ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จะรักได้ไหมถ้าหัวใจตรงกัน

    ลำดับตอนที่ #5 : บท 4 ความหลังกับความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.พ. 50


    บท 4  ความหลังกับความจริง

    "ดึกแล้วนะ.....นายควรจะเข้านอนได้แล้ว....ฉันไม่อยากทะเลาะกับนายในเวลาดึกดื่นแบนี้  ชาวบ้านจะแตกตื่น"

    "เจ้าป้าฮะ....ผมอยากปรบมือให้จังเลย"  เขาพูดเมื่อกำลังจะผละจากเก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าเพื่อหลบไปทำงานกรมอุตุ

    "ปรบมือให้ฉันทำไม...ฉันไม่ได้แข่งกีฬาเอเชียนเกมส์ชนะซะหน่อย"  เธอแกล้งยั่วโมโหเขาบ้าง

    "คุณป้านักเขียนซกมกฮะ  อย่ายียวนคนกำลังอารมย์ดี  ผมหมายถึงคุณทำอาหารได้อร่อยสุดหยอดต่างหาก"

    "แถวบ้านนายเรียกชมเหรอ  ถ้าบ้านฉันเขาเรียกด่า"

    "อ้าว...ก็มันอร่อย"

    "อร่อยน่ะชม...แต่ไอ้ประโยคข้างหน้าน่ะด่า"

    "อะนะ   ผมก็ปากเสียแบบนี้ล่ะแต่....ผมจริงใจนะฮะ"

    "ก็ยังดี...ที่กล้ายอมรับว่าตัวเองปากเสีย"

    "ป้าบอกให้ผมไปนอน...แล้วป้าไม่ไปนอนกับผมเหรอ"  เขาทำหน้าทะเล้นอาจจะปนทลึ่งด้วยก็ได้

    "หมายคาวามว่ายังไงให้ฉันไปนอนกับนาย  นี่ชักทลึ่งใหญ่พึ่งรู้จักกันนะ  อย่าพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่"

    "ผู้ใหญ่....โถผู้ใหญ่ตายล่ะ....ผมหมายความว่าเจ้าป้าไม่นอนหรือฮะ  ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปนอนด้วยกันซะหน่อย"

    "ใครจะไปรู้ล่ะพูดแบบนั้นหน้าทะเล้นด้วยแบบนี้"

    "อย่าบอกนะว่าเจ้าป้าคิดว่าผมน่ะพิศวาส....ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทาง"

    "เชอะ...ไอ้พวกหลงตัวเอง"  รติเชิดหน้าใส่นายแสบซ่าคิมอินวอน

    "ป้าอย่าหวังได้เห็นขาอ่อนผมซะให้ยาก ผมหวงแหนไว้ให้คนที่คู่ควรเท่านั้น"  เขาพูดพรางบิดตัวกลับจะเข้าห้องนอน

    "นั่น...น่ะเขาเรียกว่าปากหรือส้วม....ถึงฉันจะไม่เลิศเลอ  แต่ฉันก็ไม่สิ้นคิดไปคว้าเด็กใจแตกมาทำแฟนหรอกยะ"

    "ให้มันจริงเถ๊อะ..."  เขาว่ายั่วให้เธอโกรธพร้อมส่งแววตาวาวๆ

    "พอเถอะ  วันนี้ทั้งวันฉันกับนายก็ทะเลาะกันจนฉันๆไม่ต้องทำงานอะไร"

    "ใครบอกให้ทะเลาะล่ะฮะ...ยอมๆผมซะเราก็ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว"

    "เบื่อวะเด็กพูดมาก...ทำให้ฉันต้องกลายเป็นคนพูดมากไปด้วย"

    เช้าวันแรกซึ่งมีบุคคลอื่นในบ้าน  มันคือสาเหตุทำใหห้รติลืมตัว  เพียงเพราะเธอลืมไปว่าตอนนี้มีใครเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเธอ  แต่ไม่รู้ฐานะอะไร  ด้วยความเคยชินกับการเดินหลับตาเข้าห้องน้ำเป็นประจำในทุกๆเช้า    วันนี้ก็เช่นกันตาปรือจากการนอนน้อยของเธอมันบังคับให้เท้าเธอเดินตรงเข้าห้องน้ำตามที่มันเคยทำหน้าที่อย่างเที่ยงทุกวัน  แต่วันนี้เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเคย   ไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าพ้นประตูห้องน้ำ  แค่มีเสียงเปิดประตูเท่านั้นเองเสียงทุ้มๆ ของใครคนหนึ่งดังลั่นปลุกสติที่กำลังงัวเงียให้สว่างจ้าขึ้นทันควัน   

    "เฮ้ย...โรคจิตรึไงอาจุมม่าชอบดูเด็กผู้ชายแก้ผ้าอาบน้ำ"

    "หา...!!!! นี่มันอะไรกัน  เต็มสองตาเลย" 

    รติ  ตกใจสุดขีดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกปลอมที่อยู่หน้า   ผู้ชายตัวโตๆ ผิวขาวๆ กำลังอยู่ในห้องน้ำเธอในเช้าวันนี้  เสียงลั่นห้องน้ำทั้งเขาและเธอเปลี่ยนความเงียบสงัดให้กลายเป็นเสียงหวีดสยอง   เธอรีบยกสองมือปิดตาสองข้าง   เพื่อป้องกันภาพอนาจารวิ่งปะทะลูกตา   แต่นิ้วห่างๆ คงไม้พ้นเห็นภาพตรงหน้าแน่อน  ลมหน้ามืดตีแสกหน้าเธอทันที  เธอล้มไปกองพับกับพื้นห้องน้ำต่อหน้าต่อตาเขา

    "วู้......เป็นลมซะแล้วยัยป้ามหาภัยแอบดูเด็กอาบน้ำสงสัยตกใจความสวยงามแห่งธรรมชาติสร้าง"

    คิมอินวอน   ช้อนร่างไร้สติของรติลอยลิ่วเดินออกจาห้องน้ำเมื่อหาผ้าขนหนูมาพันกายเรียบร้อย  แต่เนื้อตัวยังเปียกน้ำ  เขาวางเธอลงยังโซฟา  ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อให้เธอได้สติกลับมา  แต่เธอก็ยังไม่มีสติกลับมา  เขาจำเป็นต้องใช้วิธีสมัยเรียนมาใช้ซะเพราะอาจารย์เคยสอนไว้  เมื่อมีคนเป็นลมไม่ฟื้นแสดงว่าเขาขาดอาการหายใจควรช่วยชีวิตด้วยการผายปอด  โดยวิธีเม้าส์ทูเม้าส์  แต่ยังไม่ทันที่ปากเขาจะถึงปากนิ่มอิ่มของเธอ...เธอกลับฟื้นขึ้นมาซะก่อน...พอดีกับภาพริมฝีปากและใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้แค่คืบ 

    "ว๊าย !!! นี่นายจะทำอะไรน่ะ"  ฝ่ามือพิฆาตลงกลางแก้มขาวเนียนของเขาเสียงลั่นเพี๊ยะ  คนหวังดีหน้าหงายเห็นดาวลอยเต็มหน้า

    "โอ๊ย....ป้าตบผมทำไม"

    "ก็นายกำลัง...."

    "อย่าบอกนะว่ากำลังคิดว่าผมกำลังจูบป้า....แค่คิดผมก็จะอ๊วกแล้ว"

    "ถ้าไม่ใช่...เมื่อกี้นายกำลังทำอะไร" ในเมื่อเธอกำลังเห็นใบหน้าเขาโน้มลงมาจะชิดหน้าเธออยู่ไม่กี่เซน

    "ผมจะผายปอดให้ป้า"  เขาบอกความจริงแต่...เธอกลับไม่ค่อยจะเชื่อนัก

    "ฉันเป็นอะไรต้องผายปอด  ฉันไม่ได้จมน้ำนะ"  เธอพยายามดึงเกมกลับ

    "คิดว่าผมจะจูบป้าหรือไง  ตบมาได้หน้าชาเลยคนหวังดีแท้ๆทำกันลง"  เขาลูบแก้มตัวเองปรอยๆ เพราะความเจ็บชา

    "ใครอยากให้นายล้อนจ้อนแบบนั้นล่ะ"

    "อ้าว !!! ก็ผมอาบน้ำจะให้อาบทั้งชุดหรือไง"

    "ก็นั่นแหละทำไมไม่ล็อคประตู" 

    "ใครจะรู้ว่าป้าจะเซ่อซ่าเข้ามาแบบนั้นล่ะ"

    "บ้านฉันนี่นาและอกีอย่างฉันชินกับการต้องอยู่คนเดียวเช้าๆ ฉันต้องเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว"   เธอพยายามบอกความเคยชินเมื่อครั้งที่เขายังไม่มาที่นี่

    "เสียงดังซ่าๆ ขนาดนั้นยังไงมันก็ต้องมีคนอยู่ข้างในไม่คิดบ้างหรือไง"

    "ไม่รู้ล่ะ....คราวหน้าล็อคประตูด้วย"

    รติ  แอบเผลอลอบมองกล้ามเนื้อกำยำของเขาเข้าโดยบังเอิญ   ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบๆ  คิดในใจว่าเขาช่างเป็นผู้ชายมีร่างกายเซ็กซี่ซะเหลือเกิน....ในที่สุดสติสตังเธอกลับคืน   เมื่อเขาปล่อยร่างเธอลงกับพื้อน เดินดุ่มๆ กลับไปยังห้องน้ำมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปกปิดช่วงล่าง  เขาหันมาสบตาเธอเพราะรู้ว่าเธอกำลังจ้องมองเขาอยู่

    "ป้า...นั่นแน๊กำลังแอบมองผมตาเขม็งเชียว.....อย่าให้ผมสยองอีกเป็นครั้งที่สองนะ....ยัยป้าโรคจิต"

    "เดี๋ยวเถอะ.....จะโดนปากดีนักใครจะไปรู้ล่ะ"  เธอหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงภาพร่างกายกำยำของผู้ชายขาวนวลเนียนอย่างเขา

    'ใครอยากให้มันเป็นแบบนั้นล่ะ  ฉันเข้าห้องน้ำของฉันอย่างนี้ทุกวัน   มันก็มีลืมบ้างสิ  เซ็ง...เข้าไปนอนต่ออีกนิดดีกว่า'

    รติ  บ่นอุบกับตัวเองเมื่อต้องชีวิตพลิกผันต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนที่เคยชินอะไรแตกต่างกัน 

    รติหายเข้าไปในห้องร่วมชั่วโมงยังไม่กลับออกมา   กว่าจะได้เวลาเยื้องย่างจากถ้ำ   หลังจากเข้าไปหลับต่อราวเกือบชั่วโมง  เธอกลับมาไม่พบใครคนนั้นอยู่ให้กวนอารมย์ 

    'เขาหายไปไหนนะ  หรือออกไปหาอะไรทาน  แต่...ก็ช่างเถอะโตจนสุนัขเลียตูดไม่ถึงแล้วคงไม่โดนจับไปขายสวนสัตว์หรอกมั๊ง   อยู่เมืองไทยก็ตั้งนานย่อมรู้ทางไปมาบ้างแหละ'

    ในขณะที่ยังไม่สลัดความงัวเงียรอบสองเสียงออดหน้าบ้านก็ส่งเสียงขึ้น  เมื่อรับรู้ว่ามีใครสักคนมากดออดหน้าบ้าน  จึงร้อนรนออกทั้งที่ยังไม่จัดการกับตัวเอง

    ติ๊งต่อง  ติ๊งต่อง 

    'ใครกันนะมาแต่เช้าเชียว....น่าจะใช่นายตัวแสบ' เธอว่าพลางเดินรุดไปยังหน้าบ้านเพื่อไขข้อข้องใจของตัวเอง

    "รติครับ.....เปิดประตูให้พี่หน่อยครับ   พี่กันย์เอง"

    'พี่กันย์...มะ...มีธุรอะไรคะ"  เธอประหลาดใจที่มีแขกไม่ได้รับเชิญมาบ้านเธออีกรายในรอบสองวัน  แต่ตอนนี้เธอยังอยู่ในสภาพที่ยังไม่แต่งตัวไม่อาบน้ำเลย  แต่สำหรับผู้ชายคนนี้เธอคงไม่ต้องมีอะไรที่จะรักษาภาพพจน์

    "ไม่มีธุระพี่มาที่นี่ไม่ได้แล้วหรือไงจ๊ะ.....ก่อนอื่นพี่ขอเข้าไปข้างในได้ไม๊"

    "เชิญค่ะ....แหมพี่กันย์อุตส่าให้เกียรติแวะมาเยี่ยมรังหนูของรติ"

    "ไม่นะจ๊ะ....รติอย่าพูดแบบนั้นสิ...พูดยังกับว่าเราเป็นคนอื่นคนไกล"

    "แต่....เราเลิกกันแล้ว....พี่กันย์ก็รู้"

    "ไม่เอาน่ารติ  ทำไมต่อว่าพี่แบบนั้นล่ะครับ"

    "คู่หมั้นไม่มาด้วยหรือคะ"  เธอแกล้งยอกเย้าเขาเล่นเขาเล่น

    "รติเชื่อว่าพี่กันย์ต้องมีธุระกับรติไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงบ้านโทรมของรติหรอก"

    "ไม่เชิญพี่เข้าบ้านก่อนรึ"  เขาตัดบท

    บ้านรติเล็กนิดเดียวมันไม่เหมาะกับพี่หรอกอย่าเข้าไปเลยดีกว่ามีอะไรเราก็นั่งคุยกันหน้าบ้านนี้ก็ได้....เชิญนั่งตรงม้านั่งตัวนั้นดีกว่าค่ะ"  เธอชี้ไปยังม้านั่งไม้สีเปลือกไม้เก่าๆ

    "พี่ไม่ใส่ใจเรื่องนั้นหรอกนะรติ"

    "คุยกันหน้าบ้านนี้แหละค่ะ"

    รติเชื้อเชิญให้เขานั่ง ...ตัวเธอขอตัวไปหาเครื่องดื่มประจำบ้านเธอมาให้มันคือน้ำเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยน้ำใจงามของเจ้าของ  เธอกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำเย็นหนึ่งแก้ว  ส่งให้เขาตามมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี

    "ขอบคุณ"  เขารับแก้วน้ำมาถือไว้และไม่ลืมจะขอบคุณอดีตคนเคยรัก

    "ว่าไงคะ มีอะไรจะคุยกับรติ"  เธอจ้องหน้าขาวสะอาดของเขา  หน้าขาวตี๋ตาตี่ที่เคยมีเมตตาต่อเธอเสมอมา

    "พี่อยากรู้เรื่องที่ไม่ได้รับความกระจ่าง  พอดีพี่ได้ยินจากคนอื่นมา"

    "เรื่องที่ไม่ได้รับความกระจ่าง...เรื่องอะไรคะ !!!"  เธอไม่คิดว่าระหว่างเธอกับหนุ่มหน้าตี๋นี้จะยังมีอะไรค้างคาต่อกันอีกในเมื่อมันจบไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว

    "ใช่มียังมีข้อสงสัยกับการเลิกราของเรา....พี่รับฟังมาจากแม่แบบหนึ่ง...แต่เมื่อไม่นานมานี้พี่กลับรับฟังมาอีกอย่างหนึ่งจากคนๆ หนึ่ง"  เขารับฟังเรื่องราวที่ไม่ตรงกันระหว่างคนสองคนแต่ทั้งสองคนไม่ใช่อดีตคนรักของเขา

    "เรื่องของเรามันน่าจะกระจ่างตั้งแต่สองปีมาแล้วนะคะ....เวลามันผ่านมานานแล้ว  เราจะฟื้นฝอยหาตะเข็บดีกว่าค่ะมันไม่มีประโยชน์นอกจากจะเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดของรติแล้วมันจะมีประโยชน์อื่นอีกไม๊คะ ยังไงซะเราก็กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้  ถึงแม้วันนี้พี่กันย์จะได้รับฟังอะไรก็มีค่าเท่ากัน"

    "เปล่านะรติพี่ไม่ได้คิดแบบนั้น  แค่พี่อยากรู้ความจริง  ในเมื่อรติรักพี่ทำไมเราต้องเลิกกัน"

    "รติ คงอยากได้เงิน   รติจน  พอรติเห็นเงินตาโตคว้าเงินของแม่พี่กันย์ไว้ซะหนึบ  แค่นี้พี่กันย์ยังไม่เข้าใจอีกรึไง"  รติแกล้งว่าทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น

    "พี่รู้นะรติรักพี่มาก...แต่...อยู่ๆ  รติต้องการเลิกกับพี่...พี่ว่ามันต้องมีอะไร"

    "แล้วทำไมพี่กันย์พึ่งจะสงสัยเอาป่านนี้สองปีที่แล้วนะ....พี่กันย์มันนานไปสำหรับความเจ็บปวดที่ทำร้ายจิตใจ....ตอนนี้พี่ก็หมั้นตรมที่แม่พี่ต้องการ  อีกไม่นานพี่คงต้องแต่งมันคือจุดจบสำหรับความรักของเราอย่างสมบูรณ์"

    "พี่ไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้น"  เขาบอกเธอด้วยความรู้สึกนั้นจริงๆ

    "พี่กันย์...เราต่างกันแม่พี่ไม่ชอบรติ  เท่านั้นเหตุผลที่เรารักกันไม่ได้  มันไม่ใช่ความรัก"

    "ไม่นะ...พี่จะไม่ยอมแต่งงานถ้าพี่ไม่ได้รู้ความจริง"

    "รติคิดว่าพี่กันย์ควรกลับไป   กลับไปอยู่ในที่ของพี่กันย์ที่ๆแม่พี่จัดไว้ให้"

    "แม่บังคับพี่"

    "แล้วไงคะ  พี่จะแหกกฎเหล็กของแม่  หนีมาอยู่หรือแต่งงานกับรติอย่างนั้นหรือคะ"  เธอกล่าวพร้อมความคับแค้น

    "ที่ของพี่กันย์ไม่ได้จัดไว้ให้สำหรับคนจนอย่างรติ  รติมีที่ของตัวเองที่แคบๆ  พอให้ลมหายใจเข้าออกปอดเท่านั้น"

    "แม่พี่บอกว่ารติรับเงินจากแม่แค่เพียงเสนอเงินเงินก้อนหนึ่งให้รติ....เพื่อซื้อความรักของเรา  รติยอมรับเงินนั่นจริงหรือ....มันเป็นจริงตามที่แม่พี่บอกไม๊...ตอบพี่มาสิรติ"  เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอเขย่าราวคนเสียสติ

    "คงงั้นมั๊งคะ  ในเมื่อแม่พี่บอกอย่างนั้นก็คงตามนั้นค่ะ"

    กันตวิชญ์ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขารับฟังมา  มันอาจจะแค่คำบอกกล่าวที่ผิดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  แต่เขาก็รู้อีกว่าคนอย่างรติ  เธอมีศักดิ์ค้ำคอเกินกว่าจะรับข้อเสนอของมารดาเขา  เขามาวันน้เพื่อต้องการรับคำตอบที่ดีเขาพร้อมที่จะถอนหมั้นและทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ   แต่เมื่อเธอยืนยันกับเขาแบบนั้น  เรื่องราวมันคงต้องดำเนินต่อไปอย่างที่มารดาเขาต้องการเช่นเดิม

     

    "รติขอร้องพี่กันกลับนะคะถือว่าเห็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกดีๆ ต่อกันเถอะค่ะ  ทิ้งให้รติอยู่ในที่ของรติ  คนเรามีวิถีทางดำเนินไปต่างคนก็ต่างมา"  เธอนั่งก้มหน้ามองเท้าตัวเองไม่อยากมองใบหน้าคนเคยรักอย่างเขาอีกแล้ว

    เธอผลักใสเขาให้ออกห่างชีวิตเพื่ออนาคตที่ดีของอดีตคนรัก   อีกอย่างหากเขาไปซะจากชีวิตเธอ  เธอจะก็จะปลอดภัยไม่ถูกละลานจากมารดาเขา   เธอทนไม่ได้หากพ่อกับแม่ต้องเพราะเธอไม่ยอมตัดใจ  เธอกำลังจะร้องไห้แต่ดึงน้ำตากลับได้ดังเดิม

    "รติ"   เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    "เชิญค่ะ  รติไม่มีอะไรจะพูดกับพี่"

    กันตวิชญ์ผลุนผลันออกจากบ้าน  โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีใครอื่นแอบฟังการสนทนาระหว่างเขากับรติ  ไม่ห่างนัก   คิมอินวอนโผล่เข้ามาภายในบ้านตอนนี้มีเพียงเธอยังนั่งอยู่ม้านั่งตัวเดิมแววตาเจ็บช้ำ   

    "ป้าฮะใครกันน่ะ...หน้าตาดีนะ....แต่งตัวดีภูมิฐาน  บก. ที่สำนักพิมพ์หรือเปล่า"  คิมอินวอนรู้ทุกอย่างแต่เขาไม่อยากให้เธอเครียดกับสถานะการณ์ซึ่งพึ่งจบลงเมื่อครู่ 

    เธอแสร้งหลบสายตาเขา  เมื่อเขาพยายามที่จะมองหน้าเธอ  เขายังซักและวนเวียนจะยั่วยุเธอไม่ห่าง "ใคร...ใครที่ไหนกันไม่เห็นจะใครเลย"

    "มีสิฮะก็เขาพึ่งเดินออกไปเมื่อกี้"

    "อย่าไปสนคนอื่นเลยน่า  เขาถามทางไปบ้านเพื่อนเขาก็เท่านั้น"

    "ถามทางจริงอะ...หลอกผมเปล่า...ถามทางแล้วทำไมป้าเศร้าๆ แบบนั้นล่ะ"  เขายังซักไม่เลิก

    "ในใจแต่เรื่องคนอื่น....ว่าแต่นายเถอะหายไปไหนมา...ไม่คิดจะบอกกล่าวเจ้าของบ้านสักสักนิดเลยนะ"  เธอเลี่ยงไม่ตอบคำถามแต่กลับถามเขากลับ

    "ก็คนเมื่อกี้  คนที่เดินออกไป"   เขาบอกซ้ำพร้อมชี้ไปยังหน้าบ้านซึ่งมีคนเดินผ่านออกไปไม่ถึงนาที

    "บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิเขาเข้าบ้านผิดฉันเลยบอกทางให้เขาไปอีกทาง  เขามาถามเพื่อนเขาก็แค่นั้น"  เธอโกหกหน้าตาย...แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ดี...ขึ้นชื่อว่าเด็กเจ้าปัญหา....ย่อมต้องถามปัญหา

    "นั่นแน๊พอผมไม่อยู่บ้านพาผู้ชายเข้าบ้านเลยนะ....คิดว่าผมรู้ไม่ทันเหรอ..."  เขาตีหน้าหล่อทะเล้นปนทะลึ่งในเวลาเดียวกันได้อย่างดีเยี่ยม

    "กรุณาอย่างสนใจเรื่องของคนอื่นให้มากนัก"  เธอพร่ำสอนราวเขาเป็นลูกสิทธิ์ขยับแว่นหนานั้นให้เข้าที่พร้อมเดินกลับเข้าไปในรังหนู  เอ้ย....บ้าน

    เขาเดินตามและพูดไล่หลังไปติดๆ

    "ผมรู้นะป้ามีเรื่องไม่สบายใจ"

    "ถามจริงนายเป็นหมอดูหรือไงเที่ยวมารู้ว่าใครมีเรื่องอะไร  ไม่มีเรื่องอะไรน่ะ"

    "ก็...เปล่าแค่พูดไปตามที่สายตามันเห็นก็เท่านั้น"

    "คนอย่างนายใส่ใจใครเป็นด้วยหรือ  วันๆ เห็นแต่จะกวนประสาทฉัน คอยว่าฉัน  ป้ามั่ง  ผีดิบมั่ง"

    "ผมน่ะอ่อนโยนกว่าที่ป้าคิดนะฮะ"

    "อ่อนโยน"  เธอทวนคำว่าอ่อนโยนเพราะไม่อยากเชื่อว่าคำว่าอ่อนโยนจะมีในสายเลือดของนายคิมอินวอน  แยงกี้  มาเฟียคนนี้  ภายใต้บุคลิกกวนประสาท  หน้าตาหล่อเหลา  เพื่อหลอกให้สาวลุ่มหลงจะมีอะไรที่เป็นข้อดีและข้อเสียของนายคนนี้บ้าง

    "ฉันอยากรู้เรื่องของนายมากกว่า"  เธอเปลี่ยนเรื่องคุยซะอย่างนั้น

    "เรื่องของผม..."

    "นายไปไหนมา  รู้ทางแถวนี้รึไง"

    "ก็พอรู้บ้าง....แหมผมน่ะอยู่เมืองไทยมาตั้งนาน...ไม่รู้เลยมันก็เกินไปแค่พูดภาษาไทยได้ก็สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้แล้ว"  เขาอธิบายมีเหตุผล

    "ฉันก็อุตส่าห่วง  นึกว่าโดนจับตัวไปซะแล้ว"

    "ถึงผมจะพูดไทยไม่ชัด  คงไม่มีใครจับผมไปโชว์ที่สวนสัตว์หรือสวนสนุกที่ไหนหรอก"

    "เขาคงไม่เอาไปโชว์หาตังด์หรอก  อย่างนี้จับตัวไปก็ต้องคิดหนักจะมีปัญญาหาของให้กินได้ไม๊  กินจุยังกะยัดนุ่น"

    "ยัดนุ่น...?"

    "ช่ายยัดนุ่น"

    "มันคืออะไรครับไอ้คำว่ายัดนุ่นเนี่ย"

    "อ้าว....นึกว่ารู้...คำว่ากินยังกะยัดนุ่นเนี่ยแปลว่า  กินเยอะกินจุ  กินจนคนเลี้ยงจะเลี้ยงไม่ไหว"

    "อ๋อ...เข้าใจแล้ว"

    เขาพยายามเข้าใจคำศัพท์ไทยๆ ซึ่งส่วนมากล้วนมากตากโดนเธอด่าบ่อยๆ เธอก็พยายามเรียนคำศัพท์ของเกาหลีจากการต่อว่าของเขาเช่นกัน

    "ถ้าผมถามคุณ..คุณจะโกรธไม๊ฮะ"

    "ถาม...นายจะถามอะไรฉัน  ฉันมีเรื่องที่ให้นายต้องสงสัยรึไง"

    "แหมคุณกับผมไม่ใช่มีแค่เรื่องทะเลาะกันนะ  บางครั้งผมก็มีสาระบ้าง  คุณดูผมไม่มีแก่นสารเลยใช่ไม๊"

    "อือ...คงอย่างนั้นมั๊ง"

    "ซะอย่างนั้น"  เขาแสดงอาการน้อยใจต่อหน้าเธอก็เป็นด้วย  ทำให้น่ารักไปอีกแบบนายแยงกี้ มาเฟียคนนี้  เธอแอบมองใบหน้าเรียวยาวของเขา  ให้ตายเถอะนายคนนี้หลอจริงๆ  หากเธอรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือเด็กกว่าเขาเธอคงหลงรักเขาไปแล้ว  แต่เสียดายเธอไม่เคยพิศมัยผู้ชายที่อ่อนกว่าไม่ว่ากรณีใดๆ 

    "ก็แค่จะถามคุณป้าว่า"

    "เดี๋ยวๆ เมื่อกี้ยังเรียกคุณ....แต่พอตอนนี้เรียกคุณแต่ดันมีต่อท้ายคำป้าอีกตามเคย  มันจะตอกย้ำมากไปแล้วนะเจ้าเด็กน้อย"

    "อย่านอกเรื่องสิ   ป้าก็ยอมรับว่าป้าสิ  หรือจะให้เรียกเจ๊ หรืออาจุมม่า  ก็ไม่เลวนะ"

    "แล้วมันความหมายเดียวหรือเปล่าล่ะ"

    "ไม่ต่างกัน"  เขาว่าพลางยักไหล่

    "เลิกนอกเรื่องได้แล้ว  จะถามอะไรก็รีบถามมา"  เธอเข้าเรื่องให้เขาเพราะลำคาญการต่อปากต่อคำไม่ลดละของเขาเป็นที่สุด

    "ป้า...เอ้ยคุณเคยมีแฟนไม๊"  เขาถามตรงจุด  เพราะคนอย่างเขาคำว่าอ้อมค้อมไม่ค่อยปรากฎในหัวสักเท่าไหร่

    "นี่คือคำถามเหรอ" 

    "ฮะ...ใช่"

    "แล้วต้องการคำตอบไม๊" 

    "อ้าว...เปรี้ยวจี๊ดแล้วไงคุณป้าไม่ต้องการทำตอบจะถามทำป๊าเหรอ"

    "งั้นก็ขอตอบตามตรงไม่อ้อมค้อมเหมือนกัน....ว่า...มี..แต่ตอนนี้กลายเป็นอดีต"

    "ทำไมกลายเป็นอดีต...อ๋อ...ไม่ต้องตอบหรอกเจ้าป้าคงทำตัวโทรม  เซะๆ   ซึมเซาแบบนี้ใช่ไม๊  เขาถึงได้เลิกไป"

    "ฐานะเราต่างกัน  เขารวยฉันจน  แม่เขาไม่ชอบความจนอันยิ่งใหญ่ของฉัน" เธอไม่สนใจคำต่อว่าของเขาเพราะขี้เกียจทะเลาะ

    "อื๋อ...งั้นหรอกหรือนี่....งั้นผมขอโทษ"  เขารู้ว่าไม่สมควรจะรื้อฟื้นอดีตเจ็บช้ำของใคร   แค่จบประโยค  แววตาซึมเศร้าเริ่มก่อตัว....คล้ายจะร้องไห้....แต่คงเผยให้เห็นแค่แววตาแดงก่ำไม่มีหยดน้ำตาสักหยด

    "นายจะขอโทษฉันทำไมกันในเมื่อนายอยากรู้ไม่ใช่หรือ"

    "ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้"

    "เรื่องมันนานมาแล้ว...ฉันลืมๆ มันไปบ้างแล้วล่ะ"

    "ลืม...แต่ท่าทางเจ้าป้ายังไม่ลืมนะ"

    "ทำไมฉันจะลืมไม่ได้ล่ะ  แค่ความรักที่ถูกพิพากษาด้วยความรวยความจน  กับชีวิตของผู้ชายลูกแหงติดแม่คนหนึ่ง  ฉันไม่ควรจดจำมันสักนิด"

    "ทำไมเจ้าป้าไม่มีแฟนใหม่ซะทีล่ะ"

    "มีแฟนใหม่...หาง่ายเหมือนเจ็บดอกไม้เลยหรือไงล่ะ....คนนะหาคนที่รักเราจริงน่ะมันยากยิ่งกว่ารอถูกรางวัลแจ๊กพอร์ตซะอีก  คนรวยต้องคู่กับคนรวย  มันกลายเป็นกฎของธรรมชาติไปแล้ว"

    "กฎธรรมชาติ  แล้วทำไมคุณไม่คิดจะฝืนกฎธรรมชาติบ้างล่ะ"  เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกเธอ

    "เปลี่ยนกฎของคนรวยให้มารักคนจนน่ะรึ  ฝันอะไรไปหรือเปล่าพ่อหนุ่มนักจิตรกร"

    "ความรัก และการต่อสู้  การต่อสู้เพื่อคนที่เรารัก   ฝ่าฝันไปด้วยกัน"

    "ฝ่าฝัน  นายน่ะมันเด็กเพ้อเจ้อ  การเปลี่ยนค่านิยมที่ปลูกฝังมาจนจมหัว  เราจะไปเปลี่ยนเขายังไง"

    "ใช้หัวใจสิ  หัวใจที่ต่อสู้กับอุปสรรค"

    นายคิมอินวอน  บทจะมีเนื้อหาสาระกับชีวิตก็มีจนล้นเหลือ  เขาพยายามต่อสู้อยู่กับคำว่าชนชั้นทางสังคม   เกาหลีกับไทยค่านิยมเหล่านี้ถูกปลูกฝังมานานนับศตวรรษ   แต่เกาหลีน่าจะมีความเข้มของเรื่องราวเหล่านี้น้อยกว่าไทย 

    "คุณเคยคิดว่าจะมีใครใหม่ไม๊"  เขายิงคำถามเจาะในราวพิธีกรสัมภาษณ์ดาราในรายการท็อกโชว์

    "เคย...แต่ไม่ใช่เวลานี้"   เธอว่า

    "แล้วเมื่อไหร่  จะให้อายุมากๆ แล้วไอ้ความสนุกสดชื่นในชีวิตมันก็จะค่อยๆ หายไปนะ"

    "เมื่อไหร่...เรื่องพวกนี้กำหนดไม่ได้"

    "ทำไมกำหนดไม่ได้ในเมื่อนี่คือชีวิตเรา"

    "เวลาจะบอกว่าสมควรหรือเปล่า  บางครั้งเราคบใครก็ใช่ว่าคนนั้นจะใช่สำหรับเรา  หรือบางครั้งเราอาจจะคิดว่าใช่  แต่เขาอาจจะคิดว่าไม่ใช่ฉะนั้นเรื่องความรักไม่มีคำว่ากำหนด"

    "เราทำไมต้องเดินตามเวลาหรือพรหมลิขิตที่กำลังขีดเส้นให้เราเดิน  เราขีดเส้นขึ้นมาเองไม่ได้รึ"

    "นายเนี่ยจริงเลยนะ  มิน่าล่ะกล้าหนีออกจากบ้าน พ่อแม่นายเขาคงตามนายไม่ไหวเลยไม่เห็นสนใจจะออกตามหา"

    "ใครว่าล่ะ  พ่อแม่ผมคือพรหมลิขิตสำหรับผมเลยล่ะ"

    "แต่นายก็ดูมีความเป็นตัวของตัวเองสูง  พ่อแม่ไม่น่าจะกะเกณฑ์ชีวิตนายได้นะ"

    "พ่อผมไม่เท่าไหร่  ถ้าลูกชอบหรือพอใจอะไรจะสนับสนุนเต็มที่  ผิดกับแม่ท่านไม่สนใจว่าลูกๆ จะชอบหรือเกลียดอะไร   สิ่งที่ท่านต้องการคือต้องทำตามในสิ่งที่ท่านจัดหาไว้ให้เท่านั้นพอ"

    "เหมือนกับที่พี่สาวและพี่ชายนายกำลังทำอยู่ในขณะนี้ใช่ไม๊"

    "ใช่ ....ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน  แต่ไม่โจ่งแจ้งเหมือนผมก็เท่านั้น"

    "ก็นายมันหัวศิลปิน"  เธอแกล้งว่าเขาในที

    "การทำตามพ่อแม่มันก็ดีอย่างมันจะทำให้เราเป็นลูกกตัญญู  แต่อีกทางมันจะทำให้เราต้องอยู่กับความไม่เป็นตัวของตัวเอง"

    "หรือที่เขาบอกว่าอยู่ในสิ่งที่ไม่ชอบ"  เธอเสริมทัพ

    "ช่ายๆ  อย่างที่สุด  คนเราถ้าฝืน และอดทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ  ความอดทนจะต้องสิ้นสุดสักวัน"

    "คุณเคยจูบกับแฟนไม๊"

    อยู่ๆ  เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยซะตื้อจนคนที่จะตอบตั้งตัวไม่ติด    มันคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับประเทศเขาหรือมันแค่เรื่องขำสำหรับวัยรุ่นเลือดร้อนแบบเขากันแน่จึงคิดถามผู้หญิงเฉิ่มๆ เชยๆ อย่างรติ  เธอได้แต่นิ่งเงียบกับคำถามนั้น  และถามกลับไปว่า

    "แล้วทำไมต้องจูบ"

    "ก็จูบเพื่อเพิ่มพลังรัก  เวลาคนรักกันก็ต้องจูบกัน  มันคือการมอบความรักความอบอุ่นสู่ใจสำหรับคนรัก"

    "ดูนายจะชำนาญเรื่องพวกนี้จังนะ"

    "ไม่หรอก...เวลาที่ผมรักใคร...ผมก็รักทั้งใจ...ผมมักแสดงความรักกับคนรักด้วยการสัมผัส  สิ่งแรกที่ผมไม่ลืมคือการจูบ"

    "มันหมายถึงความใคร่ไม่ใช่หรือ"

    "ไม่...การจูบไม่ใช่มาจากความใคร่  มันมาจากหัวใจรักของคนๆ หนึ่งถ่ายทอดสู่คนอีกคนหนึ่งแล้วหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้หัวใจรัก"

    "อือ...นายนี่คงจะเป็นนักรักมือโปรจริงๆ"

    "แล้วตกลงคุณเคยจูบกับเขาไม๊"  เขาไล่เธออีก

    "ไม่เคยหรอก  ความเป็นผู้หญิงไทยสอนให้ฉันต้องระวังเรื่องการสัมผัสอันก่อให้เกิดตัญหา"

    "ผู้หญิงไทยดูเคร่งกับเรื่องพวกนี้กว่าผู้หญิงเกาหลี"

    "แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน   เด็กวัยรุ่นสมัยนี้รู้จักเรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย  เพราะการรับวัฒนธรรมทางตะวันตกมาเยอะ  กานจูบกอดเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว"

    "งั้นป้าก็เชยอยู่คนเดียวสิ"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×