ้าพี่ไม่ได้รู้ความจริง"
"รติคิดว่าพี่กันย์ควรกลับไป กลับไปอยู่ในที่ของพี่กันย์ที่ๆแม่พี่จัดไว้ให้"
"แม่บังคับพี่"
"แล้วไงคะ พี่จะแหกกฎเหล็กของแม่ หนีมาอยู่หรือแต่งงานกับรติอย่างนั้นหรือคะ" เธอกล่าวพร้อมความคับแค้น
"ที่ของพี่กันย์ไม่ได้จัดไว้ให้สำหรับคนจนอย่างรติ รติมีที่ของตัวเองที่แคบๆ พอให้ลมหายใจเข้าออกปอดเท่านั้น"
"แม่พี่บอกว่ารติรับเงินจากแม่แค่เพียงเสนอเงินเงินก้อนหนึ่งให้รติ....เพื่อซื้อความรักของเรา รติยอมรับเงินนั่นจริงหรือ....มันเป็นจริงตามที่แม่พี่บอกไม๊...ตอบพี่มาสิรติ" เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอเขย่าราวคนเสียสติ
"คงงั้นมั๊งคะ ในเมื่อแม่พี่บอกอย่างนั้นก็คงตามนั้นค่ะ"
กันตวิชญ์ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขารับฟังมา มันอาจจะแค่คำบอกกล่าวที่ผิดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่เขาก็รู้อีกว่าคนอย่างรติ เธอมีศักดิ์ค้ำคอเกินกว่าจะรับข้อเสนอของมารดาเขา เขามาวันน้เพื่อต้องการรับคำตอบที่ดีเขาพร้อมที่จะถอนหมั้นและทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ แต่เมื่อเธอยืนยันกับเขาแบบนั้น เรื่องราวมันคงต้องดำเนินต่อไปอย่างที่มารดาเขาต้องการเช่นเดิม
"รติขอร้องพี่กันกลับนะคะถือว่าเห็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกดีๆ ต่อกันเถอะค่ะ ทิ้งให้รติอยู่ในที่ของรติ คนเรามีวิถีทางดำเนินไปต่างคนก็ต่างมา" เธอนั่งก้มหน้ามองเท้าตัวเองไม่อยากมองใบหน้าคนเคยรักอย่างเขาอีกแล้ว
เธอผลักใสเขาให้ออกห่างชีวิตเพื่ออนาคตที่ดีของอดีตคนรัก อีกอย่างหากเขาไปซะจากชีวิตเธอ เธอจะก็จะปลอดภัยไม่ถูกละลานจากมารดาเขา เธอทนไม่ได้หากพ่อกับแม่ต้องเพราะเธอไม่ยอมตัดใจ เธอกำลังจะร้องไห้แต่ดึงน้ำตากลับได้ดังเดิม
"รติ" เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"เชิญค่ะ รติไม่มีอะไรจะพูดกับพี่"
กันตวิชญ์ผลุนผลันออกจากบ้าน โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีใครอื่นแอบฟังการสนทนาระหว่างเขากับรติ ไม่ห่างนัก คิมอินวอนโผล่เข้ามาภายในบ้านตอนนี้มีเพียงเธอยังนั่งอยู่ม้านั่งตัวเดิมแววตาเจ็บช้ำ
"ป้าฮะใครกันน่ะ...หน้าตาดีนะ....แต่งตัวดีภูมิฐาน บก. ที่สำนักพิมพ์หรือเปล่า" คิมอินวอนรู้ทุกอย่างแต่เขาไม่อยากให้เธอเครียดกับสถานะการณ์ซึ่งพึ่งจบลงเมื่อครู่
เธอแสร้งหลบสายตาเขา เมื่อเขาพยายามที่จะมองหน้าเธอ เขายังซักและวนเวียนจะยั่วยุเธอไม่ห่าง "ใคร...ใครที่ไหนกันไม่เห็นจะใครเลย"
"มีสิฮะก็เขาพึ่งเดินออกไปเมื่อกี้"
"อย่าไปสนคนอื่นเลยน่า เขาถามทางไปบ้านเพื่อนเขาก็เท่านั้น"
"ถามทางจริงอะ...หลอกผมเปล่า...ถามทางแล้วทำไมป้าเศร้าๆ แบบนั้นล่ะ" เขายังซักไม่เลิก
"ในใจแต่เรื่องคนอื่น....ว่าแต่นายเถอะหายไปไหนมา...ไม่คิดจะบอกกล่าวเจ้าของบ้านสักสักนิดเลยนะ" เธอเลี่ยงไม่ตอบคำถามแต่กลับถามเขากลับ
"ก็คนเมื่อกี้ คนที่เดินออกไป" เขาบอกซ้ำพร้อมชี้ไปยังหน้าบ้านซึ่งมีคนเดินผ่านออกไปไม่ถึงนาที
"บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิเขาเข้าบ้านผิดฉันเลยบอกทางให้เขาไปอีกทาง เขามาถามเพื่อนเขาก็แค่นั้น" เธอโกหกหน้าตาย...แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ดี...ขึ้นชื่อว่าเด็กเจ้าปัญหา....ย่อมต้องถามปัญหา
"นั่นแน๊พอผมไม่อยู่บ้านพาผู้ชายเข้าบ้านเลยนะ....คิดว่าผมรู้ไม่ทันเหรอ..." เขาตีหน้าหล่อทะเล้นปนทะลึ่งในเวลาเดียวกันได้อย่างดีเยี่ยม
"กรุณาอย่างสนใจเรื่องของคนอื่นให้มากนัก" เธอพร่ำสอนราวเขาเป็นลูกสิทธิ์ขยับแว่นหนานั้นให้เข้าที่พร้อมเดินกลับเข้าไปในรังหนู เอ้ย....บ้าน
เขาเดินตามและพูดไล่หลังไปติดๆ
"ผมรู้นะป้ามีเรื่องไม่สบายใจ"
"ถามจริงนายเป็นหมอดูหรือไงเที่ยวมารู้ว่าใครมีเรื่องอะไร ไม่มีเรื่องอะไรน่ะ"
"ก็...เปล่าแค่พูดไปตามที่สายตามันเห็นก็เท่านั้น"
"คนอย่างนายใส่ใจใครเป็นด้วยหรือ วันๆ เห็นแต่จะกวนประสาทฉัน คอยว่าฉัน ป้ามั่ง ผีดิบมั่ง"
"ผมน่ะอ่อนโยนกว่าที่ป้าคิดนะฮะ"
"อ่อนโยน" เธอทวนคำว่าอ่อนโยนเพราะไม่อยากเชื่อว่าคำว่าอ่อนโยนจะมีในสายเลือดของนายคิมอินวอน แยงกี้ มาเฟียคนนี้ ภายใต้บุคลิกกวนประสาท หน้าตาหล่อเหลา เพื่อหลอกให้สาวลุ่มหลงจะมีอะไรที่เป็นข้อดีและข้อเสียของนายคนนี้บ้าง
"ฉันอยากรู้เรื่องของนายมากกว่า" เธอเปลี่ยนเรื่องคุยซะอย่างนั้น
"เรื่องของผม..."
"นายไปไหนมา รู้ทางแถวนี้รึไง"
"ก็พอรู้บ้าง....แหมผมน่ะอยู่เมืองไทยมาตั้งนาน...ไม่รู้เลยมันก็เกินไปแค่พูดภาษาไทยได้ก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้แล้ว" เขาอธิบายมีเหตุผล
"ฉันก็อุตส่าห่วง นึกว่าโดนจับตัวไปซะแล้ว"
"ถึงผมจะพูดไทยไม่ชัด คงไม่มีใครจับผมไปโชว์ที่สวนสัตว์หรือสวนสนุกที่ไหนหรอก"
"เขาคงไม่เอาไปโชว์หาตังด์หรอก อย่างนี้จับตัวไปก็ต้องคิดหนักจะมีปัญญาหาของให้กินได้ไม๊ กินจุยังกะยัดนุ่น"
"ยัดนุ่น...?"
"ช่ายยัดนุ่น"
"มันคืออะไรครับไอ้คำว่ายัดนุ่นเนี่ย"
"อ้าว....นึกว่ารู้...คำว่ากินยังกะยัดนุ่นเนี่ยแปลว่า กินเยอะกินจุ กินจนคนเลี้ยงจะเลี้ยงไม่ไหว"
"อ๋อ...เข้าใจแล้ว"
เขาพยายามเข้าใจคำศัพท์ไทยๆ ซึ่งส่วนมากล้วนมากตากโดนเธอด่าบ่อยๆ เธอก็พยายามเรียนคำศัพท์ของเกาหลีจากการต่อว่าของเขาเช่นกัน
"ถ้าผมถามคุณ..คุณจะโกรธไม๊ฮะ"
"ถาม...นายจะถามอะไรฉัน ฉันมีเรื่องที่ให้นายต้องสงสัยรึไง"
"แหมคุณกับผมไม่ใช่มีแค่เรื่องทะเลาะกันนะ บางครั้งผมก็มีสาระบ้าง คุณดูผมไม่มีแก่นสารเลยใช่ไม๊"
"อือ...คงอย่างนั้นมั๊ง"
"ซะอย่างนั้น" เขาแสดงอาการน้อยใจต่อหน้าเธอก็เป็นด้วย ทำให้น่ารักไปอีกแบบนายแยงกี้ มาเฟียคนนี้ เธอแอบมองใบหน้าเรียวยาวของเขา ให้ตายเถอะนายคนนี้หลอจริงๆ หากเธอรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือเด็กกว่าเขาเธอคงหลงรักเขาไปแล้ว แต่เสียดายเธอไม่เคยพิศมัยผู้ชายที่อ่อนกว่าไม่ว่ากรณีใดๆ
"ก็แค่จะถามคุณป้าว่า"
"เดี๋ยวๆ เมื่อกี้ยังเรียกคุณ....แต่พอตอนนี้เรียกคุณแต่ดันมีต่อท้ายคำป้าอีกตามเคย มันจะตอกย้ำมากไปแล้วนะเจ้าเด็กน้อย"
"อย่านอกเรื่องสิ ป้าก็ยอมรับว่าป้าสิ หรือจะให้เรียกเจ๊ หรืออาจุมม่า ก็ไม่เลวนะ"
"แล้วมันความหมายเดียวหรือเปล่าล่ะ"
"ไม่ต่างกัน" เขาว่าพลางยักไหล่
"เลิกนอกเรื่องได้แล้ว จะถามอะไรก็รีบถามมา" เธอเข้าเรื่องให้เขาเพราะลำคาญการต่อปากต่อคำไม่ลดละของเขาเป็นที่สุด
"ป้า...เอ้ยคุณเคยมีแฟนไม๊" เขาถามตรงจุด เพราะคนอย่างเขาคำว่าอ้อมค้อมไม่ค่อยปรากฎในหัวสักเท่าไหร่
"นี่คือคำถามเหรอ"
"ฮะ...ใช่"
"แล้วต้องการคำตอบไม๊"
"อ้าว...เปรี้ยวจี๊ดแล้วไงคุณป้าไม่ต้องการทำตอบจะถามทำป๊าเหรอ"
"งั้นก็ขอตอบตามตรงไม่อ้อมค้อมเหมือนกัน....ว่า...มี..แต่ตอนนี้กลายเป็นอดีต"
"ทำไมกลายเป็นอดีต...อ๋อ...ไม่ต้องตอบหรอกเจ้าป้าคงทำตัวโทรม เซะๆ ซึมเซาแบบนี้ใช่ไม๊ เขาถึงได้เลิกไป"
"ฐานะเราต่างกัน เขารวยฉันจน แม่เขาไม่ชอบความจนอันยิ่งใหญ่ของฉัน" เธอไม่สนใจคำต่อว่าของเขาเพราะขี้เกียจทะเลาะ
"อื๋อ...งั้นหรอกหรือนี่....งั้นผมขอโทษ" เขารู้ว่าไม่สมควรจะรื้อฟื้นอดีตเจ็บช้ำของใคร แค่จบประโยค แววตาซึมเศร้าเริ่มก่อตัว....คล้ายจะร้องไห้....แต่คงเผยให้เห็นแค่แววตาแดงก่ำไม่มีหยดน้ำตาสักหยด
"นายจะขอโทษฉันทำไมกันในเมื่อนายอยากรู้ไม่ใช่หรือ"
"ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้"
"เรื่องมันนานมาแล้ว...ฉันลืมๆ มันไปบ้างแล้วล่ะ"
"ลืม...แต่ท่าทางเจ้าป้ายังไม่ลืมนะ"
"ทำไมฉันจะลืมไม่ได้ล่ะ แค่ความรักที่ถูกพิพากษาด้วยความรวยความจน กับชีวิตของผู้ชายลูกแหงติดแม่คนหนึ่ง ฉันไม่ควรจดจำมันสักนิด"
"ทำไมเจ้าป้าไม่มีแฟนใหม่ซะทีล่ะ"
"มีแฟนใหม่...หาง่ายเหมือนเจ็บดอกไม้เลยหรือไงล่ะ....คนนะหาคนที่รักเราจริงน่ะมันยากยิ่งกว่ารอถูกรางวัลแจ๊กพอร์ตซะอีก คนรวยต้องคู่กับคนรวย มันกลายเป็นกฎของธรรมชาติไปแล้ว"
"กฎธรรมชาติ แล้วทำไมคุณไม่คิดจะฝืนกฎธรรมชาติบ้างล่ะ" เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกเธอ
"เปลี่ยนกฎของคนรวยให้มารักคนจนน่ะรึ ฝันอะไรไปหรือเปล่าพ่อหนุ่มนักจิตรกร"
"ความรัก และการต่อสู้ การต่อสู้เพื่อคนที่เรารัก ฝ่าฝันไปด้วยกัน"
"ฝ่าฝัน นายน่ะมันเด็กเพ้อเจ้อ การเปลี่ยนค่านิยมที่ปลูกฝังมาจนจมหัว เราจะไปเปลี่ยนเขายังไง"
"ใช้หัวใจสิ หัวใจที่ต่อสู้กับอุปสรรค"
นายคิมอินวอน บทจะมีเนื้อหาสาระกับชีวิตก็มีจนล้นเหลือ เขาพยายามต่อสู้อยู่กับคำว่าชนชั้นทางสังคม เกาหลีกับไทยค่านิยมเหล่านี้ถูกปลูกฝังมานานนับศตวรรษ แต่เกาหลีน่าจะมีความเข้มของเรื่องราวเหล่านี้น้อยกว่าไทย
"คุณเคยคิดว่าจะมีใครใหม่ไม๊" เขายิงคำถามเจาะในราวพิธีกรสัมภาษณ์ดาราในรายการท็อกโชว์
"เคย...แต่ไม่ใช่เวลานี้" เธอว่า
"แล้วเมื่อไหร่ จะให้อายุมากๆ แล้วไอ้ความสนุกสดชื่นในชีวิตมันก็จะค่อยๆ หายไปนะ"
"เมื่อไหร่...เรื่องพวกนี้กำหนดไม่ได้"
"ทำไมกำหนดไม่ได้ในเมื่อนี่คือชีวิตเรา"
"เวลาจะบอกว่าสมควรหรือเปล่า บางครั้งเราคบใครก็ใช่ว่าคนนั้นจะใช่สำหรับเรา หรือบางครั้งเราอาจจะคิดว่าใช่ แต่เขาอาจจะคิดว่าไม่ใช่ฉะนั้นเรื่องความรักไม่มีคำว่ากำหนด"
"เราทำไมต้องเดินตามเวลาหรือพรหมลิขิตที่กำลังขีดเส้นให้เราเดิน เราขีดเส้นขึ้นมาเองไม่ได้รึ"
"นายเนี่ยจริงเลยนะ มิน่าล่ะกล้าหนีออกจากบ้าน พ่อแม่นายเขาคงตามนายไม่ไหวเลยไม่เห็นสนใจจะออกตามหา"
"ใครว่าล่ะ พ่อแม่ผมคือพรหมลิขิตสำหรับผมเลยล่ะ"
"แต่นายก็ดูมีความเป็นตัวของตัวเองสูง พ่อแม่ไม่น่าจะกะเกณฑ์ชีวิตนายได้นะ"
"พ่อผมไม่เท่าไหร่ ถ้าลูกชอบหรือพอใจอะไรจะสนับสนุนเต็มที่ ผิดกับแม่ท่านไม่สนใจว่าลูกๆ จะชอบหรือเกลียดอะไร สิ่งที่ท่านต้องการคือต้องทำตามในสิ่งที่ท่านจัดหาไว้ให้เท่านั้นพอ"
"เหมือนกับที่พี่สาวและพี่ชายนายกำลังทำอยู่ในขณะนี้ใช่ไม๊"
"ใช่ ....ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ไม่โจ่งแจ้งเหมือนผมก็เท่านั้น"
"ก็นายมันหัวศิลปิน" เธอแกล้งว่าเขาในที
"การทำตามพ่อแม่มันก็ดีอย่างมันจะทำให้เราเป็นลูกกตัญญู แต่อีกทางมันจะทำให้เราต้องอยู่กับความไม่เป็นตัวของตัวเอง"
"หรือที่เขาบอกว่าอยู่ในสิ่งที่ไม่ชอบ" เธอเสริมทัพ
"ช่ายๆ อย่างที่สุด คนเราถ้าฝืน และอดทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ ความอดทนจะต้องสิ้นสุดสักวัน"
"คุณเคยจูบกับแฟนไม๊"
อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยซะตื้อจนคนที่จะตอบตั้งตัวไม่ติด มันคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับประเทศเขาหรือมันแค่เรื่องขำสำหรับวัยรุ่นเลือดร้อนแบบเขากันแน่จึงคิดถามผู้หญิงเฉิ่มๆ เชยๆ อย่างรติ เธอได้แต่นิ่งเงียบกับคำถามนั้น และถามกลับไปว่า
"แล้วทำไมต้องจูบ"
"ก็จูบเพื่อเพิ่มพลังรัก เวลาคนรักกันก็ต้องจูบกัน มันคือการมอบความรักความอบอุ่นสู่ใจสำหรับคนรัก"
"ดูนายจะชำนาญเรื่องพวกนี้จังนะ"
"ไม่หรอก...เวลาที่ผมรักใคร...ผมก็รักทั้งใจ...ผมมักแสดงความรักกับคนรักด้วยการสัมผัส สิ่งแรกที่ผมไม่ลืมคือการจูบ"
"มันหมายถึงความใคร่ไม่ใช่หรือ"
"ไม่...การจูบไม่ใช่มาจากความใคร่ มันมาจากหัวใจรักของคนๆ หนึ่งถ่ายทอดสู่คนอีกคนหนึ่งแล้วหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้หัวใจรัก"
"อือ...นายนี่คงจะเป็นนักรักมือโปรจริงๆ"
"แล้วตกลงคุณเคยจูบกับเขาไม๊" เขาไล่เธออีก
"ไม่เคยหรอก ความเป็นผู้หญิงไทยสอนให้ฉันต้องระวังเรื่องการสัมผัสอันก่อให้เกิดตัญหา"
"ผู้หญิงไทยดูเคร่งกับเรื่องพวกนี้กว่าผู้หญิงเกาหลี"
"แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เด็กวัยรุ่นสมัยนี้รู้จักเรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะการรับวัฒนธรรมทางตะวันตกมาเยอะ กานจูบกอดเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว"
"งั้นป้าก็เชยอยู่คนเดียวสิ"
ความคิดเห็น