ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MORNINGSTAR มอร์นิ่งสตาร์ ภาค เพลงแห่งผู้พลัดพราก

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 1 คืนฟ้าถล่ม (ส่วนที่ 4)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 51


    (ส่วนที่ 4)


    "ข้าสั่งให้เตรียมแบบแห้งไว้เป็นพิเศษเพื่อท่าน เจ้าหญิง" บีนูลพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ "แบบนี้แม้แต่เทวีนานนา ก็คงช่วยท่านไม่ได้แล้วสินะ!"
    ทำไม...ถึงต้องเป็นแบบนี้?
    น้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสายลงมาอาบแก้ม แต่ใช่ว่าเธอจะถอดใจยอมแพ้ ด้วยริมฝีปากที่เขยื้อนเพียงเล็กน้อย เจ้าหญิงกระซิบเรียกขานนามแห่งเทวีผู้คุ้มครองตัวเธออย่างแผ่วเบา
    "นานนา..."
    พลันหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาจากใบหน้าและตกกระทบตรงหน้าตักของเจ้าหญิง แทนที่จะถูกซึมซับหายลงไปสู่ใยผ้าก็กลับกลิ้งไปมาอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จนกระทั่งรวมกันเป็นหยดใหญ่ขึ้นๆ อย่างรวดเร็ว
    แล้วเจ้าหญิงก็ทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่ทันคาดเดาได้จากท่าทีอันดูเสมือนอ่อนแอนั้น ด้วยการลุกพรวดขึ้นขว้างชามออกไปกระแทกกระจกเต็มแรงจนแตก ตามด้วยสะบัดมือชี้นิ้วออกไปข้างหน้า หยดน้ำบนหน้าตักก็กระโดดขึ้นมาเกาะตรงปลายนิ้ว ตามด้วยน้ำสารพัดหยดจากที่ต่างๆ ทั่วทั้งท้องพระโรง ก็พุ่งเข้ามารวมกันห่อหุ้มมือเธอไว้อย่างรวดเร็ว

    เธอสะบัดมือกวาดเป็นวงโค้งไปด้านข้าง ก้อนน้ำเหล่านั้นก็กระจายตัวพุ่งออกไปใส่พวกฝ่ายกบฎที่ตรึงกำลังอยู่โดยรอบ แล้วทันใดเครื่องทัณฑกรรม เกราะ โล่ โซ่ อาวุธทั้งหลาย แม้เป็นโลหะที่แข็งแกร่งก็ถูกหยดน้ำที่แทรกซึมเข้าไปเหล่านั้นกระทำให้แยกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา
    ความอลหม่านกลับเริ่มอีกครั้ง เพชฌฆาตหลายนายที่ถูกหยดน้ำแทรกเข้าไปในร่างเริ่มออกอาการไอโขลกๆ ด้วยท่าทางทุกข์ทรมาน เลือดพุ่งกระเซ็นออกมาจากภายใต้หน้ากากเป็นฝอย
    เจ้าหญิงวาดมืออีกหน ปลายนิ้วก็ชี้ตรงไปยังร่างของสตรีที่ยืนบงการอยู่ตรงนั้น
    แต่แล้วเธอก็หยุดชะงักเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ น้ำที่กำลังจะพุ่งออกไปโจมตีก็ม้วนตัวถอยกลับ แล้วสลายรูปหกลงสู่พื้นอย่างกะทันหัน

    บีนูลยังคงยืนผงะถอยทำท่าเหมือนนิ่งอึ้งปากคอสั่นอยู่เล็กน้อย ก่อนจะได้สติ แล้วเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาเจ้าหญิง ซึ่งถูกพวกทหารเข้ามาล้อมจับกุมอีกครั้ง
    เผียะ!
    ชั่วอึดใจหนึ่งที่ดูยาวนาน บีนูลเหลือบตาลงมองอย่างชิงชัง ฝ่ายเจ้าหญิงก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ แก้มที่เป็นรอยแดงของเธอเจ็บจนชา รวมกับมือขวาที่เริ่มรู้สึกระคายคัน เพราะน้ำส่วนหนึ่งที่เธอดึงกลับมาหาเมื่อครู่นี้มียาพิษปนมาด้วย
    "คิดจะทำอะไร..." เสียงกระซิบนั้นเจือด้วยความขุ่นแค้นและความหวั่นกลัวในบางสิ่งไปด้วยพร้อมกัน สิ่งที่พวกทหารและเพชฌฆาตเกือบทั้งหมดในที่แห่งนั้นไม่อาจล่วงรู้หรือเข้าใจได้ดีเท่าทั้งสองอย่างเด็ดขาด

    "บีนูล! ตรงนี้มันเกิดอะไรขึ้น?"
    ระหว่างที่บรรยากาศกำลังอึมครึม พาเคียก็เข้ามาถึงพอดี บรรดาผู้ติดตามเขาเข้ามาเสริมกำลังให้เกิดการปรับขบวนจากประตูเข้าไปอีกระลอกหนึ่ง
    "เราควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว เจ้าหญิงพยายามขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็แค่นั้นแหละ"
    "งั้นหรือ" พาเคียพยักหน้ารับรู้ เขามองไปทางเจ้าหญิงอย่างครุ่นคิด
    "ถ้าแบบนั้น ข้าขอให้หยุดการตัดสินโทษไว้ก่อน ข้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจำเป็นต้องถามเอาจากเจ้าหญิงองค์นี้"
    ความจริงเขาก็ออกจะสงสัยเหมือนกับที่อีกหลายๆ คนตั้งแต่ระดับชาวบ้านไปถึงระดับขุนนางสูงศักดิ์เคยสงสัยมาตลอด เพราะเจ้าหญิงองค์นี้ไม่ค่อยจะยอมออกมามีบทบาทในเรื่องบ้านเมืองอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดแปลกสำหรับธรรมเนียมการปกครองเดิมที่สืบทอดกันมาเป็นอย่างยิ่ง

    ในมือของเขากำตราประทับแห่งอัน ยกชูขึ้นต่อหน้าเจ้าหญิง และในมือของบีนูลก็มีตราประทับทำด้วยศิลาอีกชิ้นหนึ่ง แกะสลักตราสัญลักษณ์ของ คี เทวีแห่งพื้นพิภพ รูปร่างของตราทั้งสองนั้นดูเหมือนว่าถ้าเอามาประกบกันแล้ว จะได้เป็นตราประทับใหญ่รูปวงรีที่สมบูรณ์พอดี
    "ตอนนี้พวกเรามีตรามหาโองการ อัน-คี อยู่ในมือแล้ว ...ท่านจำต้องให้ความร่วมมือแต่โดยดี"
    เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้น และเริ่มโต้ตอบอีกครั้งหลังจากนิ่งเงียบมาพักใหญ่
    "ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ยังไง ถึงชะตากรรมของผู้ที่เคยพยายามใช้พลังอำนาจของตราสูงสุดนี้อย่างไม่สมควร พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดี!"
    "อา...ใช่" พาเคียแสยะยิ้มอย่างฝืนๆ
    "ท่านเคยเตือนราชินีเรื่องนี้มั่งรึเปล่าล่ะ น่าเสียดาย...ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่มีวันนี้หรอก?"
    "นั่นมันก็แค่ข่าวลือ!"
    "แต่ก็เป็นข่าวลือที่มาจากเหตุน่าสงสัยหลายๆ อย่างที่ปิดไม่มิด!" ทั้งสองยังคงต่อปากต่อคำกันอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งพาเคียรู้สึกว่าคงถึงเวลาต้องรวบรัดตัดตอนเสียแล้ว
    "จะยังไงก็ตาม ข้าจะตั้งคำถามสำคัญกับท่านที่นี่และตอนนี้ก่อน เจ้าหญิง ขอให้ตอบมาตรงตามที่เป็นจริง ไม่เช่นนั้น...จะไม่มีอะไรช่วยท่านจากศรนี้ได้!"
    พาเคียหยิบลูกธนูออกมาขึ้นสายเล็งตรงไปยังเจ้าหญิง ในตอนนั้นเองทั้งคู่ก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แล่นมาปกคลุมรอบๆ กายจนทำให้ขนลุก
    "ด้วยอำนาจของผู้ถือครองตราแห่งเอ็นลิล ข้า พาเคีย ผู้นำขบวนการแห่งปวงประชา ผู้ยึดอำนาจการปกครองเหนืออาณาจักรไว้ได้เรียบร้อยแล้ว จะตั้งคำถามกับท่าน"
    "ท่านมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรู้เห็นในกิจการของราชินีมากแค่ไหน?"
    เจ้าหญิงพลันรวบรวมสติสงบนิ่ง สายตาเขม้นมองพาเคียไม่กะพริบ
    "ข้า...ไม่ค่อยได้พูดคุยกับท่านแม่มาหลายปีแล้ว"
    ความรู้สึกชาแปลบเกิดขึ้นตรงหน้าอกของเขา พร้อมกับบรรยากาศหนักหน่วงซ้ำชวนให้ขนลุกเบาๆ ที่กดทับลงมาใส่ร่างทันทีที่เจ้าหญิงให้คำตอบ พาเคียจำต้องลดคันธนูลง ปฏิกริยาที่เกิดขึ้นนั้นจึงคลายไป
    ความเงียบงันเข้าปกคลุมอยู่อีกชั่วครู่ ก่อนที่พาเคียจะถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วหันไปทางลูกน้องของตน
    "พาเจ้าหญิงไปกักบริเวณไว้ก่อน" แล้วเขาก็หันมาเขม้นมองเหมือนจะปรามด้วยสายตาอีกครั้ง "ถึงยังไงท่านก็เป็นรัชทายาท จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนถ่ายอำนาจไปไม่ได้หรอก"
    "ระหว่างนี้...อย่าก่อเรื่องอะไรเพิ่มอีก อย่าลืมว่าพวกเราจับตามองท่านอยู่ ...และเราจะทวงถามในสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องตอบอีกมาก"

    หน้ากำแพงวังท่ามกลางเมืองที่ฟอนไฟใกล้มอด มีแนวกำลังพลปิดล้อมป้องกันอยู่แน่นหนา รถยิงหินจำนวนหลายคันจอดอยู่เรียงราย
    ในจำนวนนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมเร่งด่วนโดยพลยิงกลุ่มหนึ่งที่ดูจะไม่ชำนาญหรือแม้แต่เคยได้แตะต้องเครื่องกลไกสงครามขนาดหนักมาก่อนนัก พวกเขาพากันสบถด้วยความไม่พอใจเมื่อแรงตึงที่ตกค้างอยู่เกิดทำให้เครื่องกระตุก จนมีเฟืองเล็กๆ ตัวหนึ่งหลุดกระเด็นกลิ้งหายลับเลี้ยวไปพ้นหัวมุมถนนใกล้ๆ
    แต่เมื่อทหารนายหนึ่งวิ่งไปเพื่อจะเก็บมันคืนมา ก็พบเข้ากับใครคนหนึ่งกำลังยืนเอนพิงอยู่หลังหัวมุมในเงาสลัว ในมือของเขาถือเฟืองที่หายไปตัวนั้นพลิกดูอยู่อย่างพิจารณา

    และแล้ว ภายในท้องพระโรงเพียงไม่กี่อึดใจถัดมา กระบวนการยึดอำนาจขั้นเกือบสุดท้ายก็ถูกขัดจังหวะ โดยมาเป็นเสียงบางสิ่งบางอย่างพุ่งแหวกอากาศเพียงแผ่วเบาใกล้เข้ามาตามด้วยเสียงกระจกแตกดังฟังชัด สายตาทุกคู่หันไปจับจ้องยังหน้าต่างกระจกสีขนาดใหญ่ด้านข้างของท้องพระโรงที่อยู่สูงเหนือศีรษะเกือบถึงเพดาน เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นพยายามใช้ไม้เท้าอันเดียวกับที่กระแทกกระจกแตกตอนพุ่งขึ้นมาเมื่อครู่เพื่อตั้งหลักยืนบนระเบียงข้างนอก และล้ำเข้ามาบนขอบหน้าต่าง ก่อนจะตะโกนให้ทุกคนข้างล่างได้ยินโดยทั่วกัน
    "เจ้าหญิง ข้ามาช่วยท่านแล้ว!"
    "แกเป็นใคร!?" มีเสียงตะโกนย้อนถามกลับมาทันควัน
    "พวกท่านทั้งหลาย! เจ้าหญิงไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาการเมืองของพวกท่าน พวกท่านไม่มีสิทธิ์แตะต้องนาง!" ดูเหมือนตอนนี้เขากำลังเป็นห่วงเจ้าหญิง มากกว่าจะสนใจตอบคำถามอื่นใดทั้งสิ้น
    "พลธนู!" พาเคียออกคำสั่งต่อพลพรรคที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วอย่างไม่รอช้า "ยิง!"
    เงาร่างหนึ่งถลาเข้ามาทางช่องหน้าต่างราวกับนกยักษ์ เข้ากำบังห่าฝนลูกธนูไว้ และในจังหวะที่ร่างนั้นหยุดยั้งอยู่กลางอากาศ พวกเขาก็ได้เห็นรูปโฉมนิมิตอันงดงามอย่างเต็มตา
    เสมือนกาลเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะสำหรับกลุ่มคนข้างล่าง แม้บรรดาลูกธนูก็ชะงักขาดสาย ขณะที่ทางด้านผู้มาเยือนนั้นกำลังจะตีโต้
    เทวีอิชตาร์เหยียดแขนชูคฑายาวในมือขึ้นเหนือศรีษะ พลังบางอย่างก่อตัวขึ้นรอบส่วนหัวคฑา ดึงดูดมวลอากาศให้หมุนวนเข้ามารวมตัวและอัดแน่นเป็นฟองรูปทรงกลมอยู่
    แล้วเมื่อนางฟาดคฑาลง ก้อนอากาศนั้นก็ถูกขว้างให้พุ่งลงไปยังจุดที่พวกพลธนูยืนอยู่
    "ระวัง!"
    มันแตกระเบิดออกเมื่อกระทบพื้น ทำเอาพวกเขาเสียรูปขบวนกระเจิงออกไปไม่เป็นท่า ถึงจะไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงนัก แต่ก็เป็นจังหวะพอที่ผู้บุกรุกจะข่มซ้ำได้
    "จงดู! นี่คือเทวีอิชตาร์ ผู้เปล่งประกายอยู่เหนือสมรภูมิรบ! เทวีอิชตาร์ ดวงดาวแห่งอรุณและสนธยา นางพญาแห่งสวรรค์ ผู้รุ่งโรจน์เหนือผืนไร่และนา ผู้รุ่งโรจน์เหนือฝูงปศุสัตว์ ผู้กุมหัวใจแห่งบุรุษทั้งหลาย! นางเป็นเทพีแห่งชัยชนะของข้า!"

    เกิดความนิ่งอึ้งเงียบงันเข้าครอบคลุมอีกวาระ ก่อนจะกลายเป็นแตกฮือด้วยเสียงพูดคุยผสมกระซิบกระซาบที่ระงมไปทั่ว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังไม่ลดราอาวุธในมือ
    "ใช่ ใช่ ... เทวีอิชตาร์ ทรงอานุภาพยากที่เทพหรือมนุษย์ผู้ใดจะต่อต้านได้" นายกองคนหนึ่งของจิเฮ็กตะโกนขึ้นตอบโต้ในที่สุด "แต่บอกตรงๆ นะว่า เมื่อมาอยู่กับเจ้า ... ก็ไม่ต่างอะไรกับเพชรล้ำค่าในมือลิง!"
    เสียงหัวเราะเย้ยหยันแบบเครียดๆ ตามมาอย่างพร้อมเพรียง
    "พวกเราเป็นนักรบที่ต่อสู้ในสมรภูมิมานักต่อนัก แล้วเจ้าล่ะ? ดีแต่ตะโกนท้าแล้วหลบอยู่หลังผู้หญิง ไม่น่าสมเพชไปหน่อยเรอะ?"
    บุรุษลึกลับทำท่าหัวเราะขันเบาๆ ก่อนจะตอบกลับการท้าทายนั้นบ้าง
    "นั่นเป็นแค่สิ่งที่พวกเจ้าเห็น แล้วก็คิดเอาเองว่าข้าอยู่สบายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย"
    "แต่พวกเจ้าจะว่ายังไงก็ช่าง ข้าก็จะต่อสู้ด้วยวิธีของข้า เหมือนกับที่พวกเจ้าต่อสู้ด้วยวิธีที่พวกเจ้าเชื่อนั่นแหละ!"
    แล้วก้อนมวลอากาศอีกลูกหนึ่งก็ถูกซัดลงมา ลูกศรนับร้อยๆ ที่กำลังระดมยิงเข้าไปดูเหมือนไม่ก่อให้เกิดผลอันใดขึ้นมามากกว่าเดิมนัก ส่วนพวกที่พุ่งเข้าไปใส่ก้อนอากาศนั้นก็ถูกดีดกระเด็นออกไปสิ้น ไม่มีทีท่าว่าหยุดมันได้ จนกระทั่ง...
    ศรของพาเคียที่ประจุพลังไว้ เพียงดอกเดียวเท่านั้น พุ่งตรงเข้าไป เจาะทะลวงเข้าถึงใจกลางของมัน คอของลูกศรหักและถูกดีดกระเด็นออกไปไม่ต่างกับศรดอกอื่นๆ ข้างนอกนั่น เหลือเพียงหัวลูกศรที่หมุนคว้างอยู่ภายใน แล้วพลังที่แฝงในหัวลูกศรก็สำแดงปฏิกริยาแผ่วาบไปทั่วทั้งก้อนมวลอากาศนั้น ให้มันเกิดปั่นป่วนแตกตัวออกเป็นสองส่วน...สี่ส่วน...แปดส่วน...อย่างรวดเร็ว จนระเบิดสลายไปกลางอากาศนั่นเองก่อนจะทันได้ลงมาใกล้พื้นเช่นลูกก่อนหน้า

    "อย่าคิดนะว่าในนี้มีแกใช้พลังอำนาจแบบนั้นได้อยู่คนเดียว" พาเคียยืนเล็งคันธนูไปหาผู้บุกรุกทั้งสองแน่วนิ่ง เตรียมพร้อมที่จะดวลกันให้รู้ไปสักที
    มือข้างที่ว่างอยู่ของเขา ล้วงเอาตราประทับแห่งอันขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะนำมาทาบประทับบนคันธนู สายตายังคงจับจ้องไปยังเป้าหมาย บุรุษลึกลับเริ่มรู้สึกและเห็นอณูแห่งพลังในอากาศแล่นเปรียะๆ จากรอบสารทิศเข้าไปก่อตัวรอบคันธนูนั้น
    แย่ล่ะสิ เจ้านั่นจะเรียกใช้พลังของวิหคสายฟ้า!
    "อิชตาร์ ท่านรับไหวมั๊ย?" ชายผู้บุกรุกกระซิบถาม
    "ไม่เป็นไร ข้า...พอไหว" ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ในแววตาของเทวีอิชตาร์ที่เหลือบกลับมามอง ก็ยังอุตส่าห์มีความวิตกแฝงอยู่อย่างไม่อาจปิดบัง

    แต่ยังไม่ทันได้ปะทะกันรุนแรงไปกว่านั้น ก็มีเสียงที่ไม่มีใครคาดคิดตะโกนขัดขึ้นมาเสียก่อน:
    "ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ว่าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!!!"
    คำพูดนั้นสร้างความงุนงงให้กับคนทั่วท้องพระโรง ทั้งฝ่ายกบฎและฝ่ายผู้มาช่วยเหลือได้อย่างทัดเทียมกัน
    "ต...แต่ว่า..."
    เจ้าหญิงยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าทิ้งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสูดหายใจลึก เชิดหน้าขึ้น
    "ข้าจะไม่หนี" เธอประกาศอย่างเด็ดเดี่ยวที่สุดเท่าที่ใครๆ จะคาดว่าหญิงสาวที่ดูบอบบางเช่นเธอจะทำได้ "ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร! พวกเจ้าจะฆ่าข้าแค่เพราะข้าเกิดมาเป็นเจ้าหญิงอยู่ในราชวงศ์นี้งั้นหรือ! ไม่มีทาง!"
    "แล้วในเมื่อข้าเป็นสายเลือดของราชวงศ์คนสุดท้ายที่ยังยืนหยัดอยู่ที่นี่ อาณาเขตพระราชวังแห่งนี้ก็ต้องถือเป็นของข้า ข้าจะไม่ทิ้งมันไป!"
    เธอหันหน้าเขม้นมองไปมารอบตัวอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกล่าวกับบุรุษผู้นั้นเหมือนเป็นการสรุป
    "ถึงจะต้องตาย ข้าก็ขอตายอยู่ที่นี่! ข้า...จะไม่ไปกับเจ้า!"

    ทั้งสองฝ่ายเงียบกริบ หยุดการเคลื่อนไหวใดๆ ไปชั่วขณะ ทุกสายตาจ้องมองมาที่เจ้าหญิงเป็นจุดเดียว
    ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ มันเป็นราวกับฉากละครที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างหยาบๆ ลวกๆ หากแต่มีความสมจริงสมจังที่น่ากลัวในระดับลึกกว่าอยู่
    "แต่ไม่ต้องห่วงนะ...ข้าดูแลตัวเองได้"
    ชายหนุ่มยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งถูกกระทุ้งสีข้างเรียกสติด้วยปลายศอกจึงได้รู้สึกตัว
    เมื่อหันไปก็เห็นเทวีอิชตาร์เหลือบตาเขม้นมองมาแบบออกจะดุๆ พลางพยักหน้าเบาๆ มีหอกเล่มหนึ่งถูกซัดมาหมายจู่โจมทีเผลอในจังหวะนั้น แต่ก็ถูกนางใช้โล่ปัดทิ้งไปได้อีกอย่างไม่ลำบากนัก
    "ถ้าเช่นนั้น...คงต้องขอลาไปก่อน"
    เขาทอดถอนใจ ก่อนจะก้มศีรษะลงโค้งคำนับให้เจ้าหญิงทีหนึ่ง
    "แต่โปรดอย่าได้ลืม เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านต้องการออกไปจากที่นี่ ขอให้ข้ารู้ ข้าจะกลับมาช่วยท่าน!" เขายืดตัวขึ้นยืนตรงอีกครั้ง แล้วตะโกนบอกด้วยหมัดที่กำแน่นและท่าทีเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันกับเจ้าหญิงเมื่อครู่ "แม้จากถิ่นไกลแสนไกล ข้าก็จะกลับมา หรือมุ่งไปหาท่านให้ได้!"
    คำประกาศอันอหังการ์นั้น แน่นอนว่าย่อมสร้างผลสะเทือนต่อทุกผู้ที่ได้ยิน
    แต่คงยังไม่เท่าอีกประโยคหนึ่งที่ตามมา

    "ข้ารักท่านนะ เจ้าหญิง!!!"

    แล้วชายผู้นั้นก็วิ่งออกไปตามแนวระเบียงภายนอกจนลับพ้นขอบหน้าต่าง มีเทวีอิชตาร์เหาะตามไปอย่างรวดเร็ว

    นั่นคือการพบกันครั้งล่าสุดระหว่างเขากับเจ้าหญิงในคืนที่ฟ้าเก่าถูกโค่นทลายลง และเป็นเหตุให้เขาต้องถูกคนของทางการตามล่าตัวนับแต่นั้นเป็นต้นมา


    (จบบทที่ 1)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×