ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : รอยทางฝัน แผ่นดินแดง แสงอรุโณทัย
ตอน รอยทางฝัน แผ่นดินแดง แสงอรุโณทัย
เพิ่งไม่กี่ครั้ง ที่เขาได้ย่างเหยียบสู่เขตประเทศอื่นตั้งแต่จำความได้
วันสุดท้ายแล้ว...ก่อนที่เขาจะต้องเดินทางกลับ วันสุดท้ายสำหรับการท่องเที่ยวและตระเวนซื้อของฝาก
ถึงแม้ก่อนมาที่นี่ เขาจะมีรายการสถานที่ที่อยากไปอยู่ในใจเต็มไปหมด แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาและระยะทาง สุดท้ายก็คงเหลือความเป็นไปได้แต่ซื้อของและเดินดูบางจุดสำคัญๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมกันในเมืองเท่านั้น
เขากำลังเดินไปขึ้นรถประจำทาง ภายใต้แสงแดดสดใสสาดส่องกำลังพอดี สภาพอากาศที่บริสุทธิ์อยู่มาก และมนต์ขลังอันลึกลับบางอย่างที่เหมือนจะแทรกอยู่ในทุกอณูของดินแดนแห่งนี้ ทำให้ทุกย่างก้าวของเขารู้สึกสดชื่น เปี่ยมไปด้วยพลังอยู่ตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับจะโลดเต้นไปในอากาศได้ ราวกับในหัวมีเพลงที่เขาไม่รู้จักเล่นอย่างแผ่วเบาจนแทบแยกไม่ออกจากความเงียบ แต่ก็มีอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
แต่ยังไม่ทันไร ระหว่างยังเดินอยู่ใกล้กับที่พัก ลมพัดมาวูบ พลันพาเอารูปวาดแรเงาของใครคนหนึ่งในกระดาษสมุดฉีกขนาดพกพา ให้ปลิวจากถุงย่ามที่สะพายอยู่ลอยขึ้นไปก่อนที่เขาจะทันได้ระวัง
จึงมีอันต้องวิ่งหน้าตื่น จ้ำไปบนไหล่ทาง ไล่ตามกระดาษแผ่นน้อยนั้นข้างถนนสายหลักที่ทอดยาวผ่านเนินที่ลาดลู่ขึ้นสูงและลงต่ำ ผ่านทิวทัศน์ที่มีต้นเฟิร์นทอดยอดสยายใบออกสูงท่วมหัว สลับกับต้นไม้ตระกูลสนขึ้นอยู่เบื้องหลังเป็นทิว และไม้ดอกประจำถิ่นที่เขาไม่เคยเห็นในประเทศของตนอีกหลายชนิด นกหลายตัวบินโฉบไปมาระหว่างยอดไม้ส่งเสียงร้องสะท้อนก้อง ฝุ่นดินฟุ้งกระจายพร้อมกับการก้าววิ่ง บางจังหวะเขาก็เผลอเหยียบลงบนแอ่งน้ำโคลนเลนตื้นเขินทิ้งเป็นรอยเท้าจมลึกไว้
บางช่วงของถนนก็ตัดลึกผ่านพื้นลงไปให้เห็นผนังด้านข้างเป็นชั้นหินผาสีแดงสลับน้ำตาล ดูคล้ายหน้าตัดของชิ้นเนื้อหนาที่ย่างมากึ่งสุกกึ่งดิบ
ผืนแผ่นดินโลกช่างกว้างใหญ่...
เขายังอุตส่าห์นึกขึ้นมาเล่นๆ ว่าเหมือนกับเป็นพระเอกหนังยอดนิยมของอีกชาติหนึ่ง ที่ชอบต้องวิ่งข้ามเขาเจ็ดแปดลูกเพื่อตามง้อกันกับนางเอกอย่างไรอย่างนั้น
แต่แล้ว ในชั่วขณะที่ถีบตัวกระโดดขึ้น มือคว้าจับแผ่นกระดาษที่สำคัญสำหรับเขา เป็นชั่วขณะที่เหมือนทุกอย่างจะลงตัวอีกครั้งแล้วนั้นเอง...
เขาก็พลาดลื่นล้มเมื่อเหยียบลงสู่พื้นจนได้
มันเหมือนกับฟ้าถล่ม มืดมิดไปชั่ววูบตามด้วยความมึนชาไม่รู้เหนือรู้ใต้ที่มากับประกายดาวพร่างพราวระยับ อย่างไม่รู้กี่วันคืน
แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนกลับเป็นสว่างโล่งอีกครั้ง
"ไง"
เขากระพริบตาปริบๆ อย่างพิศวง เมื่อเห็นตาลุงแก่ๆ ในชุดแต่งกายและท่าทางประหลาดย่อตัวลงคุยกับเขาอยู่ข้างทางแบบนี้ เขายันตัวลุกขึ้นมานั่งแต่ยังเหยียดขาอยู่ด้วยอาการจุก
"ไปกันได้แล้ว"
"เดี๋ยวก่อนลุง ไปไหน-?"
ยังไม่ทันที่เขาจะถามอะไรมากไปกว่านั้น ชายชราก็ฉุดแขนเขาแล้วพุ่งปราดขึ้นไปทันที
ใช่แล้ว...ทั้งสองกำลังลอยลิ่วผ่านอากาศเหนือชานเมืองเบื้องล่างที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ตามระยะความสูง ชายหนุ่มดิ้นด้วยความตระหนกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน
"เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน!?"
"เงียบๆ หน่อย" ผู้นำทางปรามเสียงดุจากภายใต้หน้ากากที่ปิดใบหน้าอยู่บางส่วนทำจากหนังสัตว์และประดับด้วยขนนก ก่อนจะเขาเริ่มลดระดับลง "เรากำลังจะเข้าสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ที่ที่เจ้าก็นึกอยากไป...แต่โอกาสในคราวนี้มีน้อย ข้าพาเจ้ามาลอดผ่านช่องว่างของโอกาสที่พอเหมาะพอดีนั่นแหละ"
"นี่ลุงหมายถึง?"
ทั้งสองผ่านระยะทางไกลสุดไกลอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะข้ามได้ในไม่กี่กะพริบตามาก่อน แต่เขาก็มาถึงแล้ว ชายชรานำเขาร่อนลงสู่พื้นที่อันแสนกันดาร ก่อนจะชี้ไปข้างหน้าให้เขาดู
และนั่นเป็นภาพประหลาดล้ำ เหมือนในลวดลายภาพเขียนของชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนที่เขาเห็นผ่านตา จากในร้านขายของที่ระลึกหลายๆ แห่งและพิพิธภัณฑ์ศิลปะของที่นี่
ก้อนหินขนาดมหึมาผุดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวและโดดเด่นอย่างยิ่ง ณ ใจกลางพื้นทะเลทรายสีแดงสุดลูกหูลูกตา และที่ยิ่งกว่า...เขาแลเห็นเปลวไฟจากใต้พิภพผุดพลุ่งขึ้นหุ้มห่อเป็นรัศมีรอบๆ ก้อนหินนั้น ท่ามกลางอากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยหมอกละอองแสงสีสันต่างๆ ลอยฟ่องอยู่เป็นชั้นๆ
เหมือนกับตอไม้กุดด้วนที่ยังมีวิญญาณของต้นไม้อันเขียวขจีทั้งต้นครอบทับอยู่ไม่ไปไหน
เสียงดนตรีที่ฟังดูมีพลังและเข้ากับบรรยากาศอย่างเหมาะเจาะลอยมาจากที่ใดไม่ทราบ แต่ชัดเจนเหมือนบรรเลงเป่าเคาะอยู่รอบๆ ตัวเขาตรงนี้นี่เอง
นี่คือ...
ผืนแผ่นดินเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์
ช่างน่าตื่นใจนัก!
เป็นด้วยโชคชะตาที่แปลกประหลาดเช่นใดกัน ข้าจึงได้มาที่นี่?
เป็นความฝันหรือมิใช่?
แต่แม้กระนั้น...
ข้าก็พอใจได้ สำหรับชั่วขณะนี้ที่เหมือนนิรันดร์
เขาได้ยืนอ้าปากค้าง เหม่อมองทัศนียภาพด้วยความอัศจรรย์ใจอยู่พักหนึ่ง เมื่อชายชราเอ่ยขึ้นอีกหน
"กลับไปได้แล้ว"
ตาลุงคนนั้นเอื้อมมือมาเหนือศีรษะของเขา แล้วก็ออกแรงกระตุกอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกแปลบไปทั้งร่างเหมือนสายฟ้าแล่นผ่าน
เขาเหลือบตาขึ้นมอง แล้วก็เห็นสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก...สายใยเบาบางสีเงินยวงที่ยืดยาวขึ้นมาจากกระหม่อมกลางศีรษะ ดุจเดียวกับสายรกติดกับสะดือ ทอดนำไปไกลลิบๆ ในทิศที่เขาเพิ่งข้ามฟ้ามาเมื่อครู่
สายใยนั้นมันกำลังสั่นสะเทือนและเริ่มหดตัว กำลังจะเกิดแรงดึงกลับเหมือนยางยืด...เขารู้สึกได้ เมื่อกลอกตากลับมามองตาลุงนั้นก็ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณอำลา
"ไว้โอกาสหน้า หวังว่าจะได้เจอกันอีก"
แล้วมันก็หดอย่างแรง เพื่อดึงเขากลับไปยังที่ที่เขาจากมา...
ร่างโปร่งใสเบาบางที่เขาอยู่ตอนนี้ หมุนคว้างและพุ่งขึ้นลงกลางอากาศ ดำดิ่งแทรกลงสู่ดิน และถูกลากไปอย่างไม่ทะนุถนอมผ่านชั้นดินหินแข็ง ทะลุถึงสายธารหินเหลว ฟองแสงเล็กๆ ลูกหนึ่งวิ่งเข้ามาหา แล้วพุ่งเข้าไปเกาะติดกับขั้วต่อตรงกระหม่อม แล้วอยู่ๆ เขาก็เห็นภาพนิมิตบางอย่าง เริ่มจากพร่าเลือนแล้วขยายตัวขึ้นครอบงำการรับรู้ทั้งหมด คลี่คลายผ่านไปเป็นฉากๆ
ท่ามกลางแสงสีแดงเข้มเป็นพื้นหลัง สตรีผู้หนึ่งดูตรากตรำแต่คงความสง่างามและทรงอำนาจ นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้หิน นางมีท่าทีอ่อนระโหย ก้มลงมองครรภ์ของตนที่โตจนเต็มที่แล้ว
รอบข้างเป็นเงาสีดำๆ คล้ายคนร่างสูงใหญ่หลายร่างรุมล้อมอยู่ ต่างมีแขนขายาวเก้งก้างและศีรษะกลมโตได้รูป เห็นดวงตาเป็นจุดแสงเล็กๆ อยู่บนใบหน้า ถึงแม้รูปลักษณ์จะพิลึกพิลั่น แต่ก็รู้สึกได้จากสายตาและสุรเสียงที่ถ่ายทอดระหว่างกัน ถึงความมีเมตตาและทรงภูมิปัญญา พวกเขาบ้างก็ช่วยนวดเฟ้นสตรีผู้นั้น บ้างก็เอ่ยซักถามอาการอยู่เป็นระยะ บ้างก็ถือเครื่องมือที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร
จนถึงเวลา...
หนึ่งในนั้นก้าวเข้าไปในวง ในมือถือค้อนและสิ่ว และยังมีมีดใหญ่ที่มีคมเป็นฟันเลื่อย ทันใดนั้นนิมิตก็เผยให้เห็นหน้าท้องที่โป่งพองกลับกลายเป็นขนมปังที่อบกรอบผิวนอกอย่างพอดี ภายในยังนุ่มเหนียว เครื่องมือถูกใช้เพื่อกระเทาะและตัดมันให้แตกออก จนกระทั่งสอดมือเข้าไปดึงเอาสิ่งที่ดิ้นกระตุกอยู่ภายในออกมาได้
มันเป็นดักแด้ขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่ด้วยวัสดุคล้ายรังไหมสีขาวโดยรอบ เสียงสนทนาในตอนนี้ดังอื้ออึง เต็มไปด้วยกระแสความปลาบปลื้มชื่นชม
"พวกท่านทั้งหลายจะตั้งชื่อสิ่งนี้ว่าอะไร?" ผู้ได้ชื่อว่ามารดาเอ่ยถามอย่างอ่อนล้า แผลที่ท้องเริ่มค่อยๆ สมานตัวปิดลง
"เส้นใยนี้เรียกว่า ชะตากรรม" เงาที่อยู่รายรอบยื่นมือชี้มา อีกชั่วขณะหนึ่งก็รับดักแด้นั้นไปโอบอุ้มพินิจดู
"และสิ่งที่อยู่ในดักแด้นี้ เราเรียกว่า มนุษย์"
หลังจากนั้นเป็นการวูบไปเหมือนตกหลุมอากาศ จนกระทั่งค่อยๆ ตื่นจากภวังค์อีกครั้ง
ร่างกายเขายังคงอยู่ดีไม่บุบสลาย ในมือสัมผัสได้ถึงแผ่นกระดาษที่ถูกกำแน่น จากโซฟาที่เขาเหยียดนอนอยู่ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสิ่งก่อสร้างเบียดเสียดขึ้นบดบังกันดุจปราการแกร่ง ส่วนมากทำจากหินทรายและอิฐสีแดง บรรยากาศรอบๆ บ่งบอกว่าเป็นเวลาย่ำรุ่ง
"อ้าว คุณตื่นแล้วเหรอ"
เป็นเสียงทักทายแปร่งๆ แต่เป็นกันเองตามสำเนียงท้องถิ่นของชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมแต่ใจดีคนหนึ่ง
หลังจากส่งภาษาสอบถามที่มาที่ไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเขานอนแน่นิ่งอยู่ จนกระทั่งเจ้าของบ้านขับรถมาพบเข้าจึงพามาที่นี่ก่อน พอดีกับที่เขาเป็นหมอ...ไม่เช่นนั้นก็คงต้องพาไปโรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกพอสมควร
เพียงแต่เขานอนสลบไปตลอดวันและคืนที่ผ่านมา เมื่อพยายามจะเรียกหรือปลุกก็ทำท่าเหมือนละเมอรับรู้แต่ไม่ยอมตื่น
ชายผู้ช่วยเหลือชวนให้กินมื้อเช้าที่เขาซื้อมาเผื่อ เป็นขนมปังรูปร่างเหมือนหินก้อนใหญ่ๆ อบจนเหนียวผิวนอกแข็งกรอบแต่หอมกรุ่น ประกบไส้ในที่เป็นเนื้ออยู่...อาหารยอดนิยมของแถบนี้นั่นเอง
หลังจากนั้น เมื่อกินไปจนอิ่ม เริ่มหายมึนงงขึ้นมาบ้างแล้ว และได้คุยกันอีกพอสมควร เขาก็รู้ว่าบ้านนี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ และเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงดีนักเขาก็ต้องไปสู่สนามบินเพื่อกลับบ้าน
เขาจึงตัดสินใจ
"ผมจะไปที่ชายหาด"
เจ้าบ้านผู้นั้นขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า
"นี่คุณ เพิ่งฟื้นจากสลบขึ้นมาก็จะออกไปเที่ยวต่อเลยเหรอ"
"ถ้าจะไปจริง รอไว้บ่ายๆ จะดีกว่า ตอนนี้ฝนตก มีพายุ แถมคุณแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้พร้อมจะลุยอากาศหนาวเลยนะ"
"ไม่ ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น ผมจะไปตอนนี้แหละ"
"อย่าห่วงเลย ตอนนี้ผมรู้สึกสบายดีมากๆ ที่สลบไปนานคงเพราะหลายวันที่ผ่านมานอนไม่พอเท่านั้นแหละ"
เขาลุกพรวดขึ้น หันกลับมากล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินออกจากบ้านไป
เช่นนั้นแหละ เขาก็ออกเดินไปยังสถานี ขึ้นขบวนรถไฟรอบเช้า ที่แล่นไหลเหมือนงูเลื้อยผ่านรอยทางหากินของมันบนผิวดินสลับกับมุดลงสู่โพรงรู ไปสู่สถานีปลายทางย่านชานเมืองอีกฟากหนึ่งที่ใกล้ชายหาดมากที่สุด และหลังจากนั้นแหละ ท่ามกลางฝนที่พร่างพรำในอากาศหนาวซ้ำด้วยลมพายุหวีดหวิวกรีดเฉือนผ่านร่างอย่างทารุณ เขาก็ยังดันทุรังออกวิ่งไป เลียบเลาะบาทวิถีตัดผ่านหมู่บ้านและชุมชน ไม่มีหยุดนิ่งหากยังชะลอลงพักเปลี่ยนเป็นเดินย่ำทีละก้าวด้วยอาการเหนื่อยหอบอยู่ในบางจังหวะ ทางถนนสูงๆ ต่ำๆ ผ่านเนินและลาดชัน ร้างไร้ซึ่งผู้คนด้วยยังหมกตัวคุดคู้กันอยู่ในบ้านแสนสุข เพดานเมฆดูเหมือนพรมขนแกะสีเทาเข้ม ที่ถ้าชูมือขึ้นไปเมื่ออยู่บนยอดเนินก็จะเอื้อมถึงได้ไม่ยากนัก
เขาไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าต้องไปทางไหน และฟ้าที่ปิดทึบอย่างนี้ ต่อให้เป็นเวลากลางวันก็คงกำหนดทิศไม่ได้อยู่ดี จึงได้แต่วิ่งไปสลับกับดูป้ายบอกชื่อถนนตรงแต่ละหัวมุม เทียบกับแผนที่เมืองเท่าที่มีร่องรอยอยู่ในความทรงจำ แล้วคลำหาไปตามสัญชาตญาณนำทาง ประกอบกับสูดหากลิ่นไอทะเล ซึ่งก็บ่งบอกว่าเขากำลังใกล้เข้าไปเรื่อยๆ...
แล้วเขาก็มาถึงในที่สุด
เบื้องหน้าเขาในยามนี้คือชายฝั่งตะวันออกของภาคพื้นทวีป ทัศนียภาพที่ไกลออกไปจากนั้นเห็นเพียงความเวิ้งว้างของห้วงมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มทะมึนเบื้องล่าง จรดกับผืนเมฆมืดหม่นเบื้องบนอยู่ ณ เส้นขอบฟ้า
เขาถอดรองเท้าออกหิ้วไปด้วยมือ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนหาดทรายเย็นชื้น จนถึงแนวเขตที่ห้วงน้ำโถมคลื่นคลั่งกระหน่ำซัดบดขยี้ฝั่งทรายและหินอยู่...เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาจะกี่แสนกี่ล้านปีมาแล้วก็ตาม
ความน่าพรั่นพรึงของโลกธรรมชาติรอบข้างในยามนี้มีแต่ขู่ตะคอกให้เขาถอยหลังกลับ แต่เขาก็ก้าวฝ่าไป...จนน้ำเค็มเย็นเฉียบซัดสาดเข้ามาท่วมถึงครึ่งแข้ง จึงหยุดนั่งลงบนแผ่นหินแบนราบที่โผล่พ้นน้ำใกล้ๆ สายตาคอยจับจ้องรอเวลา
จนกระทั่ง...
ตะวันดวงกลมโตราวฟองไข่เริ่มโผล่พ้นขึ้นน้ำ ฉายรัศมีอันเรืองโรจน์อาบไล้ผิวท้องสมุทรตราบจนหน้าแผ่นดิน เห็นริ้วคลื่น ชายหาด และหน้าผาทอประกายระยับ สลับไล่อย่างช้าๆ ตั้งแต่สีแดงไปจนกลายเป็นสีทองผ่องใส
เป็นแสงแห่งอรุโณทัยที่งดงามยิ่งนัก...
มองไปก็ทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า "สู้ต่อไป มุ่งไปสู่ดวงตะวัน"
แต่ผู้ใดกันเล่า จะแหวกว่ายข้ามห้วงมหรรณพกว้างใหญ่สุดประมาณ เพื่อไปสู่ดวงตะวันได้?
ลำพังกำลังแขนและขาของมนุษย์ผู้หนึ่ง จะทำได้อย่างไรกัน?
เพิ่งไม่กี่ครั้ง ที่เขาได้ย่างเหยียบสู่เขตประเทศอื่นตั้งแต่จำความได้
วันสุดท้ายแล้ว...ก่อนที่เขาจะต้องเดินทางกลับ วันสุดท้ายสำหรับการท่องเที่ยวและตระเวนซื้อของฝาก
ถึงแม้ก่อนมาที่นี่ เขาจะมีรายการสถานที่ที่อยากไปอยู่ในใจเต็มไปหมด แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาและระยะทาง สุดท้ายก็คงเหลือความเป็นไปได้แต่ซื้อของและเดินดูบางจุดสำคัญๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมกันในเมืองเท่านั้น
เขากำลังเดินไปขึ้นรถประจำทาง ภายใต้แสงแดดสดใสสาดส่องกำลังพอดี สภาพอากาศที่บริสุทธิ์อยู่มาก และมนต์ขลังอันลึกลับบางอย่างที่เหมือนจะแทรกอยู่ในทุกอณูของดินแดนแห่งนี้ ทำให้ทุกย่างก้าวของเขารู้สึกสดชื่น เปี่ยมไปด้วยพลังอยู่ตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับจะโลดเต้นไปในอากาศได้ ราวกับในหัวมีเพลงที่เขาไม่รู้จักเล่นอย่างแผ่วเบาจนแทบแยกไม่ออกจากความเงียบ แต่ก็มีอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา
แต่ยังไม่ทันไร ระหว่างยังเดินอยู่ใกล้กับที่พัก ลมพัดมาวูบ พลันพาเอารูปวาดแรเงาของใครคนหนึ่งในกระดาษสมุดฉีกขนาดพกพา ให้ปลิวจากถุงย่ามที่สะพายอยู่ลอยขึ้นไปก่อนที่เขาจะทันได้ระวัง
จึงมีอันต้องวิ่งหน้าตื่น จ้ำไปบนไหล่ทาง ไล่ตามกระดาษแผ่นน้อยนั้นข้างถนนสายหลักที่ทอดยาวผ่านเนินที่ลาดลู่ขึ้นสูงและลงต่ำ ผ่านทิวทัศน์ที่มีต้นเฟิร์นทอดยอดสยายใบออกสูงท่วมหัว สลับกับต้นไม้ตระกูลสนขึ้นอยู่เบื้องหลังเป็นทิว และไม้ดอกประจำถิ่นที่เขาไม่เคยเห็นในประเทศของตนอีกหลายชนิด นกหลายตัวบินโฉบไปมาระหว่างยอดไม้ส่งเสียงร้องสะท้อนก้อง ฝุ่นดินฟุ้งกระจายพร้อมกับการก้าววิ่ง บางจังหวะเขาก็เผลอเหยียบลงบนแอ่งน้ำโคลนเลนตื้นเขินทิ้งเป็นรอยเท้าจมลึกไว้
บางช่วงของถนนก็ตัดลึกผ่านพื้นลงไปให้เห็นผนังด้านข้างเป็นชั้นหินผาสีแดงสลับน้ำตาล ดูคล้ายหน้าตัดของชิ้นเนื้อหนาที่ย่างมากึ่งสุกกึ่งดิบ
ผืนแผ่นดินโลกช่างกว้างใหญ่...
เขายังอุตส่าห์นึกขึ้นมาเล่นๆ ว่าเหมือนกับเป็นพระเอกหนังยอดนิยมของอีกชาติหนึ่ง ที่ชอบต้องวิ่งข้ามเขาเจ็ดแปดลูกเพื่อตามง้อกันกับนางเอกอย่างไรอย่างนั้น
แต่แล้ว ในชั่วขณะที่ถีบตัวกระโดดขึ้น มือคว้าจับแผ่นกระดาษที่สำคัญสำหรับเขา เป็นชั่วขณะที่เหมือนทุกอย่างจะลงตัวอีกครั้งแล้วนั้นเอง...
เขาก็พลาดลื่นล้มเมื่อเหยียบลงสู่พื้นจนได้
มันเหมือนกับฟ้าถล่ม มืดมิดไปชั่ววูบตามด้วยความมึนชาไม่รู้เหนือรู้ใต้ที่มากับประกายดาวพร่างพราวระยับ อย่างไม่รู้กี่วันคืน
แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนกลับเป็นสว่างโล่งอีกครั้ง
"ไง"
เขากระพริบตาปริบๆ อย่างพิศวง เมื่อเห็นตาลุงแก่ๆ ในชุดแต่งกายและท่าทางประหลาดย่อตัวลงคุยกับเขาอยู่ข้างทางแบบนี้ เขายันตัวลุกขึ้นมานั่งแต่ยังเหยียดขาอยู่ด้วยอาการจุก
"ไปกันได้แล้ว"
"เดี๋ยวก่อนลุง ไปไหน-?"
ยังไม่ทันที่เขาจะถามอะไรมากไปกว่านั้น ชายชราก็ฉุดแขนเขาแล้วพุ่งปราดขึ้นไปทันที
ใช่แล้ว...ทั้งสองกำลังลอยลิ่วผ่านอากาศเหนือชานเมืองเบื้องล่างที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ตามระยะความสูง ชายหนุ่มดิ้นด้วยความตระหนกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน
"เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน!?"
"เงียบๆ หน่อย" ผู้นำทางปรามเสียงดุจากภายใต้หน้ากากที่ปิดใบหน้าอยู่บางส่วนทำจากหนังสัตว์และประดับด้วยขนนก ก่อนจะเขาเริ่มลดระดับลง "เรากำลังจะเข้าสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ที่ที่เจ้าก็นึกอยากไป...แต่โอกาสในคราวนี้มีน้อย ข้าพาเจ้ามาลอดผ่านช่องว่างของโอกาสที่พอเหมาะพอดีนั่นแหละ"
"นี่ลุงหมายถึง?"
ทั้งสองผ่านระยะทางไกลสุดไกลอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะข้ามได้ในไม่กี่กะพริบตามาก่อน แต่เขาก็มาถึงแล้ว ชายชรานำเขาร่อนลงสู่พื้นที่อันแสนกันดาร ก่อนจะชี้ไปข้างหน้าให้เขาดู
และนั่นเป็นภาพประหลาดล้ำ เหมือนในลวดลายภาพเขียนของชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนที่เขาเห็นผ่านตา จากในร้านขายของที่ระลึกหลายๆ แห่งและพิพิธภัณฑ์ศิลปะของที่นี่
ก้อนหินขนาดมหึมาผุดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวและโดดเด่นอย่างยิ่ง ณ ใจกลางพื้นทะเลทรายสีแดงสุดลูกหูลูกตา และที่ยิ่งกว่า...เขาแลเห็นเปลวไฟจากใต้พิภพผุดพลุ่งขึ้นหุ้มห่อเป็นรัศมีรอบๆ ก้อนหินนั้น ท่ามกลางอากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยหมอกละอองแสงสีสันต่างๆ ลอยฟ่องอยู่เป็นชั้นๆ
เหมือนกับตอไม้กุดด้วนที่ยังมีวิญญาณของต้นไม้อันเขียวขจีทั้งต้นครอบทับอยู่ไม่ไปไหน
เสียงดนตรีที่ฟังดูมีพลังและเข้ากับบรรยากาศอย่างเหมาะเจาะลอยมาจากที่ใดไม่ทราบ แต่ชัดเจนเหมือนบรรเลงเป่าเคาะอยู่รอบๆ ตัวเขาตรงนี้นี่เอง
นี่คือ...
ผืนแผ่นดินเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์
ช่างน่าตื่นใจนัก!
เป็นด้วยโชคชะตาที่แปลกประหลาดเช่นใดกัน ข้าจึงได้มาที่นี่?
เป็นความฝันหรือมิใช่?
แต่แม้กระนั้น...
ข้าก็พอใจได้ สำหรับชั่วขณะนี้ที่เหมือนนิรันดร์
เขาได้ยืนอ้าปากค้าง เหม่อมองทัศนียภาพด้วยความอัศจรรย์ใจอยู่พักหนึ่ง เมื่อชายชราเอ่ยขึ้นอีกหน
"กลับไปได้แล้ว"
ตาลุงคนนั้นเอื้อมมือมาเหนือศีรษะของเขา แล้วก็ออกแรงกระตุกอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกแปลบไปทั้งร่างเหมือนสายฟ้าแล่นผ่าน
เขาเหลือบตาขึ้นมอง แล้วก็เห็นสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก...สายใยเบาบางสีเงินยวงที่ยืดยาวขึ้นมาจากกระหม่อมกลางศีรษะ ดุจเดียวกับสายรกติดกับสะดือ ทอดนำไปไกลลิบๆ ในทิศที่เขาเพิ่งข้ามฟ้ามาเมื่อครู่
สายใยนั้นมันกำลังสั่นสะเทือนและเริ่มหดตัว กำลังจะเกิดแรงดึงกลับเหมือนยางยืด...เขารู้สึกได้ เมื่อกลอกตากลับมามองตาลุงนั้นก็ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณอำลา
"ไว้โอกาสหน้า หวังว่าจะได้เจอกันอีก"
แล้วมันก็หดอย่างแรง เพื่อดึงเขากลับไปยังที่ที่เขาจากมา...
ร่างโปร่งใสเบาบางที่เขาอยู่ตอนนี้ หมุนคว้างและพุ่งขึ้นลงกลางอากาศ ดำดิ่งแทรกลงสู่ดิน และถูกลากไปอย่างไม่ทะนุถนอมผ่านชั้นดินหินแข็ง ทะลุถึงสายธารหินเหลว ฟองแสงเล็กๆ ลูกหนึ่งวิ่งเข้ามาหา แล้วพุ่งเข้าไปเกาะติดกับขั้วต่อตรงกระหม่อม แล้วอยู่ๆ เขาก็เห็นภาพนิมิตบางอย่าง เริ่มจากพร่าเลือนแล้วขยายตัวขึ้นครอบงำการรับรู้ทั้งหมด คลี่คลายผ่านไปเป็นฉากๆ
ท่ามกลางแสงสีแดงเข้มเป็นพื้นหลัง สตรีผู้หนึ่งดูตรากตรำแต่คงความสง่างามและทรงอำนาจ นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้หิน นางมีท่าทีอ่อนระโหย ก้มลงมองครรภ์ของตนที่โตจนเต็มที่แล้ว
รอบข้างเป็นเงาสีดำๆ คล้ายคนร่างสูงใหญ่หลายร่างรุมล้อมอยู่ ต่างมีแขนขายาวเก้งก้างและศีรษะกลมโตได้รูป เห็นดวงตาเป็นจุดแสงเล็กๆ อยู่บนใบหน้า ถึงแม้รูปลักษณ์จะพิลึกพิลั่น แต่ก็รู้สึกได้จากสายตาและสุรเสียงที่ถ่ายทอดระหว่างกัน ถึงความมีเมตตาและทรงภูมิปัญญา พวกเขาบ้างก็ช่วยนวดเฟ้นสตรีผู้นั้น บ้างก็เอ่ยซักถามอาการอยู่เป็นระยะ บ้างก็ถือเครื่องมือที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร
จนถึงเวลา...
หนึ่งในนั้นก้าวเข้าไปในวง ในมือถือค้อนและสิ่ว และยังมีมีดใหญ่ที่มีคมเป็นฟันเลื่อย ทันใดนั้นนิมิตก็เผยให้เห็นหน้าท้องที่โป่งพองกลับกลายเป็นขนมปังที่อบกรอบผิวนอกอย่างพอดี ภายในยังนุ่มเหนียว เครื่องมือถูกใช้เพื่อกระเทาะและตัดมันให้แตกออก จนกระทั่งสอดมือเข้าไปดึงเอาสิ่งที่ดิ้นกระตุกอยู่ภายในออกมาได้
มันเป็นดักแด้ขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่ด้วยวัสดุคล้ายรังไหมสีขาวโดยรอบ เสียงสนทนาในตอนนี้ดังอื้ออึง เต็มไปด้วยกระแสความปลาบปลื้มชื่นชม
"พวกท่านทั้งหลายจะตั้งชื่อสิ่งนี้ว่าอะไร?" ผู้ได้ชื่อว่ามารดาเอ่ยถามอย่างอ่อนล้า แผลที่ท้องเริ่มค่อยๆ สมานตัวปิดลง
"เส้นใยนี้เรียกว่า ชะตากรรม" เงาที่อยู่รายรอบยื่นมือชี้มา อีกชั่วขณะหนึ่งก็รับดักแด้นั้นไปโอบอุ้มพินิจดู
"และสิ่งที่อยู่ในดักแด้นี้ เราเรียกว่า มนุษย์"
หลังจากนั้นเป็นการวูบไปเหมือนตกหลุมอากาศ จนกระทั่งค่อยๆ ตื่นจากภวังค์อีกครั้ง
ร่างกายเขายังคงอยู่ดีไม่บุบสลาย ในมือสัมผัสได้ถึงแผ่นกระดาษที่ถูกกำแน่น จากโซฟาที่เขาเหยียดนอนอยู่ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสิ่งก่อสร้างเบียดเสียดขึ้นบดบังกันดุจปราการแกร่ง ส่วนมากทำจากหินทรายและอิฐสีแดง บรรยากาศรอบๆ บ่งบอกว่าเป็นเวลาย่ำรุ่ง
"อ้าว คุณตื่นแล้วเหรอ"
เป็นเสียงทักทายแปร่งๆ แต่เป็นกันเองตามสำเนียงท้องถิ่นของชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมแต่ใจดีคนหนึ่ง
หลังจากส่งภาษาสอบถามที่มาที่ไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเขานอนแน่นิ่งอยู่ จนกระทั่งเจ้าของบ้านขับรถมาพบเข้าจึงพามาที่นี่ก่อน พอดีกับที่เขาเป็นหมอ...ไม่เช่นนั้นก็คงต้องพาไปโรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกพอสมควร
เพียงแต่เขานอนสลบไปตลอดวันและคืนที่ผ่านมา เมื่อพยายามจะเรียกหรือปลุกก็ทำท่าเหมือนละเมอรับรู้แต่ไม่ยอมตื่น
ชายผู้ช่วยเหลือชวนให้กินมื้อเช้าที่เขาซื้อมาเผื่อ เป็นขนมปังรูปร่างเหมือนหินก้อนใหญ่ๆ อบจนเหนียวผิวนอกแข็งกรอบแต่หอมกรุ่น ประกบไส้ในที่เป็นเนื้ออยู่...อาหารยอดนิยมของแถบนี้นั่นเอง
หลังจากนั้น เมื่อกินไปจนอิ่ม เริ่มหายมึนงงขึ้นมาบ้างแล้ว และได้คุยกันอีกพอสมควร เขาก็รู้ว่าบ้านนี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ และเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงดีนักเขาก็ต้องไปสู่สนามบินเพื่อกลับบ้าน
เขาจึงตัดสินใจ
"ผมจะไปที่ชายหาด"
เจ้าบ้านผู้นั้นขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า
"นี่คุณ เพิ่งฟื้นจากสลบขึ้นมาก็จะออกไปเที่ยวต่อเลยเหรอ"
"ถ้าจะไปจริง รอไว้บ่ายๆ จะดีกว่า ตอนนี้ฝนตก มีพายุ แถมคุณแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้พร้อมจะลุยอากาศหนาวเลยนะ"
"ไม่ ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น ผมจะไปตอนนี้แหละ"
"อย่าห่วงเลย ตอนนี้ผมรู้สึกสบายดีมากๆ ที่สลบไปนานคงเพราะหลายวันที่ผ่านมานอนไม่พอเท่านั้นแหละ"
เขาลุกพรวดขึ้น หันกลับมากล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินออกจากบ้านไป
เช่นนั้นแหละ เขาก็ออกเดินไปยังสถานี ขึ้นขบวนรถไฟรอบเช้า ที่แล่นไหลเหมือนงูเลื้อยผ่านรอยทางหากินของมันบนผิวดินสลับกับมุดลงสู่โพรงรู ไปสู่สถานีปลายทางย่านชานเมืองอีกฟากหนึ่งที่ใกล้ชายหาดมากที่สุด และหลังจากนั้นแหละ ท่ามกลางฝนที่พร่างพรำในอากาศหนาวซ้ำด้วยลมพายุหวีดหวิวกรีดเฉือนผ่านร่างอย่างทารุณ เขาก็ยังดันทุรังออกวิ่งไป เลียบเลาะบาทวิถีตัดผ่านหมู่บ้านและชุมชน ไม่มีหยุดนิ่งหากยังชะลอลงพักเปลี่ยนเป็นเดินย่ำทีละก้าวด้วยอาการเหนื่อยหอบอยู่ในบางจังหวะ ทางถนนสูงๆ ต่ำๆ ผ่านเนินและลาดชัน ร้างไร้ซึ่งผู้คนด้วยยังหมกตัวคุดคู้กันอยู่ในบ้านแสนสุข เพดานเมฆดูเหมือนพรมขนแกะสีเทาเข้ม ที่ถ้าชูมือขึ้นไปเมื่ออยู่บนยอดเนินก็จะเอื้อมถึงได้ไม่ยากนัก
เขาไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าต้องไปทางไหน และฟ้าที่ปิดทึบอย่างนี้ ต่อให้เป็นเวลากลางวันก็คงกำหนดทิศไม่ได้อยู่ดี จึงได้แต่วิ่งไปสลับกับดูป้ายบอกชื่อถนนตรงแต่ละหัวมุม เทียบกับแผนที่เมืองเท่าที่มีร่องรอยอยู่ในความทรงจำ แล้วคลำหาไปตามสัญชาตญาณนำทาง ประกอบกับสูดหากลิ่นไอทะเล ซึ่งก็บ่งบอกว่าเขากำลังใกล้เข้าไปเรื่อยๆ...
แล้วเขาก็มาถึงในที่สุด
เบื้องหน้าเขาในยามนี้คือชายฝั่งตะวันออกของภาคพื้นทวีป ทัศนียภาพที่ไกลออกไปจากนั้นเห็นเพียงความเวิ้งว้างของห้วงมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มทะมึนเบื้องล่าง จรดกับผืนเมฆมืดหม่นเบื้องบนอยู่ ณ เส้นขอบฟ้า
เขาถอดรองเท้าออกหิ้วไปด้วยมือ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนหาดทรายเย็นชื้น จนถึงแนวเขตที่ห้วงน้ำโถมคลื่นคลั่งกระหน่ำซัดบดขยี้ฝั่งทรายและหินอยู่...เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาจะกี่แสนกี่ล้านปีมาแล้วก็ตาม
ความน่าพรั่นพรึงของโลกธรรมชาติรอบข้างในยามนี้มีแต่ขู่ตะคอกให้เขาถอยหลังกลับ แต่เขาก็ก้าวฝ่าไป...จนน้ำเค็มเย็นเฉียบซัดสาดเข้ามาท่วมถึงครึ่งแข้ง จึงหยุดนั่งลงบนแผ่นหินแบนราบที่โผล่พ้นน้ำใกล้ๆ สายตาคอยจับจ้องรอเวลา
จนกระทั่ง...
ตะวันดวงกลมโตราวฟองไข่เริ่มโผล่พ้นขึ้นน้ำ ฉายรัศมีอันเรืองโรจน์อาบไล้ผิวท้องสมุทรตราบจนหน้าแผ่นดิน เห็นริ้วคลื่น ชายหาด และหน้าผาทอประกายระยับ สลับไล่อย่างช้าๆ ตั้งแต่สีแดงไปจนกลายเป็นสีทองผ่องใส
เป็นแสงแห่งอรุโณทัยที่งดงามยิ่งนัก...
มองไปก็ทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า "สู้ต่อไป มุ่งไปสู่ดวงตะวัน"
แต่ผู้ใดกันเล่า จะแหวกว่ายข้ามห้วงมหรรณพกว้างใหญ่สุดประมาณ เพื่อไปสู่ดวงตะวันได้?
ลำพังกำลังแขนและขาของมนุษย์ผู้หนึ่ง จะทำได้อย่างไรกัน?
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น