ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MORNINGSTAR มอร์นิ่งสตาร์ ภาค เพลงแห่งผู้พลัดพราก

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 คืนฟ้าถล่ม (ส่วนที่ 1)

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 51


    MORNINGSTAR มอร์นิ่งสตาร์

    ภาค เพลงแห่งผู้พลัดพราก

    by Qua'Os

    บทที่ 1
    คืนฟ้าถล่ม 
      

     


      

    (ส่วนที่ 1)



    ในตอนแรกเริ่ม...

    ยามเมื่อความอลหม่านยังแผ่กระจายครอบครองทั่วทุกหน
    ยามเมื่อทุกสิ่งที่จะเป็น ยังจมดิ่งคลุกคละระคนกันอยู่ในกระแสวังวนอันยิ่งใหญ่ ยังไม่แสดงสภาพแห่งตนให้ปรากฎ
    ยามเมื่อวิถีทางของแต่ละผู้ยังไม่ถูกชี้บอก ยังไม่ถูกแผ้วถาง
    ยามเมื่อตัวอักขระทั้งหลายยังกระจัดกระจายไร้รูปร่างอยู่ในเวิ้งอากาศ ไม่อาจบอกเล่าเรื่องราวใด

    แล้วม้วนบันทึกชะตากรรมก็เริ่มคลี่คลายออกเป็นแผ่นผืนรองรับ
    เมื่อห้วงน้ำใหญ่ถูกขับดันด้วยประกายไฟที่ระเบิดออกจากศูนย์กลาง
    จนกระทั่งแบ่งแยกให้แตกเป็นฟอง กลายเป็นหยดหมึกแต่งแต้มระบายตัวอักษร
    แล้วอักขระทั้งหลายก็จัดเรียงขึ้นเป็นพยางค์ เป็นคำ เป็นวรรค เป็นบรรทัด เป็นย่อหน้าขึ้นตามลำดับ

    แล้วโฉมหน้าของแต่ละบุคคลก็เริ่มปรากฎขึ้น...


    จิเฮ็ก ขุนศึกผู้มีร่องรอยบนใบหน้าและร่างกายบ่งบอกถึงการผ่านสนามรบมาโชกโชน ยืนนิ่งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม นัยน์ตาสีสนิมเหล็กจับจ้องไปยังจุดเดียวกับพลพรรคอีกจำนวนมากที่อยู่รายรอบ เขาสวมเกราะสภาพเก่าโทรมแต่แน่นหนารัดกุม ถือดาบใบกว้างเล่มเขื่องทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี มีตราสีแดงของเทพเนอร์กัลครอบครองพื้นที่เกือบตลอดใบดาบทั้งสองด้าน

    ขณะที่ พาเคีย ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งในชุดนักรบแบบชาวบ้าน ก้าวขึ้นมาบนเนินต่อหน้าเหล่าผู้ติดตามนับหมื่นที่ติดอาวุธเต็มที่ ข้างตัวเขามีธงสัญลักษณ์ประจำขบวนการเป็นรูปนกสีเขียวที่กำลังกางปีกสีแดงทะยานไปบนผืนผ้าสีดำปลิวสะบัด ปักตระหง่านอยู่อย่างไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก ฉากด้านหลังของเขาที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ คือกำแพงทิศเหนือของ อเนกาลอูร์ นครหลวงแห่งอาณาจักร ภายใต้ฟ้าสีม่วงเข้มยามโพล้เพล้
    พาเคียสะพายคันธนูขนาดใหญ่ทำจากหวายสี่เส้น รัดเข้าด้วยปลอกดีบุกสี่แห่ง ปลอกที่อยู่เหนือตำแหน่งมือจับและตำแหน่งพาดลูกธนูมีสีเขียวสดเขียนเป็นสัญลักษณ์อยู่ ส่วนซองหนังทรงแบนสำหรับใส่ลูกธนูขนาดใหญ่ที่สะพายหลัง ก็ติดแผ่นดีบุกสลักตราและอักขระนามแห่งเทพองค์เดียวกัน นั่นคือ เอ็นลิล เทพเจ้าแห่งสายฟ้า เทพบดีผู้ปกครองเหนือหมู่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
    "พี่น้องทั้งหลาย!" พาเคียเริ่มการปราศรัย "ข้าขอเตือนให้พวกท่านระลึกถึงอีกครั้ง ยังจำได้หรือไม่? ว่าเราเคยมีมหาอุปราชผู้เป็นที่รัก ที่พยายามช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้ทั่วทั้งแผ่นดิน แต่เขากลับถูกปลดจากตำแหน่ง ถูกขับไล่ และต้องไปจบชีวิตลงอย่างปริศนาในต่างแดน"
    "ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพราะว่าราชินีเกรงกลัวอำนาจบนบัลลังก์แห่งตนจะถูกสั่นคลอน ในขณะที่ตราประทับแห่งเทพเอ็นลิล ก็ถูกยึดคืนมาสู่มือของราชินี ผู้ใช้อำนาจสิทธิขาดเพียงลำพังผู้เดียวมาตลอดตั้งแต่นั้น"

    ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพากันส่งเสียงร้องสนับสนุนอื้ออึง พาเคียเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อไป
    "พวกท่านลืมไปแล้วหรือ? ถึงความทุกข์เข็ญเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติต่างๆ ในภาคพื้นทวีปนี้ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด ภัยแล้ง ฝูงแมลงศัตรูพืช โรคระบาดสารพัด มหาอุปราชท่านนั้นพยายามช่วยเหลือผู้คน แก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพโกลาหล แต่แล้วสิ่งที่ได้รับคืออะไร? คือคำกล่าวร้ายว่าเขาเป็นตัวปัญหา ทำให้เกิดเหตุอาเพทที่ไม่เคยมีมาก่อนในแผ่นดิน"
    "แต่เมื่อเขาถูกขับไล่ออกไป ภัยพิบัติเหล่านั้นก็ไม่เห็นจะบรรเทาลง มีแต่รุนแรงขึ้นทุกที พืดธารน้ำแข็งยักษ์จากทางเหนือก็ขยายตัวลงมาเรื่อยๆ ทางใต้แนวภูเขาไฟใต้น้ำก็ยังคืบคลานขึ้นมาใกล้แผ่นดินที่เราอยู่อีกเรื่อยๆ มีเกาะถูกกลืนหายไปในมหาสมุทรทุกปี ถ้าจะอ้างเหตุผลแบบเดียวกัน ก็ต้องบอกว่าการปกครองในตอนนี้เป็นอาเพทหนักยิ่งกว่าเดิม ใช่มั๊ย?!"
    "จนล่าสุด ในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวน พายุกระหน่ำเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง ฝั่งหนึ่งแห้งแล้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน อีกฝั่งน้ำจากแม่น้ำไหลท่วมเสียหายไปทั่วทั้งดินแดน แต่คนในเมืองหลวงทำอะไรบ้าง? พวกเขาเอาแต่หลบอยู่หลังกำแพงเมืองอย่างปลอดภัย สั่งให้ปิดกั้นทางน้ำทุกทางที่จะทะลักเข้าไปสู่เมืองสวรรค์ของพวกเขา แล้วปล่อยให้เมืองและดินแดนรอบๆ รับชะตากรรมอย่างสาหัส จนภัยพิบัติสงบลงก็ดีแต่เอาเงินมาฟาดหัว ถึงจะมากมายแค่ไหน มันก็ทดแทนไม่ได้กับความรู้สึกของพวกเราหรอก! กับการตบหัวแล้วลูบหลัง แถมยังมาทวงบุญคุณเอาอีก มีใครที่ไหนบ้างจะยอมรับได้ว่าเป็นความชอบธรรม?"
    "ทุกอย่างที่ผ่านมา มันมากเกินพอแล้วหรือยัง? เราจะยอมทนเรื่อยไปกับชีวิตที่มองไม่เห็นแสงสว่างปลายทางข้างหน้า หรือจะลุกขึ้นมากำหนดอนาคตของเราด้วยมือของพวกเราเองสักที!?"
    เมื่อเสียงตอบรับ และจังหวะอารมณ์ของการปราศรัยพุ่งขึ้นถึงขีดสูงสุด ก็ได้เวลาที่จะกล่าวสรุปปิดท้าย และเป็นการตัดสินชะตากรรมของศัตรูของพวกเขาไปด้วยในตัว
    "คราวนี้ดูสิว่าพวกเขาจะทำยังไง? ประตูเมืองที่แน่นหนานั่นหรือจะต้านทานพลังของพวกเราได้?"
    "บุก! บุกไปข้างหน้า ยึดเมืองหลวงให้ได้ในคืนนี้! เพื่อปวงประชา เพื่อปวงประชา!!!"

    ถ้อยคำเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ชักจูงผู้คนที่ติดตามเขามาให้เกิดความฮึกเหิมอย่างยิ่ง ไม่มีใครลังเลอีกแล้ว ไม่มีใครที่จะสงสัยในผู้นำของพวกเขาหรือระย่อต่อแสนยานุภาพของนครที่ล้อมอยู่ด้วยกำแพงทะมึนมืดตรงหน้าอีกต่อไป
    บริเวณนั้นสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงโห่ร้องประสานเสียงย่ำเท้าของกองกำลังผสม ซึ่งมีอัตราพลหลักประกอบด้วยชาวไร่ ชาวนา คนเลี้ยงปศุสัตว์ ช่างไม้ ช่างตีเหล็ก คนแบกหาม ชนชั้นกรรมาชีพทั้งหลาย ที่ติดอาวุธแบบตามมีตามเกิด แต่มีจำนวนมากนับหมื่นแสน เสริมทัพโดยเหล่านักรบของมวลชนที่ได้รับการฝึกมา และทหารรับจ้าง รวมไปถึงทหารอาชีพฝ่ายที่แข็งข้อต่อส่วนกลางอีกส่วนหนึ่ง
    และแล้วก็ได้เวลาที่รอคอย ... เวลาที่ทัพแห่งปวงประชาหลั่งไหลเหมือนสายน้ำ ผ่านทุ่งกว้างลงไปหาประตูเมือง
    กำลังทหารส่วนหนึ่งจากภายในเมืองถูกยกออกมาตั้งเป็นแถวเรียงเตรียมปะทะอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ แนวตั้งรับถอยร่นลงไปเรื่อยๆ จนไปตะลุมบอนกันในระยะประชิดกำแพง

    "ท่านพาเคีย! จ...จตุราชาของประตูทิศเหนือออกมาแล้ว!"
    พญายักษาใบหน้าถมึงทึง ปรากฏรูปขึ้นพร้อมตะบองหินท่อนใหญ่ในมือยืนตระหง่านขวางหน้าประตูเมืองท่ามกลางกองทัพที่กำลังเสียขวัญ มีลูกธนูถูกยิง ลูกหินและหอกแหลนถูกระดมซัดขว้างเข้าไปใส่เป็นห่าฝน แต่ก็ดูไม่ค่อยจะมีประโยชน์ เพียงทำให้หยุดชะงักไปบ้างเท่านั้น ในขณะที่ผู้พิทักษ์ฟาดตะบองกวาดไปเพียงครั้งเดียว กำลังพลนับสิบก็ถูกหวดกระเด็นกลับมากองเรี่ยราดอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ
    "ผู้พิทักษ์! จงฟังข้า!!!" พาเคียตะโกนเรียกในขณะที่ขึ้นสายธนูเล็งไปยังร่างมหึมาตรงหน้าโดยไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
    "ขอนามแห่งเทพบดี เอ็นลิล จงเป็นที่สรรเสริญ! ข้าขอประกาศว่าราชินีองค์นี้ หมดสิ้นความชอบธรรมที่จะอยู่บนบัลลังก์ต่อไปอีกแล้ว กองทัพแห่งปวงประชาจะมาเพื่อกระทำความยุติธรรมให้ปรากฏ และสถาปนาอำนาจใหม่ขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของผู้คนทั่วทั้งอาณาจักร"
    "และดังนั้น ข้าขอสั่งให้ท่านหลีกทาง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจ!"

    ผู้พิทักษ์เบิกตากว้างพลางผงะถอยไปเล็กน้อย เพราะมองเห็นเส้นแสงพุ่งเข้ามาก่อตัวขึ้นเป็นรูปคล้ายปีกสว่างจ้าสองข้างคลุมรอบคันธนูนั้น และจากส่วนปลายของลูกศรก็ปรากฏเป็นดุจลำเปลวไฟรูปแหลมพุ่งออกมาหมุนเป็นเกลียววนในลักษณะพร้อมเจาะทะลวงทุกสิ่งที่ขวางหน้า แต่หลังจากชั่งใจอยู่ชั่วขณะ ก็กลับเงื้อตะบองขึ้นและออกวิ่งไปหาเขา ท่ามกลางทหารผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเหยียบตายไปหลายต่อหลายคน
    พาเคียเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ลั่นศรออกไปดุจสายฟ้ากัมปนาท ร่างของผู้พิทักษ์ก็กระตุกแล้วลอยละลิ่วปลิวไปกระแทกคานเหนือประตูสนั่นหวั่นไหว ก้อนอิฐแตกร้าวหลุดร่วงลงมาพร้อมกับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายและเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวด จนกระทั่งรูปกายอันใหญ่โตของผู้พิทักษ์ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับตะบองที่ถืออยู่

    หลังจากไล่ฟาดฟันทหารที่เหลืออยู่ตรงนั้นจนแตกหนีไปเกือบหมดทิ้งไว้เพียงประตูที่ชุ่มแฉะด้วยเลือดสดๆ แล้ว ท่อนซุงใหญ่สำหรับใช้ทะลวงก็ถูกลากเข็นเข้ามา จากนั้นด้วยการกระแทกกระทุ้งอย่างดิบเถื่อนหลายสิบครั้ง ประตูเมืองที่เคยแน่นหนาก็สุดที่จะต้านทานไว้ได้อีกต่อไป ต้องเปิดอ้าออกรับกองทัพแห่งปวงประชาที่ไหลทะลักเข้าไปฟาดฟันพวกทหารด้านในกำแพงและที่คุมอยู่บนกำแพงล้มตายเป็นจำนวนมาก และในขณะที่ฝุ่นยังตลบอบอวล จิเฮ็กผู้เป็นแม่ทัพหน้าฝ่ายก่อการก็นำพลบุกตะลุยเข้าไปในตัวเมืองเปิดฉากจู่โจมฉับพลันก่อนที่ฝ่ายตั้งรับในเมืองจะตั้งตัวติด

    ฟ้ามืดแล้ว บรรยากาศเหนือตัวเมืองที่เคยดูคึกคักแม้ในยามค่ำคืนกลับถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศอึมครึมอันร้ายกาจผิดธรรมดา เหนือขึ้นไปยิ่งกว่านั้นเกือบถึงจุดยอดฟ้า ปรากฏดวงดาวสีแดงชาดลอยผงาดเด่นในตำแหน่งเป็นเสี้ยนหนามตำเท้ากลุ่มดาวสิงห์อยู่ อีกทั้งดาวหัวใจสิงห์ที่เคยสุกสว่าง ก็กลับมีรัศมีบิดเบี้ยวมืดหม่นลงไปราวถูกบดบังด้วยพลานุภาพลึกลับอื่นใดฉะนั้น

    เนอร์กัล!
    เสียงตะโกนโห่ร้องเอาชัยมาพร้อมกับการปะทะที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นการไล่บดขยี้แต่ฝ่ายเดียว แผ่นพื้นของนครที่ปูลาดด้วยแผ่นหินและดินเผาอย่างมั่นคง แผ่นพื้นที่รองรับฐานรากของวิหาร ปราการ หอคอย ไปจนถึงบ้านคนต่ำต้อยมากมายมาเป็นเวลานานถึงกับสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าของกองทัพกบฎ
    จิเฮ็กยืนตระหง่านท้าทายอยู่หน้าขบวน เหล่าทหารรักษาเมืองกรูกันเข้ามาเหมือนมดปลวกออกมาปกป้องรังอย่างไร้ประโยชน์ ด้วยกำลังฝ่ายบุกนั้นกล้าแข็งและกำลังฮึกเหิมในการรบยิ่งนัก เสียงตะโกนสบถด่าท้าทายกันดังขึ้นสลับกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจนขาดใจ จิเฮ็กโจนทะยานพร้อมกับเหล่าสหายศึกเข้าไปประชิด ฟาดดาบอาบเลือดสดๆ ปลิดชีวิตศัตรู ขึ้นเหยียบข้ามบนร่างแล้วร่างเล่าที่ล้มลงแม้ไม่ทันตายสนิทเพื่อรุกต่อไป รุกต่อไปข้างหน้า รูปปั้นรูปหล่อรูปสลักหินขนาดต่างๆ ที่ตั้งอยู่ข้างทางล้มระเนระนาด บ้างก็ถูกถีบให้ล้มทับศัตรูจนแน่นิ่ง หม้อไหจานชามโอ่งดินถังไม้โต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในที่แจ้งตรงนั้นถูกนำมาใช้ไม่เป็นอาวุธก็เครื่องป้องกันไม่มีเหลือ สัตว์เลี้ยงทั้งแพะแกะหมูหมาที่วิ่งพล่านพลัดหลงเข้ามาในแนวตะลุมบอนไม่มีตัวไหนรอด ไม่มีเลย จุดต่อจุดถูกยึดกุม คบเพลิงถูกถือตามเข้ามาติดๆ สถานที่ว่าราชการแต่ละแห่ง รวมทั้งที่พักพลตรวจการ ป้อมรักษาการในเมืองถูกเผาทำลาย
    ไม่มีที่ใดปลอดภัย มีเพียงความหวาดหวั่น ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ สำหรับผู้แตกพ่ายและเหยื่อของชะตากรรมที่เรียกว่าสงคราม
    ความโกลาหลลุกลามจากหน้าประตูเมืองลึกลงมา ตรงดิ่งลงมาใกล้จะถึงใจกลางเมืองแล้วด้วยน้ำมือของนักรบเหล่านี้
    ความโกลาหลอื่นใดที่เคยซ่อนแฝงไว้ภายใต้ฉากหน้าของนครอันรุ่งโรจน์ตระการตาและสงบเรียบร้อย ก็ได้โอกาสทะลักทลายออกมาพร้อมกัน
    เป็นพลังสัญชาตญาณดั้งเดิมแห่งการเอาชีวิตรอด ซึ่งแท้จริงแล้วอยู่ห่างจากขอบเหวแห่งความตายเพียงเส้นยาแดง ดุจเดียวกับทารกที่เพิ่งคลอดหลุดออกมาจากครรภ์ของมารดาผู้สิ้นใจลงในนาทีนั้น แล้วแผดเสียงร้องไห้จ้าอยู่ท่ามกลางโลกอันโหดร้ายเป็นครั้งแรก

    เป็นคมดาบที่ฟาดฟัน เป็นหัวหอกที่ทะลวงผ่าน เป็นกำปั้นเหล็กที่ทุบลงเพื่อบดขยี้ให้แหลกราน
    เป็นพลังอำนาจที่พุ่งดิ่ง เป็นกรงเล็บที่แน่วแน่ ไม่มียับยั้ง ไม่มีสะกดกลั้น ไม่มีเบี่ยงเบนใดๆ
    จนกว่าจะดับสูญ จนกว่าจะบรรลุความวิบัติ จนกว่าจะได้เห็นหายนะ จะถาโถมไม่หยุด
    แช่งสาปเจ้า! แช่งสาปเจ้า! แหลกสลายไปเสียเถิด!
    ทำลาย! ทำลาย! ทำลาย!
    พินาศ! พินาศ! จงพินาศสิ้น!
    ด้วยปรารถนาเพียงความเป็นหนึ่ง จึงจักทำลายล้างสิ่งที่เป็นอื่นให้สิ้นไป
    นี่แหละ พลังที่ดิบที่สุดและจริงแท้ที่สุดของเทพสงคราม!

    ถึงตอนนี้ จิเฮ็กนำกองทหารที่ติดตามนับหลายร้อยมารวมกันปิดล้อมอยู่ตรงทางเข้าออกหอคอยแห่งปราชญ์อันเลื่องชื่อของอาณาจักรอย่างแน่นหนา
    "เจ้าพวกนักปราชญ์บนหอคอยนี้ ได้รับการเลี้ยงดูให้อิ่มโดยภาษีและผลผลิตของคนทั้งแผ่นดินมาตลอด แต่พวกมันเคยทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับพวกเราบ้าง?! มีแต่ดูถูกเหยียดหยามชาวบ้านที่เลี้ยงดูพวกมันมา ดีแต่หมกตัวซุกอยู่ในห้องสมุดทั้งวันทั้งคืนอย่างพวกขี้ขลาด ในขณะที่คนทำงานพวกอื่นๆ ต้องเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาด้วยความเหนื่อยยาก วันดีคืนดีก็โผล่ออกมาพ่นเพ้อความคิดเน่าๆ ของตัวเองซะทีหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องถ่วงความเจริญกับขัดขวางผลประโยชน์ของคนหมู่มากล่ะชอบนัก"
    มีเสียงเฮรับถ้อยคำปลุกระดมของจิเฮ็กดังเซ็งแซ่ พร้อมกับที่ต่างคนต่างชูอาวุธในมือขึ้นเหนือศีรษะ
    "กับวิชาความรู้ทั้งหลายที่สะสมไว้ท่วมหัว หรือจะสูงเทียมฟ้าแค่ไหน หากไม่ใช่เพื่อรับใช้ปวงชน แล้วจะมีค่าอะไร? ความรู้ที่ไม่เชิดชูปวงชน ปรัชญาที่มุ่งส่งเสริมความอยุติธรรมและกดขี่ของชนชั้นปกครอง มันก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ! พวกเราเหลือทนกับความรกหูรกตาของพวกมันแล้ว!"
    เสียงเฮดังขึ้นอีกคำรบ อารมณ์ที่คล้อยตามพลุ่งพล่านกลายเป็นความดุดันฮึกเหิมอย่างถึงขีดสุด
    "ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้หมด! เผาทิ้งไม่ให้เหลือซาก!!!"
    ไม่ว่าจะนักปราชญ์ นักวิทยาการ นักเล่นแร่แปรธาตุ นักเรียนเวทมนตร์ นักค้นคว้าวิจัยในสาขาต่างๆ โหราจารย์ ครู นักประพันธ์ ศิลปิน จินตกวี ที่อยู่บนหอคอยในยามนี้จำนวนมาก ต้องสังเวยชีวิตให้กับคมอาวุธของเหล่านักรบที่บ้าคลั่ง ทั้งหญิงและชาย ทั้งผู้เยาว์วัยและอาวุโสถูกไล่ล่า หนังสือตำราตั้งแต่ยุคโบราณกาลมาถึงปัจจุบันนับหมื่นๆ เล่มถูกฉีกถูกกระทืบ ถ่มถุยน้ำลายใส่ ปัสสาวะรด ตู้หนังสือถูกดึงให้ล้มลงมาแล้วราดน้ำมันเผา เปลวไฟ เขม่าควัน เสียงคร่ำครวญโหยไห้ดังระงมอยู่ทั่ว

    ในขณะที่ทางด้านพาเคียกำลังนำผู้ติดตามส่วนหนึ่งเคลื่อนไปสู่จุดยุทธศาสตร์ตามเส้นทางที่วางแผนไว้ เขาขมวดคิ้วเมื่อหันไปเห็นแสงและควันจากไฟกองใหญ่ที่ลุกโชติช่วงมาจากอีกฟากของเมือง จึงรีบรุดปีนขึ้นไปดูจากระเบียงอาคารใกล้ๆ
    ...เดี๋ยวก่อน พวกนั้นไม่ได้แค่เข้ายึดหอคอยไว้หรอกรึ?

    ยังไม่ทันคิดอะไรไปไกล เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย และเหลือบไปเห็นชายผู้หนึ่งวิ่งหนีกองทหารมาด้วยความเร็ว ท่าทางของชายผู้นั้นสะบักสะบอมไม่ใช่น้อย และเหมือนจะซุกเอาอะไรบางอย่างมาในเสื้อด้วย
    ความรู้สึกลังเลบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา สายตาเหลือบมองไปยังข้าวของที่กองอยู่ในตรอก ณ ทิศที่ชายคนนั้นกำลังวิ่งไป ซึ่งจะนำพาไปสู่ประตูทิศตะวันออกของเมืองได้ในอีกไม่ไกลนัก
    เขาคิดว่าจะยิงสกัดทางไว้ก่อน แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระแอมคล้ายของคนแก่ดังมาจากข้างหลังในระยะกระชั้นชิด ทำให้เขาหันขวับไปพร้อมคันธนูในมือทันที
    ...แต่ก็ไม่พบใครอยู่ในบริเวณนั้นแม้แต่คนเดียว

    ยังมีสตรีสาวรุ่นนางหนึ่ง วิ่งล้มลุกคลุกคลานในสภาพน่าอับอายออกจากบ้านหรูของนายทหารระดับสูงแห่งอาณาจักรมุ่งไปทางถนนใหญ่ มีทหาร 4-5 นายวิ่งไล่ตามจนกระทั่งจับตัวเอาไว้ได้
    "นังนี่!"
    ทหารนายหนึ่งผลักเธอจนล้มลง อีกนายจับผมของเธอกระชากขึ้นมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย
    "ปล่อยนะ! ไปให้พ้น-"
    เธอสะบัดมือหลุดมาได้ แล้วใช้มือข้างนั้นตบเข้าใส่ผู้ที่จับยึดร่างเธอไว้จนหน้าหัน

    อีกฝ่ายหนึ่งหยุดนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วก็กลับถลึงตาขึ้นชำเลืองมองเธออีกครั้ง
    "รังเกียจงั้นรึ? ขยะแขยงงั้นรึ?"
    "ใช่สิ! อย่างพวกแกจะไปเข้าใจอะไร!?" แววตาของทหารนายนั้นพลันคุโชนขึ้นด้วยความเกลียดชังยิ่งกว่าแรงปรารถนาอื่นใด "คนเมืองอย่างพวกแก วันๆ ก็คงรู้จักแต่เสวยสุข กินอิ่มนอนหลับ อยู่กับของสวยๆ งามๆ สินะ? ที่พวกเราต้องทนลำบาก นอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ที่ชายแดน ต่อสู้กับพวกคนเถื่อนที่เข้ามารุกราน ต้องเห็นพรรคพวกบาดเจ็บล้มตาย วันๆ มีแต่อาวุธกับเลือด แล้วก็ป่าเขา พวกแกไม่เคยรับรู้ ไม่เคยมาสนใจ!" เขาจับตัวเธอเขย่าอย่างรุนแรงกระแทกอักๆ ลงกับพื้นด้วยท่วงท่าที่เกือบเป็นการบีบคอ

    "ไหนดูซิว่า อยู่กับคนชายขอบอัปลักษณ์อย่างพวกข้าซักคืนนึง มันจะตายมั๊ย!?"
    แล้วทหารทั้งกลุ่มก็พากันฉุดกระชากลากถูหญิงสาวนางนั้นกลับไปสู่บ้านที่เธอหนีมา แต่ก็ยังไม่ทันมีโอกาสทำได้สำเร็จ
    "ทหาร!!!" พาเคียตะโกนก้อง ทหารกลุ่มนั้นหันมองมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก ในขณะที่เขาง้างธนูเล็งและตะโกนถามต่อไป "พวกเจ้าทำอะไร!?"

    ไม่มีคำตอบ พวกเขาแตกกระเจิงวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ก็หนีไม่พ้น
    ลูกธนูถูกปลดปล่อยพุ่งเข้าสู่เป้าหมายของมันอย่างแม่นยำ ร่างของทหารหนึ่งในนั้นกระตุกเฮือก ก่อนจะถลาล้มคว่ำลงไปข้างร่างกึ่งเปลือยของหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อ ลูกธนูปักตรึงทะลุออกกลางหน้าอก เลือดเริ่มไหลรินออกมาเป็นสาย ส่วนคนที่เหลือหนีออกไปพ้นจากทัศนวิสัยได้พอดี

    ผู้นำแห่งปวงประชาลดคันธนูลง มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอาการสลด
    ทำไม...ถึงเป็นอย่างนี้ไปได้?
    เขาหันไปมองอีกฟากหนึ่ง หอคอยแห่งปราชญ์ที่ถูกไฟแผดเผาจนใกล้มอด กำลังหลุดร่วงลงมาทีละชิ้น...ทีละชิ้นส่วน
    "ท่านพาเคีย?" หนึ่งในหน่วยจรยุทธ์ชาวบ้านที่ติดตามเขามาอยู่ในขณะนี้ เห็นเขามีท่าทีแปลกๆ ไปจึงตัดสินใจเอ่ยเรียก
    พาเคียยังคงยืนนิ่ง เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ รอคำสั่งต่อไปจากเขา ก็ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
    "พวกเจ้าล่วงหน้าไปที่วังก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป"

    หลังจากคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว เขาเดินมองหาไปจนประสบเข้ากับโรงบูชาเล็กๆ แห่งหนึ่ง
    พวกนักบวช รวมทั้งหญิงรับใช้ศาสนาหรือ มิกา ประจำโรงบูชาแห่งนี้คงหนีเตลิดกันไปแล้วท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

    พาเคียคุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชา ซบศีรษะไว้กับมือที่ประสานกันอยู่ในระดับอก
    "ข้าแต่ทวยเทพผู้สถิต ณ เบื้องบน"
    "ได้โปรด...อภัยให้ข้าด้วยเถิด"
    แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังไปช้าๆ และออกเดินมุ่งหน้าสู่พระราชวังโดยไม่หันกลับไปมองอีก



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×