ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8
ถ้าฝุ่นดินที่พบเห็นอยู่เกลื่อนกลาดทั่วไป เกิดมีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนเรา จะเป็นอย่างไรหนอ?
จะเกิดอะไรขึ้นหนอ...ถ้าฝุ่นที่ติดอยู่กับล้อรถข้างหนึ่ง เกิดไปต้องตาต้องใจ หลงรักฝุ่นละอองอีกเม็ดหนึ่ง ที่ติดอยู่กับล้อหน้า หรือล้อหลัง หรือล้ออีกข้างบนเพลาแกนเดียวกัน?
เพราะเมื่อรถวิ่ง ก็ต้องเคลื่อนไปตามวงล้อเป็นนิจ ถูกบดขยี้ลงไปเหมือนจะจมหายสู่พื้นเบื้องล่าง แล้วก็กลับโผล่ผุดขึ้นมาสูดอากาศหายใจชั่วพัก ก่อนจะผลุบหายขึ้นไปในซอกเงามืดใต้บังโคลนอีกเช่นนี้เรื่อยไป
แม้จะเหมือนอยู่ใกล้ วนเวียนมาให้เห็นกันอยู่เสมอ แต่ว่า...ก็ไม่อาจเข้าใกล้กันกว่าที่เป็นอยู่ได้สักที
บางที...ผู้คนมากมายในโลกที่ต่างมีวงล้อของตนผูกติดอยู่ และหมุนวนไปตามวัฏจักรที่เรียกว่า "ชีวิตประจำวัน"
ถ้าหากไม่สามารถกำหนดวิถีทางของตนเองได้ ก็ต้องเผชิญกับความเศร้าเช่นนี้กันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงสินะ...
รถโดยสารขององค์กรขนส่งมวลชนแล่นเข้าเทียบท่าชานชาลาที่แปด จนหยุดสนิทในท่ารถของเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทาง
สาวน้อยกระตุกผวาเฮือกหนึ่ง หลังเสียงประกาศจากลำโพงดังก้องไปทั้งสถานี สอดแทรกเข้ามากระตุกโสตประสาทให้ตื่นขึ้นจากภวังค์หลับไหลอย่างไม่เต็มใจนัก
เธอขยับหันหน้าไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบ พลางขยี้ตาในอาการงัวเงีย แสงแดดอ่อนละมุนยามเช้าสาดส่องมาละไล้ใบหน้าพอให้อุ่น
แต่แล้วเธอก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อจะพบว่าไม่มีเขาคนนั้นอยู่ด้วย ทั้งผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เก็บของลงไปกันเกือบหมดรถแล้ว
"คุณนี่นะ! ทิ้งกันเฉยเลย" เธอบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว ท่ามกลางความสับสนของฝูงชนรอบข้าง แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องหาทางไปต่อจนถึงบ้านใหม่
เธอเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจะพบกับข้อความที่กระหน่ำเข้ามานับสิบตลอดทั้งคืนจากพี่ผู้เป็นหัวหน้าของเธอ
สาวน้อยยืนทำใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ชั่วขณะ กับสายตาลอกแลกและใบหน้าตื่นที่หันมองไปมารอบๆ อย่างไม่รู้ตัวอย่างกับเด็กกลัวถูกจับได้ว่าแอบหนีเที่ยวก็ไม่ปาน
ดีที่ยังไม่ทันสายมากนัก แม้กระนั้นเมื่อเธอกดโทร. กลับไปหาหัวหน้า ก็ต้องเผชิญกับเสียงที่ถามอย่างกังวลเอาจริงเอาจังและออกจะไม่พอใจของเขา โดยมีความรู้สึกผิดช่วยขยายความรู้สึกของเธอเองให้หนักหน่วงกว่าเดิม
แต่บ้านใหม่ของเธอก็อยู่ห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร ดังนั้นหลังจากหาอะไรกินประทังหิวแถวนั้นเสร็จ เธอก็ต้องระเห็จไปขึ้นรถโดยสารอีกต่อหนึ่ง
ละอองฝุ่นควันคลุ้งพุ่งปลิวมาตามสายลมที่โกรกเข้าหน้าจนต้องหลับตาปี๋ ผสานกับการสั่นสะเทือนด้วยแรงเครื่องยนต์ ชวนให้เธอที่ยังปรับตัวเข้ากับบรรยากาศใกล้ศูนย์กลางความเจริญไม่ค่อยได้ เกิดอาการอึดอัด วิงเวียน ไม่ค่อยสบายสักเท่าไรนัก แต่ก็ต้องทนไปเป็นระยะทางไกลพอสมควร ผ่านทัศนียภาพข้างทางที่ดูซ้ำๆ กัน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
จนกระทั่ง...ถึงท่ารถปลายทางในที่สุด
ภายในเวลาไม่นานนัก ก็ปรากฎร่างหญิงสาวหิ้วของพะรุงพะรังทั้งสองมือ มีผมเปียเส้นเล็กๆ ที่เธอถักขึ้นอย่างลวกๆ ตอนแวะเข้าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันระหว่างทางห้อยระอยู่สองข้างใบหน้า ก้าวเดินเข้าไปต่อหน้าประตูรั้วบ้านหลังหนึ่งท่ามกลางหมู่บ้านจัดสรรอัน เงียบสงบ ที่กว่าจะเข้ามาได้ก็ต้องผ่านตรอกซอยอันลึกลับวกวนราวทางวงกตย่อมๆ
หลังจากกดกริ่งประตูทีหนึ่ง ส่งเสียงดังก้องไปท่ามกลางความสงัดรอบข้าง แล้วอีกในชั่วอึดใจก็มีเสียงสัญญาณสั้นๆ ดังขึ้นตรงหัวเสาประตู พร้อมกับประตูรั้วโลหะค่อยๆ เลื่อนเปิดออกไปทั้งสองฟากด้วยกลไกอัตโนมัติ เผยให้เห็นตัวบ้านสภาพค่อนข้างเก่าดูมีกลิ่นอายลึกลับแฝงอยู่ เต็มตาต่อหน้าเธอ ซึ่งค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปตามทางผ่านสนามหญ้าด้วยความตื่นเต้น
สาวน้อยมองเข้าไปข้างในบ้านผ่านประตูหน้าต่างกระจกฝ้า เห็นเงาร่างกลุ่มหนึ่งกำลังกลุ้มรุมกินอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางอย่างขะมักเขม้น
เธอถือวิสาสะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูและผลักเปิดเข้าไปช้าๆ เตรียมกล่าวคำทักทาย
.....
งานสัปดาห์หนังสือในปีนี้ก็คึกคักเช่นเดิม ทั้งคึกคักและโกลาหลอลหม่านพอดู
ยังมีชายผู้หนึ่งที่เดินแทรกผ่านกระแสพลังมหาชนที่ท่วมท้นล้นหลั่ง พากันเคลื่อนตัวคืบอย่างช้าๆ อยู่ภายในศูนย์ประชุมนั้น ด้วยการตัดผ่านจากช่องว่างสู่ช่องว่าง ด้วยจังหวะก้าวที่พรวดพราดรวดเร็ว หากแต่ยังพลิ้วไหว และพอเหมาะพอดีสอดคล้องกับกระแสธารแห่งเวลา
ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เหมือนเด็กไปเที่ยวสวนสนุกเป็นครั้งแรกก็ไม่ปาน จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับซุ้มที่ขายสมุดบันทึกที่ทำเลียนแบบการ์ตูนยอด นิยมเรื่องล่าสุดของวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง จากในเรื่องนั้นมันเป็นสมุดที่เขียนชื่อคนเพื่อสั่งตายได้
เขานึกขันอยู่ในใจที่เห็นคนพากันเข้าไปมุงดูด้วยความชื่นชมสนใจ แล้วก็เบี่ยงตัวก้าวผ่านไปยังไม่ทันจะถึงครึ่งก้าว-
แล้วความรู้สึกร้าวแปลบก็แผ่ซ่านขึ้นจากส่วนหน้าอกด้านซ้าย จนต้องหยุดชะงัก
อย่าล้อเล่น!
กับ
พลัง
ที่ชี้นำ
ชะตากรรม!
เขาพยายามตั้งสติ ยืดตัวตรงขึ้น แล้วค่อยๆ เดินลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าและละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำไหว ในขณะที่สองขาก็ค่อยๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าด้วย ความรู้สึกแปลบนั้นยังเกาะกุมอยู่หน่วงๆ อย่างไม่ยอมลดละ
แล้วหลังจากการต่อสู้ภายในอย่างทรหดเป็นเวลาหลายนาที ภายใต้ท่าทีภายนอกที่ยังนิ่งสงบไม่ยอมแสดงอาการอะไรออกไปนั้นเอง เขาก็เป็นฝ่ายชนะ อาการเจ็บปวดค่อยๆ จางหายไปจากร่าง ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับที่ทรุดตัวลงนั่งพักบนเก้าอี้ว่างใกล้ๆ
เพียงไม่นานหลังจากนั้น เขาก็รวบรวมเรี่ยวแรงลุกกลับขึ้นมาใหม่ เพื่อจะบุกตะลุยผ่านฝูงชนไปสู่จุดสำคัญที่เขาหมายมั่นไว้ในวันนี้
"รู้สึกจะเป็นเรื่องรักเศร้าๆ นะ"
เขาพูดขึ้นกับเธอคนเดิม ที่บัดนี้ยืนอยู่ในซุ้มหนึ่ง โต๊ะข้างหน้ามีหนังสือนับร้อยๆ เล่มวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอวดโฉมปกสวยสดงดงามยั่วยวนชวนให้ซื้อไปเก็บ ไว้ที่บ้าน
"แต่ตอนท้ายสุดของเรื่องอาจจะจบอย่างมีความสุขก็ได้นี่" เธอแย้ง ในขณะที่เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกไปมาดูปกทั้งสองด้าน "ต้องอ่านดูเอง ขืนบอกซะก่อนตรงนี้ก็ไม่สนุกสิ"
"ระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน..."
"เคยได้ยินมั๊ยว่าให้ระวังคำที่เราพูดออกไป เพราะมันจะกลายมาเป็นนายเราน่ะ?"
"มันเกี่ยวด้วยเหรอ นี่ก็แค่เรื่องแต่ง" เป็นคำตอบของเธอที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
เขาส่ายหัวไปมาเบาๆ
"ต้องเตือนไว้แบบจริงจังที่สุดล่ะว่า...ทุกสิ่งที่เราเขียนบันทึกลงไป เป็นตัวอักษร และยิ่งถ้าเผยแพร่ออกไปให้คนได้อ่านกันมากๆ มันจะมีพลังกำหนดและชี้นำชะตาชีวิตเราได้ในระยะยาว ยิ่งกว่าคำพูดธรรมดา จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสมมติก็เถอะ..."
เขายื่นปากกาและหนังสือเล่มนั้นไปให้เธอ ผู้ซึ่งยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็ยักไหล่ก่อนจะเปิดหน้าแรกๆ ออกจรดปากกาลงเซ็นชื่อพร้อมข้อความแถมอีกเล็กน้อย
จากนั้นเธอก็ต้องหันไปพูดคุยกับกลุ่มเด็กๆ มัธยมชุดใหญ่ที่ยกพวกกันมาเหมือนจะอุดหน้าซุ้มเสียมิด พร้อมเสียงเอะอะเฮฮาให้เซ็งแซ่
เขาเห็นเป็นจังหวะที่เธอคงงานยุ่ง จึงเอ่ยคำอำลาสั้นๆ ก่อนจะผละออกมาจากซุ้มนั้น เพื่อไปตะลุยดูให้ทั่วงานต่อไป
เมื่อเขาถูกกระแสคนพัดพาลอยเลื่อนออกห่าง ทั้งสองก็ค่อยๆ ถูกบดบังจากกัน ด้วยภาพฝูงชนคลาคล่ำและผนังซุ้ม จนต่างลับหายไปจากสายตา
นั่นแหละ...ถึงจะอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ก็คล้ายดั่งคนละโลกอยู่ดี...
จะเกิดอะไรขึ้นหนอ...ถ้าฝุ่นที่ติดอยู่กับล้อรถข้างหนึ่ง เกิดไปต้องตาต้องใจ หลงรักฝุ่นละอองอีกเม็ดหนึ่ง ที่ติดอยู่กับล้อหน้า หรือล้อหลัง หรือล้ออีกข้างบนเพลาแกนเดียวกัน?
เพราะเมื่อรถวิ่ง ก็ต้องเคลื่อนไปตามวงล้อเป็นนิจ ถูกบดขยี้ลงไปเหมือนจะจมหายสู่พื้นเบื้องล่าง แล้วก็กลับโผล่ผุดขึ้นมาสูดอากาศหายใจชั่วพัก ก่อนจะผลุบหายขึ้นไปในซอกเงามืดใต้บังโคลนอีกเช่นนี้เรื่อยไป
แม้จะเหมือนอยู่ใกล้ วนเวียนมาให้เห็นกันอยู่เสมอ แต่ว่า...ก็ไม่อาจเข้าใกล้กันกว่าที่เป็นอยู่ได้สักที
บางที...ผู้คนมากมายในโลกที่ต่างมีวงล้อของตนผูกติดอยู่ และหมุนวนไปตามวัฏจักรที่เรียกว่า "ชีวิตประจำวัน"
ถ้าหากไม่สามารถกำหนดวิถีทางของตนเองได้ ก็ต้องเผชิญกับความเศร้าเช่นนี้กันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงสินะ...
รถโดยสารขององค์กรขนส่งมวลชนแล่นเข้าเทียบท่าชานชาลาที่แปด จนหยุดสนิทในท่ารถของเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทาง
สาวน้อยกระตุกผวาเฮือกหนึ่ง หลังเสียงประกาศจากลำโพงดังก้องไปทั้งสถานี สอดแทรกเข้ามากระตุกโสตประสาทให้ตื่นขึ้นจากภวังค์หลับไหลอย่างไม่เต็มใจนัก
เธอขยับหันหน้าไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบ พลางขยี้ตาในอาการงัวเงีย แสงแดดอ่อนละมุนยามเช้าสาดส่องมาละไล้ใบหน้าพอให้อุ่น
แต่แล้วเธอก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อจะพบว่าไม่มีเขาคนนั้นอยู่ด้วย ทั้งผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เก็บของลงไปกันเกือบหมดรถแล้ว
"คุณนี่นะ! ทิ้งกันเฉยเลย" เธอบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว ท่ามกลางความสับสนของฝูงชนรอบข้าง แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องหาทางไปต่อจนถึงบ้านใหม่
เธอเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจะพบกับข้อความที่กระหน่ำเข้ามานับสิบตลอดทั้งคืนจากพี่ผู้เป็นหัวหน้าของเธอ
สาวน้อยยืนทำใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ชั่วขณะ กับสายตาลอกแลกและใบหน้าตื่นที่หันมองไปมารอบๆ อย่างไม่รู้ตัวอย่างกับเด็กกลัวถูกจับได้ว่าแอบหนีเที่ยวก็ไม่ปาน
ดีที่ยังไม่ทันสายมากนัก แม้กระนั้นเมื่อเธอกดโทร. กลับไปหาหัวหน้า ก็ต้องเผชิญกับเสียงที่ถามอย่างกังวลเอาจริงเอาจังและออกจะไม่พอใจของเขา โดยมีความรู้สึกผิดช่วยขยายความรู้สึกของเธอเองให้หนักหน่วงกว่าเดิม
แต่บ้านใหม่ของเธอก็อยู่ห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร ดังนั้นหลังจากหาอะไรกินประทังหิวแถวนั้นเสร็จ เธอก็ต้องระเห็จไปขึ้นรถโดยสารอีกต่อหนึ่ง
ละอองฝุ่นควันคลุ้งพุ่งปลิวมาตามสายลมที่โกรกเข้าหน้าจนต้องหลับตาปี๋ ผสานกับการสั่นสะเทือนด้วยแรงเครื่องยนต์ ชวนให้เธอที่ยังปรับตัวเข้ากับบรรยากาศใกล้ศูนย์กลางความเจริญไม่ค่อยได้ เกิดอาการอึดอัด วิงเวียน ไม่ค่อยสบายสักเท่าไรนัก แต่ก็ต้องทนไปเป็นระยะทางไกลพอสมควร ผ่านทัศนียภาพข้างทางที่ดูซ้ำๆ กัน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
จนกระทั่ง...ถึงท่ารถปลายทางในที่สุด
ภายในเวลาไม่นานนัก ก็ปรากฎร่างหญิงสาวหิ้วของพะรุงพะรังทั้งสองมือ มีผมเปียเส้นเล็กๆ ที่เธอถักขึ้นอย่างลวกๆ ตอนแวะเข้าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันระหว่างทางห้อยระอยู่สองข้างใบหน้า ก้าวเดินเข้าไปต่อหน้าประตูรั้วบ้านหลังหนึ่งท่ามกลางหมู่บ้านจัดสรรอัน เงียบสงบ ที่กว่าจะเข้ามาได้ก็ต้องผ่านตรอกซอยอันลึกลับวกวนราวทางวงกตย่อมๆ
หลังจากกดกริ่งประตูทีหนึ่ง ส่งเสียงดังก้องไปท่ามกลางความสงัดรอบข้าง แล้วอีกในชั่วอึดใจก็มีเสียงสัญญาณสั้นๆ ดังขึ้นตรงหัวเสาประตู พร้อมกับประตูรั้วโลหะค่อยๆ เลื่อนเปิดออกไปทั้งสองฟากด้วยกลไกอัตโนมัติ เผยให้เห็นตัวบ้านสภาพค่อนข้างเก่าดูมีกลิ่นอายลึกลับแฝงอยู่ เต็มตาต่อหน้าเธอ ซึ่งค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปตามทางผ่านสนามหญ้าด้วยความตื่นเต้น
สาวน้อยมองเข้าไปข้างในบ้านผ่านประตูหน้าต่างกระจกฝ้า เห็นเงาร่างกลุ่มหนึ่งกำลังกลุ้มรุมกินอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางอย่างขะมักเขม้น
เธอถือวิสาสะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูและผลักเปิดเข้าไปช้าๆ เตรียมกล่าวคำทักทาย
.....
งานสัปดาห์หนังสือในปีนี้ก็คึกคักเช่นเดิม ทั้งคึกคักและโกลาหลอลหม่านพอดู
ยังมีชายผู้หนึ่งที่เดินแทรกผ่านกระแสพลังมหาชนที่ท่วมท้นล้นหลั่ง พากันเคลื่อนตัวคืบอย่างช้าๆ อยู่ภายในศูนย์ประชุมนั้น ด้วยการตัดผ่านจากช่องว่างสู่ช่องว่าง ด้วยจังหวะก้าวที่พรวดพราดรวดเร็ว หากแต่ยังพลิ้วไหว และพอเหมาะพอดีสอดคล้องกับกระแสธารแห่งเวลา
ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เหมือนเด็กไปเที่ยวสวนสนุกเป็นครั้งแรกก็ไม่ปาน จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับซุ้มที่ขายสมุดบันทึกที่ทำเลียนแบบการ์ตูนยอด นิยมเรื่องล่าสุดของวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง จากในเรื่องนั้นมันเป็นสมุดที่เขียนชื่อคนเพื่อสั่งตายได้
เขานึกขันอยู่ในใจที่เห็นคนพากันเข้าไปมุงดูด้วยความชื่นชมสนใจ แล้วก็เบี่ยงตัวก้าวผ่านไปยังไม่ทันจะถึงครึ่งก้าว-
แล้วความรู้สึกร้าวแปลบก็แผ่ซ่านขึ้นจากส่วนหน้าอกด้านซ้าย จนต้องหยุดชะงัก
อย่าล้อเล่น!
กับ
พลัง
ที่ชี้นำ
ชะตากรรม!
เขาพยายามตั้งสติ ยืดตัวตรงขึ้น แล้วค่อยๆ เดินลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าและละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำไหว ในขณะที่สองขาก็ค่อยๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าด้วย ความรู้สึกแปลบนั้นยังเกาะกุมอยู่หน่วงๆ อย่างไม่ยอมลดละ
แล้วหลังจากการต่อสู้ภายในอย่างทรหดเป็นเวลาหลายนาที ภายใต้ท่าทีภายนอกที่ยังนิ่งสงบไม่ยอมแสดงอาการอะไรออกไปนั้นเอง เขาก็เป็นฝ่ายชนะ อาการเจ็บปวดค่อยๆ จางหายไปจากร่าง ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับที่ทรุดตัวลงนั่งพักบนเก้าอี้ว่างใกล้ๆ
เพียงไม่นานหลังจากนั้น เขาก็รวบรวมเรี่ยวแรงลุกกลับขึ้นมาใหม่ เพื่อจะบุกตะลุยผ่านฝูงชนไปสู่จุดสำคัญที่เขาหมายมั่นไว้ในวันนี้
"รู้สึกจะเป็นเรื่องรักเศร้าๆ นะ"
เขาพูดขึ้นกับเธอคนเดิม ที่บัดนี้ยืนอยู่ในซุ้มหนึ่ง โต๊ะข้างหน้ามีหนังสือนับร้อยๆ เล่มวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอวดโฉมปกสวยสดงดงามยั่วยวนชวนให้ซื้อไปเก็บ ไว้ที่บ้าน
"แต่ตอนท้ายสุดของเรื่องอาจจะจบอย่างมีความสุขก็ได้นี่" เธอแย้ง ในขณะที่เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกไปมาดูปกทั้งสองด้าน "ต้องอ่านดูเอง ขืนบอกซะก่อนตรงนี้ก็ไม่สนุกสิ"
"ระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน..."
"เคยได้ยินมั๊ยว่าให้ระวังคำที่เราพูดออกไป เพราะมันจะกลายมาเป็นนายเราน่ะ?"
"มันเกี่ยวด้วยเหรอ นี่ก็แค่เรื่องแต่ง" เป็นคำตอบของเธอที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
เขาส่ายหัวไปมาเบาๆ
"ต้องเตือนไว้แบบจริงจังที่สุดล่ะว่า...ทุกสิ่งที่เราเขียนบันทึกลงไป เป็นตัวอักษร และยิ่งถ้าเผยแพร่ออกไปให้คนได้อ่านกันมากๆ มันจะมีพลังกำหนดและชี้นำชะตาชีวิตเราได้ในระยะยาว ยิ่งกว่าคำพูดธรรมดา จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องสมมติก็เถอะ..."
เขายื่นปากกาและหนังสือเล่มนั้นไปให้เธอ ผู้ซึ่งยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็ยักไหล่ก่อนจะเปิดหน้าแรกๆ ออกจรดปากกาลงเซ็นชื่อพร้อมข้อความแถมอีกเล็กน้อย
จากนั้นเธอก็ต้องหันไปพูดคุยกับกลุ่มเด็กๆ มัธยมชุดใหญ่ที่ยกพวกกันมาเหมือนจะอุดหน้าซุ้มเสียมิด พร้อมเสียงเอะอะเฮฮาให้เซ็งแซ่
เขาเห็นเป็นจังหวะที่เธอคงงานยุ่ง จึงเอ่ยคำอำลาสั้นๆ ก่อนจะผละออกมาจากซุ้มนั้น เพื่อไปตะลุยดูให้ทั่วงานต่อไป
เมื่อเขาถูกกระแสคนพัดพาลอยเลื่อนออกห่าง ทั้งสองก็ค่อยๆ ถูกบดบังจากกัน ด้วยภาพฝูงชนคลาคล่ำและผนังซุ้ม จนต่างลับหายไปจากสายตา
นั่นแหละ...ถึงจะอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ก็คล้ายดั่งคนละโลกอยู่ดี...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น