ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MORNINGSTAR มอร์นิ่งสตาร์ ภาค เพลงแห่งผู้พลัดพราก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 1 คืนฟ้าถล่ม (ส่วนที่ 2)

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ย. 50


    (ส่วนที่ 2)


    กำลังรบที่เดือดดาลยังคงถาโถมรุกคืบต่อไป และต่อไปเต็มกำลัง...ลึกลงไปในนครเรื่อยๆ...
    "เหลือแกคนเดียวแล้วนะ นายกอง!" นักรบฝ่ายกบฎผู้หนึ่งกล่าวด้วยอาการเย้ยหยัน "ยังจะดันทุรังสู้อยู่อีก"
    ในท่ามกลางวงล้อมนั้น มีนายทหารรักษาเมืองผู้หนึ่งพยุงตัวฝืนความบาดเจ็บอยู่ท่ามกลางซากศพของลูกน้องรายรอบ เสียงหัวร่อของศัตรูไล่ตามขึ้นมากระชั้นชิด สายตาและคมอาวุธนับสิบจ้องมองอย่างกระหายดุจฝูงสุนัขป่าแยกเขี้ยวรุมล้อมแกะฉกรรจ์ตัวหนึ่งที่ใกล้ล้มเต็มที
    "ฮึ่ม...อย่ามาดูถูกกันให้มาก! ข้าก็ชายชาติทหาร ให้ตายก็ไม่ยอมก้มหัวให้พวกแกหรอก!"
    ว่าแล้วเขาก็โจนเข้าไปเพื่อฟาดฟันวัดเดิมพันอีกสักหน แต่ทว่าเขาอ่อนล้าเกินไปเสียแล้ว และเหล่าสุนัขป่าก็คงไม่อยากเสียเวลาเล่นอีกต่อไป นักรบกล้าถูกใช้หอกดาบรุมแทงเข้าที่แขนขาอย่างเหมาะเจาะจนต้องทรุดลงสิ้นลาย ให้อีกฝ่ายจับตัวปลดอาวุธมัดมือมัดแขนได้ในที่สุด

    อีกมุมหนึ่ง ก็มีหน่วยทหารรักษาเมืองที่ถอยมาตั้งหลักอยู่ เป็นต้นไม้รุ่นไม่กี่ต้นที่โอนเอนอยู่ต่อหน้าคลื่นไฟป่ามหึมา แต่ก็ยังแสดงความกล้าและยืนหยัดในหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม
    "ไป พวกเราไปกัน ให้มันรู้ซะมั่งว่าอัศวินของราชอาณาจักร ใครจะมาหยามไม่ได้ง่ายๆ!"
    "คงไม่ได้แล้วล่ะ หัวหน้า"
    คำปฏิเสธนั้นไม่ทันเปิดช่องให้อีกฝ่ายฉุกใจคิด ก็ตามติดมาด้วยคมอาวุธพุ่งแทงทะลุเข้ามาจากด้านหลังดังสวบ นายกองนิ่งชะงักงัน ค่อยๆ ก้มลงมองตรงหน้าท้องของตนที่ปลายดาบชำแรกออกมาเปิดทางให้เลือดสดๆ เริ่มไหลซึม แต่ดูจะไม่ทันใจคนแทง จึงกระชากมันกลับออกไปปล่อยให้เลือดพุ่งกระฉูดได้เต็มที่
    "นี่แก-!?!" ไส้ศึกจ้องมองอย่างเฉยเมยท่ามกลางความตกตะลึงของพลพรรคที่เหลือ มือก็ถือดาบตวัดลงซ้ำอีกไม่กี่ครั้ง ร่างของหัวหน้าหมู่ที่กำลังทรุดตัวลงก็ล้มนอนแน่นิ่งไป เสียงร้องสบถด้วยความอาฆาตแค้นเงียบหายฉับพลัน เลือดแดงฉานเจิ่งนองเต็มแอ่งบนพื้น
    และโดยอาศัยที่อดีตพรรคพวกคนอื่นๆ ยังตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ เขาได้กระโจนไปฉวยจังหวะสังหารพวกทหารที่เหลือตรงนั้นทั้งหมด แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

    ท่ามกลางความสับสนที่เริ่มแปรสภาพเป็นความนิ่งงัน ทหารฝ่ายกบฎเดินทัพมาอย่างหลวมๆ จากจุดต่างๆ ของเมือง มีทหารของเมืองหลวงในสภาพคล้ายผ้าขี้ริ้วเปรอะเลือดจำนวนหนึ่งนำหน้ามาอย่างดูออกว่าไม่เต็มใจ
    เหล่านี้คือพวกทหารส่วนหนึ่งที่เคยตั้งรับหน้าประตูเมืองรวมทั้งที่เฝ้ารักษาจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ แต่ได้แตกหนีกระจัดกระจายลงมาตามทางเมื่อกองทัพกบฎรุกเข้าเมือง แล้วในที่สุด...ก็หนีไม่พ้นถูกตามล่าจนพบแล้วควบคุมตัวไว้
    เชลยผู้กล้าหาญ ถูกคุมตัวให้เดินไปตามเส้นทางโดยเหล่านายกองนักรบ ในขณะเหล่าเชลยผู้ขลาดกลัว ผู้ทรยศ ถูกจับมัดมือผูกล่ามแล้วกวาดต้อนขับไสไปอย่างปศุสัตว์ ทั้งสองพวกมุ่งไปสู่ที่หมายเดียวกัน ณ จุดหนึ่งของเมือง
    เพลงปลุกใจถูกขับขานกระหึ่มอยู่ในขบวนรับกันกับเสียงวิ่งเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะๆ เกือบจะเป็นเสียงเดียวที่เด่นชัดอยู่ในบรรยากาศตอนนี้ ท่ามกลางความเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ อึมครึม หดหู่ ของผู้คนที่หนีตายกับนครหลวงที่ใกล้ปราชัย

    จากป่าเขา! จากใต้เวิ้งฟ้า! บนพื้นระแหง!
    ทางดินฝุ่นแดง! ยามแดดแผดกล้า! ยามฝนเทมา!
    เราตะลุยหน้า! เราบุกไป! ไม่กลัวสิ้นแรง!
    ตึง!
    อาวุธหนักอย่างรถยิงหินที่ยึดมาได้ตามรายทาง และรถท่อนซุงที่ใช้ทะลวงประตูเมืองในตอนแรก ถูกเคลื่อนตามขบวนมาแล้ว ก่อเกิดเสียงดังครืดคราดปนกับอาการกระแทกกระทั้นสั่นไหวเป็นระยะๆ เมื่อใดที่ล้อไม้สะดุดเข้ากับความไม่สม่ำเสมอของพื้น

    ไม่หวาดไม่หวั่น! เพื่อนผองพี่น้อง! เราจะมุ่งไป!
    ผองเราแข็งแกร่ง! เรากล้าท้าทาย!
    ศัตรูหน้าไหนไหน จักแตกพ่ายไปเป็นธุลี!
    ตึง!
    พวกเขาโอบล้อมเข้าใกล้จุดยุทธศาสตร์สำคัญส่วนในสุดของเมืองไปทุกขณะ

    แม้เสียเลือดเนื้อ! เจ็บปวดแค่ไหน! ไม่เหนื่อยไม่ท้อ!
    ชิงชัยด้วยศาสตรา! มุ่งหน้าประกาศศักดิ์!
    เรารักด้วยใจมั่น! เรายืนเคียงข้างกัน! ไว้ลายผองเรา!
    ตึง!
    กำลังรบที่น่าพรั่นพรึงปรากฎขึ้นท้าทายกับกำลังหลักกลุ่มสุดท้ายของเมืองที่ยืนหยัดป้องกันอยู่อย่างแน่นหนา ทั้งสองฝ่ายต่างมีอาวุธหนักหนุนหลัง การเคลื่อนขบวนยังคงเนิ่นช้า กดดัน หน่วงนาน เป็นระเบียบอยู่...จนกระทั่งแนวหน้าของทั้งสองทัพเข้ามาอยู่ในระยะรถยิงหินของอีกฝ่าย
    พลันที่ท่อนไม้คานโลหะที่ถูกดัดงอและกลไกอื่นภายในรถยิงหินที่สะสมกำลังตึงเขม็งจนสั่นเกร็งอย่างแผ่วเบาอยู่ในเนื้อวัสดุทั่วทั้งคัน ถูกปลดปล่อยให้ดีดตัวออกในที่สุดด้วยแรงมหาศาล นักรบแต่ละฝ่ายก็แตกฮือพุ่งเข้าไปตะลุมบอนกันทันทีเช่นกันท่ามกลางการเปิดฉากยิงทำลายอย่างต่อเนื่อง กระสุนหินลูกแล้วลูกเล่าถูกเหวี่ยงตกลงมาคร่าชีวิตทหารสองฝ่ายปะปน
    จนฝุ่นหายตลบ จนการต่อสู้ปรากฏผล
    ...ฝ่ายตั้งรับพ่ายแพ้ ส่วนฝ่ายบุกนั้นได้รับความเสียหายหนักทีเดียว

    และแล้ว...
    หน้าฐานที่ตั้งกองบัญชาการทหารรักษานคร เมื่อจิเฮ็กและพวกนายกองหลักๆ ในศึกครั้งนี้มายึดคุมพื้นที่ไว้ได้เรียบร้อย พวกเขาเลือกแท่นหินที่มีเสาธงตั้งอยู่ใกล้ๆ ปัดกวาดบริเวณโดยรอบอย่างคร่าวๆ กองไฟถูกจุดขึ้นแล้ว เชลยผู้หนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ถูกนำตัวมายืนประชิดหันหน้าเข้าหาแท่นหินที่สูงระดับเอวนั้น มองเลยออกไปเป็นธงสีแดงเข้มปลิวสะบัดอยู่ดุจเปลวไฟอีกกองหนึ่ง จิเฮ็กยืนถือดาบคุมเชิงอยู่ข้างหลังห่างออกไปเพียงก้าว

    "พวกแกน่ะขุดหลุมไป เร็วๆ!" ทหารที่คุมอยู่ตะคอกเชลยศึกกลุ่มใหญ่ ที่กำลังขุดพื้นดินอยู่อย่างลนลานไม่ห่างออกไปนักจนเริ่มเกือบๆ จะเป็นสระน้ำรูปจตุรัส หรือหลุมหลบภัยขนาดใหญ่
    และแล้วพิธีกรรมอย่างง่ายๆ ก็เริ่มขึ้น...
    "โอ เทพสงคราม เนอร์กัล! ปวงข้าขอมอบศีรษะ เลือด เนื้อ และชีวิตของขุนศึกผู้กล้าเหล่านี้ ให้เป็นบรรณาการแก่ท่าน โปรดประทานพรให้พวกเราพิชิตชัยชนะอย่างเด็ดขาด อย่างราบคาบ อย่างสิ้นเชิง ไร้เงื่อนไข ไม่มีข้อต่อรอง"
    "ให้เราหักเสียซึ่งเขี้ยวเล็บของข้าศึก! ให้เราฉีกเนื้อหนังพวกมันออก! ให้เราป่นกระดูกพวกมันเป็นผุยผง! ให้เราเหยียบกระทืบซากเถ้าของพวกมันจนกว่าเปลวไฟแห่งชีวิตจะดับมอดลงถึงอณูสุดท้ายเถิด!"
    สายลมที่ให้ความรู้สึกน่าพรั่นพรึงพัดมา แต่ดูเหมือนกลับเป็นตัวเร่งความฮึกเหิมกระสับกระส่ายในใจนักรบแต่ละผู้ให้มากขึ้น หากไม่ติดที่ว่ากำลังอยู่ในระหว่างพิธี จึงได้แต่ขยับตัวอย่างอึดอัด มองหน้ากันไปมา...
    "เจ้าชื่ออะไร บอกมา" จิเฮ็กถามห้วนๆ ขุนพลที่ยืนรอรับชะตากรรมอยู่ก็บอกชื่อตนไปด้วยอาการเฉยชา
    "ข้าจิเฮ็ก ลาก่อน!" ดาบของเขาแหวกอากาศลงบั่นคอขุนพลผู้นั้นในครั้งเดียว ศีรษะที่เทเลือดสาดกระเซ็นออกเป็นทางกลิ้งตกลงไปบนแท่นบูชาเฉพาะกิจอย่างพอเหมาะพอดี
    ในระหว่างที่กลุ่มเชลยผู้กล้าที่ถูกกำหนดเป็นเครื่องสังเวยกำลังเรียงแถวเข้ารับความตายอันทรงเกียรติอยู่นั้นเอง ก็มีทหารอีกส่วนหนึ่งขนไม้ยาวที่ถูกนำมาเหลาปลายให้แหลมเหมือนหอกระหว่างเตรียมพิธีเมื่อครู่มาแจกจ่ายกันพลางกระจายแถวออกยืนล้อมหลุมใหญ่นั้นไว้
    แล้วในฉับพลัน พวกเขาถือไม้เหล่านั้นกระชับด้วยมือทั้งสองข้าง เปิดฉากแทงหมู่เชลยที่อยู่ข้างล่างไม่ยั้งพร้อมตะโกนด่าสำทับแข่งกับเสียงสวบสาบและเสียงร้องโอดโอยของเหยื่อ
    "พวกขายชาติ ทอดทิ้งพรรคพวกได้อย่างพวกแกน่ะ ไม่มีใครเขาเลี้ยงไว้หรอก!" "ลงไปเน่ารวมๆ กันอยู่ในหลุมนั่นแหละ!"
    จนผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ เสียงร้องเหล่านั้นจึงได้สงบลง เป็นความสงบแบบที่ไม่พึงปรารถนาเท่าใดนัก
    แม้กระนั้น ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น

    ทหารรักษาเมืองอีกหน่วยหนึ่งที่ยังตกในภาวะสับสน พยายามวิ่งไปหาจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ใกล้ที่สุด หวังเพียงว่าจะยังเข้าควบคุมรักษาไว้ได้
    เมื่อกำลังจะผ่านซอกตึกเหม็นอับ มีคนจรจัดสภาพน่าสมเพชนั่งคุดคู้อยู่ตรงนั้น แต่หากมีผู้ใดสนใจมองในแววตา ก็คงพบว่าไม่สมกับเป็นแววตาคนจรจัดหรือจนตรอกแม้แต่น้อย
    แล้วในจังหวะนั้น ขณะที่นายกองวิ่งมาพ้นมุมตึกนั่นเอง ร่างดุจเงานุ่งห่มผ้าขี้ริ้วก็กระโจนออกมา มือกุมมีดที่ซุกอยู่ใต้ผ้านุ่งนั้นพุ่งเล็งไปที่จุดตาย
    แต่ด้วยสัญชาตญาณนักรบ ทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาสะบัดทวนแทงทะลุ ยันร่างซอมซ่อนั้นไว้ได้ก่อนคมมีดจะเข้าถึงตัว
    คนจรจัดตัวปลอมเงยหน้าขึ้น ในปากของชายผู้นั้นคาบลำกล้องเป่าลูกดอกขนาดเล็กๆ อยู่ ในชั่วพริบตานั้นลูกดอกถูกเป่าให้พุ่งออกไปปักกลางลำคอของนักรบอย่างเหมาะเจาะ
    แล้วในอีกเพียงอึดใจต่อมา ผู้ที่ถูกลูกดอกก็เริ่มแขนขาใบหน้าสั่น ปากหงิกงอเขียวคล้ำ น้ำลายยืดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จนกระทั่งล้มลงแน่นิ่งพร้อมกับมือสังหารที่ถูกเสียบคาปลายทวนอยู่นั้นเอง
    ไม่ใช่แค่นี้ ไม่ใช่มือสังหารเพียงไม่กี่คน นอกจากพวกไส้ศึกที่อยู่ในคราบแรงงานเถื่อนและคนจรจัดจำนวนมากที่ได้ทำตามแผนปั่นป่วนภายในเมืองไปหลายระลอกแล้ว ก็ยังมีบุคคลใส่ชุดดำเป็นกลุ่มๆ กระจายกำลังไปทั่วอย่างมีแบบแผน แต่ก็ยากที่ใครในเมืองจะจับความเคลื่อนไหวได้ทัน

    ณ มหาวิหาร ศูนย์กลางแห่งศรัทธาของผู้คนทั่วทั้งดินแดนแห่งนี้ โดยปกติแล้วจะเป็นที่สงบร่มเย็นด้วยบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ แต่ในบัดนี้กลับถูกคุกคามด้วยเงื้อมเงาบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
    "ท่านราห์มู! ช่วยพวกเราด้วย!"
    ผู้นำสูงสุดฝ่ายศาสนจักร หรือ ราห์มู องค์ปัจจุบันยืนนิ่งอยู่กลางวงล้อมของพวกนักบวชตั้งแต่ระดับสูงไปจนชั้นสามัญที่ดูตื่นตระหนก จนกระทั่งตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุด ด้วยเสียงแหบพร่าแบบชายชราประกอบกับอาการอ่อนล้า
    "อย่ากลัวไปเลย พวกเจ้าทั้งหลาย"
    "ไปหลบข้างในซะ ทางนี้ข้าจัดการเอง"
    ว่าแล้วองค์ราห์มูก็ก้าวออกไปสู่ทางเดินใหญ่ก่อนถึงประตู จากตรงนั้นมีบันไดหินอ่อนทอดลงไปสู่พื้นที่หน้ามหาวิหาร ที่ซึ่งกลุ่มคนในชุดคลุมดำกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมกัน พร้อมแบกธงผืนใหญ่สีดำสนิทกับอุปกรณ์ที่ดูพิลึกพิลั่นอีกหลายชิ้นมาด้วย ถัดออกไปจากนั้นเป็นบริเวณถนนสายหลักและจตุรัสของนครหลวงส่วนใน นกพิราบที่เคยอยู่กันเป็นฝูงหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงซากศพทหารรักษาเมืองนอนทอดร่างนิ่งอยู่หลายต่อหลายนาย ไกลออกไปมีควันลอยโขมงขึ้นมาจากหลายจุดในเมือง กับเปลวไฟคุกรุ่นย้อมผืนฟ้าเบื้องบนเป็นสีแดงฉาน เสียงร้องครวญ เสียงตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนก และเสียงแห่งความโกลาหลประการอื่นๆ ดังมาจากทุกทิศทาง

    "เจ้าพวกกบฎ! พวกเจ้าผู้อ้างนามแห่งเทพบดีเอ็นลิล วางแผนแยกผืนฟ้ากับแผ่นดินออกจากกัน คิดว่าพวกข้าหูหนวกตาบอดไม่รู้หรือ? พวกเจ้าคิดจะมาทำอะไรที่นี่กัน!"
    องค์ราห์มูตะโกนขึ้นด้วยท่าทีขึงขังเปี่ยมพลังอำนาจ
    "แล้วไง?"
    ...แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้พวกที่ตั้งแนวปิดล้อมอยู่ข้างล่างนั่นมีทีท่ายำเกรงได้
    "เจ้าพวกนักบวช! พวกเจ้าสมคบกับชนชั้นปกครอง มอมเมากดหัวคนตัวเล็กๆ ในแผ่นดินมามากแล้ว!"
    "คอยดูเถอะ! เทพเจ้า เทวีทั้งหลายที่พวกเจ้าบวงสรวงบูชาอยู่ทุกวัน ด้วยผลผลิตจากหยาดเหงื่อชาวบ้าน ในขณะที่พวกเจ้าได้อาศัยเกาะกินกันอิ่มท้องอย่างแสนสบายน่ะ จะช่วยพวกเจ้าได้มั๊ยคราวนี้?"
    "บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นหรือ นี่ตราประทับแห่งพระบิดา อัน!" องค์ราห์มูพลันเผยชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นให้เห็นโดยทั่วกัน เป็นตราประทับทำด้วยทองขาวมีรูปหน้าตัดเหมือนชิ้นตัวต่อที่ไม่สมบูรณ์ แกะสลักเป็นตราสัญลักษณ์ของ อัน เทพแห่งฟ้าสวรรค์
    "จงทิ้งอาวุธทั้งหมดแล้วถอยออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องเสียใจ!"
    ฝ่ายผู้บุกรุกหันไปมองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะเบาๆ ในทำนองเย้ยหยันอยู่ชั่วขณะ
    ก่อนที่พวกเขาจะกระชากเปิดผ้าดำที่ปกคลุมวัตถุชิ้นใหญ่ตรงหน้าขบวนชุมนุมออก เผยให้เห็นกระจกกลมบานหนึ่งตั้งอยู่ในฐานรองรับ มีกรอบทำด้วยโลหะสำริดตกแต่งเป็นตราของ เอเร็ชคิกาล เทวีแห่งความตาย ที่ส่องประจันหน้าท้าทายประมุขแห่งศาสนจักรอยู่อย่างสงบนิ่ง
    เมื่อเห็นดังนั้น องค์ราห์มูก็หยุดเจรจาต่อรอง แล้วตัดสินใจร่ายโองการพิพากษาทันที
    "ในนามแห่งพระบิดาอัน! ผู้เป็นใหญ่แห่งฟ้าสวรรค์ ผู้สถิต ณ โลกเบื้องบนเหนือศีรษะเราทั้งหลาย ผู้ดำรงอยู่แต่กาลก่อน-"
    "เอเร็ช-คิ-กาล!!!" พร้อมกันนั้นฝ่ายผู้บุกรุกกรีดร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงโหยหวน แล้วจึงกล่าวต่อไปแข่งกับองค์ราห์มู
    "ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งโลกที่ไม่มีทางย้อนกลับ ผู้เป็นปลายทางสุดท้ายของเราทั้งหลาย ท่านผู้ไม่มีใครๆ จะหนีพ้น-"
    "ข้าลงทัณฑ์พวกเจ้าผู้บังอาจนัก! ผู้ใดไม่เคารพแม้อาณาเขตอันควรละเว้น ผู้ใดบุกรุกสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดหันอาวุธเข้าใส่ตัวแทนแห่งทวยเทพ-"
    "ขอจงลงทัณฑ์เหล่ามารในคราบนักบวชผู้หยิ่งยะโส ผู้หน้าซื่อใจคด ผู้อ้างนามแห่งทวยเทพเพื่อหนุนค้ำบัลลังก์ทรราชให้กระทำความชั่วช้าประการต่างๆ ในแผ่นดิน-"
    "ความพินาศตกอยู่กับพวกเจ้า!"
    "กลืนกินพวกเขาสู่ห้วงมรณาเถิด!"

    พลังที่มองไม่เห็นจากทั้งสองฝั่งเริ่มทำงาน เริ่มแรกเหมือนกับมีความสั่นสะเทือนและแรงกดแผ่ลงมาจากเบื้องสูงเหนือพวกเขา แต่กระแสพลังนั้นก็ราวกับจะถูกดูดเข้าไปสู่กระจก ซึ่งกำลังแผ่ความเย็นเยียบออกมาเป็นไอหมอก พวกเขารู้สึกถึงเงามืดที่ไม่อาจจับต้อง ยากจะอธิบาย วูบวาบอยู่โดยรอบ และกำลังกระเพื่อมขยายตัวออกช้าๆ เป็นกระแสวังวน เสียงหัวเราะเบาๆ เสียงกระซิบอันโหยหวนที่หลายๆ คนในที่นั้นสาบานได้ว่าไม่เคยได้ยินจากที่ใดในโลกมาก่อน เซ็งแซ่มาสัมผัสโสตประสาทชวนให้ขนลุก
    แล้วในบัดดลจึงเกิดเสียงดังสนั่น หลังคาวิหารยุบถล่มลงฝังกลบองค์ราห์มูและทุกคนที่อยู่ใกล้ไว้ใต้กองหินในทันที ตราประทับแห่งอันกระเด็นออกมาสงบนิ่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้ากระจกบานนั้น
    ส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่ถล่มลงมา มีแท่งคานศิลาที่เคยค้ำขวางอยู่ใต้เพดาน ซึ่งถูกสลักไว้ด้วยอักขระตัวโตๆ อ่านได้ความว่า:
    "ปวงท่านเหล่านั้น ชื่นชมยินดีในการงานทั้งหลายของพวกเรา" 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×