ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกที่สาปสูญแห่งผู้พเนจรไร้นาม

    ลำดับตอนที่ #7 : การเริ่มต้นใหม่จากเส้นทางเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 51


    ตอน การเริ่มต้นใหม่จากเส้นทางเดิม


    แล้วเขาก็ยังหาสิ่งที่เขาต้องการไม่เจอ...

    เอาเข้าจริงแล้วห้างไฮเทคแห่งนี้ก็ไม่ได้ต่างกับห้างอีกแห่งหนึ่งใกล้กับที่เขาอยู่สักเท่าไร จะเงียบเหงากว่าด้วยซ้ำ
    เขาตัดสินใจเดินออกมาผ่านประตู ถึงริมถนนใหญ่ แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง...

    ที่นี่...จากมุมมองแบบนี้ ทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้

    ตัวเขาในตอนนั้น เพิ่งมาถึงมหานครแห่งนี้ไม่นาน อะไรๆ ยังดูสดใหม่และไม่เคยคุ้น
    ทั้งเส้นทาง หมู่ตึก บรรยากาศ รวมทั้งกลิ่นไอและสรรพเสียง

    แต่ ณ ขณะนี้ เขาเกิดความตั้งใจบางอย่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน
    สิ่งที่จะทำให้การเดินทางต่อไปข้างหน้า เป็นก้าวเดินที่มีความหมายมากที่สุดอีกช่วงหนึ่งในชีวิต

    เขาก้าวลงบันไดสู่อุโมงค์ใต้ดิน แล้วอีกเดี๋ยวก็ก้าวขึ้นบันไดกลับขึ้นมาจากอีกฟากฝั่งถนน
    เขาเดินลงไปทางใต้ไม่กี่สิบก้าว ก็พบกับทางสี่แยก
    ในขณะที่หยุดรอข้ามแยกนั้นไป เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง สัมผัสกุญแจห้อง คีย์การ์ด โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ แล้วก็นิ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

    สำหรับตอนนี้ จงทำเป็นลืมไปเสีย...ทุกสิ่งที่เคยย้ำจนจำฝังใจในหลายปีที่ผ่านมา
    จงอย่าสนใจกับของเหล่านี้ที่ติดตัวมาด้วย
    จงก้าวเดินไปตามเส้นทางที่จะเผยตัวให้เห็นข้างหน้าทีละช่วงเท่านั้น แล้วจงระลึกถึงของแต่ละอย่าง เมื่อถึงที่หมายที่จำเป็นต้องใช้มัน


    กระแสการจราจรที่ตัดผ่านสี่แยกเปลี่ยนทิศแล้ว เป็นจังหวะที่เขาก้าวข้ามไปได้

    ถัดจากสี่แยกนั้น เลยลงไปทางใต้อีก เป็นสะพานข้ามคลอง เขาค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดสะพานด้วยความตั้งใจ และเห็นร่างของตนเบาบางลง...เบาบางลง...กลายเป็นอณูละเอียดราวหมอกควันหรือ แม้แต่อากาศ เมื่อขึ้นไปถึงบนสะพาน
    เขาย่างก้าวเหมือนลอยเลื่อนบนสะพานข้ามฝั่งน้ำนั้นไป จนถึงบันไดทางลง เขากำหนดหมายเอาสี่แยกใหญ่อีกแห่งเบื้องหน้าเป็นที่หมาย ซึ่งยังคงไปทางทิศใต้ คราวนี้เขาก้าวลงบันไดอย่างช้าๆ เช่นกัน และเห็นเปลวไฟพุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่างอาบร่างกายของเขาดุจเตาหลอมที่จะถลุง เศษเหล็กให้กลับเป็นเนื้อโลหะบริสุทธิ์ใหม่อีกครั้ง

    เขาออกเดินช่วงต่อไปบนบาทวิถีโดยยังคงนึกถึงภาพเปลวไฟนั้นทำงานของมัน อยู่ พลางเริ่มอีกขั้นตอนหนึ่ง สายตาเขามองทางข้างหน้าและหมู่ตึก รถรา ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ฟ้าที่มีเมฆบางๆ กับไอแดดจากเบื้องบน ด้วยความรู้สึกสบายๆ เริ่มเกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจและพิศวงขึ้นมาแทนที่ความซ้ำซาก

    ณ ที่นี่ ในเส้นทางและเขตแดนที่เคยผ่านมาแล้วไม่มากก็น้อย
    เขากำลังจะเริ่มต้นเดินทางด้วยมุมมองใหม่ เสมือนกับในครั้งนั้น...ที่เขายังไม่เคยได้ผ่านทางมาก่อน


    เขาเริ่มสังเกตทำนองเพลงที่ดังอยู่ในหัวของตนเอง และเริ่มควบคุมมัน โดยดึงเอาบทเพลงที่มีความสำคัญและเป็นเหมือนหลักหมุดวัดระยะทางในชีวิตแต่ละ ช่วง ผูกพันกับกลุ่มคน ครอบครัว สถาบัน องค์กร สถานที่แต่ละแห่ง ขึ้นมาจากความทรงจำทีละเพลงๆ อย่างไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไหร่นัก

    เขาข้ามมาอีกแยกหนึ่งแล้ว โดยยังรักษามโนภาพของเปลวไฟที่แผดเผาเพื่อหลอมร่างกายของเขาใหม่ไว้อยู่ พร้อมกับที่เริ่มนึกถึงกระดาษจดเนื้อเพลง และก็มีกระดาษผุดขึ้นลอยอยู่ในอากาศรอบตัว เพื่อจดบันทึกเนื้อเพลงแต่ละเพลงที่เขาขุดขึ้นมาจากความทรงจำในอดีตส่วนลึก ย้อนหลังไปเรื่อยๆ โดยมีกระดาษอีกหลายๆ แผ่นที่ถูกใช้เป็นตัวแทนเพลงอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกันที่เขาไม่ได้ดึงขึ้นมา พลางใช้เปลวไฟบนเส้นทางสู่ทิศใต้นี้เผากระดาษจดเพลงแต่ละแผ่นทิ้งไปเสีย ให้เสมือนกับว่าเขาได้ลืมบทเพลงเหล่านั้นไปแล้ว และยิ่งย้อนกลับไปสู่อดีตที่เขายังไม่รู้จักเพลงเหล่านั้น...ยิ่งเก่าแก่ เนิ่นนานขึ้นเรื่อยๆ...

    ทางซ้ายของเขามีหมู่ตึกรกร้างที่กำลังอยู่ระหว่างถูกรื้อถอน มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยใหม่โดยเหล่าศิลปินวัยรุ่นนิรนามที่คงจะคืบคลานอยู่ ตามซอกหลืบของเมืองศิวิไลซ์เปรอะไปทั่ว กองเศษอิฐเศษปูนเหล่านั้นเป็นตัวแทนตะกอนที่คั่งค้างอยู่ในความทรงจำ...ยิ่ง ดูยิ่งมากมายจนเหมือนจะไม่มีวันสะสางจนหมดได้

    เขาเหลือบมองลงไปแล้วเห็นขนนกอันหนึ่งตกอยู่บนพื้นข้างทาง เขาเก็บมันขึ้นมาด้วยความยินดีเหมือนค้นพบสมบัติล้ำค่า และใส่มันไว้ในกระเป๋าที่อกเสื้อ ก่อนจะเดินต่อไป...ใกล้จะถึงสี่แยกใหญ่แห่งสุดท้ายของเส้นทางนี้แล้ว เขาเร่งเค้นความทรงจำดึงเอาบทเพลงตั้งแต่สมัยเด็กเล็กๆ ขึ้นมา กระดาษจดเนื้อเพลงจำนวนนับร้อยนับพันปลิวว่อนขึ้นจากในสมองที่ถูกพลิกเปิด เหมือนเปิดหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นเชื้อจุดไฟโหมขึ้นเป็นกองใหญ่ห้อมล้อมและหลอมกายของเขาจนหมดถึง จังหวะสุดท้ายพอดี

    เมื่อเขามาถึงแยก เป็นจังหวะหยุดรอรถเช่นกัน เขาหยุดนิ่งขณะหันไปทางทิศตะวันตก

    นึกได้แล้วว่าในวันแรกและชั่วขณะแรกของเขานั้น ดาวแห่งอรุณรุ่งขึ้นอยู่เหนือขอบฟ้าแต่ยังไม่สูงสุด อยู่ในทิศตะวันตกและเยื้องไปทางทิศใต้ประมาณยี่สิบองศา เพียงแต่ในตอนนั้นถูกบดบังโดยแสงอาทิตย์ที่อยู่ประชิดกันจนกลบกลืนไปสิ้น
    เขาเห็นเส้นทางแห่งดวงดาวนั้นแล้ว ที่หมู่ตึกสูงระเกะระกะสลับซับซ้อนทั้งหลายบดบังอยู่ เขาจะมุ่งไปตามทิศนั้นแหละ


    กระแสการจราจรเปลี่ยนทิศ ให้เขาอาจข้ามไปทางฝั่งตะวันตกได้ เขากะพริบตาอีกครั้ง ด้วยจังหวะปิดเปลือกตาที่นานกว่าปกติเพียงอึดใจเท่านั้น

    .....

    ฉันลืมตาขึ้นมาเห็นโลกภายนอก เสมือนเป็นครั้งแรก
    ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาทักทายจากข้างบน มันมีสีเหลือบรุ้งสดสวยเคลือบอยู่บนตัวโปร่งใสเหมือนแก้ว มันบินวนไปรอบๆ และนำหน้าฉันไป ในทิศทางที่ฉันกำลังเดินไปนั้น

    ฉันเดินมาตามข้างถนนจนถึงสะพานลอย สายตาฉันยังจ้องมองเลยพ้นหมู่ตึกฝั่งซ้ายไปที่ดาวดวงนั้น แต่ในเมืองที่ทุกอย่างถูกตีกรอบจำกัดไว้ในตารางสี่เหลี่ยมมุมฉากเป็นส่วนมาก ฉันก็เลยเดินทะลุไปทางทิศนั้นตรงๆ ไม่ได้
    แต่ฉันค่อยๆ ขยับไปตามทางคนเดินที่ใกล้เคียงกับเส้นบอกทิศนั้นได้เรื่อยๆ เริ่มจากก้าวขึ้นบันไดสะพานลอยนี้ไป ตัวฉันเบาบางขึ้น ละเอียดขึ้น...

    ฉันกำลังจะก้าวลงบันไดจากสะพานลอย แล้วก็หันไปเห็นโรงเรียนที่อยู่เชิงสะพานลอยข้างล่าง กำลังจัดงานอะไรอยู่ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เต็มไปหมด มีซุ้มขายอาหารขายขนมมากมายรอบลานกลางโรงเรียน
    ทำให้นึกถึงตอนเข้าโรงเรียนอนุบาล หรือโรงเรียนประถมวันแรกๆ
    เมื่อเท้าแตะถูกพื้นปูนอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าตัวฉันกลับมาหนักเหมือนเดิมอีกแล้ว ฉันเดินผ่านป้ายรถเมล์ ผ่านตลาด สังเกตเห็นร้ายขายขนม ของกิน และของอย่างอื่นข้างทางอีกหลายร้าน
    ฉันกำลังจะเดินขึ้นสะพานลอยข้ามแยกอีกแห่ง ยังต้องตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ

    ฉันเดินลงจากสะพานลอยอีกแล้ว เดินไปเรื่อยๆ ตามแต่เส้นถนนจะยอมให้ไป แต่ผีเสื้อน้อยยังบินว่อนเหมือนชี้ทิศของดาวดวงนั้นให้ฉันนึกถึงอยู่เสมอ ฉันยกมือขึ้นมาแตะกระเป๋าเสื้อ รู้ว่าขนนกยังอยู่ในนั้น แล้วก็อุ่นใจ
    ฉันเดินผ่านหน้าตึกสูงที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า "ลูกค้าที่หมดสัญญาไปแล้ว" แล้วก็เลยผ่านไป
    ฉันเห็นสิ่งที่แตกต่าง ส่วนนี้ของเมืองมีทั้งเพิงขายของข้างทาง ชุมชนบ้านผุๆ ล้อมรั้วสังกะสี ตัดกับตึกและบ้านสมัยใหม่หรูหรา แล้วยังมีดงต้นไม้ให้เห็นอยู่ข้างทางสลับเป็นพักๆ
    ฉันนึกว่าฉันเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว ฉันพอจะจับความรู้สึกได้ว่าจุดเริ่มต้นของฉันอยู่ตรงไหนทางข้างหลัง แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเท่าไหนถึงเรียกว่าใกล้หรือไกล...ในตอนนี้
    แล้วฉันก็มาถึงสะพานลอย และสี่แยกแห่งต่อไป

    ฉันลงจากสะพานลอยแล้วเดินต่อไป เริ่มรู้สึกว่าบทเพลงในหัวมันดังขึ้นอีกแล้ว ฉันพยายามหันไปสนใจฟังเสียงรอบๆ ตัวที่มีทั้งเสียงรถและเสียงคนวุ่นวาย เพื่อให้บทเพลงในหัวจางลง แต่ก็สลัดเพลงนี้ออกไปไม่ค่อยได้เสียที มันเป็นเพลงบรรเลงไม่มีเนื้อร้อง ที่ทำให้นึกถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืดของห้องนอน ฟังเสียงจากกล่องเพลงที่วางเปิดไว้ให้เล่นไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยใจให้เหม่อลอยไปไหนก็ไม่รู้
    ฉันเห็นสะพานข้ามคลองอยู่ข้างหน้า ตอนที่ก้าวข้ามสะพานนั้นไปฉันเห็นท่าเรือเล็กๆ อยู่ทางซ้าย ถัดจากสะพานเป็นทางรถไฟที่ไม่ใช้แล้ว ฉันก้าวข้ามทางรถไฟ หันซ้ายหันขวาเห็นคนทั้งผู้ใหญ่ทั้งลูกเล็กเด็กแดงเดินไปมาบนราง แล้วถัดไปข้างหน้าอีกฉันต้องหยุดดูสัญญาณไฟเพื่อวิ่งข้ามแยกที่เลี้ยวซ้าย ขึ้นทางด่วน

    แล้วฉันก็มาถึงที่ที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นอีก คนก็เริ่มพลุกพล่านกว่าเดิม ฉันได้ยินเสียงดนตรีต้อนรับดังมาจากร้านขายของที่มีประตูบานเลื่อนเปิดเอง ได้ ฉันหันไปมองรูปของร้านบนประตูนั้น ถัดไปตามทางเป็นตลาดอีกแห่งที่มีร้านขายของกินเยอะแยะไปหมด ฉันเกิดนึกถึงกระเป๋าเงินที่ฉันพกติดมาด้วย แล้วก็รู้สึกดีใจเบาๆ อย่างบอกไม่ถูกว่าทำไม ที่ฉันเดินจากจุดเริ่มต้นมาตลอดทางโดยไม่แวะซื้อขนมหรือน้ำกิน และไม่ได้ใช้เงินเลย
    ข้างหน้ายังมีสี่แยกอีกแห่งที่การจราจรสับสนวุ่นวายมาก ฉันวิ่งข้ามตรงไปข้างหน้าพร้อมกับคนอื่นๆ ในจังหวะที่รถติดอยู่ น่าหวาดเสียวว่าถ้าไฟเขียวขึ้นมาแล้วรถจากข้างๆ จะพุ่งไหลลงมาชนคนข้ามถนนหรือไม่

    ตอนที่ข้ามแยกนั้นกำลังจะถึงฝั่ง ฉันเกิดนึกถึงโทรศัพท์มือถือ แล้วก็กลัวว่าจะมีใครโทร. เข้ามาตอนนี้ แล้วทำให้การเดินทางของฉันเสียไปหรือเปล่า ยิ่งมันเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับทางเลือกของคนอื่นๆ ทั้งโลก โดยที่ฉันควบคุมไม่ได้ว่าใครจะโทร. เข้ามาตอนไหน ก็ยิ่งน่ากลัว
    ทั้งที่ปกติ เมื่อนึกถึงโทรศัพท์เครื่องนี้หรือเครื่องไหนๆ ของฉัน ฉันก็ไม่ค่อยมีใครโทร. เข้ามาหาหรอก แต่ถ้าเป็นเวลาที่ฉันไม่ค่อยอยากให้มีคนรบกวนนี่สิ จะชอบมีสายเร่งด่วนเข้ามาอยู่เรื่อย
    แต่ฉันก็ใช้ความตั้งใจของฉันบอกตัวเองว่า จงเดินทางต่อไปเถอะ แล้วจงเชื่อว่าคนอื่นๆ มีทางเลือกที่จะไม่โทร. เข้ามาตอนนี้ แล้วก็เป็นไปได้ที่ฉันจะไปถึงจุดหมายได้ก่อนโดยไม่ถูกรบกวน
    ข้างหน้าบนบาทวิถียิ่งพลุกพล่านแออัดมากเลย คนเดินไปมายุบยับไปหมด ฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศทึมทื่อ หดหู่ หนักและหยาบอย่างที่ฉันไม่ชอบเท่าไหร่นัก แต่ฉันก็จำเป็นต้องไป เมื่อนึกถึงว่าบ้านที่ฉันต้องไปนั้นอยู่ข้างหน้า ฉันเดินผ่านห้างสรรพสินค้าอีกแห่ง ใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว...ยิ่งเข้าใกล้ ความรู้สึกสดใหม่และพิศวงก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยที่ปนความเศร้า มากขึ้น
    แต่ฉันก็มาถึงปากซอย แล้วเลี้ยวเข้าไป ตอนที่ฉันค่อยๆ เดิน กำแพงที่ปิดกั้นอยู่สองฟากซอยให้ความรู้สึกใหม่กว่าและคุ้นเคยน้อยกว่าที่ เคยเป็นมาแต่เดิมทุกวันๆ เล็กน้อย
    จนฉันเข้ามาถึงที่พัก ฉันก็นึกถึงกุญแจ ฉันล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบการ์ดพลาสติกออกมาแตะที่แผงควบคุมข้างประตู มีเสียงดังปี๊ด! พร้อมเสียงสลักประตูเปิด ฉันผลักประตูเข้าไป แล้วก็ไปกดปุ่มลิฟต์ รอมันเคลื่อนลงมาอย่างเชื่องช้า
    ฉันหันมองไปรอบๆ บรรยากาศข้างในดูธรรมดาเหมือนหอพักเก่าๆ แห่งหนึ่งควรจะเป็น อีกพักหนึ่งลิฟต์ก็ลงมาถึงและเปิดออก ฉันขึ้นลิฟต์ไป แล้วเดินไปตามทางในอาคารที่ออกจะปิดทึบและเลี้ยวไปมาคล้ายทางวงกต แต่ฉันก็ยังนึกถึงเส้นทางแห่งดวงดาวนั้นได้อยู่

    ฉันมายืนอยู่หน้าประตูห้อง แล้วก็นึกถึงกุญแจห้อง ฉันหยิบพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง หากุญแจดอกหนึ่งแล้วใช้มันไขลูกบิดประตู
    เมื่อเปิดห้องเข้าไป และเปิดไฟ...ฉันมองดูสภาพในห้องที่รกรุงรังพอดู
    แล้วก็นึกถึงตัวเอง ดีแล้วที่ไม่ได้หอบถุงเสื้อผ้าหรือตะกร้าผลไม้มาเพิ่มความรกให้กับห้องนี้ด้วย
    ถามตัวเองว่าอยู่ที่นี่ได้ไหม? ฉันรู้ว่าฉันอยู่ได้ เพียงแต่ต้องจัดห้องกันใหม่สักหน่อย
    ฉันหันไปมองเครื่องรางชิ้นหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือใกล้ ประตูห้อง แล้วก็จำได้ว่าเจ้าของห้องสร้างมันขึ้นมาเองด้วยมือเพื่อเตรียมมอบให้เป็น ของขวัญใครบางคน แล้วก็มองเลยไปเห็นมุมห้องที่จัดไว้คล้ายแท่นบูชา
    พลังของดาวแห่งอรุณรุ่งดวงที่นำทางฉันมา สถิตอยู่เหนือที่นั่น ฉันหยิบขนนกออกจากกระเป๋าเสื้อไปวางไว้อย่างสำรวมระวัง
    ฉันเดินไปที่โต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยม แล้วก็เปิดลิ้นชักโต๊ะดู มันเป็นลิ้นชักตัวที่แทบไม่ถูกใช้งานหรือชำระสะสางอะไรมานานมากๆ แล้ว เต็มไปด้วยวัสดุสิ่งของและเอกสารที่ไม่ได้ใช้มานานหลายปี แม้ในยุคตั้งแต่ก่อนจะมาอยู่ที่นี่ครั้งแรก
    ฉันเริ่มการจัดห้องใหม่ ด้วยการเก็บของออกจากลิ้นชักนั้น

    .....

    ผมถอนหายใจช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้า ในขณะที่ปลดอุปกรณ์ต่อเสริมของระบบความจริงเสมือนออกจากตัว แล้วขยับตัวยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
    ในหน้าจอเฝ้าดูสถานะ เส้นกราฟแสดงคลื่นสมองตกหายไปจากหน้าจอ ภาพมุมมองสามมิติแสดงพื้นที่ในห้องพักยังขึ้นอยู่ในอีกหน้าต่างหนึ่ง

    ผมปิดโปรแกรมระบบความจริงเสมือนแบบออนไลน์ยอดนิยมแห่งยุคนี้ แล้วลุกขึ้นเตรียมออกไปหาอะไรกินมื้อกลางวัน

    ก่อนหน้านี้ผมเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้าในนั้น ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับระบบห้างสรรพสินค้าออนไลน์ เพื่อจะหาซื้อของที่ดูจะหายากกว่าที่มันควรจะเป็น แต่สุดท้ายแล้ว...ถึงจะไม่ได้ของนั้นกลับมา แต่ก็กลับกลายเป็นการเดินทางที่มีความหมายขึ้นมาได้อย่างที่ผมไม่เคยคาดคิด มาก่อน

    สำหรับผมแล้ว ทุกย่างก้าวของผมที่เดินไปบนพื้นพิภพนี้ ล้วนแต่แสดงถึงการอุทิศตนต่ออะไรบางอย่างทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปหาของกินของใช้แถวๆ ปากซอย ก็คือกิจกรรมประจำวันที่จะเลี้ยงดูร่างกายและความเป็นอยู่ของผมให้เป็นปกติ สุข หรือการออกไปทำงานในที่ต่างๆ ก็คือการอุทิศตนต่องานประจำที่ผมมีพันธะผูกพันอยู่
    แม้การเดินทางที่ดูเหมือนเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย เพื่อฆ่าเวลาในวันว่างๆ หลายครั้ง ก็ไม่เคยเลยที่ผมจะกลับมาอย่างสูญเปล่า โดยไม่ได้ค้นพบความคิดอะไรที่น่าสนใจในระหว่างทาง

    สำหรับผมแล้ว การเดินทางเป็นกิจกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เสมอ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×