ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แหกชะตา ผ่าทางรัก (Love Against All Fate)

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 50


    ตอนที่ 5


    เธอมัวแต่เดินเหม่อลอยอยู่บนไหล่ทางรกร้าง จึงมีอันต้องสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงแตรรถสั้นๆ ไล่มาจากข้างหลัง
    รถคันนั้น...
    มันเข้าจอดอย่างนิ่มนวลข้างๆ เธอ จากนั้นประตูก็เปิดออก เธอเห็นร่างหนึ่งก้าวลงมาอย่างทะมัดทะแมง เขายกมือขึ้นใช้นิ้วดันหมวกแก๊ปที่หลุบลงมาปิดบังสายตาให้กลับเข้าที่ เผยให้เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคย
    "พี่!"
    "ว่าไงแม่สาวน้อย" เขาเปิดฉากทักทาย "ไม่รอกันเลยนะ พี่อุตส่าห์เป็นห่วงว่าเดินทางไปคนเดียวจะไม่สะดวก" อีกฝ่ายพูดด้วยอาการหยอกเย้า
    คนคนนี้...กำลังจะเป็นหัวหน้าของเธอ และรถคันนี้ก็กำลังจะเดินทางไปสู่จุดหมายเดียวกัน...บ้านใหม่และที่ทำงานแห่งต่อไปของเธอนั่นเอง
    "หนูนึกว่าพี่ไปออกสำรวจสถานที่อยู่แถวๆ จังหวัดอื่นซะอีก"
    "ไม่ได้หรอก ธุระสำคัญกว่าอยู่แถวนี้นี่นา" เขายิ้มให้เธออย่างอบอุ่นอีกครั้ง "เอ้าๆ ขึ้นมาเร็ว นี่มันจะค่ำแล้วนา"

    หลังจากนั้น ทั้งสองก็นั่งอยู่คู่กันบนรถที่บึ่งไปตามทางหลวงสายหลักด้านนอกเมือง ระหว่างทางเขาชวนเธอคุยอย่างร่าเริง หากแต่เธอกำลังอยู่ในอารมณ์พะว้าพะวงถึงสิ่งที่แปรปรวนอยู่จึงไม่มีกะใจจะคุยนัก
    ...แต่แล้วห้วงความคิดของเธอก็ถูกขัดจังหวะ เมื่ออยู่ๆ รถก็หยุดกะทันหัน เธอถูกแรงเหวี่ยงกระชากไปข้างหน้าและถูกรั้งไว้ด้วยเข็มขัดนิรภัย เพื่อที่จะเด้งกลับมากระแทกเบาะข้างหลังอีกทีหนึ่ง

    "อะไรน่ะพี่? อยู่ๆ ก็เบรก" เธอบ่นอุบ
    คนขับหลังจากตั้งหลักได้แล้วก็เอื้อมมือไปบิดกุญแจ เสียงเครื่องยนต์กระตุกอยู่หลายจังหวะ แต่แล้วก็ดับไป
    "เมื่อกี๊...พี่เห็นแมวเดินข้ามถนนขวางหน้ารถน่ะ"
    เขาลองอีก 2-3 ครั้งแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม
    "แย่แล้ว ไม่ติด"
    "แหม ก็ใครล่ะเอาไปซิ่งมาทั่วทิศ รถโทรมเร็วเลยเห็นมั๊ย"
    "ไม่ต้องพูดมากเลย เดี๋ยวใช้ให้ลงไปเข็นซะนี่" แต่เขาก็ต้องรีบปลอบเมื่อเห็นหญิงสาวทำแก้มป่องอย่างงอนๆ "โอ๋ๆๆ พี่ล้อเล่นน่า คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวพี่โทรเรียกศูนย์บริการฉุกเฉินก่อนนะ"
    ทั้งสองเปิดประตูรถลงไปเดินยืดเส้นยืดสาย ในระหว่างนั้นเขากดโทรศัพท์มือถือเจรจาความ และเธอเดินหันไปหันมามองสภาพบรรยากาศรอบข้าง

    ไม่นานนัก ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านมาและชะลอลงใกล้ๆ กับที่ทั้งสองจอดรถอยู่
    ผู้ขับขี่เป็นชายหนุ่มแต่งตัวตามสบายปล่อยผมกระเซิง สะพายเครื่องดนตรีประเภทกีต้าร์อยู่ข้างตัว
    ...และดูเหมือนจะเป็นคนที่เธอรู้จักดีเสียด้วย

    "อ้าว! นึกว่าใคร ที่แท้คุณนี่เอง"
    ชายผู้มาใหม่ ชิงแนะนำตัวกับหัวหน้าของเธอ และฉวยจังหวะตอนที่แต่ละคนยังงงๆ ทำอะไรไม่ถูกกันอยู่นั้นพาตัวเธอซ้อนท้ายรถไป โดยอ้างว่าจะไปส่งในเมืองก่อน

    "บังเอิญดีจริงนะคุณ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอที่นี่" ชายคนนั้นพูดแข่งกับเสียงลมอู้อึงผ่านพัดไป ขณะที่สายตาจับจ้องทางเบื้องหน้า
    "บังเอิญเหรอ...คราวเคราะห์มากกว่าล่ะมั๊ง" เธอตอบด้วยเสียงขุ่น พยายามเอนตัวไปข้างหลังให้ห่างจากเขาให้มากที่สุด
    ชายผู้นั้นหันข้างมายิ้มเหยียดๆ พอให้เห็นทีหนึ่ง
    "ก็ยังงี้แหละน้า...คนเรา พอกำลังจะรุ่งเข้าหน่อยก็ชักลืมตัว ลืมคนที่เคยผูกพันกันมา-"
    "จอดรถ! ฉันจะลง!"

    ในชั่วขณะที่มีการยื้อกันอยู่อย่างน่าหวาดเสียวบนอานรถก่อนถึงสี่แยกนั่นเอง ก็มีที่คั่นหนังสืออันหนึ่งปลิวเข้าใส่ แปะตรงใบหน้าหนุ่มนักดนตรีพอดีทำให้เขาตกใจหักรถหลบกะทันหันลงข้างทาง
    เธอฉวยจังหวะที่รถหยุดชะงักกระโดดหนี แล้วลุกขึ้นปัดฝุ่นวิ่งไปอย่างลืมเจ็บโดยไม่นำพาต่อเสียงตะโกนเรียก เธอวิ่งพรวดเดียวไปใกล้บาทวิถีชิดแนวตึกขณะที่เสียงรถจักรยานยนต์ดังกระหึ่มไล่หลัง และเงาของใครบางคนวูบแซงเธอขึ้นมา

    "นานเกินพอแล้ว" ผู้พิทักษ์ชะตาของเธอกล่าวด้วยเสียงเด็ดเดี่ยว ขณะที่มือกุมกระชับจูงมือเธอออกวิ่ง หักเลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่ง "คุณยังสะสางเรื่องกับนายคนนี้ไม่ได้ ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่ละ!"
    หนนี้เธอไม่ได้ถูกลากไป เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะวิ่งหนีให้พ้น...ไปตามการชักจูงของเขา เพียงแต่ต้องเร่งฝีเท้าหนักหน่อยเพื่อให้ทันเท่านั้นแหละ

    "ในโลกนี้เต็มไปด้วยกลไกประตูทางลับ ตรอกซอยแคบๆ ที่ปกติไม่มีใครผ่าน ไม่มีใครสังเกตเห็น" เขาพูดบรรยายไปเรื่อยๆ ในขณะที่สายตายังมองตรงข้างหน้า สองขาก็วิ่งนำเธอผ่านเข้าไปในช่องทางแปลกๆ และซับซ้อนวกวนน่าเวียนหัว สลับกับมุดและปีนข้ามอย่างทุลักทุเลเป็นบางแห่ง "สำหรับช่องประตูหน้าต่าง ขอบรั้ว บางที่ก็ลงกุญแจไว้ ส่วนใหญ่มีผู้พิทักษ์รักษา แต่ส่วนใหญ่ก็จะอนุโลมให้ใครที่เดือดร้อนจำเป็นต้องหนีผ่านมาแล้วผ่านออกไป ถ้าพยายามไม่แตะต้องกระทบอะไรในอาณาเขตนั้น...ก็มักจะตัดผ่านไปได้"
    เธอในขณะนี้รู้สึกสับสนจนทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มากนัก ส่วนเขาเริ่มชะลอฝีเท้าลงแล้ว เสียงร้องเหมือนเตือนแว่วมาจากนกกากลุ่มเล็กๆ ที่เกาะอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าปากซอยข้างหน้า ซึ่งสองฟากฝั่งดูจะเป็นพื้นที่ก่อสร้างรกร้างกั้นด้วยลวดหนามโปร่ง มีหมาดำนับสิบนั่งนอนกระจายไป คอยจับจ้องทั้งคู่อยู่
    และเมื่อก้าวรุกล้ำเข้าไปในทางแคบๆ นั้น พวกมันส่วนหนึ่งก็ก้าวออกมาปิดทาง พลางเริ่มแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่คำราม เธอขยับเข้าไปเกาะหลังผู้พิทักษ์อย่างหวาดๆ

    เขาหยุดยืนตั้งหลัก พลางหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ เป็นหนังสือเล่มบางเล็กพอดีฝ่ามือ หน้าปกดูมันเลื่อมมีสีราวท้องฟ้าสดใสเหนือชายทะเลในฤดูร้อน ไม่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอื่นใดให้เห็นจากภายนอก ยกเว้นตัวเลข 555 สีเงินวาวที่พิมพ์ประทับอยู่กลางปกหน้าเท่านั้น
    เขาเปิดหนังสือยื่นออกไป หันหน้ากระดาษข้างในให้ฝูงหมาดำที่ขวางอยู่เห็นได้ถนัด แล้วอยู่ๆ พวกมันก็ถอยฉากไปด้านข้างเหมือนเปิดทางให้แล้ว เขาพาเธอวิ่งไปพ้นปลายซอย เลี้ยวซ้ายต่อไปตามทางแยกย่อย
    "หนังสือเดินทางน่ะ" เขาอธิบายเพียงสั้นๆ ทิ้งปริศนาชิ้นใหญ่อีกอย่างหนึ่งไว้ให้ขบคิด เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่ว่างพอที่จะมานึกถึงเท่านั้นเอง

    ทั้งคู่ผ่านเข้ามาถึงอาคารกว้างใหญ่หลังหนึ่ง มีกระดานปิดประกาศข่าวต่างๆ ที่เธอมองผ่านๆ ก็อ่านไม่รู้เรื่อง ยกเว้นแผนที่ซึ่งดูแล้วพอรู้ว่าอาคารแห่งนี้มีสามชั้น เขาและเธอกำลังอยู่ที่ชั้นพื้นระหว่างกลาง เบื้องบนเป็นชั้นดาดฟ้า เบื้องล่างเป็นชั้นใต้ดิน
    เมื่อเข้ามาไม่ลึกเท่าไหร่นักก็สุดทางเดิน มีลุงคนหนึ่งในชุดยามรักษาความปลอดภัยนั่งเปิดกองเอกสารมากมายอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ขวางหน้าพวกเขา
    ถัดไปจากนั้น สตรีท่าทางเข้มแข็งแต่งเครื่องแบบสีขาวขลิบทองผู้หนึ่งนั่งนิ่งอยู่ หลังโต๊ะไม้ขัดเงาอย่างดีที่มีขอบหน้าและด้านข้างยกสูงอีกทั้งแผ่ลงมากำบังปกป้องผู้นั่งประจำที่ไว้ตั้งแต่ระดับอกจรดเท้า ด้านหลังเว้นว่างเป็นช่องทางให้เดินเข้าออกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นก่อนจะถึงกำแพง ซึ่งมีประตูสองบานขนาบอยู่ข้างๆ โต๊ะ ประตูซ้ายมีสีดำทั้งบาน มีตัวอักขระสีขาวที่เธอไม่รู้จักตัวหนึ่งติดอยู่แนวกลางเหนือระดับสายตา ประตูบานขวานั้นมีสีขาว และมีอักขระสีดำอีกตัวหนึ่ง แต่ละบานต่างมีลูกบิดติดอยู่กลับข้างกันอยู่ในระยะที่หญิงผู้นั้นเอื้อมมือถึง

    เขาเดินเข้าไปพูดคุยด้วยภาษาต่างชาติที่ฟังดูแปลกประหลาดไม่กี่ประโยค ชายในชุดยามก็พยักหน้าตอบรับ และหยิบเอาสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายตราประทับขนาดใหญ่ออกมา จับด้ามกระชับมั่นกดแนบหน้าของมันลงบนหน้าหนังสือเดินทางที่เขาว่า แล้วก็ดูเหมือนจะมีแสงเรืองขึ้นมาจากใต้ตราประทับนั้นอาบไปบนหนังสือชั่วครู่
    และก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ หนังสือเดินทางถูกส่งคืนมาพร้อมการทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้ทั้งคู่ผ่านไปได้ หลังจากนั้นเขาก็นำเธอไปภายใต้การจับจ้องมองโดยไม่พูดอะไรจากหลังแว่นตาสีชารูปทรงโฉบเฉี่ยวของหญิงผู้เฝ้าประตู
    หลังประตูนั้นหักเลี้ยวออกไปสู่ทางเดินที่ทอดยาวอีกส่วนหนึ่ง เธอเห็นประตูอื่นๆ ที่มีป้ายตัวเลขติดไว้อีกหลายบานเต็มพรืดไปหมด ระหว่างที่เขาจ้ำพรวดๆ นำไปสลับกับชำเลืองมองเลขหมายเหล่านั้น เธอก็พยายามวิ่งไล่ตาม เหมือนจะคุ้นๆ ว่าเห็นส่วนหนึ่งของเลขหมายโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของเธออยู่ที่ประตูบานหนึ่งที่ผ่าน
    แต่ในที่สุดแล้วเขาก็เลือกเปิดประตูสู่ภายนอกอีกครั้ง และเลี้ยวออกมาตามตรอกซอกซอย เริ่มได้ยินเสียงจอแจของผู้คนเข้ามาแทนที่ความเงียบสงัดผิดปกติตั้งแต่เมื่อครู่

    "นี่" เธอเอ่ยถามขึ้นในที่สุด หลังจากที่มานั่งพักเหนื่อยกันชั่วคราวตรงป้ายรถประจำทาง "เราแค่สลัดนายนั่นหลุดออกมาให้พ้นก็พอไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องลำบากลำบนมาไกลถึงขนาดนี้ด้วย"
    "เหรอ? ผมดูท่าทางเมื่อกี๊แล้ว นึกว่าคุณอยากหนีเขาไปให้ไกลสุดขอบโลกซะมากกว่านี่นา ผมก็เลย...จัดให้"
    เธอพลันระเบิดเสียงหัวเราะขัน เหมือนจะลืมความสับสนกดดันที่ผ่านมาไปแล้ว "บ้า!!!"
    "หลอกให้ฉันวิ่งแทบขาลาก ร้ายนักนะ!"

    ไม่ทันไรมือถือของเธอก็ดังขึ้นเป็นเสียงเพลงรักเพลงหนึ่ง เธอหยิบมันขึ้นมากดดูเพื่อจะพบว่าเป็นพี่คนนั้นนั่นเอง เขากำลังเป็นห่วงว่าเธอไปถึงไหน และแจ้งข่าวว่ารถไปต่อได้แล้ว
    "ค่ะพี่ หนูรบกวนมามากแล้ว ไม่อยากให้รอนาน ตอนนี้ขอฝากข้าวของให้พี่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวหนูจะอยู่เที่ยวชมอะไรๆ แถวนี้อีกหน่อยแล้วจะเดินทางไปเอง ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ"
    เธอกดวางสายพร้อมถอนหายใจดังเฮือก
    ดีที่พวกเขามาโผล่ใกล้กับท่ารถโดยสารของเมือง แต่กระนั้นเมื่อเดินเข้าไปถามแล้วก็ได้ความว่ามีปัญหาติดขัดบางอย่าง ทำให้รถเที่ยวถัดไปจะออกได้หลังสี่ทุ่ม
    ...ซึ่งก็แปลว่ายังมีเวลาอีกพักใหญ่ๆ
    "แย่จริง แบบนี้ก็ต้องรอกันอีกนานเลยสิ"
    "งั้น..." เขาหันมองไปรอบๆ อย่างครุ่นคิด "หาอะไรทำไปพลางๆ ก่อนมั๊ย?"

    ร้านอินเตอร์เน็ต-เกมตอนหัวค่ำ เต็มไปด้วยเด็กวัยประถมปลายถึงมัธยมมาสุมหัวกันคลาคล่ำ เมื่อทั้งสองเปิดประตูเข้ามาเยือนจึงออกจะดูผิดที่ผิดทางอยู่สักหน่อย

    เมื่อเข้านั่งประจำที่คนละเครื่องโดยอยู่ในแถวที่หันหลังชนกันแล้ว ทั้งคู่ก็ปรึกษากันว่าจะเล่นอะไรดี
    เกมออนไลน์แบบที่นิยมกันส่วนใหญ่นั้น ดูวุ่นวายเกินไปด้วยผู้เล่นหลากหลายจากทุกสารทิศ และเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเล่นแต่ละเกมนั้นเป็นประจำ เพราะไม่มีเนื้อเรื่องหรือการผจญภัยเป็นหลัก แต่จะเน้นการสังสรรค์ในสังคมออนไลน์ และบรรดาผู้เล่นในระบบนั้นต่างก็ต้องสร้างเนื้อเรื่องของตนเอง ค้นหาเส้นทางการผจญภัยของตนเองร่วมกันภายในพื้นฐานและเค้าโครงหลักที่ผู้สร้างเกมจัดไว้ให้ เขาและเธอจึงตกลงกันได้ว่าจะเล่นเกมที่เป็นส่วนตัวและไม่ต้องใช้เวลามากนักอย่างนั้นดีกว่า
    ในที่สุดก็ไปสะดุดเข้ากับเกมแนวผจญภัย 3 มิติแบบสองผู้เล่นที่เพิ่งออกใหม่ ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังนัก แต่ดูน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก บนเครือข่ายของร้านมีเซิฟเวอร์เปิดไว้ เขาก็สร้างห้องใหม่ขึ้นมาแล้วเธอเชื่อมต่อตามเข้าไป
    หน้าจอแรกขึ้นตราของบริษัทผลิตเกม ต่อด้วยตราสัญลักษณ์และชื่อเกมที่ดูสวยงามมีมนต์ขลัง แล้วจึงเข้าสู่...

    คูหาแห่งการกำเนิด

    ที่นี่เป็นจุดแรกเริ่มที่ผู้เล่นจะต้องเลือกรูปแบบตัวละครในการออกผจญภัยซึ่งมีสองแบบ เป็นอัศวินชายฉกรรจ์ท่าทางเข้มแข็งในชุดรบแบบพื้นๆ ถือดาบเหล็ก หรืออีกแบบหนึ่ง เป็นนักเวทสาวใส่ชุดประกอบด้วยผ้า 2-3 ชิ้นห่มคลุม ออกจะเปิดเผยเนื้อหนังมากหน่อยเพื่อความใกล้ชิดกับธรรมชาติ ดูรูปร่างอ้อนแอ้นบอบบางใบหน้าอ่อนเยาว์น่ารักแต่ทรงอำนาจลึกล้ำในแววตา
    เธอกดเลือกตัวอัศวิน มันหันมาทางหน้าจอโค้งให้กับผู้เล่นทีหนึ่ง แล้วปล่อยให้เธอบังคับเดินเข้าไปตามทาง จนกระทั่งประตูอีกบานเปิดออก...และเบื้องหน้า เธอเห็นอัศวินรูปร่างหน้าตาเหมือนกันอีกหนึ่งที่เขาเลือกมายืนอยู่หลังกรอบประตูอีกฟากหนึ่งใน...

    คูหาแห่งการท้าทาย

    ทันใดนั้น เครื่องแต่งกายทั้งชุดของแต่ละฝ่ายก็ถูกย้อม อัศวินของเขาเป็นสีน้ำเงิน อัศวินของเธอเป็นสีแดง
    ข้อความบรรยายปรากฎขึ้นตรงส่วนบนสุดของจอ บอกว่าทั้งคู่เลือกตัวละครเหมือนกันไม่ได้ ต้องต่อสู้เพื่อตัดสินกันในคูหาแห่งนี้ว่าใครจะได้เป็นผู้ใช้ตัวอัศวิน โดยผู้แพ้จะต้องใช้อีกตัวหนึ่ง
    "มียังงี้ด้วยแฮะ"

    ด้านหลังของแต่ละฝ่ายที่ก้าวพ้นจากประตูมายืนอยู่ขอบสังเวียนวงกลมแล้ว ต่างก็มีตัวละครแม่มดอีกตัวที่มีสีเดียวกัน ก้าวออกมาสมทบ ยืนดูท่าทีอยู่ใกล้ๆ
    ตามด้วยเสียงครืดๆ ดังขึ้นเนิ่นช้า ประตูศิลาบานหนาทึบที่นำเข้ามาสู่คูหาแห่งนี้ทุกบานเลื่อนปิดลงจนสนิท แล้วบรรดาคบเพลิงที่ติดผนังโดยรอบก็ถูกจุดสว่างขึ้น เพลงประกอบเปลี่ยนเป็นจังหวะระทึกขวัญเคล้าด้วยเสียงกลองศึก

    "นี่ๆ ฉันว่าคุณเหมาะจะเล่นเป็นแม่มดนั่นมากกว่านะ" เธอพยายามเจรจาโน้มน้าว เผื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก
    "ที่จริงผมถนัดเล่นเป็นนักเวทมากกว่านักรบนั่นแหละ แต่...ผมก็ไม่อยากเล่นเป็นผู้หญิงนี่นา" เขาดูท่าจะไม่ยอมง่ายๆ
    "งั้นก็ต้องวัดกันหน่อยล่ะ!"
    "เหอะ! เข้ามาเลย!"

    อัศวินฝ่ายแดงโจนทะยานเข้ารุกล้ำก่อน ระดมประเคนเพลงดาบเข้าใส่อัศวินฝ่ายน้ำเงินไม่ยั้ง ขณะที่อัศวินฝ่ายน้ำเงินยังปัดป้องและดูเชิงเป็นหลัก แม่มดที่ยืนปักหลักอยู่ข้างหลังแต่ละฝ่าย เริ่มออกท่าทางร่ายอาคมเข้าโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งสลับกับใช้มนต์สนับสนุน
    เมื่อผู้เล่นเลือกที่จะบังคับตัวละครตัวใด ระบบอัตโนมัติก็จะบังคับตัวละครอีกตัวหนึ่งให้เสมอในคูหาแห่งนี้

    พลังเวทจากพวกแม่มดพุ่งข้ามสังเวียนระเบิดเป็นแสงสีเสียงตระการตาทั่วทั้งบริเวณ พวกอัศวินถูกลูกหลงบ้างประปราย แต่ก็ไวพอจะหลบได้โดยไม่เป็นอันตรายมากนัก อัศวินฝ่ายน้ำเงินดูจะเคลื่อนไหวอย่างมีแบบแผนมากขึ้น เมื่อเขาพยายามจับจังหวะความเคลื่อนไหวของทั้งอัศวินและแม่มดฝ่ายแดง รวมทั้งใช้วิถีการโจมตีของแม่มดฝ่ายน้ำเงินให้เป็นประโยชน์อีกด้วย
    แต่แล้วเขาก็พลาด ถูกอัศวินฝ่ายแดงโหมกระหน่ำโจมตีสวนกลับจนดาบกระเด็นหลุดจากมือ และดาบอีกเล่มก็พุ่งพรวดเข้ามาทะลุอกเขาเกือบมิดด้าม ทั้งสองฝ่ายหยุดนิ่งค้าง ตัวเลขนับเวลาถอยหลังเหนือสังเวียนหยุดลง
    "อะฮ่า เป็นไงล่ะ!!!" เธอหันมาพูดข่มทับเขาเล็กน้อยด้วยความสะใจที่ยังตกค้างอยู่
    "จนได้สิน่า..."
    เขาถอนใจ พลางหันมาช้าๆ และจ้องมองเธอตอบเช่นกัน
    "ดูสิ...แล้วคุณก็หันคมดาบเข้าใส่ผม แล้วก็แทงเข้ามาจนทะลุหัวใจ"
    "...แต่หวังว่า...คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ"
    ความหนาวยะเยือกแล่นผ่านร่างเธอไปทันทีกับคำพูดแปลกๆ นั้น...โดยไม่รู้เหตุผล แต่ในชั่วอึดใจถัดมาเธอก็รู้สึกตัวและหันเหไปสนใจกับสิ่งตรงหน้าได้อีกครั้ง

    "เอาเถอะๆ แล้ว...ยังไงต่อล่ะเนี่ย?"
    ตัวเกมตัดฉากไปเป็นช่วงเนื้อเรื่อง ซึ่งจะเห็นตัวละครเคลื่อนไหว ออกท่าทางและสนทนาไปตามบทโดยผู้เล่นบังคับไม่ได้ชั่วคราว โดยเมื่ออัศวินฝ่ายน้ำเงินทรุดตัวล้มลง อัศวินฝ่ายแดงก็วิ่งเลยผ่านเข้าไปยืนต่อหน้าแม่มดฝ่ายน้ำเงิน ผู้ซึ่งทรุดตัวคุกเข่าข้างหนึ่ง วางไม้เท้าเวทลงในอาการยอมจำนนแล้ว
    จากนั้น อัศวินฝ่ายแดงก็เก็บดาบของตน แล้วก้มตัวเอื้อมมือไปแตะบ่าของแม่มดสาวผู้เหลือรอดอย่างจะปลอบโยน ตามด้วยประคองเธอให้ลุกขึ้นยืน

    เมื่อมุมกล้องหันกลับมาจับที่ตัวละครทั้งสอง และปล่อยให้ผู้เล่นบังคับได้อีกครั้ง แม่มดฝ่ายแดงก็อันตรธานหายไปจากที่นั่นแล้วโดยไม่ทราบว่าไปไหน รวมถึงเครื่องแต่งกายของตัวละครทั้งคู่ที่เหลืออยู่ก็กลับคืนสภาพมาเป็นอย่างเดิมก่อนที่จะถูกย้อมสีแล้วเช่นกัน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×