คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บท 3 เสือสองตัว
บท 3 เสือสองตัว
เมื่อเสือจากแดนโสมโคจรมาพบกับเสือตัวเมียแห่งแดนสยาม สิ่งไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้น การก่อตัวของสงครามประสาทระหว่างสองประเทศซึ่งก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อแรกเจอ ไม่รู้ว่าสองคนนี้เคยโกรธเคืองกันมาชาติปางค์ใดจึงห่ำหันเชือดเฉือนอารมย์ถึงพริกถึงขิงตั้งตาวันแกรที่พบกัน
เธอชิงลงมือกับนายแยงกี้ก่อนถือว่าได้เปรียบเพราะคู่ต่อสู้ยังไม่ทันตั้งตัว ชิงลงมือก่อนย่อมมีสิทธิ์ชนะ เธอรัวหมัดเข้าใส่ที่ไหล่และลำตัวเขาราวนักชกมืออาชีพขยันออกหมัด เพื่อสั่งสอนความปากดีของเขา
“โอ้ย....ๆๆ ...ป้าผมเจ็บนะ...ทำร้ายผมทำไมเนี่ย....”
“นี่แนะ...ว่าฉันดีนัก คำก็ป้า สองคำก็แว่น สามคำก็ผีดิบ”
“แล้วมันจริงไม๊ล่ะยอมรับตัวเองซะป้าเป็นอย่างที่ผมพูดจริงๆ ”
คิมอินวอน ปัดป้องตัวเองจากกำปั้นเรียวเล็กนั้นพลางวิ่งหนีเอาตัวรอดไปรอบห้องรับแขกเล็กๆ ภายในบ้าน เมื่อเขาสบโอกาสที่จะหนีจากเงื้อมือมัจจราชหน้าซี๊ด เขาตบมาด้านหลังเธอทันที เขาใช้สองมือใหญ่รวบข้อมือเล็กทั้งสองเธอแล้วผลักแผ่นหลังเธอให้เดินไปส่องกระจกเงาบานใหญ่เพื่อดูสาระรูปซี๊ดเซียวไร้สีสันความสดใสแห่งวัยสาว
ร้ายไปกว่านั้นเขายังรวบใบหน้าซี๊ดเผือดเธอไว้ในมือหนาของเขาให้เธอดูหน้าเธอเองชัดๆ เธอจะได้รู้และสำนึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับผีดิบตายซาก เธอพยายามดิ้นดุกดิกให้พ้นมือใหญ่นั้นแต่ไม่เป็นผลเขาแข็งแรงราวนักกล้าม หรือนักกีฬา การดิ้นรนของเธอจึงไม่เป็นผล
“นี่ดูซะ ดูป้าสิสภาพเหมือนอะไร ใช่อย่างที่ผมบอกไม๊ จะหาว่าผมโกหก ดูซิผมยังกะรังนก แว่นอันนี้ให้ประทานให้มามันช่างทำให้คุณขี้เหร่ได้ดีจริงๆ แล้วนี่อีกใบหน้ามอมแมม เคยดูแลมั่งไม๊เนี่ย หรือวันๆ เอาแต่หมกตัวหน้าคอมพิวเตอร์และหนังสือร้อยๆเล่ม ผ่อนคลายมั่งเธอป้า ชีวิตมีอะไรให้คิดมากกว่านั่งเจ่าไร้สติแบบนี้
รติ มองเห็นตัวเองในกระจกเงา เธอยอมรับว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาบอก แต่จะให้ยอมรับง่ายๆ เสียศักดิ์ศรีตาย ก็เธออกหักนี่นา มันก็หมดแรงหมดกำลังจะกลับมาดูแลตัวเองให้สวยสิ
ความพยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือยักษ์นั้นเริ่มเป็นผลเมื่อเขาเริ่มคลายมือให้หลวมและยอมปล่อยเธอให้หบุดจากการเกาะกุม
“ปล่อยฉัน...อย่ามายุ่งกับฉัน ไอ้เด็กปากสุนัข หนอยแนะ....นายน่ะมันก็แค่เด็กตัวแสบไม่มีรังนอนยังจะซ่าไม่รู้ที่รู้ทางอีก ยังมีหน้าปากดีกับเจ้าของบ้านอีก....ฟังนะฉันจะเป็นยังไงมันเรื่องของฉัน นายน่ะทำตัวให้ดีๆ ละกันปากดีๆ แบบนี้เดี๋ยวฉันจะเรียกตัวผู้ปกครองมาจับตัวกลับไปซะหรอก” รติ หอบแฮกเมื่อด่าเขาจบ
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ยอมรับละสิ...ยัยป้าผีดิบ” เขาลอยหน้าลอยตายั่วยุเธอเข้าไปอีก
“ฉันจะเป็นยังไงมันเรื่องของฉัน หนักส่วนใหญ่ของนายฉันไปใส่แว่นนั่งบนบ่านายหรือไง”
“หนักลูกกะตา” เขาว่าพลางชี้ไปที่ตาของเขา
“ถ้านายไม่หยุดฉันจะไล่นายออกไปนอนนอกบ้าเดี๋ยวนี้แหละ” เธอไม่พูดเปล่าเดินไปหยิบกระเป๋าเขาเตรียมโยนออกจากบ้าน
“นี่ๆ คุณจะทำอะไรอยาแตะต้องของๆ ผม วางที่เดิมเดี๋ยวนี้เจ้าป้าผีดิบ”
“ก็จะโยนออกนอกบ้านน่ะสิ....เก็บไว้ก็รกบ้านแล้วเดี๋ยวจะไล่เจ้าของกระเป๋าออกไปด้วย”
“จะฆ่าผมให้ตาย....ผมก็ยังยืนยันว่าคุณคือป้าผีดิบและอีกอย่างผมจะอยู่ที่ไม่ไปไหน” เขาคว้าประเป๋าเป้จากมือเธอทำให้ตัวเธอเซถลาเข้ามาเกือบแนบชิดกับอกกว้างเขา
“ว๊าย...” ระติร้องเสียงหลงเมื่อตัวเธอเกือบปะกับเขา
ต่างคนต่างจ้องตาตะลึงตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ แต่คนที่สติกลับมาก่อนคือนายคิมอินวอน
“ยัยป้าถอยไปเลยนะ...อย่าเข้ามาใกล้ผม ผมกลัว” เขารีบผละตัวให้ห่างจากเธอ
“นี่ฉันอยากเข้าใกล้นายตายเลย”
“ผมกลัวผีดิบหลอก อย่าเข้ามานะ..ผมกลัวแล้ว” เขาแกล้งทำท่าหวาดกลัวและแกล้งทำตัวสั่นงันงก
หยุดนะ....พอซะทีกับไอ้ท่าที่ทุเรศๆนั้น นายมันกวนประสาทฉันไม่หยุดหย่อน ทำไมนะชีวิตฉันมันก็สงบเงียบแท้ๆ พอนายเข้ามาทำไมมันยุ่งยากวุ่นวาย ไม่มีเวลาต่อล้อต่เถียงกับนาย”
“ไม่กล้ายอมรับความจริงล่ะสิ” เขายังยั่วยุไม่เลิก
“ผมจะบอกอะไรให้เอาไม๊ยัยป้าผีดิบ”
“บอกอะไร น้ำลายอย่างนายฉันไม่จำเป็นต้องฟัง”
“นักเขียนหรือนักประพันที่ดีไม่จำเลยที่จะต้องอ่านหนังสือกองโต แต่งตัวโทรมซี๊ด มันมีอะไรที่จรรโลงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานเขียนมีคุณภาพขึ้นมาได้”
“ช่างฉัน สไตล์ใครของใครก็ของมันเลียนกันได้ที่ไหน ที่นานว่าปาวๆ อยู่นี่มันก็คือตัวฉัน ไม่หนักหัวใครจำไว้ เลิกยุ่งกับฉันเราต่างคนต่างอยู่”
“ยัยป้าลองศึกษานักเขียนคนอื่นเขาบ้างนะ มันจะดีกว่าทำตัวแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาแบบนี้”
“หยุดๆ หยุดพล่ามถ้าไม่อยากโดนอีก” เธอโปกมือห้ามทัพสงครามน้ำลาย
“เก็บคำพูดของซึ่งอาจจะอ่อนวัยกว่านิดหน่อยกลับไปทบทวนเผื่อจะทำให้คุณสำนึกบ้าง.... ดูตัวอย่างพี่แพมสิ....สวยใส โฉบเฉี่ยมแถมมาดมั้นอีกต่างหาก มองทีไรสดชื่นทุกครั้ง”
“เฮ้อ....ยังไม่ยอมหยุด...ถ้านายไม่หยุดฉันขอเป็นฝ่ายหยุดเองละกัน” เธอไม่สามารถห้ามทับได้จำเป็นต้องหยุดซะเองโดยการเดินหนี
“หรือว่า....ป้ามีความหลังอะไรเลยไม่กล้าทำสวย” เขายังตามมาละลานเธออีกไม่ลดละ
รติ นิ่งเงียบชั่วครู่....ก่อนจะหันกลับมาปะทะคารมย์อีกระรอก
“ความหลัง...ทำไมฉันต้องมีความหลัง ถึงแม้ว่าฉันมี....จำเป็นด้วยรึ ที่ฉันจะมาสาทยายบอกนายไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
“เด็กเมื่อวานซืน ช่วยแปลให้ผมฟังได้ไหม”
รติ เริ่มยิ้มเยาะกับการไม่รู้คำแสลงของไทยของนายแยงกี้ ดี # ไม่รู้ความหมายซะบ้างจะได้ด่าให้สนุกปาก
“ไม่มีความหมาย”
“ไม่เป็นไรไม่อยากบอกผมก็ไม่เห็นอยากรู้ ไม่ใช่เรื่องของผม ว่างเมื่อไหร่อยากเล่าอยากบอกผมพร้อมทุกเมื่อ”
“ดี...อยู่เฉยๆ ซะบ้างจะได้ดูมีเสน่ห์”
“ผมน่ะมีเสน่ห์ หล่อ เท่ เหลือร้ายอยู่แล้ว” เขาวางท่าโชว์ความหล่อ ซึ่งเขาก็หล่อจริงๆ นั่นแหละหล่อจนไม่อาจปฏิเสธได้....แต่จะให้เธอยอมรับต่อหน้านายนี่คงไม่มีทาง
“แหวะ หล่อตายเลย หลงตัวเองหน้าด้านๆ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เขายิ่งโชว์เพาเวอร์ความหล่อเข้าไปอีกโดยเก๊กเชซ์ซะเลย
“ฉันขอให้นายหยุดพล่าม....แต่ไม่เห็นจะกยุดซะทีฉันเดินหนีมาถึงตรงนี้ ก็ดันตามมาอีก” เธอพยายามพูดดีกับเขา แต่ตอนนี้เขากลับตีหน้าแปลกประหลาดใส่หน้าเธอ แล้วเขาก็พูดประโยคหักมุมขึ้น
“ผมอยากอาบน้ำ ที่นี่ร้อนอบอ้าวมาก ผมกลัวจะตายเพราะเหงือไหล่หมดตัว”
“โน่นห้องน้ำ เชิญอาบให้สบายอาจจะเป็นวิธีทำให้นายหายบ้าลงบ้าง”
เธอชี้ไปยังห้องน้ำซึ่งมีห้องเดียวภายในบ้านหลังเล็กนี้
“เมืองไทยนี่มันร้อนเป็นบ้าเลย...”
“เชอะ....อยู่เมืองไทยตั้งหลายปีทำเป็นไม่ชินกับอากาศเมืองไทย”
“ใครล่ะ....จะทนอยู่ในห้องอุดอู้แบบนี้ได้ อยู่เข้าไปได้ไม่ยอมออกไปไหน”
“หยุด !!! เรียกฉันป้าได้แล้ว ....ถ้าไม่อยากตาย”
“จะทำอะไรผม...ตัวเท่าลูกหมา” เขายียวนเธออีก
“โอ้ย....ฉันจะบ้าตาย...นี่ฉันหาเรื่องใส่ตัวจริงเลย โลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ฉันคิดงานอะไรไม่ออกแล้วเนี่ย หยุดนิ่งแล้วไปอาบน้ำได้แล้ว ต่อปากต่อคำอยู่นั่นแหละ”
“คร๊าบ....อาจุมม่า”
รติ หยุดต่อล้อต่อเถียง ชีวิตที่ผ่านมาของเธอมันมีความสุขสงบในโลกส่วนตัวแห่งนี้ เธออยู่กับเหล่าบรรดาหนังสือร้อยพันเล่มมันคือเพื่อนคลายเหงา แต่แล้วความสงบสุขสำหรับเธอมันสิ้นสุดตั้งแต่นายกิมจิคนนี้เข้ามา เขาสร้างปัญหาตั้งแต่วันแรกที่โผล่หน้ามา แล้วต่อไปมันจะรอดไม๊เนี่ย เธอไม่อยากคิดถึงวันอื่นๆ เลย
รติ กุมขมับเดินไปกลับยังโซฟาร์ตัวโปรด อาจจะปลงตกกับเรื่องราวปวดหัวซึ่งรับปากกับเพื่อนรักเพื่อให้การช่วยเหลือเจ้าเด็กบ้าคนนี้ เธอไม่เพียงว่านายแยงกี้หน้าหล่อกระชากใจนี้จะต้องอยู่ฟรีกินฟรีด้วยหรือเปล่า กำหนดการพักยาวนานแค่ไหนเธอก็ยังไม่รู้เลย คิดๆ แล้วรติถึงกลับเครียด ต่อไปนี้ไม่รู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรจะตามมาเยือนเธอบ้าง
คิมอินวอน กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมซึ่งกำลังปียกน้ำ เดินออกจากห้องน้ำเปลี่ยนชุดสบาย ไม่รกรุงรังเหมือนชุดเมื่อกี้ส่วนบนยังไม่สวมใหส่อาภรณ์ใดๆ สายตาของรติปะทะเข้ากับร่างกายกำลังของเขาเข้าโดยบังเอิญเพียงชั่วแว๊บหนึ่ง เนื้อตัวเขายังเปียกปอนหยดนี่ยังเกาะตามร่างกายดูเซ็กซี่อย่างประหลาด ชั่วครู่เมื่อเธอเรียกสติกลับมาก็ตอนที่เขากำลังเห็นเธอจ้องเขาตาเขม็ง
“ป้า...ป้าครับป้า...เป็นอะไรนิ่งเชียว เห็นความหล่อผมแล้วตะลึงพูดอะไรไม่ออกเลยสิ”
เขาคือผู้เรียกสติเธอกลับมานั่นเอง รติกลัวฟอร์มแตกเลยสบัดหน้าหนีกลัวเขาจับไต๋ได้ หากเขารู้ว่าเธอแอบมองเขาคงถูกหัวเราะเยาะตายแน่
“น.....นายน่ะ อาบน้ำไวจัง”
“ก็นานแล้วนะ...ยังบอกว่าไวอีกหรือ”
“หิวไม๊”
“เอ๋...?..”
“ทำไม...นายหูตึงตั้งแต่เมื่อไหร่....”
“เปล่า...แค่งง....ก็เมื่อกี้เจ้าป้ายังงอนผมอยู่เลย”
“นี่.....ฉันไม่ใช่คนใจไม้ใส้ระกำขนาดที่ไม่ห่วงแขกปากหมาอย่างนายหรอกยะ”
“ก็ยังดีที่เจ้าป้า....ห่วงใยคนพลัดถิ่นอย่างผม”
“เปล่า...ฉันไม่ได้ห่วงนาย”
“ผมถามจริงเถอะ”
“ถามอะไร...ช่วยถามในสิ่งที่สร้างสรรหน่อยนะ ฉันไม่มีเวลาจะเถียงกับนาย”
“งั้นไม่ถามดีกว่าเดี๋ยวทะเลาะกับเจ้าป้า...จะหาว่าเด็กรังแกวัตถุโบราณ”
‘เย็นไว้ยัยรติ...คิดซะว่าทะเลาะกับเด็ก..มันไม่คุ้ม’ รติบอกตัวเองให้หยุดต่อปากกับเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
“ถ้านายไม่ถาม...ฉันจะถามนายบ้างในฐานะที่ฉันเป็นเจ้าบ้าน จำเป็นที่ฉันต้องรู้เรื่องราวหรือภาษาไทยแท้ๆ เรียกว่ารู้หัวนอนปลายเท้าของนาย”
“เจ้าป้ามีสิทธิ์ถามแต่ผมก็มีสิทธิ์จะไม่บอก...ผมคิดว่าพี่แพมน่าจะเล่าทุกอย่างให้ป้าฟังแล้ว”
“อีกอย่าง...ฉันขออะไรนายสักอย่างนะ”
“ขออะไรผม”
“หยุดเรียกฉันป้า”
“ไม่ได้...”
“ทำไม”
“จนกว่าป้าจะทำตัวให้สมวัย”
“ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามที่นายบอก เพราะฉันไม่มีธุระจำเป็นออกไปพบใคร หรือแม้กระทั่งเฉิดฉายตามงานปาร์ตี้ฉันก็ไม่ปรารถนา”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะต้องออกไปพบใครหรือเปล่า”
“แล้วทำไมต้องให้ฉันเลิกในสิ่งที่ฉันชิน”
“เพื่อตัวป้าเอง และเพื่อคนมอง..ป้าไม่สงสารตัวเองก็สงสารคนที่เขาเสียสละสายตามองป้าสักหน่อยเถอะ”
“ใคร...วันๆ ฉันก็ไม่มีโอกาสออกไปพบใคร แต่งตัวให้กองหนังสือ ให้คอมพิวเตอร์ดูงั้นรึ”
“ไม่ช่าย....ผมหมายถึง...โอ้ย”
เขาบรรยายความต้องการที่จะเปลี่ยนเธอไม่ได้ เพราะคนที่อยู่ในโลกของตัวเองย่อมคิดว่าโลกของเขาเหมาะกับเขาแล้ว
“พอๆ เลิกคิดที่จะเปลี่ยนฉันได้แล้ว ว่าแต่นายเถอะหนีมาเมืองไทยทำไม”
“ผมเบื่อแม่”
“เป็นลูกเบื่อแม่ได้ไง เขาเลี้ยงดูนายมานะ”
“นั่นแหละ....คือสาเหตุที่แม่ต้องการมีอำนาจเหนือลูกๆ ทุกคน”
“มันร้ายแรงขนาดที่นายรับไม่ได้ต้องหนีมาลำบากยังเมืองไทย”
“ป้าไม่ใช่ผม...ป้าจะไม่มีทางเข้าใจหรอก”
“ถ้าอยากให้ฉันเข้าใจ นายก็เล่าให้ฉันฟังสิ”
“เล่าแล้วป้าจะช่วยอะไรผมได้”
“ช่วยไม่ได้ ก็ยินดีรับฟัง ว่าไงนายแยงกี้ปากมอม”
“นี่ๆ ซักถามแบบนี้จะเอาไปเขียนนิยายเปล่านี่”
“ว๊าย !! เรื่องของนายน่ะคิดว่าจะขายได้รึ”
“โถ...หล่ออย่างผม....แค่เดินออกไปปากซอยสาวก็กรี๊ดสลบแล้ว”
“หลงตัวเองชะมัด”
“สาวๆ ต้องแห่มาขอถ่ายรูปผม จนผมหนีไม่ทันซะอีก”
“โห...ขนาดนั้นเชียว...นายน่ะก็หล่อดี....เสียอย่างเดียว...”
“อะไรอย่างผมมีข้อเสียด้วยเหรอ”
“หึ....ก็ปากหมาน่ะสิ”
“โห...ป้า..จำไว้เลยนะว่าผมแบบนี้...ป้าอย่ามารักคนอย่างผมแล้วกัน”
“รักนาย...โถ...ยังอุตส่ากล้าพูดอีกนะ...แสบซ่า....บ้าบิ่น...แถมอายุน้อยกว่าฉันนี่นะ”
“แสบซ่าน่ะ ยอมรับ แต่เรื่องอายุเนี่ย มันก็แค่สองปีเอง”
“นั่นแหละประเด็นสำคัญเพราะฉันไม่ชอบผู้ชายเด็กกว่า ฉันขี้เกียจดูแล...เด็กน่าเบื่อ..การจะมีแฟนคนๆนั้นต้องดูแลให้ความคุ้มครองฉันได้”
“ป้าคงหาไม่ได้หรอกผู้ชายแบบนั้น”
“ทำไม”
“ก็...ทำตัวราวป้าห้าพันปีแบบนี้ ส่องกระจกดูบ้างหรือเปล่า...ฝันลมๆ แล้งๆ อยู่ในบ้านโกโลโกโสแบบนี้ สามชาติไม่รู้จะหาได้หรือเปล่า”
“โถ....นายจะดูถูกฉันมากไปแล้วนะ”
“ไม่ได้ดูถูก...ความจริงที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าล้วนๆ ....มีอารมย์เซ็กยังเสื่อมเมื่อเจอป้าเข้า”
“นาย...นายคิมอินวอน วอนซะแล้ว”
“ยอมรับเถอะป้า...ผมน่ะดู และเลือกผู้หญิงเก่งที่สุดแล้ว”
“ฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อือ”
“พอๆ ฉันถามเกี่ยวกับตัวนายอยู่นะเมื่อครู่ นายยังไม่ตอบ”
“เหรอถามเรื่องผมเหรอ ไม่ยักรู้นึกว่าสมัภาษณ์ดาราเหาหลี.....อือ...จะพูดยังไงดีล่ะเรื่องมันยาว”
คิมอินวอน เอามือเรียวยาวลูบคางตัวเองไปมาพลางนึกเรื่องของที่ทำให้ต้องมาที่นี่
“เอาสั้นๆ....กระชับ ได้ใจความไม่ต้องเยิ่นเย้อ...มันน่าเบื่อ”
“คือ....แม่ผมท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ บ้าอำนาจ ลูกๆ ทุกคนต้องเชื่อฟังในบัญชาของแม่ ไม่ว่าแม่จะสั่งให้ทำอะไรขึ้นชื่อว่าลูกหรือใครก็ตามจะต้องไม่ขัด...แม้กระทั่งพ่อเองก็ด้วย”
“อือ...ขนาดนั้นเชียว” รติ พนักหน้ากึกๆ รับฟัง
“ช่าย...อีกอย่างสิ่งที่ผมและพี่ชายทนไม่ได้คือจับเราให้แต่งงานกับผู้หญิงที่เราไม่รัก ตามความต้งอการของแม่เหตุผลเพียงแค่ต้องการรวบกิจการ พี่สาวคนโตถูกจับให้แต่งงานกับเศรษฐี แบบสายฟ้าแลบทั้งที่พี่สาวผมน่ะเขามีคนรักที่กันมากแต่จำเป็นเลิกรากันเพราะความต้องการของแม่เพียงคนเดียว ”
“พ่อนายไม่ช่วยอะไรพี่สาวนายเลยหรือ”
“ไม่....ไม่มีใครขัดแม่ได้ แม่เป็นคนที่ถือทิฐิเรื่องหน้าตาวงสังคม”
“ท่าทางแม่นายร้ายไม่เบาพูดแค่นี้” รติ ออกความคิดเห็นด้วยเพราะเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้โดยตรง
“แล้วพี่ชายนายเป็นยังไงบ้าง”
“สนใจพี่ชายผมเหรอ” เขาแกล้งแหย่
“บ้า....จะสนใจได้ไงในเมื่อยังไม่รู้จักกันเลย” เธอแล้งทำหน้าเพ้อฝัน
“พี่ชายผมหล่อนะ”
“อือ...หล่อแล้วไงถ้าปากเหมือนนายฉันก็รับประทานไม่ลง”
“ไม่หรอกพี่ชายผมน่ารักทุกอย่างแหละ แต่เขาถูกอิทธิพลเถื่อนของแม่เล่นงานไม่แพ้พี่สาวหรอกภายหลังจากเรียนจบพี่ต้องไปช่วยแม่ดูแลกิจการทั้งที่พี่ไม่ชอบ เขาอยากมีกิจการที่เขารักเอง แต่ก็ต้องพังความฝันของตัวเองเพื่อทำตามแม่สั่ง ที่ร้ายไปกว่านั้นเมื่อไม่นานมานี้ แม่บังคับให้พี่ชายหมั้นหมายกับลูกสาวเจ้าของธุรกิจน้ำมันทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า”
“ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยเนี่ยนะเรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกเหรอ”
“มีสิ ก็ที่เกาหลีไง
“เมืองไทยเขาเลิกทาสแล้วนะการคุมถุงชนก็หมดยุคตามไปด้วย”
“แต่ที่เกาหลีก็ยังมีในยุคเผด็จการของแม่ผม เขาเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกแม่จัดงานดูตัวให้เขาสองคนได้พบกัน”
“อือ...แล้วผู้หญิงคนนั้นหน้าตาดูได้ไม๊”
“เธอก็ดูดีนะ....ติดอยู่แค่...เขาทั้งสองไม่รักกันก็เท่านั้น...”
“แล้วพี่เธอ...มีคนรักไม๊”
“มี...แต่เธอฐานะไม่ดี...แม่ไม่ชอบ...ถูกจ้างให้เลิกกัน...แต่พี่ไม่รู้หรอกว่าแม่ใช้เงินฟาดหัวเขาเพื่อให้เลิกกับพี่...”
“แล้วพี่เธอเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ก็เสียใจ...แต่ทำอะไรไม่ได้...หากพี่หือ...แม่จะทำลายครอบครัวของคนรักพี่ซะ พี่ก็เลยต้องก้มหน้ายอมรับการหมั้นหมายนั้นอย่างเสียไม่ได้”
“อ๋อ...ด้วยเหตุนี้เองพี่ชายนายจึงพยายามช่วยนายให้หนี”
“คงอย่างนั้นมั๊งครับ”
“แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง”
“ผมเหรอ”
“เรื่องของนายมันร้ายแรงเท่าพี่ไม๊ๆ”
“ยิ่งกว่า...เริ่มตั้งแต่ผมเกิดแล้ว...”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ก็ช่ายน่ะสิ...แม่จัดการให้ผมเรียนในโรงเรียนที่แม่หมายตาไว้...ให้เรียนตามที่แม่อยากให้เรียนและอยากให้เเป็น ตอนเด็กๆ ผมก็ทำตามนะ....
“ยังไง ?”
“ผมขอแม่มาเรียนที่เมืองไทย คิดว่าจะพ้น แรกๆแม่ไม่ยอมหใผมห่างตา...ผมอ้อนวอนและพยายามอธิบายจนแม่ยอม...แต่แม่ยังอุตส่ามีข้อแม้
“ข้อข้อแม้อะไร”
“ต้องมาอยู่ที่บ้านคุณยาย...และญาติๆ ที่เมืองไทยเพื่อให้อยู่ในสายตาและการรับรู้ของแม่”
“อือ....น่ากลัวจัง”
“ถึงแม้ผมจะหนีมาถึงเมืองไทยแต่....ก็ไม่วายอยู่ในสายตาแม่...แต่สิ่งที่ผมทำได้คิดเองคือเลือกเรียนตามที่ตัวเองต้องการได้โดยที่แม่ไม่รู้ว่าผมเรียนอะไร”
“แล้วนายเรียนเกี่ยวกับอะไรล่ะ”
“วาดรูป”
“หือ....สถาปัตย์”
“ประมาณนั้น มิน่าแม่นายโกรธ เพราะบ้านนายทำธุรกิจทั้งบ้านอยู่ๆ นายเรียนแบบนี้มันยอกอกแม่นายน่ะสิ”
“ผมถูกลากตัวกลับไปตั้งแต่เรียนจบวันแรก แม่รู้ความเคลื่อนไหวของผมทุกฝีก้าว หูตาแม่เยอะ”
“อือ....น่าเห็นใจนายนะ”
“ทำไมพี่นายต้องฝากนายไว้กับยัยแพม”
“พี่แพม เป็นเพื่อนพี่ซองยูคนเดียวมั๊ง....ที่แม่ไม่รู้จัก แม่ไม่รู้คิดว่าพี่ซองยูจะมีเพื่อนที่เมือไงไทย พี่ไม่เคยมาเรียนหรือมาอยู่อย่างผม”
“เอ๊ะ !! พี่นายรู้จักยัยแพมได้ยังไง”
“พี่แพมเขาเดินทางไปเรียนภาษีเกาหลี
พี่ชายผมเป็นอาจารย์พิเศษสอนคลาสนั้นพอดี”
“อ๋อ....ใช่ๆยัยแพมเคยชวนฉันไป...แต่ฉันไม่ว่าไปซะที”
“แล้วเขาก็ติดต่อกันในฐานะเพื่อนมาตลอด แต่จริงๆแล้วพี่ซองยูหวังจีบพี่แพม....แต่พี่ซองยูกินแห้วกระป๋องบิ๊ก เมื่อรู้ว่าพี่แพมแพมมีแฟน”
“ยัยแพมน่ะ.....เจ้าสเน่ห์หล่อนคือลูกสาวไฮโซชื่ออดังของเมืองไทย ...อยากทำอะไรไปเที่ยวไหน แค่ชี้นิ้ว ทุกสิ่งก็จะมากองตรงหน้า...ต่างกับฉัน...ปากกัดตีนถีบทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว....กว่าจะเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เลือดตาแทบกระเด็น”
“ตอนนี้ล่ะครับ”
“ตอนนี้เหรอ....ดีขึ้นมีเงิน มีชื่อเสียง มีงานเข้ามาพอที่จะดูและครอบครัวได้ ”
“ป้ามีพี่น้องกี่คน”
“สองคน ฉันคนโต มีน้องสาวกำลังเรียนปี 2”
“พ่อกับแม่ไปคุณอยู่ไหนซะล่ะ”
“อยู่ต่างจังหวัด หมายถึงอยู่นอกเมืองน่ะ ที่เกาหลี...เขาเรียกเมืองแต่เมืองไทยเขาเรียกจังหวัด หรืออำเภอ เล็กลงมาเรียกตำบล และเล็กกว่านั้นเรียกหมู่บ้าน”
“ยาวเชียว ไม่ได้ถามซะหน่อย ก็กลัวนายถาม ไม่อยากบอกบ่อยๆ เลยบอกซะ”
“คุณมีแฟนไม๊...”
“เอ๋....อะไรของนาย”
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไรนะ ไม่บังคับ” เขารู้ว่าการถามผู้หญิงเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เขามักทำใจลำบากในการตอบ
“มีสิ....แต่แค่เคยมีนะ...”
พอคำถามยอกอกเสียดแทงตรงกล่องหัวใจ ทำให้เธอหวนคิดถึงใครบางคนซึ่อันต้องเลิกลากันไปด้วยความไม่ลงตัวทางสังคม เงินทอง ฐานะ ความพึงพอใจของผู้ใหญ่ก็เท่านั้น
“ที่ถามอยากรู้จริงๆ หรืออยากลองใจว่าหน้าอย่างฉันจะหาแฟนได้หรือเปล่าใช่ไม๊”
“อือ ปะ....เปล่าไม่ได้มีเจตนาแบบนั้ซะหน่อย”
“ไม่ต้องพูดดี...ฉันรู้นายกำลังคิดแย่ๆ กับฉัน เจ้าเด็กเมื่อวานซืน”
“โห....ผู้ใหญ่ตายเลย...ห่างกันแค่ปี สองปีเอง ทำตัวราวกับเป็นผู้ใหญ่ซะ” เขาเหน็บเธอซึ่งทำตัวเป็นผู้ใหญ่เลยไว
“อายุมากกว่านายก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าหรือนายจะปฏิเสธ”
“หาเรื่องทะเลาะกันอีกแระ พึ่งดีกันสองสามนาที”
“งั้นก็พอได้แล้วสิ.....เรื่องของฉันไม่มีอะไรให้นายต้องรู้ มันไม่น่าสนใจสักนิด”
“เจ้าป้าเบี่ยงเบนประเด็นอย่างตลอดเชียว ปิดบังเรื่องของตัวเองแต่อยากรู้เรื่องของคนอื่น”
“ก็นายมาขออาศัยฉันนี่นา เกิดฉันรับโจรกำลังหนีคดีมา ฉันก็ต้องกลายเป็นคนให้ที่อยู่อาศัยกับโจนน่ะสิ” เธอว่าซะเสีย
“พอเถอะทำกับข้าวให้ผมทานเถอะ”
“หิวไม๊ล่ะ”
“อือฮึ”
“เดี๋ยวฉันทำกับข้าวให้นายทานละกัน ถือโอกาสเลี้ยงข้าวแขกผู้มาเยือนปากมอมๆ....บอกไว้ก่อนนะอาหารเกาหลีฉันทำไม่เป็น ทำได้แค่อาหารไทยง่ายๆ”
“อาหารไทยนั่นแหละสิ่งที่ผมชอบ ผมชอบทานอาหารไทย ส่วนอาหารเกาหลีเดี๋ยวผมจะเป็นอาจารย์สอนให้...คุณยายผมทำให้ทานบ่อยๆตอนอยู่เมืองไทย ขอบคุณสำหรับความใจบุญนะครับอาจุมม่า”
รติ หายเข้าไปในครัวซึ่งมีเนื้อที่กระทัดรัดเบียดเสียดยัดเยียดไปด้วยข้าวของ แต่ก็สามารถเป็นที่ฝากท้องเวลาหิวได้ ถึงแม้บ้านเธอจะเล็กแต่ก็มีสำหรับใช้งานสำหรับภารกิจหลักได้ ไม่รู้ด้วยความบังเอิญหรืออย่างไดรบ้านเธอดันมีสองห้องนอนพอดีเป๊ะ....แต่ก่อนอีกห้องหนึ่งคือห้องของพ่อกับแม่ ส่วนห้องที่เธอจับจองซุกหัวนอนทุกวันนี้เธอต้องใช้ร่วมกับน้องสาว แต่เมื่อน้องสาวย้ายไปอยู่หอพักกับเพื่อนตั้งแต่เรียนระดับมหาวิทยาลัย เธอถือโอกาสยึดอาณาเขตครอบครองคนเดียวซะเลย ...ห้องของพ่อกับแม่เลยต้องยกให้นายกิมจินี้ชั่วคราว
ความคิดเห็น