ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ทางสายหมอก
ตอน ทางสายหมอก
พวกเรานั่งล้อมวงอยู่รอบเตาไฟที่กำลังถูกใช้ต้มบางสิ่งในหม้อ
สมาชิกคณะเดินทางผู้หนึ่งเป็นหญิงสาวในชุดแต่งกายที่ดูๆ แล้วก็เหมือนสาวชาวบ้านทั่วไป ถือที่จับคล้ายด้ามกระบวยของหม้อนั้นเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือทัพพีกวนของเหลวสีขาวอมเหลืองขุ่นที่กำลังเดือดปุดๆ ในนั้นอย่างตั้งใจ สมกับตำแหน่ง แม่บ้าน ประจำคณะเดินทางนี้
หลังจากนั่งมองดูซุปที่มีถั่ว เห็ด เศษข้าว ต้มรวมกันเละๆ ในหม้อ จนเริ่มเบื่อแล้ว ข้าก็หันมองบรรยากาศรอบๆ ในเขตระเบียงบ้านไม้ที่ยกพื้นสูงหลังนี้บ้าง
เสื้อผ้าถูกตากไว้บนขอบระเบียงระเกะระกะ บนพื้นตามผนังและหัวมุมมีเสบียงแห้งและของใช้งานวางกองอยู่ทั่วไป
ในคณะเดินทาง มีเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งท่าทางเงียบๆ แววตาแฝงความดุดันเอาเรื่อง อีกคนหนึ่งดูท่าทางร่าเริง พูดอยู่เกือบตลอดเวลา
หญิงชายอีกคู่ในมาดนักผจญภัยในโลกกว้างนั่งคุยกระหนุงกระหนิง พลางถือช้อนป้อนหมี่เกี๊ยวให้แก่กัน
อีกมุมหนึ่งของวง คือบุรุษท่าทางเงียบขรึมและทรงอำนาจ เขาคือผู้ถูกเรียกว่า อาจารย์ จากคนอื่นๆ ยกเว้นข้าซึ่งเป็นเหมือนแขกรับเชิญมามากกว่า และจะเรียกว่าอาจารย์ธรรมดาก็ยังไม่ถูกนัก เพราะเขาเป็นถึง อาจารย์ใหญ่ ผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาแต่แรกเลยทีเดียว
ยังมีเด็กหนุ่มร่างท้วม ที่ท่าทางเรียบร้อยและคงแก่เรียนกว่าเด็กหนุ่มอีกสองคน ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของอาจารย์ใหญ่ในตอนนี้ เขากำลังเตรียมการบางอย่างอยู่ในบ้าน ยังไม่ออกมาสมทบ
แต่ละคนแต่งตัวตามสบาย บรรยากาศเหมือนๆ กับชาวบ้านป่าที่มานั่งล้อมวงกินอาหารร่วมกันในยามเย็น ยังขาดก็แต่เครื่องดนตรีสักชิ้น
เสบียงอาหารที่มีอยู่ แลดูไปคล้ายอัตคัตขัดสน แต่พวกเราก็ยังกินกันไปโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรมากนัก ในเมื่อภารกิจสำคัญยิ่งกว่า การเดินทางที่ยิ่งใหญ่กว่า ยังรอคอยอยู่เบื้องหน้า
เมื่อกินเสร็จ ก็นั่งคุยเล่นกันไป สลับกับร้องเพลง สลับกับถกเรื่องราวสำคัญๆ ยืดเยื้อยาวนาน มีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนลงจากบ้านไปทำธุระส่วนตัวบ้างเป็นระยะๆ
จนเมื่อความมืดโรยตัวลงปกคลุมหนักหนาขึ้น แต่ละคนก็ทยอยกันเข้านอน จำนวนคนที่นั่งล้อมรอบตะเกียงน้ำมันอยู่ค่อยๆ ลดลง จนถึงคราวของข้าบ้าง
แต่เมื่อเข้าไปข้างใน ล้มตัวลงบนที่นอนแล้ว รู้สึกเคลิ้มๆ หลับด้วยความเหนื่อยอ่อนไปได้ไม่เท่าไหร่นัก
ข้าก็กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
ข้าขยี้ตาแล้วมองไปรอบๆ ชักรู้สึกว่าจะนอนไม่หลับเสียแล้ว อาจเป็นเพราะแปลกที่ หรือว่า...
ประตูเปิดแง้มไว้ ข้างนอกที่ระเบียงได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่กับแม่บ้านถกเถียงกันเล็ดลอดเข้ามา ให้ได้ยิน ข้านอนฟังเงียบๆ พอจะปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้ ที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ด้วยเห็นถึงอะไรบางอย่างที่เคร่งเครียดจริงจังและไม่อาจคาดเดาหนทาง ในความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งหมด
แต่ข้าก็หยุดความคิดนั้นลง เมื่อทั้งสองคนที่ระเบียงพร้อมใจกันเงียบเสียงลงกะทันหัน ตามมาด้วยเสียงลมพัดอู้ มีเสียงกระทบฟังคล้ายกับการเคาะเป็นจังหวะที่ผนังภายนอกตามจุดต่างๆ ตั้งแต่หลังคา หน้าบ้าน หลังบ้าน จนถึงใต้ถุน
ตามด้วยเกิดความสั่นสะเทือนอย่างผิดสังเกตไล่จากเชิงบันไดขึ้นมาจนถึง ขอบระเบียง โดยที่ไม่อาจเห็นตัวตนของสิ่งใดๆ ก็ตามที่อาจเป็นต้นเหตุได้
ข้าลุกขึ้นจากที่นอน วิ่งออกไปที่ระเบียงสมทบกับทั้งคู่ กระโจนไปหาไม้เท้าที่ข้าวางขวางธรณีประตูตรงบันไดลงจากบ้านไว้ก่อนแล้ว หยิบมันขึ้นชี้ออกไปยังความมืดเบื้องหน้า แล้วร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ข้ารู้สึกได้ว่าห้วนแข็งและเด็ดขาดกว่าปกติ
"นั่นใครน่ะ! บอกมา!"
เงียบ...ไม่มีคำตอบ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่หยุดสนิทไปตั้งแต่เมื่อครู่กลับมาร้องระงมป่าอีกครั้ง
"พี่ท่าน มาด้วยกันเถอะ!" อาจารย์ใหญ่กล่าวกับข้า แล้วหันไปเรียกแม่บ้าน เราทั้งสามลุกพรวดขึ้นยืนจัดเครื่องแต่งกายของตนเอง โดยไม่ต้องกล่าวอะไรกันให้มากความไปกว่านั้น
เราปลุกพวกเด็กๆ ขึ้นมา เอ่ยปากฝากให้ช่วยกันเฝ้าบ้านไว้ โดยมีศิษย์เอกของอาจารย์ใหญ่ถือหนังสือเล่มหนึ่งออกมาแถวหน้า แล้วนั่งลงเฝ้าที่ระเบียง คู่รักประจำคณะเดินทางแยกตัวกัน ฝ่ายชายออกมาสมทบตรงระเบียง ส่วนฝ่ายหญิงต้องนอนพักด้วยอาการไม่สบายเป็นไข้เล็กน้อย
เราสามคนก้าวลงบันได แล้วเดินออกไปเคียงกันสู่อาณาเขตรอบบ้านในยามราตรี ต่างก็หันมองซ้ายขวาและส่องไฟไปข้างหน้าด้วยอาการระแวดระวังเต็มที่
มีอะไรบางอย่างขยับไหวแวบๆ อยู่ในเส้นทางข้างหน้า อาจารย์ใหญ่นำเราวิ่งตามไปทางนั้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่เส้นทางที่จะนำผ่านป่า
ลมแรงขึ้นกะทันหันวูบหนึ่ง
แล้วในอีกชั่วอึดใจถัดมา
ม่านหมอกหนาก็ปิดล้อมอยู่รอบทิศ
"แม่บ้าน"
"อาจารย์!"
พวกเราทั้งสามขยับตัวยืนหันหลังชนกัน ชูไม้เท้าที่ถืออยู่ขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าเราเดินออกห่างบ้านพักมาไกลเกินไปหน่อยเสียแล้ว
ตอนนี้เกิดมีม่านหมอกที่หนาทึบจนมองฝ่าไปไม่ได้ และมองไม่เห็นพื้นใต้หมอกนั้นเลย เป็นกำแพงบีบอยู่ข้างหน้าและข้างหลังตัดขวางเส้นทางเดิน เสียงลมกรรโชกดังผิดปกติอื้ออึงอยู่โดยรอบ พัดผ่านไปมาในทิศทางต่างๆ ทำให้เราต้องระวังจนประสาทเริ่มเขม็งเครียด
ตอนนั้นเองอาจารย์ใหญ่ก็หลับตาแล้วขยับมือวาดไปรอบๆ เหมือนจะจับกระแสอะไรบางอย่างจากอากาศ แล้วจึงหันมาพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เราวิ่งตามเขาไป
จนกระทั่ง...
อีกครู่ใหญ่ๆ ถัดมา ม่านหมอกก็กลับมาเป็นปกติแม้จะยังหนาทึบอยู่ เราชะลอฝีเท้าลงด้วยความอ่อนล้า และเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
"เกือบไปแล้วนะ แม่บ้าน" อาจารย์ใหญ่ยกมือขึ้นเช็ดหน้าดูคล้ายปาดเหงื่อ แต่น่าจะเป็นเช็ดความชื้นจากไอหมอกออกไปมากกว่า
"ท่านก็เถอะ รับมือได้เยี่ยมสมกับเป็นระดับอาจารย์จริงๆ" ข้าแทรกขึ้นมาบ้าง
"ท่านก็ด้วย ที่มาแล้วช่วยพวกเราได้เยอะ" อาจารย์ใหญ่หันมายิ้มรับ
"เอาล่ะ ข้าหวังว่าข้างหน้านี่คงไม่มีอะไรแล้ว รีบกลับไปที่พักกันเถอะ" แม่บ้านเสริมบ้าง
พวกเราก้าวผ่านป่าสภาพเงียบสงัด ผ่านดงหินที่แลเหมือนทางวงกต หรือซากโบราณสถานป้อมปราการเก่าแก่ เพียงแต่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ผู้ใด ในบรรยากาศเงียบเหงาไม่เห็นมนุษย์อื่นร่วมทาง ในขณะที่หมอกยังปกคลุมในบรรยากาศอยู่ทั่วไป
จนเงาตะคุ่มๆ ของบ้านพักปรากฎขึ้นต่อหน้า เราจึงโล่งใจได้ในที่สุด
วันต่อมา
คู่รักนั่งซุกตัวห่อในผ้าห่ม เอาร่างแนบชิดกันต้านทานอากาศเหน็บหนาว ภายนอกฝนตกปรอยๆ สลับกับลงหนักมาทั้งวันแล้ว ยิ่งเพิ่มความอึมครึมให้บรรยากาศเข้าไปอีก
เด็กหนุ่มคนที่เงียบๆ ลุกขึ้นเดินลงจากบ้านลับหายไปอีกทางหนึ่ง เป็นครั้งที่สิบกว่าๆ แล้วตั้งแต่เช้ามา
"ไปค้นหาความว่างอีกแล้วล่ะสิ" พวกเราคนอื่นๆ นั่งจิบเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ชงกินกันอยู่ตรงระเบียง มองแล้วก็วิจารณ์ด้วยอาการเฮฮาตามอัตภาพ ถึงแม้จะอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ก็ตาม
"แย่หน่อย วันนี้เรายังเดินทางได้ไม่ถึงไหนเลย"
"รอหน่อยน่า คิดว่าอีกเดี๋ยวฝนก็คงหยุดตกแล้ว"
นั่นแหละ เอาเข้าจริงกว่าจะได้เคลื่อนขบวนก็บ่ายคล้อย หลังจากที่เตรียมตัวและออกเดินจากบริเวณที่พักแล้ว เราก็มุ่งไปอีกเส้นทางหนึ่งต่างจากเมื่อวานนี้ ผ่านดงหินแบบเดียวกับที่เห็นเมื่อคืนอีกหลายแห่ง สลับกับภูมิทัศน์ป่าที่เต็มไปด้วยเฟิร์นและพืชตระกูลสนลำต้นสูงใหญ่จำนวนมาก ลานพื้นหินที่แตกเป็นลายเกล็ดคล้ายหนังสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ และยังมีการเดินเลียบน้ำตก ข้ามธารน้ำตื้นๆ และผ่านทุ่งโล่งกว้างที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสวรรค์
จนกระทั่ง เรามาถึงลานหินบนขอบหน้าผาสูงชูชัน
ตอนนี้หมอกไม่ค่อยมีแล้ว ลมโกรกเย็นสบาย ภูมิทัศน์โล่งกว้างเบื้องล่างเห็นภูเขาสีเขียวๆ หลายลูกทอดตัวอยู่ลิบหูลิบตา มีเมืองๆ หนึ่งอยู่กลางที่ราบไกลออกไป
แสงแดดสาดส่องลงมาเห็นเป็นลำ จากเมฆที่เปิดช่องรูปสามเหลี่ยมให้ดวงตาแห่งฟ้าสวรรค์อยู่ตรงกลางพอดี
พวกเราหยุดอยู่ที่นี่นานทีเดียว ด้วยต้องทำภารกิจสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ จนใกล้เวลามืดค่ำ นักเดินทางคณะอื่นๆ ที่เดินทางมาชมธรรมชาติตรงหน้าผาแห่งนี้เริ่มบางตาลงแล้ว สมาชิกคนหนึ่งจึงชักชวนให้พวกเราไปนั่งกินอาหารที่ร้านค้าในบริเวณนั้น ก่อนจะเริ่มเดินทางกลับ
ข้าเดินนำขบวนไป พร้อมกับแม่บ้านที่ถือไฟส่องนำหน้า คู่หนุ่มสาวและเด็กๆ อีกสองคนถูกคุ้มกันไว้อยู่ตรงกลาง ขณะที่อาจารย์ใหญ่พร้อมศิษย์เอกของเขาเดินปิดท้ายขบวน
บนเส้นทางที่ค่อนข้างแน่นอน และตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไม่ซับซ้อนวกวนอะไร แต่ในความมืดของพลบค่ำ กับพื้นทางที่แฉะเป็นโคลนเลนอยู่หลายจุด ก็สร้างความลำบากให้กับพวกเราอยู่มากพอดู
พวกเราต้องค่อยๆ เคลื่อนขบวนไปอย่างระมัดระวัง ข้าถือไม้เท้าคอยสำรวจทางข้างหน้าไปควบคู่กับใช้สายตามองไปภายใต้แสงไฟวูบ วับสาดส่อง และพยายามนำทุกคนให้ก้าวตาม
แต่เวลานี้ ก็ทำให้ข้าเพิ่งจะได้คุยกับแม่บ้านมากขึ้นถึงเรื่องที่ได้ยินมา ทั้งตั้งแต่มาร่วมทางกันบนภูเขาแห่งนี้และในโอกาสก่อนหน้า คนอื่นๆ ในขบวนตามหลังเราอยู่เป็นระยะไม่กี่ก้าว แต่ต่างก็ต้องระวังทางข้างหน้าตนเองจนไม่ทันได้มาใส่ใจกับบทสนทนาของเรามาก นัก
ในใจข้า ยังคงมีความพิศวง และรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในเรื่องราวของเธอที่สะเทือนเข้าไปถึงส่วนลึก
จนต้องกล่าวออกมาเหมือนรำพึงรำพันกับโชคชะตา ในจังหวะที่หยุดรอคนอื่นๆ ตามหลัง
"สำหรับคนส่วนใหญ่...ความรักบางทีก็แสวงหาได้ตามหัวมุมถนนทั่วไป หรือหาได้ตามมุมมืดของเมืองที่มีแสงสีเร้าใจ หรืออาจหาได้จากที่เรียน ที่ทำงาน งานเทศกาลต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว และอีกสารพัด"
ข้าหันไปมองตาเธอนิ่งในขณะที่กล่าวต่อไป
"แต่ก็นั่นแหละ สำหรับบางคน...ความรักเป็นเหมือนสิ่งลี้ลับหลังม่านสนธยา อยู่ในเขตแดนต้องห้ามที่มนุษย์ผู้ใดๆ ยากนักที่จะก้าวล่วงเข้าไปสัมผัสได้"
พลันข้าเกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
"หรือคิดอีกด้านนึง อาจเป็นพวกเราเองก็ได้...ที่เป็นคนของแดนสนธยา แต่พลัดหลงมาอยู่ผิดที่ในแดนมนุษย์ และก็กลายเป็นการแสวงหาความรักผิดที่ผิดทางไปด้วย?"
เราต่างนิ่งอึ้งกับความคิดนี้ แล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
พวกเราทั้งคณะยังเดินตามกันไปเงียบๆ จนถึงอีกจุดหนึ่งใกล้ถึงที่หมายเต็มทีแล้ว เห็นแสงไฟและรั้วของค่ายพักอยู่เบื้องหน้า ก็ต้องหยุดรอพวกที่ตามหลังมาอีกครั้ง ให้พวกเขาค่อยๆ ทะยอยกันก้าวหลบหล่มโคลนใหญ่บนถนนมาทีละคนๆ
อยู่ๆ แม่บ้านก็พูดขึ้นมาอีก
"คิดว่า...ผู้ที่ถูกขับไล่ สมควรจะมีโอกาสได้แก้ตัวหรือไม่?"
"คิดว่า...ผู้ที่ถูกหักโค่นลงมา ต้องพินาศเพราะความหยิ่งผยองของตนเอง ยังสมควรจะได้รับความรักจากผู้อื่นหรือไม่?"
ประโยคนั้น ข้ารู้ว่าพูดถึงใครอื่นไม่ใช่ตัวข้า และก็เป็นใครที่พวกเราในคณะเดินทางนี้รู้จักกันอยู่ถ้วนหน้า
แต่ไม่รู้ทำไม...เมื่อฟังแล้วข้าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงอยู่ดี
ข้านิ่งอึ้ง คิดหาเหตุผลอยู่ชั่วครู่แล้วย้อนถามกลับไปบ้าง
"แล้วเจ้าล่ะ คิดว่า...ผู้ที่ถูกพันธนาการด้วยอดีตมานานแล้ว สมควรจะมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือไม่?"
เราต่างยังไม่มีคำตอบให้กันและกัน ได้แต่หันมองม่านหมอกหนาทึบกว่าเดิมที่อยู่รอบข้าง
...ม่านหมอกที่บดบังอำพราง ไม่ให้เราเห็นเส้นทางได้ไกลกว่าไม่กี่ก้าวรอบทิศ
วันต่อมา
ได้เวลาที่เราจะเดินทางลงจากภูเขานี้ ไปสู่จุดหมายต่อไปเบื้องหน้าแล้ว
หลังจากเก็บของอย่างทุลักทุเลเพราะจัดวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก จนครบเรียบร้อยทุกคน เราก็รีบรุดออกเดินทาง เพราะนี่เป็นเวลาเข้ายามบ่าย ซึ่งการลงจากเขาจะไม่ค่อยทันเวลาเย็นอยู่แล้ว
เราทิ้งที่พักแรมไว้เบื้องหลัง แล้วเดินทางลงจากพื้นที่ยอดเขาอย่างระมัดระวัง
เวลาผ่านไปนานพอสมควร แต่ละคนก็ดูท่าทางเหนื่อยและเลอะเทอะกันบ้าง แต่เส้นทางเริ่มดูแปลกๆ และไม่คุ้นว่าเหมือนที่เคยเห็นตอนขาขึ้น
มันรกชัฏและแฉะชื้นผิดปกติ ไม่มีวี่แววของลูกหาบหรือนักเดินทางคณะอื่นๆ เดินมาทางนี้เลย รอบข้างก็เต็มไปด้วยต้นเฟิร์นและพืชป่าชนิดอื่นๆ มีลำต้นมีใบใหญ่ๆ จำนวนมาก
ที่สำคัญยิ่งกว่า คือหลังจากเดินลงมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ก็ยังไม่พบจุดพักเป็นที่ราบมีซุ้มร้านค้า อย่างที่ควรจะเป็น ถึงจะมีรอยเท้าคน และมีบันไดไม้ใหม่เอี่ยมถูกสร้างไว้เป็นระยะๆ ตามทางก็เถอะ
เราเริ่มถกเถียงกันและระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่สุดท้ายแล้วเราก็มีมติว่า จะเดินลงตามเส้นทางนี้ต่อไป
ในจังหวะหนึ่ง ข้าเสียหลักจะลื่น จึงปักไม้เท้าลงไปบนพื้น
แต่มันคงจะถูกใช้งานมามาก ส่วนปลายที่มีจุดเปราะบางจึงหักออกไปเสีย
"ฝากเก็บชิ้นส่วนไว้ก่อน" ข้าให้พวกเด็กๆ ช่วยเอาไม้เท้าท่อนที่เหลืออยู่ไปเก็บไว้แทน จากนั้นข้ามองไปข้างทาง แล้วก็พอดีสายตาไปสะดุดเข้ากับไม้อีกท่อนหนึ่ง
ข้าก้าวไปหยิบมันขึ้นมา ทดสอบถือแล้วกระทุ้งลงกับพื้นดูความแข็งแรงหลายๆ ครั้ง
แล้วข้าก็ได้ไม้เท้าขนาดใหญ่และหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ก็มีความแข็งแรงมาก มาใช้ในการเดินทางต่อจากนี้ที่อาจจะยิ่งลำบากมากขึ้น
เมื่อเดินลงมาอีก ในที่สุดเราก็มาเจอกับเส้นทางสายหลัก และพบว่าเราเดินลงมาอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งปกติควรจะปิดไว้ไม่ให้เข้า
แต่ด้วยเหตุบางอย่าง ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นป้ายหรือเครื่องกีดขวางใดๆ ตอนที่เดินหลงมาเข้าเส้นทางนี้เลย
"เราออกนอกทางไปหน่อย แต่ตอนนี้กลับเข้าเส้นทางปกติแล้ว รีบไปกันเถอะ!" ทุกคนเริ่มใจชื้นขึ้น รีบก้าวออกมาในเส้นทางหลัก และเคลื่อนขบวนลงไปต่อด้วยอาการเร่งรีบ มันเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ใกล้เย็นแล้ว และท้องฟ้าก็มืดครึ้มด้วยเมฆ
ข้าเองชักเท้าก้าวไปทีละก้าวสลับกันเหยียบย่าง และใช้ไม้เท้ากระแทกลงใส่พื้นแต่ละจุดอย่างมั่นคงแข็งแรง ส่งเสียงเป็นจังหวะที่ให้ความรู้สึกคล้ายสัตว์ยักษ์ก้าวเดินมากกว่าจะเป็น การเดินของคนทั่วๆ ไป
ในขณะที่แม่บ้านกำลังขยับขาเพียงไม่มากนักแต่มีลีลาสลับเท้าพลิ้วไหว นำร่างให้เคลื่อนลงทางลาดไปอย่างรวดเร็ว
เหมือนเป็นแรงดลใจให้ข้าเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตาม ด้วยสายตาเขม้นมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจยิ่งยวด ยังพยายามลากลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะให้สม่ำเสมอถึงแม้จะมีกระตุกจากอาการ เหนื่อยหอบ และขยับแขนฟาดไม้เท้าลงไปเบื้องหน้าเป็นจังหวะสลับกับขาให้พอเหมาะพอดี
เราพากันวิ่งและกระโดดลงมา ผ่านบันไดหิน ก้อนหิน รากไม้และโคลนเละลื่น รวดเร็วอย่างน่าหวาดเสียว ลดเลี้ยวไปมาซ้ายขวาและแนวกลาง เห็นเป็นเส้นเงาสีเขียว น้ำตาล ดำจางๆ จากเครื่องแต่งกาย ที่ชวนให้นึกถึงภูติป่าสองตนวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่
จนมาหยุดที่ระยะหนึ่ง คณะเดินทางคนอื่นๆ ห่างไปไกลเกือบลับสายตา พวกเราที่นำหน้ามาจึงหยุดพักก่อน หันไปรอคนข้างหลังพลางออกอาการหอบแฮกๆ
"ใช้ได้นี่" ข้าเอ่ยชม
เธอยักไหล่ตอบยิ้มๆ
"อาจารย์ข้าสอนมาดี"
ข้าถอดหมวกออกเช็ดเหงื่อที่หน้า ก่อนจะมองดูเธออย่างพินิจอีกครั้งหนึ่ง
"แต่ว่าเจ้าน่ะ ดูท่าทางก็ถนัดเรื่องเดินทางอยู่แล้วด้วยละ...โดยเฉพาะในความมืด"
"เหมือนกับข้า"
เธอเลิกคิ้วเหมือนแสดงความสงสัยเล็กน้อย "งั้นหรือ"
เมื่อคณะเดินทางคนอื่นตามมาทัน เราก็เดินไปรุมล้อมดูป้ายบอกตำแหน่งและระยะทาง และพบว่าเราเข้าสู่ทางช่วงสุดท้ายแล้วก่อนจะออกสู่เชิงเขา
เราจึงมุ่งเดินหน้าไปอีกพักหนึ่ง แต่แสงเริ่มหมดลงเรื่อยๆ ในขณะที่บันไดหินและเส้นทางดินลาดลงข้างหน้า ยังทอดยาวดูไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดเสียที
"ในป่ามืดเร็วกว่าที่เราคิด" เด็กหนุ่มคนหนึ่งบ่นอุบ
"เอาตะเกียงออกมาใช้ได้แล้ว!" อาจารย์ใหญ่ร้องบอกให้พวกเราทำตาม จึงต้องนั่งลงรื้อของอยู่ชั่วครู่ แล้วก็เตรียมการเดินต่อไป
คนหนึ่งในขบวนตรงกลางถือตะเกียงที่จุดแล้วไว้สาดส่องไปทั่ว คนอื่นๆ อีกบางคนก็มีไฟสำหรับส่องทางเช่นกัน รวมทั้งข้าที่นำหน้าสุดด้วย
"เกาะกลุ่มกันไว้!"
ตอนนี้แม่บ้านถอยขึ้นไปอยู่แนวกลาง เด็กหนุ่มคนที่ช่างพูดคุยอยู่เรื่อยๆ ขึ้นมาเดินนำข้างหน้ากับข้าแทน เขาช่วยบอกทางกับพวกข้างหลังขบวนได้ดีทีเดียว
ในบางครั้งที่ข้าไม่แน่ใจเส้นทาง ก็จะบอกให้หยุด แล้วให้เขาส่องไฟดูทั่วๆ ทั้งทางซ้าย ทางขวา และข้างหน้า ว่าทางต่อไปอยู่ทิศไหนกันแน่
ในบางครั้งก็มีคนทำท่าจะก้าวพลาดหรือสะดุดล้ม บางครั้งก็มีหนูหรือสัตว์ป่าตัวเล็กๆ วิ่งไปวิ่งมาตัดหน้า แต่ก็ไม่เป็นอันตรายอะไรมากนัก เพราะเราระวังตัวกันเต็มที่อยู่แล้ว
มันช่างเป็นการเดินทางช่วงที่ยาวนานที่สุดที่พวกเราเคยรู้สึกมา แต่ก็ไม่มีใครหวาดกลัวจนขาดสติหรือท้อถอย แม้จะเป็นกังวลบ้าง เราแทบไม่พูดคุยอะไรกันนอกจากบอกทางเดินข้างหน้าให้คนข้างหลังรู้ และบอกข้างหน้าขบวนให้หยุดรอ
จนในที่สุด...เส้นทางการผจญภัยช่วงนี้ก็สิ้นสุดลงจนได้
"เห็นคนแล้ว!" เสียงจากกลางขบวนตะโกนขึ้นด้วยความยินดี เราพากันมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่นึกหวาดกลัวอะไรอีกแล้ว เงาสิ่งก่อสร้างตะคุ่มๆ แสงไฟ และเงาคนในเครื่องแบบหลายๆ คนที่กระจายกันอยู่ต่อหน้า ใกล้เข้ามาในสายตาเรื่อยๆ
จนเมื่อเราลงมาออกพ้นเส้นทาง ก็มีคณะเจ้าหน้าที่เฝ้าด่านที่เชิงเขา เดินเข้ามาพูดคุยสอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ข้าหันมองไปรอบๆ ภายใต้แสงไฟบริเวณนั้น ข้าเห็นทุกคนมีสีหน้าเหนื่อยล้าแต่ก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ
มันคงเป็นการผจญภัยที่จารึกไว้ในความทรงจำของเราทุกคนไปอีกนาน และถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่เราผ่านพ้นมาได้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ
พวกเรานั่งล้อมวงอยู่รอบเตาไฟที่กำลังถูกใช้ต้มบางสิ่งในหม้อ
สมาชิกคณะเดินทางผู้หนึ่งเป็นหญิงสาวในชุดแต่งกายที่ดูๆ แล้วก็เหมือนสาวชาวบ้านทั่วไป ถือที่จับคล้ายด้ามกระบวยของหม้อนั้นเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือทัพพีกวนของเหลวสีขาวอมเหลืองขุ่นที่กำลังเดือดปุดๆ ในนั้นอย่างตั้งใจ สมกับตำแหน่ง แม่บ้าน ประจำคณะเดินทางนี้
หลังจากนั่งมองดูซุปที่มีถั่ว เห็ด เศษข้าว ต้มรวมกันเละๆ ในหม้อ จนเริ่มเบื่อแล้ว ข้าก็หันมองบรรยากาศรอบๆ ในเขตระเบียงบ้านไม้ที่ยกพื้นสูงหลังนี้บ้าง
เสื้อผ้าถูกตากไว้บนขอบระเบียงระเกะระกะ บนพื้นตามผนังและหัวมุมมีเสบียงแห้งและของใช้งานวางกองอยู่ทั่วไป
ในคณะเดินทาง มีเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งท่าทางเงียบๆ แววตาแฝงความดุดันเอาเรื่อง อีกคนหนึ่งดูท่าทางร่าเริง พูดอยู่เกือบตลอดเวลา
หญิงชายอีกคู่ในมาดนักผจญภัยในโลกกว้างนั่งคุยกระหนุงกระหนิง พลางถือช้อนป้อนหมี่เกี๊ยวให้แก่กัน
อีกมุมหนึ่งของวง คือบุรุษท่าทางเงียบขรึมและทรงอำนาจ เขาคือผู้ถูกเรียกว่า อาจารย์ จากคนอื่นๆ ยกเว้นข้าซึ่งเป็นเหมือนแขกรับเชิญมามากกว่า และจะเรียกว่าอาจารย์ธรรมดาก็ยังไม่ถูกนัก เพราะเขาเป็นถึง อาจารย์ใหญ่ ผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาแต่แรกเลยทีเดียว
ยังมีเด็กหนุ่มร่างท้วม ที่ท่าทางเรียบร้อยและคงแก่เรียนกว่าเด็กหนุ่มอีกสองคน ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของอาจารย์ใหญ่ในตอนนี้ เขากำลังเตรียมการบางอย่างอยู่ในบ้าน ยังไม่ออกมาสมทบ
แต่ละคนแต่งตัวตามสบาย บรรยากาศเหมือนๆ กับชาวบ้านป่าที่มานั่งล้อมวงกินอาหารร่วมกันในยามเย็น ยังขาดก็แต่เครื่องดนตรีสักชิ้น
เสบียงอาหารที่มีอยู่ แลดูไปคล้ายอัตคัตขัดสน แต่พวกเราก็ยังกินกันไปโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรมากนัก ในเมื่อภารกิจสำคัญยิ่งกว่า การเดินทางที่ยิ่งใหญ่กว่า ยังรอคอยอยู่เบื้องหน้า
เมื่อกินเสร็จ ก็นั่งคุยเล่นกันไป สลับกับร้องเพลง สลับกับถกเรื่องราวสำคัญๆ ยืดเยื้อยาวนาน มีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนลงจากบ้านไปทำธุระส่วนตัวบ้างเป็นระยะๆ
จนเมื่อความมืดโรยตัวลงปกคลุมหนักหนาขึ้น แต่ละคนก็ทยอยกันเข้านอน จำนวนคนที่นั่งล้อมรอบตะเกียงน้ำมันอยู่ค่อยๆ ลดลง จนถึงคราวของข้าบ้าง
แต่เมื่อเข้าไปข้างใน ล้มตัวลงบนที่นอนแล้ว รู้สึกเคลิ้มๆ หลับด้วยความเหนื่อยอ่อนไปได้ไม่เท่าไหร่นัก
ข้าก็กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
ข้าขยี้ตาแล้วมองไปรอบๆ ชักรู้สึกว่าจะนอนไม่หลับเสียแล้ว อาจเป็นเพราะแปลกที่ หรือว่า...
ประตูเปิดแง้มไว้ ข้างนอกที่ระเบียงได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่กับแม่บ้านถกเถียงกันเล็ดลอดเข้ามา ให้ได้ยิน ข้านอนฟังเงียบๆ พอจะปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้ ที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ด้วยเห็นถึงอะไรบางอย่างที่เคร่งเครียดจริงจังและไม่อาจคาดเดาหนทาง ในความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งหมด
แต่ข้าก็หยุดความคิดนั้นลง เมื่อทั้งสองคนที่ระเบียงพร้อมใจกันเงียบเสียงลงกะทันหัน ตามมาด้วยเสียงลมพัดอู้ มีเสียงกระทบฟังคล้ายกับการเคาะเป็นจังหวะที่ผนังภายนอกตามจุดต่างๆ ตั้งแต่หลังคา หน้าบ้าน หลังบ้าน จนถึงใต้ถุน
ตามด้วยเกิดความสั่นสะเทือนอย่างผิดสังเกตไล่จากเชิงบันไดขึ้นมาจนถึง ขอบระเบียง โดยที่ไม่อาจเห็นตัวตนของสิ่งใดๆ ก็ตามที่อาจเป็นต้นเหตุได้
ข้าลุกขึ้นจากที่นอน วิ่งออกไปที่ระเบียงสมทบกับทั้งคู่ กระโจนไปหาไม้เท้าที่ข้าวางขวางธรณีประตูตรงบันไดลงจากบ้านไว้ก่อนแล้ว หยิบมันขึ้นชี้ออกไปยังความมืดเบื้องหน้า แล้วร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ข้ารู้สึกได้ว่าห้วนแข็งและเด็ดขาดกว่าปกติ
"นั่นใครน่ะ! บอกมา!"
เงียบ...ไม่มีคำตอบ เสียงหรีดหริ่งเรไรที่หยุดสนิทไปตั้งแต่เมื่อครู่กลับมาร้องระงมป่าอีกครั้ง
"พี่ท่าน มาด้วยกันเถอะ!" อาจารย์ใหญ่กล่าวกับข้า แล้วหันไปเรียกแม่บ้าน เราทั้งสามลุกพรวดขึ้นยืนจัดเครื่องแต่งกายของตนเอง โดยไม่ต้องกล่าวอะไรกันให้มากความไปกว่านั้น
เราปลุกพวกเด็กๆ ขึ้นมา เอ่ยปากฝากให้ช่วยกันเฝ้าบ้านไว้ โดยมีศิษย์เอกของอาจารย์ใหญ่ถือหนังสือเล่มหนึ่งออกมาแถวหน้า แล้วนั่งลงเฝ้าที่ระเบียง คู่รักประจำคณะเดินทางแยกตัวกัน ฝ่ายชายออกมาสมทบตรงระเบียง ส่วนฝ่ายหญิงต้องนอนพักด้วยอาการไม่สบายเป็นไข้เล็กน้อย
เราสามคนก้าวลงบันได แล้วเดินออกไปเคียงกันสู่อาณาเขตรอบบ้านในยามราตรี ต่างก็หันมองซ้ายขวาและส่องไฟไปข้างหน้าด้วยอาการระแวดระวังเต็มที่
มีอะไรบางอย่างขยับไหวแวบๆ อยู่ในเส้นทางข้างหน้า อาจารย์ใหญ่นำเราวิ่งตามไปทางนั้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่เส้นทางที่จะนำผ่านป่า
ลมแรงขึ้นกะทันหันวูบหนึ่ง
แล้วในอีกชั่วอึดใจถัดมา
ม่านหมอกหนาก็ปิดล้อมอยู่รอบทิศ
"แม่บ้าน"
"อาจารย์!"
พวกเราทั้งสามขยับตัวยืนหันหลังชนกัน ชูไม้เท้าที่ถืออยู่ขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าเราเดินออกห่างบ้านพักมาไกลเกินไปหน่อยเสียแล้ว
ตอนนี้เกิดมีม่านหมอกที่หนาทึบจนมองฝ่าไปไม่ได้ และมองไม่เห็นพื้นใต้หมอกนั้นเลย เป็นกำแพงบีบอยู่ข้างหน้าและข้างหลังตัดขวางเส้นทางเดิน เสียงลมกรรโชกดังผิดปกติอื้ออึงอยู่โดยรอบ พัดผ่านไปมาในทิศทางต่างๆ ทำให้เราต้องระวังจนประสาทเริ่มเขม็งเครียด
ตอนนั้นเองอาจารย์ใหญ่ก็หลับตาแล้วขยับมือวาดไปรอบๆ เหมือนจะจับกระแสอะไรบางอย่างจากอากาศ แล้วจึงหันมาพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เราวิ่งตามเขาไป
จนกระทั่ง...
อีกครู่ใหญ่ๆ ถัดมา ม่านหมอกก็กลับมาเป็นปกติแม้จะยังหนาทึบอยู่ เราชะลอฝีเท้าลงด้วยความอ่อนล้า และเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
"เกือบไปแล้วนะ แม่บ้าน" อาจารย์ใหญ่ยกมือขึ้นเช็ดหน้าดูคล้ายปาดเหงื่อ แต่น่าจะเป็นเช็ดความชื้นจากไอหมอกออกไปมากกว่า
"ท่านก็เถอะ รับมือได้เยี่ยมสมกับเป็นระดับอาจารย์จริงๆ" ข้าแทรกขึ้นมาบ้าง
"ท่านก็ด้วย ที่มาแล้วช่วยพวกเราได้เยอะ" อาจารย์ใหญ่หันมายิ้มรับ
"เอาล่ะ ข้าหวังว่าข้างหน้านี่คงไม่มีอะไรแล้ว รีบกลับไปที่พักกันเถอะ" แม่บ้านเสริมบ้าง
พวกเราก้าวผ่านป่าสภาพเงียบสงัด ผ่านดงหินที่แลเหมือนทางวงกต หรือซากโบราณสถานป้อมปราการเก่าแก่ เพียงแต่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ผู้ใด ในบรรยากาศเงียบเหงาไม่เห็นมนุษย์อื่นร่วมทาง ในขณะที่หมอกยังปกคลุมในบรรยากาศอยู่ทั่วไป
จนเงาตะคุ่มๆ ของบ้านพักปรากฎขึ้นต่อหน้า เราจึงโล่งใจได้ในที่สุด
วันต่อมา
คู่รักนั่งซุกตัวห่อในผ้าห่ม เอาร่างแนบชิดกันต้านทานอากาศเหน็บหนาว ภายนอกฝนตกปรอยๆ สลับกับลงหนักมาทั้งวันแล้ว ยิ่งเพิ่มความอึมครึมให้บรรยากาศเข้าไปอีก
เด็กหนุ่มคนที่เงียบๆ ลุกขึ้นเดินลงจากบ้านลับหายไปอีกทางหนึ่ง เป็นครั้งที่สิบกว่าๆ แล้วตั้งแต่เช้ามา
"ไปค้นหาความว่างอีกแล้วล่ะสิ" พวกเราคนอื่นๆ นั่งจิบเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ชงกินกันอยู่ตรงระเบียง มองแล้วก็วิจารณ์ด้วยอาการเฮฮาตามอัตภาพ ถึงแม้จะอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ก็ตาม
"แย่หน่อย วันนี้เรายังเดินทางได้ไม่ถึงไหนเลย"
"รอหน่อยน่า คิดว่าอีกเดี๋ยวฝนก็คงหยุดตกแล้ว"
นั่นแหละ เอาเข้าจริงกว่าจะได้เคลื่อนขบวนก็บ่ายคล้อย หลังจากที่เตรียมตัวและออกเดินจากบริเวณที่พักแล้ว เราก็มุ่งไปอีกเส้นทางหนึ่งต่างจากเมื่อวานนี้ ผ่านดงหินแบบเดียวกับที่เห็นเมื่อคืนอีกหลายแห่ง สลับกับภูมิทัศน์ป่าที่เต็มไปด้วยเฟิร์นและพืชตระกูลสนลำต้นสูงใหญ่จำนวนมาก ลานพื้นหินที่แตกเป็นลายเกล็ดคล้ายหนังสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ และยังมีการเดินเลียบน้ำตก ข้ามธารน้ำตื้นๆ และผ่านทุ่งโล่งกว้างที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสวรรค์
จนกระทั่ง เรามาถึงลานหินบนขอบหน้าผาสูงชูชัน
ตอนนี้หมอกไม่ค่อยมีแล้ว ลมโกรกเย็นสบาย ภูมิทัศน์โล่งกว้างเบื้องล่างเห็นภูเขาสีเขียวๆ หลายลูกทอดตัวอยู่ลิบหูลิบตา มีเมืองๆ หนึ่งอยู่กลางที่ราบไกลออกไป
แสงแดดสาดส่องลงมาเห็นเป็นลำ จากเมฆที่เปิดช่องรูปสามเหลี่ยมให้ดวงตาแห่งฟ้าสวรรค์อยู่ตรงกลางพอดี
พวกเราหยุดอยู่ที่นี่นานทีเดียว ด้วยต้องทำภารกิจสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ จนใกล้เวลามืดค่ำ นักเดินทางคณะอื่นๆ ที่เดินทางมาชมธรรมชาติตรงหน้าผาแห่งนี้เริ่มบางตาลงแล้ว สมาชิกคนหนึ่งจึงชักชวนให้พวกเราไปนั่งกินอาหารที่ร้านค้าในบริเวณนั้น ก่อนจะเริ่มเดินทางกลับ
ข้าเดินนำขบวนไป พร้อมกับแม่บ้านที่ถือไฟส่องนำหน้า คู่หนุ่มสาวและเด็กๆ อีกสองคนถูกคุ้มกันไว้อยู่ตรงกลาง ขณะที่อาจารย์ใหญ่พร้อมศิษย์เอกของเขาเดินปิดท้ายขบวน
บนเส้นทางที่ค่อนข้างแน่นอน และตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไม่ซับซ้อนวกวนอะไร แต่ในความมืดของพลบค่ำ กับพื้นทางที่แฉะเป็นโคลนเลนอยู่หลายจุด ก็สร้างความลำบากให้กับพวกเราอยู่มากพอดู
พวกเราต้องค่อยๆ เคลื่อนขบวนไปอย่างระมัดระวัง ข้าถือไม้เท้าคอยสำรวจทางข้างหน้าไปควบคู่กับใช้สายตามองไปภายใต้แสงไฟวูบ วับสาดส่อง และพยายามนำทุกคนให้ก้าวตาม
แต่เวลานี้ ก็ทำให้ข้าเพิ่งจะได้คุยกับแม่บ้านมากขึ้นถึงเรื่องที่ได้ยินมา ทั้งตั้งแต่มาร่วมทางกันบนภูเขาแห่งนี้และในโอกาสก่อนหน้า คนอื่นๆ ในขบวนตามหลังเราอยู่เป็นระยะไม่กี่ก้าว แต่ต่างก็ต้องระวังทางข้างหน้าตนเองจนไม่ทันได้มาใส่ใจกับบทสนทนาของเรามาก นัก
ในใจข้า ยังคงมีความพิศวง และรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในเรื่องราวของเธอที่สะเทือนเข้าไปถึงส่วนลึก
จนต้องกล่าวออกมาเหมือนรำพึงรำพันกับโชคชะตา ในจังหวะที่หยุดรอคนอื่นๆ ตามหลัง
"สำหรับคนส่วนใหญ่...ความรักบางทีก็แสวงหาได้ตามหัวมุมถนนทั่วไป หรือหาได้ตามมุมมืดของเมืองที่มีแสงสีเร้าใจ หรืออาจหาได้จากที่เรียน ที่ทำงาน งานเทศกาลต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว และอีกสารพัด"
ข้าหันไปมองตาเธอนิ่งในขณะที่กล่าวต่อไป
"แต่ก็นั่นแหละ สำหรับบางคน...ความรักเป็นเหมือนสิ่งลี้ลับหลังม่านสนธยา อยู่ในเขตแดนต้องห้ามที่มนุษย์ผู้ใดๆ ยากนักที่จะก้าวล่วงเข้าไปสัมผัสได้"
พลันข้าเกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
"หรือคิดอีกด้านนึง อาจเป็นพวกเราเองก็ได้...ที่เป็นคนของแดนสนธยา แต่พลัดหลงมาอยู่ผิดที่ในแดนมนุษย์ และก็กลายเป็นการแสวงหาความรักผิดที่ผิดทางไปด้วย?"
เราต่างนิ่งอึ้งกับความคิดนี้ แล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
พวกเราทั้งคณะยังเดินตามกันไปเงียบๆ จนถึงอีกจุดหนึ่งใกล้ถึงที่หมายเต็มทีแล้ว เห็นแสงไฟและรั้วของค่ายพักอยู่เบื้องหน้า ก็ต้องหยุดรอพวกที่ตามหลังมาอีกครั้ง ให้พวกเขาค่อยๆ ทะยอยกันก้าวหลบหล่มโคลนใหญ่บนถนนมาทีละคนๆ
อยู่ๆ แม่บ้านก็พูดขึ้นมาอีก
"คิดว่า...ผู้ที่ถูกขับไล่ สมควรจะมีโอกาสได้แก้ตัวหรือไม่?"
"คิดว่า...ผู้ที่ถูกหักโค่นลงมา ต้องพินาศเพราะความหยิ่งผยองของตนเอง ยังสมควรจะได้รับความรักจากผู้อื่นหรือไม่?"
ประโยคนั้น ข้ารู้ว่าพูดถึงใครอื่นไม่ใช่ตัวข้า และก็เป็นใครที่พวกเราในคณะเดินทางนี้รู้จักกันอยู่ถ้วนหน้า
แต่ไม่รู้ทำไม...เมื่อฟังแล้วข้าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงอยู่ดี
ข้านิ่งอึ้ง คิดหาเหตุผลอยู่ชั่วครู่แล้วย้อนถามกลับไปบ้าง
"แล้วเจ้าล่ะ คิดว่า...ผู้ที่ถูกพันธนาการด้วยอดีตมานานแล้ว สมควรจะมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือไม่?"
เราต่างยังไม่มีคำตอบให้กันและกัน ได้แต่หันมองม่านหมอกหนาทึบกว่าเดิมที่อยู่รอบข้าง
...ม่านหมอกที่บดบังอำพราง ไม่ให้เราเห็นเส้นทางได้ไกลกว่าไม่กี่ก้าวรอบทิศ
วันต่อมา
ได้เวลาที่เราจะเดินทางลงจากภูเขานี้ ไปสู่จุดหมายต่อไปเบื้องหน้าแล้ว
หลังจากเก็บของอย่างทุลักทุเลเพราะจัดวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก จนครบเรียบร้อยทุกคน เราก็รีบรุดออกเดินทาง เพราะนี่เป็นเวลาเข้ายามบ่าย ซึ่งการลงจากเขาจะไม่ค่อยทันเวลาเย็นอยู่แล้ว
เราทิ้งที่พักแรมไว้เบื้องหลัง แล้วเดินทางลงจากพื้นที่ยอดเขาอย่างระมัดระวัง
เวลาผ่านไปนานพอสมควร แต่ละคนก็ดูท่าทางเหนื่อยและเลอะเทอะกันบ้าง แต่เส้นทางเริ่มดูแปลกๆ และไม่คุ้นว่าเหมือนที่เคยเห็นตอนขาขึ้น
มันรกชัฏและแฉะชื้นผิดปกติ ไม่มีวี่แววของลูกหาบหรือนักเดินทางคณะอื่นๆ เดินมาทางนี้เลย รอบข้างก็เต็มไปด้วยต้นเฟิร์นและพืชป่าชนิดอื่นๆ มีลำต้นมีใบใหญ่ๆ จำนวนมาก
ที่สำคัญยิ่งกว่า คือหลังจากเดินลงมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ก็ยังไม่พบจุดพักเป็นที่ราบมีซุ้มร้านค้า อย่างที่ควรจะเป็น ถึงจะมีรอยเท้าคน และมีบันไดไม้ใหม่เอี่ยมถูกสร้างไว้เป็นระยะๆ ตามทางก็เถอะ
เราเริ่มถกเถียงกันและระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่สุดท้ายแล้วเราก็มีมติว่า จะเดินลงตามเส้นทางนี้ต่อไป
ในจังหวะหนึ่ง ข้าเสียหลักจะลื่น จึงปักไม้เท้าลงไปบนพื้น
แต่มันคงจะถูกใช้งานมามาก ส่วนปลายที่มีจุดเปราะบางจึงหักออกไปเสีย
"ฝากเก็บชิ้นส่วนไว้ก่อน" ข้าให้พวกเด็กๆ ช่วยเอาไม้เท้าท่อนที่เหลืออยู่ไปเก็บไว้แทน จากนั้นข้ามองไปข้างทาง แล้วก็พอดีสายตาไปสะดุดเข้ากับไม้อีกท่อนหนึ่ง
ข้าก้าวไปหยิบมันขึ้นมา ทดสอบถือแล้วกระทุ้งลงกับพื้นดูความแข็งแรงหลายๆ ครั้ง
แล้วข้าก็ได้ไม้เท้าขนาดใหญ่และหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ก็มีความแข็งแรงมาก มาใช้ในการเดินทางต่อจากนี้ที่อาจจะยิ่งลำบากมากขึ้น
เมื่อเดินลงมาอีก ในที่สุดเราก็มาเจอกับเส้นทางสายหลัก และพบว่าเราเดินลงมาอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งปกติควรจะปิดไว้ไม่ให้เข้า
แต่ด้วยเหตุบางอย่าง ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นป้ายหรือเครื่องกีดขวางใดๆ ตอนที่เดินหลงมาเข้าเส้นทางนี้เลย
"เราออกนอกทางไปหน่อย แต่ตอนนี้กลับเข้าเส้นทางปกติแล้ว รีบไปกันเถอะ!" ทุกคนเริ่มใจชื้นขึ้น รีบก้าวออกมาในเส้นทางหลัก และเคลื่อนขบวนลงไปต่อด้วยอาการเร่งรีบ มันเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ใกล้เย็นแล้ว และท้องฟ้าก็มืดครึ้มด้วยเมฆ
ข้าเองชักเท้าก้าวไปทีละก้าวสลับกันเหยียบย่าง และใช้ไม้เท้ากระแทกลงใส่พื้นแต่ละจุดอย่างมั่นคงแข็งแรง ส่งเสียงเป็นจังหวะที่ให้ความรู้สึกคล้ายสัตว์ยักษ์ก้าวเดินมากกว่าจะเป็น การเดินของคนทั่วๆ ไป
ในขณะที่แม่บ้านกำลังขยับขาเพียงไม่มากนักแต่มีลีลาสลับเท้าพลิ้วไหว นำร่างให้เคลื่อนลงทางลาดไปอย่างรวดเร็ว
เหมือนเป็นแรงดลใจให้ข้าเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตาม ด้วยสายตาเขม้นมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจยิ่งยวด ยังพยายามลากลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะให้สม่ำเสมอถึงแม้จะมีกระตุกจากอาการ เหนื่อยหอบ และขยับแขนฟาดไม้เท้าลงไปเบื้องหน้าเป็นจังหวะสลับกับขาให้พอเหมาะพอดี
เราพากันวิ่งและกระโดดลงมา ผ่านบันไดหิน ก้อนหิน รากไม้และโคลนเละลื่น รวดเร็วอย่างน่าหวาดเสียว ลดเลี้ยวไปมาซ้ายขวาและแนวกลาง เห็นเป็นเส้นเงาสีเขียว น้ำตาล ดำจางๆ จากเครื่องแต่งกาย ที่ชวนให้นึกถึงภูติป่าสองตนวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่
จนมาหยุดที่ระยะหนึ่ง คณะเดินทางคนอื่นๆ ห่างไปไกลเกือบลับสายตา พวกเราที่นำหน้ามาจึงหยุดพักก่อน หันไปรอคนข้างหลังพลางออกอาการหอบแฮกๆ
"ใช้ได้นี่" ข้าเอ่ยชม
เธอยักไหล่ตอบยิ้มๆ
"อาจารย์ข้าสอนมาดี"
ข้าถอดหมวกออกเช็ดเหงื่อที่หน้า ก่อนจะมองดูเธออย่างพินิจอีกครั้งหนึ่ง
"แต่ว่าเจ้าน่ะ ดูท่าทางก็ถนัดเรื่องเดินทางอยู่แล้วด้วยละ...โดยเฉพาะในความมืด"
"เหมือนกับข้า"
เธอเลิกคิ้วเหมือนแสดงความสงสัยเล็กน้อย "งั้นหรือ"
เมื่อคณะเดินทางคนอื่นตามมาทัน เราก็เดินไปรุมล้อมดูป้ายบอกตำแหน่งและระยะทาง และพบว่าเราเข้าสู่ทางช่วงสุดท้ายแล้วก่อนจะออกสู่เชิงเขา
เราจึงมุ่งเดินหน้าไปอีกพักหนึ่ง แต่แสงเริ่มหมดลงเรื่อยๆ ในขณะที่บันไดหินและเส้นทางดินลาดลงข้างหน้า ยังทอดยาวดูไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดเสียที
"ในป่ามืดเร็วกว่าที่เราคิด" เด็กหนุ่มคนหนึ่งบ่นอุบ
"เอาตะเกียงออกมาใช้ได้แล้ว!" อาจารย์ใหญ่ร้องบอกให้พวกเราทำตาม จึงต้องนั่งลงรื้อของอยู่ชั่วครู่ แล้วก็เตรียมการเดินต่อไป
คนหนึ่งในขบวนตรงกลางถือตะเกียงที่จุดแล้วไว้สาดส่องไปทั่ว คนอื่นๆ อีกบางคนก็มีไฟสำหรับส่องทางเช่นกัน รวมทั้งข้าที่นำหน้าสุดด้วย
"เกาะกลุ่มกันไว้!"
ตอนนี้แม่บ้านถอยขึ้นไปอยู่แนวกลาง เด็กหนุ่มคนที่ช่างพูดคุยอยู่เรื่อยๆ ขึ้นมาเดินนำข้างหน้ากับข้าแทน เขาช่วยบอกทางกับพวกข้างหลังขบวนได้ดีทีเดียว
ในบางครั้งที่ข้าไม่แน่ใจเส้นทาง ก็จะบอกให้หยุด แล้วให้เขาส่องไฟดูทั่วๆ ทั้งทางซ้าย ทางขวา และข้างหน้า ว่าทางต่อไปอยู่ทิศไหนกันแน่
ในบางครั้งก็มีคนทำท่าจะก้าวพลาดหรือสะดุดล้ม บางครั้งก็มีหนูหรือสัตว์ป่าตัวเล็กๆ วิ่งไปวิ่งมาตัดหน้า แต่ก็ไม่เป็นอันตรายอะไรมากนัก เพราะเราระวังตัวกันเต็มที่อยู่แล้ว
มันช่างเป็นการเดินทางช่วงที่ยาวนานที่สุดที่พวกเราเคยรู้สึกมา แต่ก็ไม่มีใครหวาดกลัวจนขาดสติหรือท้อถอย แม้จะเป็นกังวลบ้าง เราแทบไม่พูดคุยอะไรกันนอกจากบอกทางเดินข้างหน้าให้คนข้างหลังรู้ และบอกข้างหน้าขบวนให้หยุดรอ
จนในที่สุด...เส้นทางการผจญภัยช่วงนี้ก็สิ้นสุดลงจนได้
"เห็นคนแล้ว!" เสียงจากกลางขบวนตะโกนขึ้นด้วยความยินดี เราพากันมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่นึกหวาดกลัวอะไรอีกแล้ว เงาสิ่งก่อสร้างตะคุ่มๆ แสงไฟ และเงาคนในเครื่องแบบหลายๆ คนที่กระจายกันอยู่ต่อหน้า ใกล้เข้ามาในสายตาเรื่อยๆ
จนเมื่อเราลงมาออกพ้นเส้นทาง ก็มีคณะเจ้าหน้าที่เฝ้าด่านที่เชิงเขา เดินเข้ามาพูดคุยสอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ข้าหันมองไปรอบๆ ภายใต้แสงไฟบริเวณนั้น ข้าเห็นทุกคนมีสีหน้าเหนื่อยล้าแต่ก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ
มันคงเป็นการผจญภัยที่จารึกไว้ในความทรงจำของเราทุกคนไปอีกนาน และถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่เราผ่านพ้นมาได้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น