ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกที่สาปสูญแห่งผู้พเนจรไร้นาม

    ลำดับตอนที่ #5 : เข็นรักขึ้นภูเขา

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 51


    ตอน เข็นรักขึ้นภูเขา


    ไม่น่าเชื่อว่ากลางทุ่งรกร้างที่ไร้วี่แววอารยธรรมใดๆ จะยังมีคนผู้หนึ่งก้าวเดินอยู่เพียงลำพัง ในอาการกระเซอะกระเซิงแสวงหาอะไรบางอย่างเรื่อยไป ในบางจังหวะก็คลับคล้ายคนบ้า
    รองเท้านักเดินทางชั้นดีแต่เก่าโทรมยิ่ง ดูไปแล้วเหมือนกับอายุมากกว่าผู้สวมใส่เสียอีก เหยียบย่ำผ่านไปบนพื้นดินแห้งกรังสีน้ำตาลดำเจือกลิ่นเขม่าเถ้า ปกคลุมไปด้วยพงหญ้าและไม้หนามเป็นหย่อมๆ ส่งเสียงดังกรอบแกรบเป็นระยะ ระคนกับเสียงหายใจออกเหนื่อยหอบ

    ...เขากำลังได้ลิ้มรสความสิ้นหวังงั้นหรือ...

    แม้ให้พญาอินทรีทั้งฝูง อันมีสายตาจับจ้องเหยื่อได้ไกลนับโยชน์ ออกบินกราดไปดุจตาข่ายคลุมผืนฟ้าแล้ว...ก็ยังหาไม่พบ แม้จะใช้หินผลึกที่ฝังไว้กระจัดกระจายดุจตาข่ายคลุมทั่วปฐพีเป็นสื่อ เพื่อส่องผ่านด้วยจิตเสมือนเป็นดวงตาของเขาเองแล้ว...ก็ยังไม่อาจเห็นได้ แม้จะอัญเชิญภูติพรายรับใช้มาทั้งกองเพื่อส่งออกไปสืบหาความ แม้จะเรียกขานเอาลมประจำทิศทั้งสี่มาถามไถ่จนถ้วนทั่ว แม้จะร่ำร้องถึงวิญญาณแห่งดวงดาราทั้งเจ็ดบนฟากฟ้าสักกี่หน...ก็ยังไม่มีวี่แววจะติดต่อนางได้เลย

    จนกระทั่ง...เขาตัดสินใจออกมาเดินย่ำอยู่แบบนี้ ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ดูจะเหมาะกับการมาฆ่าตัวตายมากกว่าสิ่งอื่นใด
    แต่เขาก็ยังอยู่รอด และดันทุรังก้าวเดินมาทีละก้าว ทีละก้าว...จนไกลเท่าไรแล้วไม่ทราบได้ มองไปเบื้องหน้ายังหาสิ่งใดไม่เห็น นอกจากทุ่งโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาอย่างเดิม

    โอหนอ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกันแล้ว...ที่ข้าต้องออกมาตามหานางผู้นั้น อย่างไร้ผล?
    นานเท่าไหร่แล้ว...ที่ข้าต้องออกเดินทางไปในโลกกว้างแต่ลำพัง ในสภาพเหมือนคนไม่รู้อะไรเลย?
    หรือสวรรค์เบื้องบนจะแกล้งแอบซ่อนนางไว้จากข้า แกล้งตั้งกำแพงมหึมาที่มองไม่เห็น กำบังไว้ไม่ให้เราได้พบกันเสียที...อย่างนั้นหรือ?


    เขามัวแต่คิดไปต่างๆ นานา เท้าสองข้างก็ย่ำไปไม่หยุด จนเหนื่อยล้าจะเกินขีดแล้ว...เขาก็ยอมทรุดตัวลงพักสักที บนก้อนหินแบนๆ ก้อนหนึ่ง

    แล้วในชั่วขณะที่ความพร่ามึนแล่นเข้าจู่โจมนั้นเอง เขาก็คิดว่าสภาพตนเองย่ำแย่จนเจอภาพหลอนเข้าเสียแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองไปเห็นสัตว์ร่างใหญ่โตมีหลายศีรษะ ลักษณะเหมือนสัตว์ต่างๆ หลายชนิดมาผสมรวมกัน มันกำลังเดินเข้ามาเมียงมองเขาอยู่ด้วยสายตาประหลาดใจปนระแวงสงสัย

    แล้วก็กลับทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อมันเอ่ยปากพูดกับเขาเป็นภาษามนุษย์
    "คนอย่างท่าน มาทำอะไรที่นี่?"
    มันเว้นจังหวะในขณะที่เขายังนิ่งด้วยความตะลึงงันอยู่ แล้วพูดต่อไป คราวนี้ในเชิงออกคำสั่ง
    "ที่นี่ไม่มีใคร หรืออะไรที่ท่านตามหาอยู่หรอก มีแต่ความแห้งแล้งและความตายเท่านั้น กลับไปบ้านช่องของท่านเสียเถอะ"

    ทิฐิมานะแล่นปราดขึ้นมาในหัวที่ยังมึนงงจนเห็นดาวระยิบระยับ ถึงจะอยู่ในสภาพนี้ ต่อหน้าสัตว์ร้ายที่ยืนตระหง่านสูงกว่าสามช่วงตัวของเขาเพียงลำพัง แต่เขา...ก็เช่นเดียวกับพงษ์พันธุ์ของเขานั่นแหละ...ไม่เคยยอมสยบต่ออะไรง่ายๆ แค่เพราะขนาดที่ใหญ่โตกว่า แค่เพราะกำลังอำนาจที่แข็งแกร่งหรือเสียงที่ดังกว่า

    "ที่ไหนๆ ในโลก...ก็เหมือนๆ กันไปหมด" เขาขยับท่าเพื่อเตรียมพร้อมมากขึ้น ปากก็ยังพูดตอบโต้กึ่งรำพันกับตนเอง ด้วยท่าทีเหม่อลอยอย่างไรพิกล "แต่ที่ใดที่มีนางอยู่กับข้า ที่นั่นแหละคือบ้านข้า..."
    "หยุดเพ้อได้แล้ว!!!" สิ้นเสียงตวาดนั้นตามด้วยการร้องคำรณคำรามและใช้เท้าหน้ากระทืบพื้นดังสนั่นหวั่นไหวน่าสะพรึงกลัว "อย่าลืมสิว่าท่านยังมีภาระอีกมากมายในบ้านเมืองของท่าน อย่าลืมสิว่ายังมีคนอีกหลายคนรอคอยท่านอยู่ข้างหลัง ท่านจะมาตายเสียเปล่าๆ ในที่แบบนี้ไม่ได้!"

    เขาสะดุ้งฉวยคันธนูที่สะพายมาพร้อมลูกศรดอกหนึ่ง ขึ้นสายง้างเล็งไปยังร่างทะมึนตรงหน้าทันทีพลางสบถด้วยความตกใจ เปลวไฟลุกพรึบขึ้นตรงปลายลูกธนู แล้วเขาก็ปล่อยสายยิงมันออกไปอย่างไม่เต็มแรงนัก ด้วยร่างกายและจิตประสาทอยู่ในสภาพเหนื่อยล้ามากแล้ว
    ลูกธนูไฟพุ่งไปปะทะกับผิวที่ปกคลุมด้วยเกล็ดคล้ายปลาบนร่างสัตว์นั้น สะเก็ดไฟกระเด็นวูบวาบ แล้วลูกธนูก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดับมอดไปสิ้น

    สัตว์นั้นย่างสามขุมเข้ามา สีหน้าของมันดูไม่ยินดียินร้ายใดๆ ในขณะที่เขาหมดแรงจะฝืนอีกต่อไป
    มันใช้อุ้งเท้าผลักเบาๆ ก็เพียงพอจะทำให้เขาเซล้มลงอย่างสิ้นท่า ตามด้วยใช้กรงเล็บตวัดเขี่ยคันธนูที่หลุดจากมือไปพาดกับก้อนหินก้อนหนึ่งใกล้ๆ แล้วเหยียบลงไปอีกครั้งจนมันหักกลาง

    "ไป กลับบ้าน! ข้าจะไปส่งท่านเอง!"
    มันคาบลำตัวเขาแล้วโยนขึ้นพาดบนหลังตน สัมผัสอุดมเกล็ดนั้น ช่างเย็นชาและแข็งกระด้างดุจศิลา แต่ตอนนี้เขาหมดเรี่ยวแรงทั้งกายและใจที่จะฝืนทำอะไรต่อ ได้แต่ปล่อยให้มันพาเขาไป...
    สัตว์ประหลาดเริ่มเร่งความเร็วขึ้นจนเป็นควบทะยาน สองมือของเขาตะกายฉวยคว้าเอาคู่เขาที่เหมือนเขาแพะบนศีรษะหนึ่งของมันไว้แน่นในอนุสติสุดท้าย
    ...ก่อนจะหมดความรู้สึกไป

    ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกระตุกขึ้นวาบหนึ่งแล่นไปทั่วทั้งกาย ในขณะที่ศีรษะกำลังตกก้มลงในอาการสัปหงก เขากะพริบตาปริบๆ พลางเหลือบดูไปรอบๆ

    เขายังคงนั่งอยู่ในรถตู้โดยสารที่คนเบียดเสียด ด้านข้างเขาเป็นสัมผัสนุ่มๆ จากแขนขาของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งที่นั่งกอดอก ทอดสายตามองไปข้างหน้า สู่ทัศนียภาพคือการจราจรยุ่งเหยิงวุ่นวายกลางเมืองหลวง...
    เผลอพักเดียว ฝันอะไรเป็นตุเป็นตะไปได้ไกลนักนะเรา

    เมื่อไฟเขียวสว่างขึ้นอีกครั้ง รถตู้ก็แล่นเข้าจอดในที่ประจำของมันเรียบร้อย ผู้โดยสารต่างก้าวลงจากรถ แล้วก็แยกย้ายกันไป
    หน้าห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ กันนั้นมีต้นไม้ประจำเทศกาล ตกแต่งประดับประดาหรูหรางดงามนัก ท่ามกลางฉากหลังที่ผู้คนจำนวนมากเดินสวนกันขวักไขว่

    ในจำนวนนั้น มีชายผู้หนึ่งเดินแหวกฝูงชนที่ได้ชื่อว่า "คนแปลกหน้า" ที่อยู่รายรอบ เพื่อย้ายร่างไปสู่ขนส่งมวลชนอีกระบบหนึ่ง ขณะที่ในใจยังคงครุ่นคิดถึงปริศนาที่ยังแก้ไม่ตกอยู่เช่นนั้น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×