ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จะรักได้ไหมถ้าหัวใจตรงกัน

    ลำดับตอนที่ #2 : บท 1 เรื่องวุ่นนำพา

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 49


    บท 1 เรื่องวุ่นนำพา

    ณ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว  2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ  และอีกห้องนั่งหนึ่งห้องรับแขกสองห้องนี้รวมแล้วเท่ากับห้องเดียวกัน    อ๋อจะลืมห้องนี้ไม่ได้เด็ดขาดคือห้องประทังชีวิตของเจ้าของบ้าน    มันคือห้องครัวเปี่ยมด้วยความอลังการแต่...มีข้อห้ามอยู่อย่างห้ามใช้งานห้องนี้ร่วมกันเกินสองคนเพราะอาจจะทำให้ร่างกายสัมผัสกันได้อย่างไม่รู้ตัว  เนื้อตัวจะเบียดเสียดกันจนเกิดอารมย์รัญจวน  โอ๊ะ....จริงแล้วมันไม่ใช่อารมย์รันจวนแต่อย่างใด  ที่แท้คืออารมย์โมโหเท่านั้น  บ้านเล็กกระทัดรัดหลังนี้ฉาบทาด้วยสีขาวนวล  อาณาบริเวณเพียงน้อยนิดถูกปลูกต้นไม้ไว้ประดับบ้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อไม่ให้บ้านดูแห้งแล้งเกินไป  

    บ้านหนึ่งหลังกับหนึ่งชีวิตเดียวดายซึ่งมีผู้พักอาศัยเพียงลำพังเธอคือสาวน้อยนักเขียน  นักขายจินตนาการ  มันคือรังนอนรังเดียวของเธอซึ่งเหลืออยู่  แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่รังรักของเธอแน่นอน  สาวน้อยผู้นี้กำลังหลับไหล  หรืออันที่จริงคือพึ่งมีโอกาสหลับตามากกว่า

    เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงปลุกรตินาถ  ให้ตื่นจากการหลับไหลในยามสายของวันหนึ่ง  แต่ความจริง   เธอพึ่งมีโอกาสหลับเมื่อไม่กี่นาทีหลังปิดต้นฉบับและปิดคอมพิวเตอร์ต่างหากเล่า   เธอปิดต้นฉบับงานชิ้นล่าสุดราวกับจะทำให้สมองแตกเป็นเสี่ยงๆ   เพื่อให้ทันกำหนดการตีพิมพ์ในกำหนดการณ์อันใกล้สนี้นวนิยายเรื่องใหม่เอี่ยมของเธอกำลังจะคลอดเธอ  เธอทุ่มเทแรงกายแรงทั้งหมดกับมัน    รตินาถคือนักเขียนมืออาชีพ ซึ่งมีงานต่อเนื่องราว 4 ปีเห็นจะได้   หลังเธอจบการศึกษาจากรั่วมหาวิทยาลัย   เนื่องจากนวนิยายประโลมโลกของเธอได้รับความนิยมค่อนข้างมากในหมู่นักอ่านวัยรุ่น  แต่ไม่มีนักอ่านหรือใครคนใดเลยจะมีโอกาสสัมผัสหรือเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ  เธอคือนักเขียนผู้พิสมัยการเก็บตัว  แฝงตัวตามความเงียบเหงา  จะปรากฏต่อสายตามวลชนก็แค่งานเขียนคุณภาพเท่านั้น  น้อยคนนักจะมีโอกาสพบเธอ  แม้กระทั่งงานสังสรรค์ 

    แต่ด้วยเสียงโทรศัพท์อันแสบรูหู  รบกวนโสตประสาทคนกำลังต้องการสมาธิสำหรับการหลับไหล  จำเป็นอย่างยิ่งที่เธอจะต้องดับความลำคาญนั้นด้วยการรับสายนั้นซะ

    กริ๊ง  กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

    'รู้แล้ว  ตื่นแล้ว....โอ้ย....นี่มันอะไรกัน.... ฉันยังไม่ได้นอนเลยนะ  ใครกันบังอาจรบกวนเวลาอันมีค่าของฉัน'

    รตินาถ  คว้าหูโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอาการหลับตางัวเงีย  ลืมตื่น  เสียงนั่นมันคงรบกวนเธอเอาการ 

    "หวัดดี...ค่า"

    เสียงเนิบยานคาง  แหบพล่าอันมาจากอาการง่วงซึมบ่งบอกให้ปลายสายรู้ว่าเธอกำลังถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับไหล

    "ยัยรติ  ตื่น ตื่น ตื่นได้แล้ว...นี่ฉันเอง"

    "ครายน่ะ....ฉันเองมีคนชื่อฉันเองด้วยเหรอ"

    "เฮ้ย...นี่..การที่แกรีบปั่นต้นฉบับจนทำให้สมองเพี้ยนเป๋อไปแล้วใช่ไม๊เนี่ย"

    "คราย...รีบๆ บอกมาฉานมาเดี๋ยวฉานไม่มีเวลาล้อเล่นกับครายนะตอนนี้  ฉานง่วงจาตายอยู่แล้ว"

    "โห...นี่เสียงแกนี่ฟังไม่ได้เลยนะ  ท่าทางจะง่วงมาก"

    ความงัวเงีย  ทำให้นักเขียนมือหนึ่งอย่างรตินาถ   จำแม้กระทั่งเสียงเพื่อนรักไม่   แค่เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น 

    "ฉันแพมไง  ยัยเบ๊อะ....แพมเพื่อนคนเดียวในโลกของแกไงล่ะ"

    "ยัยแพมเองเหรอ  นี่เมื่อกี้ฉันว่าแกพูดเวอร์ไปนะ  ดูถูกฉันอย่างแสนสาหัส 

    "นี่ตกลงแกเมาหรือง่วงวะ  เสียงทั้งแหบทั้งยาน  ยังกะคนเมาก็ไม่ปาน"

    "บอกธุระของแก   ธุระที่แกอุตส่าปลุกฉันขึ้นมาเพื่อมารับฟังคำพูดกวนๆ ของแกยัยจอมจุ้น  ว่ามาเลยเร็วเข้า   แกรู้บ้างไม๊.....ตั้งแม่เมื่อคืน ฉาน....พึ่งมีโอกาสหลับตาและล้มวางหัวอันหนักอึ้งของฉันลงบนหมอน

    "น่าใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ได้หลับแล้ว"

    "ถ้าจะใจดีหรือสงสารฉันสักนิดขอให้ฉันนอนเถอะนะจะถือว่านี่คือพระคุณอย่างล้นเหลือ

     "เออ....เออ....สวดซะยาวเลยน่ะแก....ฉันก็ไม่อยากรบกวนแกนักหรอก"

    "ไม่อยาก  แล้วทำไมโทรมาล่ะนี่แสดงว่าโทรมาไร้สาระแน่เลย...วางสายไปซะ"

    "มันก็ช่วยไม่ได้ตอนนี้....เพราะตอนนี้อยากซะแล้ว"

    "รีบพูดมาเลย....ฉานจานอน" 

    รตินาถเริ่มขึ้นเสียงดุเพื่อนรักเมื่อยัยแพมไม่ยอมบอกธุระที่อุตส่าโทรมาสักทีอาการง่วงอย่างสุดโต่งของเธอบอกให้รู้ว่ากำลังลำคาญเพื่อนรักเต็มที่

    "พูดตอนนี้ไม่ได้สิ.....เอางี้ถ้าตอนนี้แกยังไม่พร้อมรับฟังฉัน  ฉันรอให้แกหายง่วงก่อน จากนั้นจะโทรมาใหม่ได้ไม๊เพื่อน"

    "ก็ได้  ก็ได้....ฉันง่วงสุดๆแล้ว...ไม่มีจิตใจจะฟังใครพล่ามทั้งนั้แหละ"

    เมื่อความง่วงเป็นผู้ชนะสมองอันเหนื่อยล้าเธอพร้อมที่จะตัดสัมพันธ์กับเพื่อนรักได้ชั่วคราว

    "เออ...เออ...ฉันไม่รบกวนแกแล้วก็ได้วะ

    "นั่นแหละเพื่อนคือสิ่งที่ดีที่สุดที่แกควรจะทำในเวลานี้"

    "ขอให้นอนเต็มอิ่มเพื่อตื่นขึ้นมาพบเรื่องตื่นเต้นที่สุดในชีวิตแก แล้วเจอกันนะเพื่อน"

    "เออ...บาย..เพื่อน"

    ก่อนวางหูโทรศัพท์ลงกระแทกกับตัวเครื่อง  รตินาถยังสงสัยปริศนาสุดท้ายที่เพื่อนรักทิ้งไว้ก่อนวางสาย  แต่ ณ เวลานี้เธอไม่สนใจว่ามันจะเกิดปริศนา หรือคำตอบอะไรภายหน้าตอนนี้ขอนอนให้สมองหายบวมก่อนดีกว่า

    'ยัยแพมมันหมายถึงอะไรวะเรื่องตื่นเต้นที่สุดในชีวิ  แต่ช่างเถอะมันไม่มีอะไรหนักไปกว่าการนอนของฉันอีกแล้ว'  เธอบ่นกับตัวเองแล้วก็ผลอยหลับในที่สุด

    เธอหลับไหล  กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปเย็นย่ำ หลายวันแล้วที่รตินาถต้องอดหลับอดนอนเพื่อเร่งส่งต้นฉบับ  ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนชอบนอนกินบ้านกินเมืองนักหรอกยกเว้นวันนี้เท่านั้น  เพียงเพราะภาวะอดหลับอดนอน  หรือแทบจะไม่มีโอกาสจะหลับตาลงได้เลยหากต้นฉบับไม่เสร็จสมบูรณ์ลงในวันนี้

    ชีวิตประจำวันสำหรับเธอคือการหมดเปลืองไปกับระดมสมองคิดเรื่องราวความเป็นไปของตัวละครให้โลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษ  เพื่อนฝูงหายไปจากวงโคจรชีวิต  เธอหวังว่าสักวันหนึ่งเธอคงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานอย่างเช่นทุกวันนี้แต่จนแล้วจนรอดความคิดนั้นก็ถูกลืนหายไปกับการกาลเวลา

    รตินาถ  ตื่นจากการหลับไหล  อาการง่วงเพลียจากการเร่งส่งต้นฉบับเมื่อคืนนี้ได้รับการปลดปล่อยออกไปแล้ว  คราวนี้เธอมีแรงพอที่จะไปจัดการกับตัวเองให้สะอาดหมดจด   ไม่ว่าอาบน้ำ  เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว  แบบสบายๆ  ตามความชอบพอส่วนตัว  เสื้อยืด กางเกงขาสามส่วนนั่นคือความถนัดและชอบพอส่วนตัว  เธอมักจะสวมใส่มันประจำจนเป็นภาพชินชาสำหรับตัวเองไปซะแล้ว  ไม่นานนัก  เสียงซึ่งกริ่งโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ถอดถอนให้เธอหลุดออกมาจากเรื่องราวส่วนตัว

    กริ๊ง  กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

    'เอาอีกแระเสียงเจ้ากรรมนายเวรของฉันโผล่มาทวงส่วนกุศลอีกครั้งแล้วไง'

    รตินาถ บ่นอุบตัวเองภายในห้องรังหนูอันอบอวนไปด้วยกลิ่นไอแห่งโลกส่วน เห็นที่จะปล่อยเจ้าโทรศัพท์นี้บ้าคลั่งนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว  ปลายสายก็ช่างดื้อ  คล้าโทรศัพท์ขึ้นมาจรดแล้วกรอกเส้นเสียงอัดเข้าไปยังกรบอกเสียง 

    "สวัสดีค่ะ  รติพูดค่ะ"

    "ยัยรติ  แกตื่นแล้วจริงๆด้วยรู้ไม๊ฉันดีใจยิ่งกว่าได้กระเป๋าหลุยใบใหม่ซะอีก"

    "อะไร...ของแกยัยแพมนักช๊อป  อะไรทำให้แกจะดีใจจนออกนอกหน้าแค่การได้ยินเสียงฉันรับโทรศัพท์แค่นี้"

    "แกตื่นก็ดีแล้ว....รีบเลยนะ"

    "รีบ...ทำไมฉันต้องรีบ  แกบอกเหตุผลที่ดีที่สุดเพื่อทำให้ฉันรีบตามที่แกบอกหน่อนซิ

    "ก็...ฉันมีธุระสำคัญมากจะวานให้แกช่วย"

    "ธุระแล้วมันใช่ธุรของฉันไม๊"

    "มันก็ไม่เชิง  จริงๆ มันคือธุระของฉันแต่ถ้าแกยอมมาเจอฉันนั่นก็หมายความว่าเราต้องร่วมชะตาชีวิตกัน"

    "ยิ่งพูดยิ่งประสาทจะรับประทานสมองฝ่อของฉัน"

    "เอาน่ารีบแต่งตัวออกมาพบฉันด่วน  ถึงด่วนที่สุด  ถ้าแกไม่ออกมาหาฉันจะบุกรังหนูรกๆ ของแก"

    "แกมีเหตุผลอะไรที่จะต้องให้ฉันออกไปหาแก"

    "ฉันมีธุระสำคัญต้องการให้คนโสดอย่างแกช่วย"

    "ฉันจะได้อะไรจากการถ่อสังขารออกไปพบแก"

    "น่าเพื่อนรักได้โปรดออกมาพบฉันเถอนะถือว่าปลดปล่อยชีวิตเพื่อนสัตว์เลี้ยงน่ารักคนนี้เถอะ"

    "เออๆ  ก็ได้รอฉันครึ่งชั่วโมง  แกอยู่ทีไหน"

    "งั้นรอร้านเดิมของเรานะเพื่อนรัก  เจอกันนะจ๊ะ"

    หลังจากการวางสายสนทนาที่ค่อนข้างมรปริศนา และเครื่องคำถามเกิดขึ้นที่สมองส่วนการรับรู้ของรตินาถ

    ช่วงเวลาต่อมา   รตินาถเดินทางไปพบเพื่อนรักตามคำเชิญแกมขู่บวกเข้ากับการขอร้องผลลัพธ์ที่ได้คือเธอต้องมาพบเพื่อนนั่นเอง  กว่าจะแก้สัมการสำเร็จตัวฉันก็โผล่หน้ามาให้เพื่อนรักเห็นจนได้  ทันทีเมื่อโผล่เข้าภายในร้านประจำระหว่างสองสาวและก๊วนเพื่อนอีกหลายในอดีต  แต่ปัจจุบันเหลือเพียงรตินาถและแพรพิมลซึ่งยังคบหากันเหนียวแน่น

    "ทางนี้  ยัยรติทางนี้"

    แพรพิมล ส่งสัญญาณให้เพื่อนรักรู้ว่าเธอผู้ ณ จุดใดของร้าน เมื่อเพื่อนสาวเท้าจนถึงจุดหมายแพรพิมลไม่รอช้าที่จะเชื้อเชิญเพื่อนให้นั่งราวกับว่าเธอใจร้อนและดีใจอย่างเปี่ยมล้น

    "ยัยรติเพื่อนรักฉันน่ะคิดถึงแกที่สุดเลย นั่งเลยนั่ง"

    แพรพิมล คล้าเพื่อนเข้ามากอดเพื่อการณ์สำคัญในเวลาอันใกล้นี้

    "เอา....เอา... พอแล้ว....นี่อะไรของแกเกิดอะไรขึ้นทำราวกับว่าฉันไปต่างประเทศหลายปี แต่บอกตรงๆ นะเว้ยไอ้ท่าทางแบบนี้มันไม่ธรรมดา"

     "รู้ทันอีกแระ.....ยัยแว่นโต"

    "ทำไมมีอะไรรีบพูดมาเลยฟังแกอ้อมทั้งอ้อมน้อยอ้อมใหญ่  จะวกเข้าเพชรเกษม  รีบพูดว่ามา  ฉันงานต้องทำ"

    "แหมใจคอแกจะไม่ถามไถ่ฉันสารทุกข์สุกดิบเพื่อนคนสวยคนนี้ของแกเลยรึไง"

    "บอกตรงๆ นะถ้าแกไม่สบายคงไม่มานั่งพล่ามอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้หรอก"

    รตินาถ รู้ดีว่าเพื่อนสุดรักคนนี้ของเธอมีนิสัยอย่างไร  หากไม่มีเรื่องมากวนใจมีรึที่เธอจะเรียกให้เพื่อนอย่างรติออกมาพบในยามเย็นเช่นนี้

    "เอาอย่างนี้แกสั่งอะไรเย็นๆดื่มก่อน....แกจะได้ใจเย็นอารมย์ดีๆ"

    "บอกตรงๆ ว่าแกแปลกมาก ถึงมากที่สุด ทะเลเรียบถึงมีคลื่นเล็กน้อยเลยนะเนี่ย"

    "แปลกเปิกอะไร  เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง....อะไรอร่อยทานแก้เหนื่อยแก้หิวก่อนดีไม๊  ท้องอิ่มจะมีแรงรับรู้ปริศนาคาใจซะที"

    "อือ อือ.....ดีเหมือนกันกำลังหิวตื่นมายังไม่อะไรตกถึงท้องเลยสักกะนิด"

    "ด้าย......แกจะสั่งอะไรสั่งเลยวันนี้....ฉันเลี้ยงเต็มที่เพื่อน"

    "แน๊ยิ่งแปลกเข้าไปอีก...ท่าจะบ้อง..."

    เรื่องราวซึ่งรับฟังการข้อร้องของเพื่อนสุดรักเกือบจะทำให้เปลี่ยนสถานะเพื่อนสุดรักเป็นเพื่อนร้ายไปซะกระทันหัส 

    เรื่องวุ่นวาย  แถมด้วยความลำบากยากยิ่งในเวลาเส้นรุ้งเส้นแวงทับกันแท้ๆเชียว  หัวเด็ดตีนขาดคนอย่างรตินาถคงยอมรับมันไม่ได้แน่นอน  หากเธอรับภาระนี้มาชีวิตเธอคงก้าวไปสู้เรื่อวุ่นๆ  อีกมากมายเธอมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากเรื่องนี้เลยนอกจากอันตรายและความยุ่งเหยิงเท่า

    "ว่าไงยัยรติ  เธอจะช่วยฉันสักครั้งได้ไม๊ก็แค่รับเขามาอยู่ด้วยดูและให้ที่อยู่มันก็เท่านั้น"

    "เขาไม่ใช่ญาติโกโหติกาของฉันซักเชื้อสายเลยนะแก อีกอย่างบ้านน่ะเล็กพอกับรูหนูแกก็รู้"

    "แกเชื่อไม๊การทำบุญจะทำให้เราได้ไปเกิดภพชาติที่ดี"

    "ฉันไม่เชื่อภพหน้า  หรือชาติของแกทั้งสิ้นฉันกับปัจจุบัน"

    "ฉันมองไม่เห็นใครจะเหมาะสมกับเรื่องนี้เลยนอกจากบุคคลสำคัญในชีวิตของฉันอย่าง....แก  เขาต้องการให้เราช่วย "

    "หาเรื่องให้ฉันสิไม่ว่า  จะให้ใครก็ไม่รู้มาร่วมชายคากับฉัน  หัวนอนปลายเท้ามาจากไหน นิสัยยังไงฉันก็ไม่รู้  อยู่ๆ จะมาฝากให้ฉันดูแล  อายุปาเข้าไป  23 แล้วไม่ใช่เด็กด้วย  ห่างกับฉันก็แค่สองปีเอง"

    "รับรองได้เขาไม่ทำอะไรแกหรอก  แค่เขาต้องการที่พักชั่วคราว  นะแกนะ"

    "ก็แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ  ทำไมแกไม่รับดูแลเขาซะเองบ้านแกยังกะวัง"

    "ฉันย้ายออกมาอยู่คอนโดแล้ว  เวลาแฟนฉันมาหาเจอนายแดนโสมนี้เข้ามีหวังฉันเป็นศพ   แฟนฉันคงว่งเขาและฉันลงไปเฝ้ายมพบาลแน่....แกรู้จักพี่ต้นดีนี่นาความขี้หึงของพี่เขาระดับประเทศเลยนะแก"

    "อะไรของแกว่ะ  หาเรื่องเดือดร้อนระดับประเทศมาสู่สมองฉันจริง....ยังไงซะฉันก็ไม่ยอมเด็ดขาด"

    "ช่วยฉันหน่อยเถอะนะฉันไหว้ล่ะ แกน่ะเหมาะที่สุดแล้วในเวลานี้"

    "ขอคิดดูก่อนได้ไม๊"

    "หรือแกคิดว่าพี่กันต์จะกลับมาหาแก  ในเมื่อเขาเลิกกับแกไปชาติหนึ่งแล้ว  เลิกคิดถึงเขาได้แล้ว เขาน่ะคงไม่คิดว่าแกเป็นแฟนเขาแล้ว"

    "ฉันก็ยังติดต่อไปมาหาสู่กับเขา  ไม่ได้ตายจากกันไปซะหน่อย"

    รตินาถ  เปลี่ยนหน้าปกติให้เป็นเศร้ามาทันใดเมื่อนึกถึงอดีตคนรักเก่าอย่างกันตวิชญ์  เธอแพ้พวกตระกูลไฮโซ  ผู้ดีแปดสาแหรกมันทำให้เธอไม่หลงเหลือรอยรักดีให้ประดับใจเลยสักเพียงนิด

    "ฉันรับรองว่าเขาจะไม่ดื้อไม่ซน  ไม่มีปัญหากับแกอย่างแน่นอน"

    "มีหลักประกันอะไรวะ  นิสัยเขาแกยังไม่รู้เลยว่าเป็นยังไง หน้าตาเป็นอย่างไรเราก็ยังไม่เคยเห็น  ไอ้การรับประกันปากเปล่าใครก็พูดได้เว้ย"

    "ยัยรติปกติแกไม่ใช่คนช่างพูดแบบนี้นี่นา  เอางี้จากที่ฉันรับฟังจากพี่ชายเขานะ   เขาไม่เลวร้ายแบบที่แกกำลังกังวล  เขาต้องการที่พึ่ง  มันอาจจะฟังแล้วดูไม่น่าจะใช่เราใช่ไม๊ที่จะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเขา  แต่เมื่อเขาน้องเขาหนีไปทุกที่แล้วแต่แม่เขาก็เก่งกว่าเชอร์ร๊อกโฮม  ตามเขาเจอทุกที่ 

    เด็กมันทนรับสภาพการบีบบังอย่างบ้อำนาจของผู้เป็นแม่ไม่ไหว  ก็พอกับฉันที่แม่บังคับให้ต้องแต่งงานกับลูกนักการเมือง  ฉันก็ดื้อหัวชนฝาจะไม่แต่ง   และนี่เขาเป็นผู้ชาย  การต่อต้านและความแรงมันยอมมากกว่าคนที่เป็นสตรีเพศอย่างเรา"

    "พล่ามซะยืดยาวเชียวยัยแพมเหนื่อยบ้างไม๊ล่ะ"

    "เหนื่อยสิ  ก็เพื่อให้แกเข้าในไอ้ฉันก็อยากจะช่วยแต่จนใจจริง  รับปากไว้กับพ่ชายเขาก็เลยต้องทำให้ได้"

    "รับปากซี้ซั่วก็งี้แหละ"

    "รู้ว่าเพื่อนดีจะต้องคอยช่วยเพื่อนอยู่เสมอ"

    แพรพิมลออดอ้อนเพื่อนสาวให้ใจอ่อน  เพราะเธอรู้ดีว่าคนอย่างรตินาถเพื่อนรักเธอคนนี้ไม่มีจิตใจที่มืดดำไม่ยอมช่วยเหลือใครซึ่งอุตส่าขอร้องเธอแบบนี้  หากมีเหตุผลพอให้แก่เธอ

    "ก็นั่นแหละ   ทำไมมันต้องฉันด้วย  โอ้ย  ปวดหัว"

    "ก็ฉันน่ะ  แกรู้ทั้งรู้นี่นา  ฉันมีแฟนแล้ว  ถ้าแฟนฉันเจอเขามีหวัง...."

    "แกก็อธิบายให้พี่ต้นฟังสิ  ว่าเป็นน้องของเพื่อน"

    "เขาคงฟังในสิ่งที่ฉันเล่าหรอก"

    "นี่ฉันไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไม๊เนี่ย"

    "เออสิ  ช่วยฉันหน่อยนะ   ดูแลเขาไม่นานหรอก  เมื่อแม่เขาใจอ่อน  เขาคงกลับประเทศเขาได้"

    "ไหนเล่ามาให้หมดซิ....ฉันต้องทำยังไงบ้าง"

    "นี่....นี่....แสดงว่าแกยอมช่วยฉันแล้วใช่ไม๊  ดีใจจังเลย...."

    "ไม่เชิง  แค่อยากรู้เรื่องทั้งหมด"

    "ได้...ได้...ฉันจะเล่าให้แกฟังอย่างละเอียด  เพื่อแกจะได้เป็นข้อมูล"

    "แกนะแก...หาเรื่องซะจริงเลย"

    "ไม่ได้หาเรื่องมันมาเอง"

    "เออ...ก็นั่นแหละ  เล่ามาเร็วๆ"

    "เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ   เพื่อนของฉันเนี่ยนะเขาเป็นลูกครึ่งไทย-เกาหลี  แม่เขาเป็นคนไทย  พ่อเป็นคนเกาหลี  พบรักกันที่เมืองไทย  และย้ายครอบครัวไปทำธุรกิจกันยังเกาหลี  มีลูกด้วยกันสามคน  ผู้หญิงคนโต  เพื่อนฉันคือคนรอง   และคนที่ก่อปัญหานี่คนเล็ก  แม่เขาเป็นพวกนิยมการบังคับลูกให้ทำตามใจ  ลูกสาวคนโตแม่เขาบังคับให้แต่งงานกับนักธุรกิจอันดับต้นๆ ของกรุงโซล  ส่วนเพื่อนฉันเนี่ยไม่ต่างกันเลย  ให้เรียนตามที่แม่ต้องการ  ให้หมั้นกับผู้หญิงซึ่งแม่จัดหาให้  แม้ว่าจะรักไม่รักก็ตาม  

    "เล่ายาวซะจริงยังไม่ถึงเรื่องนายตัวแสบคนที่ว่าเลยนะ"

    "ใจเย็นๆ แกจวนแล้ว"

    "ก็เล่าซะทีสิ"

    "จ้า...จ้า ... ใจร้อนจริงแม่คุณ....นักเขียนปกติเขาไม่ใจร้อนนี่นา"

    "นี่มันความเป็นความตาย  ภาระหน้าที่ที่ไม่เต็มใจ  ซึ่งแกจะหยิบยื่นมาให้   เข้าใจไม๊ฉันต้องรู้เรื่องราวของเขาสิ"

    "นายคนนี้ชื่อ Jo in won (โจอินวอน)  มีชื่อไทยว่า อชิระ  เขาเดินทางมาเรียน University ที่เมืองไทยโดยอาศัยอยู่กับยายและญาติที่เมืองไทย  พอเรียนจบ  ราวๆ ปีที่แล้วละมั๊ง  แม่เขาก็มาพาตัวเขากลับเกาหลีตามระเบียบเพื่อทำการบังคับ   เด็กมันก็คงทนไม่ไหว  หนีมาเมืองไทย  แต่ไม่วายโดนแม่ลากกลับไปอีก  แต่คราวนี้พี่ชายเขา  ก็เพื่อนฉันนั่นแหละ"

    "เพื่อนแกชื่ออะไร"

    "ชื่อ  Kim Jae Won  (คิมเจวอน)"

    "มีชื่อไทยเหมือนน้องไม๊"

    "มี...ชื่ออนวัฒน์  แต่ช่างเพื่อนฉันเถอะสาระไม่ได้อยู่ที่เพื่อนฉัน  อยู่ที่นายน้องเขาต่างหาก"

    "แล้วไงต่อ"

    "ก็นาย  คิมเจวอน  ขอให้ฉันช่วยดูแลน้องให้หน่อย  โดยฝากน้องให้อยู่กับฉันสักระยะหนึ่ง  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้ระยะหนึ่งเนี่ยมันนานแค่ไหน  แล้วอีกอย่างถ้าพี่ต้นกลับมาเจอฉันไม่แย่เหรอ  มีหวังหัวฉันหลุดดออกจากบ่า"

    "แล้ว.....เขาจะพาน้องเขามาเมื่อไหร่"

    "ประมาณวันสองวันนี่แหละเห็นบอกว่าจะโทรมาบอกอีกที"

    นั่นคือเรื่องราวซึ่งฉันได้รับฟังจากปากของแพรพิมล   เพื่อนรักจอมหาเรื่องมารกสมองฉัน  และฉันก็ดันไปรับปากไอ้เพื่อนบ้าซะด้วยสิ  ทั้งที่บอกว่าจะไม่ยอมช่วย  เพราะอะไรน๊าฉันจึงรับปากยัยแพมในการช่วยเหลือซึ่งไม่ได้ผลประโยจน์สักเพียงนิด...ความสงสารเห็นใจเพื่อนรัก หรือด้วยสาเหตุใดกัน  บ้าที่สุด ฉันต่อว่าตัวเอง 

    ฉันกลับถึงบ้านพร้อมพกพาเรื่องปวดหัวเข้าบ้าน  วันนี้ฉันคงกลั่นกรองงานเขียนเรื่องใหม่ที่ยังค้างคาอยู่....ออกมาไม่ได้แน่เลย....เอาไว้ก่อนแล้วกันนะ  มีอารมย์เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน   ก่อนอื่นขอเก็บห้องซึ่งเต็มไปด้วยกองหนังมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง  กล่องอาหารสำเร็จรูปซึ่งถูกทานแล้ว  วางรวมกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะกลางโซฟาห้องรับแขก  กระดาษซึ่งปริ๊นงานแล้วถูกขยำตกหล่นอยู่ข้างถังขยะใบย่อม    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×