ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เจ้าแห่งทางวงกต
ตอน เจ้าแห่งทางวงกต
ทิวทัศน์รอบข้างดูคุ้นตา...
และมันคุ้นมากเกินไป จนเขาเอือมระอาอย่างถึงที่สุดเสียแล้ว
เขาหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางพื้นที่โล่งกว้าง ที่มีร่องรอยซากปรักหักพังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป กลิ่นเหม็นไหม้เถ้ากำมะถันยังโชยขึ้นมาเสียดจมูกจางๆ ทุกครั้งที่สายลมพัดม้วนฝุ่นขึ้นจากพื้นกระดำกระด่างเป็นหย่อมๆ ผืนฟ้าสีแดงส้มมีเมฆเกลี่ยอยู่เพียงเบาบาง ดูวิเวกวังเวงไปทั่วทุกสารทิศ
ชายผู้นั้นทรุดตัวลงคุกเข่า มือสองข้างยันพื้นเบื้องหน้าไว้ ถอนหายใจยาวระบายความอ่อนล้าออกมา
แล้วทันใดก็เริ่มมีเสียงพูดแผ่วเบาเกือบเป็นกระซิบที่ไม่ทราบที่มา แพร่ผ่านอากาศแทรกเสียงดังวิ้งๆ อื้ออึงภายในหัวเข้ามา รู้สึกได้ถึงความห่างไกล และจำได้ว่าเคยได้ยินเมื่อเนิ่นนานหนักหนามาแล้ว
เสียงพูดประโยคแรก พอจะจับทิศได้ว่ามาจากข้างหน้า เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง
"เราขอเตือนนายไว้เลยนะว่า เมื่อไหร่ที่นายโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาดูแลครอบครัวเด็ดขาด"
เมื่อมันจบลง ก็มีเสียงพูดประโยคต่อไป แว่วสวนมาจากข้างหลัง เป็นเสียงที่คล้ายมีอายุและเกรี้ยวกราดมากกว่า
"คนอย่างเธอน่ะ ฉันยอมรับไม่ได้หรอก ไม่มีความรับผิดชอบ ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จซักอย่าง คนแบบนี้น่ะเหรอ จะดูแลครอบครัวได้!"
ต่อไป เสียงพูดแว่วมาจากทางซ้าย เป็นเสียงที่อ่อนโยนแต่กระตือรือร้น เปี่ยมไปด้วยพลังชักจูงใจคนมากมายอย่างประหลาด
"อย่าจมอยู่ในความเศร้าโศกต่อไปเลย ความรักนั้นมีอยู่จริง และมีอยู่ทุกแห่งหน!
ขอเพียงคุณเปิดใจออกให้กว้าง และปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกใหม่ให้เป็นด้านบวก เพื่อต้อนรับความรักเข้ามาในชีวิตของคุณ
คุณก็จะสมปรารถนาได้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ"
ต่อไป เป็นเสียงชราที่อ่อนแรงกว่า แต่ฟังดูสงบอย่างทรงพลัง และด้วยถ้อยคำที่สะเทือนจิตใจเขาได้ยิ่งกว่าเสียงอื่นๆ ก่อนหน้านี้ แว่วมาจากทางขวา
"เด็กน้อยเอ๋ย...จงดูสิว่าเจ้าต้องมาทนความทุกข์ยากลำบาก ทรมานอยู่เช่นนี้เพราะอะไร?
ความรักน่ะช่วยเจ้าไม่ได้ ช่วยใครๆ ไม่ได้หรอก!
ปัญญาอันบริสุทธิ์แท้จริงต่างหากเล่า ที่ควรค่าแก่การแสวงหายิ่งกว่าอื่นใด"
มันยังไม่จบง่ายๆ คราวนี้สุรเสียงอันลึกล้ำทรงอำนาจแผ่ลงจากเบื้องบนดุจฟ้าคำราม ดูเหมือนจะกล่าวถึงเรื่องที่ฟังเข้าใจยากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
"จงเชิดหน้าขึ้นด้วยความทรนง จงหยัดยืนอยู่อย่างเต็มภาคภูมิด้วยหัวใจอันแท้จริงเถิด!
ตราบใด...ที่เจ้ามีใจอันมุ่งตรงต่อการแสวงหาความสัตย์จริงแล้ว แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเหมือนพายุคลั่งในโลกที่มุ่งกลืนกินเจ้า แม้จะอยู่ท่ามกลางคนทั้งโลกที่ไม่เข้าใจ พวกเขาจะก่นด่าและหยามเย้ย...
แต่ก็จงอย่ายอมแพ้ อย่าย่อท้อ อย่ายอมถูกขู่เข็ญด้วยประการใดทั้งสิ้น อย่ายอมขายวิญญาณอันทรงค่าสูงสุดของเจ้า...เพื่อแลกกับสิ่งใดๆ ในโลกธาตุที่ต้องตายนี้เลย!"
แล้วพื้นก็สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างจะโต้ตอบ พร้อมเสียงหยาบกร้านกว่าแต่ดุดันไม่แพ้กัน พลุ่งขึ้นมากระแทกกระทั้นจากเบื้องล่าง
"แกน่ะ! เลิกทำหัวสูง หลงตนเป็นผู้เหนือกว่าได้แล้ว ก้มลงมามองพื้นดินนี่!
พวกอย่างแกน่ะ เอาแต่พร่ำเพ้ออุดมคติ มุดหัวอยู่ในก้อนเมฆทุกวี่วัน แล้วก็ถือสิทธิ์มาชี้นำบงการผู้คน ดูถูกชาวบ้านที่ได้ชื่อว่าต่ำต้อยกว่า
เคยมองบ้างไหม? ว่าแผ่นดินที่รองรับให้แกมีที่ยืน แผ่นดินที่ให้ธัญญาหารหล่อเลี้ยงชีวิตแกอยู่ มันอุดมสมบูรณ์ด้วยหยาดเหงื่อของใครบ้างที่ราดรด มันยึดแน่นอยู่ด้วยรากของต้นหญ้ากี่สิบล้านต้นกัน?
สำนึกไว้ซะ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ในโลกหล้าที่กล่าวอ้างกัน จะวิเศษแค่ไหนมันก็แค่นั้น...สิ่งที่เห็นจริงๆ กันอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก คือที่ยืนของแก!"
"พอได้แล้ว!!!"
เขาอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับลุกพรวดขึ้นตะโกนก้องสวนออกไปทุกทิศทางกลางความโล่งกว้างนั้น
เป็นเวลาชั่วครู่หนึ่งที่บรรยากาศกลับมาสงบเสงี่ยมอย่างเรียบสนิท ขณะที่เขาค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยองๆ พลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายอีกคำรบ
ก็นับว่ายังดีอยู่มาก ...เคยมีตอนที่เขาฟุ้งซ่านยิ่งกว่านี้ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็จะวุ่นวายได้ไม่ห่างกับฉากสงครามกลางเมืองในประเทศโลก ที่สามเท่าไหร่นัก
แต่จากการที่เขาก้าวเดินไป ทิ้งรอยเท้าไกลแสนไกลแม้ข้ามโลก ...แต่สุดท้าย ก็ต้องวกกลับมาสู่ภูมิทัศน์ภายในที่เหมือนๆ เดิมแห่งนี้เสียทุกครั้ง
ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ตาม แม้จะหลงคิดว่าตัวเองมาได้ไกลมากแล้ว...จากวันนั้น...
อารมณ์เขาในตอนนี้มันคงมาถึงจุดที่ว่า...เขาจำเป็นต้องจัดการอะไรบางอย่างกับมันเสียที
เขานิ่งคิด นำพาให้การเคลื่อนไหวร่างกายชะงักไปชั่วขณะ
แล้วอะไรหรือ? คือความหมายของสถานที่แห่งนี้? มันมีอะไรบางอย่างที่เขาต้องตามหา หรือสิ่งที่ยังค้างคาเรียกร้องให้เขาต้องจัดการสะสางให้เรียบร้อยเสียที่นี่ อย่างนั้นหรือ?
"เรามาทำอะไรที่นี่!?"
เขาตัดสินใจตะโกนขึ้นสุดเสียงเพื่อถามให้มันรู้เรื่องกันไป ณ บัดนั้น
เสียงสะท้อนกลับจากสิ่งระเกะระกะรอบข้างเพียงไม่กี่อึดใจ แล้วทุกอย่างก็เงียบกริบ ไม่มีคำตอบจากสวรรค์หรือพื้นพิภพ
เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างบังคับอยู่ให้เขาต้องตะโกนถามขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
"เรามาทำอะไรที่นี่!?"
และเหมือนกับสิ่งที่ถูกปิดขังอยู่ภายในเกิดพลุ่งพล่านขึ้นในบัดดลนั้น ขับดันให้เขาลุกพรวดขึ้นพร้อมแหงนหน้าตะโกนก้องเป็นครั้งที่สาม ด้วยหมัดทั้งสองข้างที่กำเกร็งสะท้านชูขึ้นสุดแขน ด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราดเหมือนกับจะประชดชีวิต
"เรามาทำอะไรที่นี่กันแน่!?!?"
ฉับพลันก็ปรากฎแสงดุจฟ้าแลบ ตามด้วยร่างหนึ่งผุดขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ สวมชุดคลุมสีเข้มพร้อมหมวกปิดคลุมศีรษะ และมีหน้ากากลายพิลึกพิลั่นครอบใบหน้าไว้ ร่างนั้นถือหนังสือเล่มใหญ่กางออกอยู่ตรงหน้าด้วยมือทั้งสองข้าง
"นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว"
เขาผงะถอยไปด้วยความตระหนก แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็เปิดฉากแนะนำตนเองขึ้นก่อน
"ฉันคือ เจ้าแห่งทางวงกต"
"เจ้าแห่ง...อะไรนะ??"
อีกฝ่ายหนึ่งทำราวกับไม่ได้ยินคำถาม แต่กลับพูดต่อไปรัวเร็วแทบไม่หยุดหายใจ ดุจกลัวว่าโอกาสบอกใจความสำคัญจะหมดลงในอีกไม่นานฉะนั้น
"ฉันไม่ได้มุ่งร้ายต่อนาย...ฉันเพียงแต่ทำตามกฎเท่านั้น และถึงจะดูเหมือนฉันเป็นผู้ขัดขวางความตั้งใจของนายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่จริงแล้ว...ฉันนี่แหละ ที่ช่วยให้นายได้บรรลุถึงจุดประสงค์ในภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่าของตัวเอง...มา ตลอด"
"ทีนี้...สำหรับคำถามของนายเมื่อกี๊นี้..."
"มันถึงตาเดินของนายแล้ว แต่นายกลับมัวแต่รอคนอื่นอยู่ ...เพราะฉะนั้น นายถึงได้ไปไม่ถึงไหนซะทียังไงล่ะ"
ผู้พเนจรขมวดคิ้ว ข้อความนั้นกระตุกเตือนให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ลางๆ
"ตาเดิน? ตาเดินของฉันงั้นเหรอ?"
"หยิบลูกเต๋าออกมาถือไว้! เริ่มเดินต่อได้แล้ว!" เจ้าแห่งทางวงกตตะโกนกลับมาแทนคำอธิบาย
เขาสะดุ้งเฮือก ใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเหมือนทำตามคำสั่งโดยสัญชาตญาณ เขาควานหาอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็หยิบเอาลูกเต๋าสีขาวออกมาได้ลูกหนึ่ง พลิกดูด้านเหลี่ยมทั้งหกหน้า มีตัวเลขสีดำเขียนไว้ตั้งแต่ 0 ถึง 5 บนแต่ละหน้า
เขาโยนมันขึ้นไปหมุนติ้วๆ กลางอากาศ ก่อนจะมองมันร่วงหล่นลงมาสู่พื้น กระเด้งกระดอนไปไม่กี่ตลบ ก็สงบนิ่งเผยเลขของหน้าบนให้เห็น...
1
อยู่ๆ ก็มีหอกเล่มหนึ่งขนาดสั้นประมาณศอกปรากฎขึ้นมาอยู่ในมือของผู้ทอยลูกเต๋าให้ เขาคว้าจับไว้โดยพลัน และเมื่อก้มลงมองและพลิกดู ก็พบว่ามันมีลวดลายแทรกเสริมอักขระประหลาดตลอดด้ามดูสวยงามเข้มขลัง
"ดี" อีกฝ่ายพูดขึ้น ขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองลูกเต๋าน้อยๆ ลูกนั้นอยู่อย่างตั้งใจ "เกมจะได้เดินต่อไปซะที"
และขณะที่พูดไป เจ้าแห่งทางวงกตก็หยิบเอาลูกเต๋าอีกลูกออกมา
มันเป็นลูกเต๋าแบบมีสิบหน้า รูปร่างคล้ายลูกดิ่ง หรืออาจกล่าวว่าคล้ายบุปผาห้ากลีบสองอันที่ปากประกบกันแน่นแบบสลับแฉกหันโคน ทั้งสองด้านออกไปในทิศตรงข้าม ทำจากก้อนศิลาสีดำขนาดพอกับดอกบัวตูมในกำมือของเจ้าแห่งทางวงกต มีตัวเลขสีขาวเขียนไว้ตั้งแต่ 0 ถึง 9
เขาโยนลูกเต๋านั้นจากที่ซึ่งเขาลอยอยู่ ลงมาสุดทางจนกระทบพื้นดิน จนกระทั่งสงบนิ่ง...
8
"เลข 8"
แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตึกมากมายแก่งแย่งกันโผล่ผุดจากพื้นดินราวต้นถั่วของยักษ์ จนก่อรูปเป็นป่าปูนมืดทะมึนปิดล้อมไว้รอบด้านในเวลาชั่วพักเดียวเท่านั้น เมื่อเขารู้ตัวอีกที เจ้าแห่งทางวงกตก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว โดยยังไม่ทันถามให้รู้เรื่องอะไรมากไปกว่าเดิม
เขาเหลียวมองไปรอบตัวอย่างงงๆ กับสภาพแวดล้อมใหม่ ย่านที่เขายืนอยู่นี้เต็มไปด้วยธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆ ดูเหมือนเขตธุรกิจสำคัญใจกลางเมือง
ป้ายโฆษณาสีสันฉูดฉาดอันหนึ่งดึงสายตาให้เขาหันไปมอง บนป้ายมีลูกศรหลายอันเกินพอดีไปสักนิด ชี้ลงมายังประตูทางเข้าร้านที่เป็นกระจกดูหรูหรา เหนือประตูติดป้ายไฟอีกแผงหนึ่งมีตัวอักษรเลื่อนอยู่:
"โปรโมชั่นสุดคุ้มวันนี้ จัดงาน 2 ศพ แถมฟรี 1 ศพ! สะสมแต้มได้ 6 เดือน!"
เขาหันหลังให้ร้านนั้นแล้วเริ่มออกเดินสำรวจตามถนนสายหลักขวักไขว่ไป ด้วยเหล่าหมูป่าใส่สูท ที่มีเขี้ยวงอกออกมายาวลากดินช่วยค้ำร่างให้เดินทรงตัวไปบนสองขาหลัง พวกมันพากันมองเขาอย่างระแวงเหมือนตัวประหลาด ทำให้เขาตัดสินใจถอยกลับมาในซอยเพื่อตั้งหลัก
แล้วเขาก็หันไปเห็น...
ร้านหนังสือเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ดูบรรยากาศน่ารักอบอุ่น ซุกอยู่ในซอกหลืบ
เขาเปิดประตูกระจกเข้าไป เสียงกระดิ่งกังวานใสดังขึ้นทักทาย
เขาเกิดนึกขึ้นมาได้ ว่าในมือเขายังถือหอกนั้นกำไว้แน่น
ทิวทัศน์รอบข้างดูคุ้นตา...
และมันคุ้นมากเกินไป จนเขาเอือมระอาอย่างถึงที่สุดเสียแล้ว
เขาหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางพื้นที่โล่งกว้าง ที่มีร่องรอยซากปรักหักพังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป กลิ่นเหม็นไหม้เถ้ากำมะถันยังโชยขึ้นมาเสียดจมูกจางๆ ทุกครั้งที่สายลมพัดม้วนฝุ่นขึ้นจากพื้นกระดำกระด่างเป็นหย่อมๆ ผืนฟ้าสีแดงส้มมีเมฆเกลี่ยอยู่เพียงเบาบาง ดูวิเวกวังเวงไปทั่วทุกสารทิศ
ชายผู้นั้นทรุดตัวลงคุกเข่า มือสองข้างยันพื้นเบื้องหน้าไว้ ถอนหายใจยาวระบายความอ่อนล้าออกมา
แล้วทันใดก็เริ่มมีเสียงพูดแผ่วเบาเกือบเป็นกระซิบที่ไม่ทราบที่มา แพร่ผ่านอากาศแทรกเสียงดังวิ้งๆ อื้ออึงภายในหัวเข้ามา รู้สึกได้ถึงความห่างไกล และจำได้ว่าเคยได้ยินเมื่อเนิ่นนานหนักหนามาแล้ว
เสียงพูดประโยคแรก พอจะจับทิศได้ว่ามาจากข้างหน้า เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง
"เราขอเตือนนายไว้เลยนะว่า เมื่อไหร่ที่นายโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาดูแลครอบครัวเด็ดขาด"
เมื่อมันจบลง ก็มีเสียงพูดประโยคต่อไป แว่วสวนมาจากข้างหลัง เป็นเสียงที่คล้ายมีอายุและเกรี้ยวกราดมากกว่า
"คนอย่างเธอน่ะ ฉันยอมรับไม่ได้หรอก ไม่มีความรับผิดชอบ ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จซักอย่าง คนแบบนี้น่ะเหรอ จะดูแลครอบครัวได้!"
ต่อไป เสียงพูดแว่วมาจากทางซ้าย เป็นเสียงที่อ่อนโยนแต่กระตือรือร้น เปี่ยมไปด้วยพลังชักจูงใจคนมากมายอย่างประหลาด
"อย่าจมอยู่ในความเศร้าโศกต่อไปเลย ความรักนั้นมีอยู่จริง และมีอยู่ทุกแห่งหน!
ขอเพียงคุณเปิดใจออกให้กว้าง และปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกใหม่ให้เป็นด้านบวก เพื่อต้อนรับความรักเข้ามาในชีวิตของคุณ
คุณก็จะสมปรารถนาได้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ"
ต่อไป เป็นเสียงชราที่อ่อนแรงกว่า แต่ฟังดูสงบอย่างทรงพลัง และด้วยถ้อยคำที่สะเทือนจิตใจเขาได้ยิ่งกว่าเสียงอื่นๆ ก่อนหน้านี้ แว่วมาจากทางขวา
"เด็กน้อยเอ๋ย...จงดูสิว่าเจ้าต้องมาทนความทุกข์ยากลำบาก ทรมานอยู่เช่นนี้เพราะอะไร?
ความรักน่ะช่วยเจ้าไม่ได้ ช่วยใครๆ ไม่ได้หรอก!
ปัญญาอันบริสุทธิ์แท้จริงต่างหากเล่า ที่ควรค่าแก่การแสวงหายิ่งกว่าอื่นใด"
มันยังไม่จบง่ายๆ คราวนี้สุรเสียงอันลึกล้ำทรงอำนาจแผ่ลงจากเบื้องบนดุจฟ้าคำราม ดูเหมือนจะกล่าวถึงเรื่องที่ฟังเข้าใจยากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
"จงเชิดหน้าขึ้นด้วยความทรนง จงหยัดยืนอยู่อย่างเต็มภาคภูมิด้วยหัวใจอันแท้จริงเถิด!
ตราบใด...ที่เจ้ามีใจอันมุ่งตรงต่อการแสวงหาความสัตย์จริงแล้ว แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเหมือนพายุคลั่งในโลกที่มุ่งกลืนกินเจ้า แม้จะอยู่ท่ามกลางคนทั้งโลกที่ไม่เข้าใจ พวกเขาจะก่นด่าและหยามเย้ย...
แต่ก็จงอย่ายอมแพ้ อย่าย่อท้อ อย่ายอมถูกขู่เข็ญด้วยประการใดทั้งสิ้น อย่ายอมขายวิญญาณอันทรงค่าสูงสุดของเจ้า...เพื่อแลกกับสิ่งใดๆ ในโลกธาตุที่ต้องตายนี้เลย!"
แล้วพื้นก็สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างจะโต้ตอบ พร้อมเสียงหยาบกร้านกว่าแต่ดุดันไม่แพ้กัน พลุ่งขึ้นมากระแทกกระทั้นจากเบื้องล่าง
"แกน่ะ! เลิกทำหัวสูง หลงตนเป็นผู้เหนือกว่าได้แล้ว ก้มลงมามองพื้นดินนี่!
พวกอย่างแกน่ะ เอาแต่พร่ำเพ้ออุดมคติ มุดหัวอยู่ในก้อนเมฆทุกวี่วัน แล้วก็ถือสิทธิ์มาชี้นำบงการผู้คน ดูถูกชาวบ้านที่ได้ชื่อว่าต่ำต้อยกว่า
เคยมองบ้างไหม? ว่าแผ่นดินที่รองรับให้แกมีที่ยืน แผ่นดินที่ให้ธัญญาหารหล่อเลี้ยงชีวิตแกอยู่ มันอุดมสมบูรณ์ด้วยหยาดเหงื่อของใครบ้างที่ราดรด มันยึดแน่นอยู่ด้วยรากของต้นหญ้ากี่สิบล้านต้นกัน?
สำนึกไว้ซะ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ในโลกหล้าที่กล่าวอ้างกัน จะวิเศษแค่ไหนมันก็แค่นั้น...สิ่งที่เห็นจริงๆ กันอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก คือที่ยืนของแก!"
"พอได้แล้ว!!!"
เขาอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับลุกพรวดขึ้นตะโกนก้องสวนออกไปทุกทิศทางกลางความโล่งกว้างนั้น
เป็นเวลาชั่วครู่หนึ่งที่บรรยากาศกลับมาสงบเสงี่ยมอย่างเรียบสนิท ขณะที่เขาค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยองๆ พลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายอีกคำรบ
ก็นับว่ายังดีอยู่มาก ...เคยมีตอนที่เขาฟุ้งซ่านยิ่งกว่านี้ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็จะวุ่นวายได้ไม่ห่างกับฉากสงครามกลางเมืองในประเทศโลก ที่สามเท่าไหร่นัก
แต่จากการที่เขาก้าวเดินไป ทิ้งรอยเท้าไกลแสนไกลแม้ข้ามโลก ...แต่สุดท้าย ก็ต้องวกกลับมาสู่ภูมิทัศน์ภายในที่เหมือนๆ เดิมแห่งนี้เสียทุกครั้ง
ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ตาม แม้จะหลงคิดว่าตัวเองมาได้ไกลมากแล้ว...จากวันนั้น...
อารมณ์เขาในตอนนี้มันคงมาถึงจุดที่ว่า...เขาจำเป็นต้องจัดการอะไรบางอย่างกับมันเสียที
เขานิ่งคิด นำพาให้การเคลื่อนไหวร่างกายชะงักไปชั่วขณะ
แล้วอะไรหรือ? คือความหมายของสถานที่แห่งนี้? มันมีอะไรบางอย่างที่เขาต้องตามหา หรือสิ่งที่ยังค้างคาเรียกร้องให้เขาต้องจัดการสะสางให้เรียบร้อยเสียที่นี่ อย่างนั้นหรือ?
"เรามาทำอะไรที่นี่!?"
เขาตัดสินใจตะโกนขึ้นสุดเสียงเพื่อถามให้มันรู้เรื่องกันไป ณ บัดนั้น
เสียงสะท้อนกลับจากสิ่งระเกะระกะรอบข้างเพียงไม่กี่อึดใจ แล้วทุกอย่างก็เงียบกริบ ไม่มีคำตอบจากสวรรค์หรือพื้นพิภพ
เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างบังคับอยู่ให้เขาต้องตะโกนถามขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
"เรามาทำอะไรที่นี่!?"
และเหมือนกับสิ่งที่ถูกปิดขังอยู่ภายในเกิดพลุ่งพล่านขึ้นในบัดดลนั้น ขับดันให้เขาลุกพรวดขึ้นพร้อมแหงนหน้าตะโกนก้องเป็นครั้งที่สาม ด้วยหมัดทั้งสองข้างที่กำเกร็งสะท้านชูขึ้นสุดแขน ด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราดเหมือนกับจะประชดชีวิต
"เรามาทำอะไรที่นี่กันแน่!?!?"
ฉับพลันก็ปรากฎแสงดุจฟ้าแลบ ตามด้วยร่างหนึ่งผุดขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ สวมชุดคลุมสีเข้มพร้อมหมวกปิดคลุมศีรษะ และมีหน้ากากลายพิลึกพิลั่นครอบใบหน้าไว้ ร่างนั้นถือหนังสือเล่มใหญ่กางออกอยู่ตรงหน้าด้วยมือทั้งสองข้าง
"นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว"
เขาผงะถอยไปด้วยความตระหนก แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็เปิดฉากแนะนำตนเองขึ้นก่อน
"ฉันคือ เจ้าแห่งทางวงกต"
"เจ้าแห่ง...อะไรนะ??"
อีกฝ่ายหนึ่งทำราวกับไม่ได้ยินคำถาม แต่กลับพูดต่อไปรัวเร็วแทบไม่หยุดหายใจ ดุจกลัวว่าโอกาสบอกใจความสำคัญจะหมดลงในอีกไม่นานฉะนั้น
"ฉันไม่ได้มุ่งร้ายต่อนาย...ฉันเพียงแต่ทำตามกฎเท่านั้น และถึงจะดูเหมือนฉันเป็นผู้ขัดขวางความตั้งใจของนายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่จริงแล้ว...ฉันนี่แหละ ที่ช่วยให้นายได้บรรลุถึงจุดประสงค์ในภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่าของตัวเอง...มา ตลอด"
"ทีนี้...สำหรับคำถามของนายเมื่อกี๊นี้..."
"มันถึงตาเดินของนายแล้ว แต่นายกลับมัวแต่รอคนอื่นอยู่ ...เพราะฉะนั้น นายถึงได้ไปไม่ถึงไหนซะทียังไงล่ะ"
ผู้พเนจรขมวดคิ้ว ข้อความนั้นกระตุกเตือนให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ลางๆ
"ตาเดิน? ตาเดินของฉันงั้นเหรอ?"
"หยิบลูกเต๋าออกมาถือไว้! เริ่มเดินต่อได้แล้ว!" เจ้าแห่งทางวงกตตะโกนกลับมาแทนคำอธิบาย
เขาสะดุ้งเฮือก ใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเหมือนทำตามคำสั่งโดยสัญชาตญาณ เขาควานหาอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็หยิบเอาลูกเต๋าสีขาวออกมาได้ลูกหนึ่ง พลิกดูด้านเหลี่ยมทั้งหกหน้า มีตัวเลขสีดำเขียนไว้ตั้งแต่ 0 ถึง 5 บนแต่ละหน้า
เขาโยนมันขึ้นไปหมุนติ้วๆ กลางอากาศ ก่อนจะมองมันร่วงหล่นลงมาสู่พื้น กระเด้งกระดอนไปไม่กี่ตลบ ก็สงบนิ่งเผยเลขของหน้าบนให้เห็น...
1
อยู่ๆ ก็มีหอกเล่มหนึ่งขนาดสั้นประมาณศอกปรากฎขึ้นมาอยู่ในมือของผู้ทอยลูกเต๋าให้ เขาคว้าจับไว้โดยพลัน และเมื่อก้มลงมองและพลิกดู ก็พบว่ามันมีลวดลายแทรกเสริมอักขระประหลาดตลอดด้ามดูสวยงามเข้มขลัง
"ดี" อีกฝ่ายพูดขึ้น ขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองลูกเต๋าน้อยๆ ลูกนั้นอยู่อย่างตั้งใจ "เกมจะได้เดินต่อไปซะที"
และขณะที่พูดไป เจ้าแห่งทางวงกตก็หยิบเอาลูกเต๋าอีกลูกออกมา
มันเป็นลูกเต๋าแบบมีสิบหน้า รูปร่างคล้ายลูกดิ่ง หรืออาจกล่าวว่าคล้ายบุปผาห้ากลีบสองอันที่ปากประกบกันแน่นแบบสลับแฉกหันโคน ทั้งสองด้านออกไปในทิศตรงข้าม ทำจากก้อนศิลาสีดำขนาดพอกับดอกบัวตูมในกำมือของเจ้าแห่งทางวงกต มีตัวเลขสีขาวเขียนไว้ตั้งแต่ 0 ถึง 9
เขาโยนลูกเต๋านั้นจากที่ซึ่งเขาลอยอยู่ ลงมาสุดทางจนกระทบพื้นดิน จนกระทั่งสงบนิ่ง...
8
"เลข 8"
แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตึกมากมายแก่งแย่งกันโผล่ผุดจากพื้นดินราวต้นถั่วของยักษ์ จนก่อรูปเป็นป่าปูนมืดทะมึนปิดล้อมไว้รอบด้านในเวลาชั่วพักเดียวเท่านั้น เมื่อเขารู้ตัวอีกที เจ้าแห่งทางวงกตก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว โดยยังไม่ทันถามให้รู้เรื่องอะไรมากไปกว่าเดิม
เขาเหลียวมองไปรอบตัวอย่างงงๆ กับสภาพแวดล้อมใหม่ ย่านที่เขายืนอยู่นี้เต็มไปด้วยธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆ ดูเหมือนเขตธุรกิจสำคัญใจกลางเมือง
ป้ายโฆษณาสีสันฉูดฉาดอันหนึ่งดึงสายตาให้เขาหันไปมอง บนป้ายมีลูกศรหลายอันเกินพอดีไปสักนิด ชี้ลงมายังประตูทางเข้าร้านที่เป็นกระจกดูหรูหรา เหนือประตูติดป้ายไฟอีกแผงหนึ่งมีตัวอักษรเลื่อนอยู่:
"โปรโมชั่นสุดคุ้มวันนี้ จัดงาน 2 ศพ แถมฟรี 1 ศพ! สะสมแต้มได้ 6 เดือน!"
เขาหันหลังให้ร้านนั้นแล้วเริ่มออกเดินสำรวจตามถนนสายหลักขวักไขว่ไป ด้วยเหล่าหมูป่าใส่สูท ที่มีเขี้ยวงอกออกมายาวลากดินช่วยค้ำร่างให้เดินทรงตัวไปบนสองขาหลัง พวกมันพากันมองเขาอย่างระแวงเหมือนตัวประหลาด ทำให้เขาตัดสินใจถอยกลับมาในซอยเพื่อตั้งหลัก
แล้วเขาก็หันไปเห็น...
ร้านหนังสือเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ดูบรรยากาศน่ารักอบอุ่น ซุกอยู่ในซอกหลืบ
เขาเปิดประตูกระจกเข้าไป เสียงกระดิ่งกังวานใสดังขึ้นทักทาย
เขาเกิดนึกขึ้นมาได้ ว่าในมือเขายังถือหอกนั้นกำไว้แน่น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น