ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
"คุณกำลังแสวงหาอะไรอยู่หรือเปล่า?"
มันเป็นประโยคเปิดการสนทนาที่ไม่ปกตินัก แต่ก็ไม่ถึงกับเกินความคาดหมายของหญิงสาว
เธอคว้าสมุดดินสอ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นเผชิญกับผู้มาเยือน
หากเป็นเวลาปกติ เธอคงยินดีจะทักทายหรือแม้แต่หยอกล้อด้วยอัธยาศัยตามสมควร
แต่ไม่ใช่ในเวลาเช่นนี้...เวลาที่ความอึมครึมหนักทึบปกคลุมเหนือท้องฟ้า เวลาที่อารมณ์ปรวนแปรไม่มั่นคง บรรยากาศรอบกายทำให้เธอหงุดหงิดกับอะไรๆ ได้ง่ายเหมือนสิงโตแม่ลูกอ่อนก็ไม่ปาน
...กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีคนเข้ามาแหยมจนได้สิน่า!
"หมายความว่าไงคะ? ที่บอกว่าแสวงหาน่ะ"
"ก็หมายความตามนั้นแหละ" เขายืนยัน ด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจกับสีหน้าและน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเธอแม้แต่น้อย "ไม่ใช่แค่มองหา แต่เป็นแสวงหา"
เธอเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยปนเริ่มนึกขัน จ้องมองเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจ ชายผู้นี้ก็ดูเป็นคน มีตา หู จมูก ปาก รูปร่างใบหน้าไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาอะไรเลย หากเหมือนจะมีบรรยากาศบางอย่างที่แปลกประหลาดอย่างบรรยายไม่ถูกแผ่อยู่รอบๆ ตัวเขา เครื่องแต่งกายของเขาดูออกจะซอมซ่อไปสักนิด คล้ายวัยรุ่นที่ออกท่องโลกกว้างทั่วไป แต่ไม่มีสัญลักษณ์หรือสีสันส่วนไหนแสดงความแกร่งกร้าวห้าวศึกหรือท้าทายสิ่ง ใดในโลก กลับดูเรียบสงบและเหมือนจะยอมจำนน แต่ก็แฝงซ่อนความแกร่งมหาศาลไว้อย่างมั่นคงดุจหินผาภายใต้ผิวหน้านั้น
ชั่วขณะที่ดวงตาคู่นั้น...ดวงตาที่ฉายแววเสมือนผู้ผ่านกาลเวลามายาวนาน ผู้หนึ่ง ผิดกันกับสภาพใบหน้าที่เห็น...ขยับเคลื่อนเลื่อนวิถีมาประสานแน่วนิ่งกับ ดวงตาอีกคู่ของเธอ แล้วก็ราวกับจะเจาะทะลวงเข้าไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ...
เป็นชั่วขณะแห่งความเงียบเพียงอึดใจเดียว แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้ต้องพูดอะไรออกไปเพื่อทำลายความเงียบลง เสียเดี๋ยวนั้น เพื่อต่อต้านความรู้สึกอึดอัดที่ผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่ทราบได้
"แล้วทำไมคุณถึงคิดยังงั้น?"
"ที่นี่มันดูวังเวงไปหน่อยนะ" เขาเริ่มละสายตาจากเธอหันไปมองรอบข้างอย่างช้าๆ "ไม่ใช่ที่เหมาะที่จะนัดเพื่อนมาเฮฮาสังสรรค์เลย แถมท่าทางคุณก็ไม่เหมือนคนที่กำลังรอใครอยู่ด้วยความหวัง...เหมือนไม่รู้ จุดหมายของตัวเองด้วยซ้ำ"
เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับไปอีกหน
"ฉันมาหาที่สงบๆ ทำงานก็เท่านั้นแหละ คุณนี่จะคิดอะไรไปมากมาย"
"ก็อาจจะเป็นได้" ชายลึกลับยังคงเดินทอดน่องมองไปรอบๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่าง "แต่ถึงบรรยากาศจะสงบแค่ไหน ผมก็ว่ามันยากนะที่จะทำงานได้ลื่นไหล ตอนที่มีปมปัญหาค้างคาใจอยู่"
"...โดยเฉพาะเรื่องความรัก"
"ใช่สิ" เธอส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่มือก็หยิบก้อนหินน้อยๆ ที่เคราะห์ร้ายก้อนหนึ่งขว้างลงไปในน้ำดังจ๋อม "คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหญิงสาวแรกแย้ม จะมีเรื่องให้กลุ้มใจอยู่ก็ไม่กี่เรื่องนักหรอก"
ดูเหมือนเธอจะเล็งเป้าหมายใกล้ฝั่งเกินไป น้ำที่กระเด็นขึ้นมาหลายหยดจึงโปรยลงกระทบสมุดในมือเธอ ซึ่งชายผู้นั้นก็สังเกตเห็น พาให้แอบยิ้มขันอยู่เบาๆ
"คนเรานี่ก็แปลกนะ" เขาถอนหายใจเฮือกได้ยินชัดเจน "คิดว่ารู้ว่าตัวเองแสวงหาอะไร เฝ้าบอกตัวเองว่าเมื่อไรหนอจะได้พบเจอ แต่หลายครั้งเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ตรงหน้า...ก็กลับกลัวที่จะคว้าไว้ แล้วยังอาจผลักไสออกไป เพื่อที่จะต้องมาเสียใจในภายหลัง...เมื่อทำสิ่งนั้นหายไปอีกครั้งแล้ว"
เธอยังคงทำนิ่งเฉยอยู่ สายตาเหม่อมองไปข้างหน้า หากในใจกลับรู้สึกถูกกระตุกด้วยข้อความนั้น
"นี่...เป็นความเร้นลับอันยิ่งใหญ่"
ประโยคนั้นมันเป็นสำนวนแปลกประหลาด ที่เธอจำได้เพียงลางๆ ว่าอาจจะเคยอ่านเจอมาในหนังสือที่ไหนสักแห่งเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นใน ชีวิต
"แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรที่นี่กันแน่?" ยิ่งนานไปยิ่งจะทำให้เธอนึกสงสัยในความประสงค์ของชายลึกลับ จนตัดสินใจได้ว่าควรถามออกไปตั้งแต่บัดนี้จะดีกว่า
"งั้นผมถามก่อน..." เขามองเธอนิ่งๆ อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาอ่อนและเบาลง แต่จริงจังยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ถามอีกคำถามนั้นออกไป "คุณจำผมไม่ได้จริงๆ งั้นเหรอ?"
"ไม่เลย" เธอตอบสวนกลับไปทันที
"งั้นผมก็จำคุณไม่ได้เหมือนกัน"
"นี่! อย่ามากวนประสาทกันนะ!"
"เอาล่ะๆ เข้าเรื่องซะทีก็ได้"
คราวนี้เขาเลยถอนตัวออกจากการโต้คารม แล้วเปลี่ยนมาเป็นเริ่มบรรยายความ
"ความจริงนะ ผมเคยรู้จักคุณ...เมื่อนานมาแล้ว ถึงคุณจะจำไม่ได้ก็เหอะ แต่เรื่องนั้น...เอาไว้ทีหลังก็ได้"
"คุณก็คงพอจะรู้ว่าคนเราแสวงหาสิ่งต่างๆ มากมาย และที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดคือ แสวงหาความหมายในชีวิต"
"และเราส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนผู้หลงทาง...ที่ต้องเดินเดาสุ่มไปในกระแส ความเป็นไปของโลกรอบข้างที่เรารู้ได้แค่ส่วนน้อยนิด และรู้สึกว่าไม่มีทางควบคุมมันได้อย่างแท้จริงเลย แล้วเราก็เรียกกระแสที่พัดพาชีวิตเราไปทางนั้นทางนี้ว่า ชะตากรรม บ้างก็เรียกว่า ความบังเอิญ"
...นี่เข้าเรื่องแล้วเหรอเนี่ย? หญิงสาวนึกในใจพลางกลอกตาไปมา แต่สิ่งที่เขาพูดมายาวยืดนั้นก็กระตุ้นให้เธอคิดตามให้ทัน และมันก็ชวนให้เพลิดเพลินบันเทิงสมองดีอยู่ไม่ใช่น้อย
"แต่คุณเคยคิดมั๊ยล่ะ? ว่ามีคนมากมาย ที่ต้องเจอกับปัญหาเดิมๆ ในชีวิตเป็นรูปแบบซ้ำๆ เฉพาะตัว ทั้งที่โลกนี้ก็มีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนที่เหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่าไม่มีความบังเอิญที่แท้จริงในโลกนี้หรอก"
หญิงสาวกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัวขณะที่รอฟังประโยคต่อไป
"แต่จริงๆ แล้วจะมีใคร หรืออะไรเป็นผู้ควบคุมและกำหนดชะตากรรมของผู้คนในโลกนี้ก็ช่างเถอะ คุณรู้มั๊ย...ว่าคุณน่ะ มี ผู้พิทักษ์ชะตา ประจำตัวอยู่ เพื่อช่วยคุณ...ให้รู้วิธีกุมชะตาชีวิตของตัวเอง แล้วรับมือกับกระแสชะตากรรมของโลกภายนอกได้"
ในชั่วอึดใจนั้น เธอพยายามคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานาจากคำถามนั้น แล้วจึงลองย้อนดู
"ขอโทษ คุณเป็นพวกหมอดูหรืออะไรทำนองนั้นรึเปล่า?"
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าอ่านยากนั้นเป็นครั้งแรก "จะว่าใช่ก็ได้"
"แต่คงไม่ใช่อย่างที่คุณคิด"
เขาหยุดเว้นวรรคจังหวะหนึ่งเหมือนกับจะกลั้นใจ แล้วก็กล่าวต่อ
"อันที่จริง...ผมเองนี่แหละ จะเป็นผู้พิทักษ์ชะตากรรมของคุณ"
เป็นประโยคที่ชวนให้เธออึ้งไปชั่วครู่
ตานี่...ท่าทางไม่ค่อยเต็มซะล่ะมั๊ง?
"ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก...เรื่องอะไรๆ มันยังมีอยู่ข้างหน้าอีกยาวไกล"
เขาเริ่มพูดต่อไปขณะที่ยังสังเกตท่าทีของเธออยู่อย่างระมัดระวัง
"สำหรับช่วงนี้ ผมขอบอกไว้ก่อนก็แล้วกันว่า..."
"คุณกำลังจะก้าวไปสู่จุดหมายที่ท้าทายอยู่เบื้องหน้า บางสิ่งที่ถวิลหาแต่ไม่คุ้นเคย แต่ส่วนลึกภายในก็กลับดึงดันที่จะวิ่งหนี หนีไปตามเส้นทางที่มีแต่จะวกกลับสู่ความเคยชินเดิมๆ ที่ที่คุณเริ่มต้น ที่ที่คุณจมหาย ปล่อยตัวเองให้ถูกแผดเผาจากความคับแค้นภายในไปเสียก่อนจะได้ทันเห็นรุ่งเช้า "
"แต่คุณก็จำเป็นต้องเดินหน้าไป ถึงแม้เคยเจอเหตุการณ์เหมือนโลกจะถล่มทลายลงต่อหน้ามาแล้ว แต่คุณก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปในวันนี้...และสู่วันพรุ่งนี้ให้ได้!"
นี่เขาเป็นใครกันแน่!?
หรือที่จริงแล้วเขาเป็นพวกโรคจิตชอบตามตื๊อ? เธอเองก็มีคนแอบชื่นชมสนใจใช่ว่าจะน้อยๆ อยู่เมื่อไหร่
ไม่สิ...ถ้าเป็นแค่คนแอบติดตาม จะรู้ถึงขนาดนี้ได้ยังไง? ไม่ ไม่มีทางหรอก...
ภายใต้เปลือกของหญิงสาวมาดมั่นทระนง ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ผู้ร่าเริงเสมอในหมู่เพื่อนๆ ผู้ไม่เคยยอมแพ้แม้จะล้มลุกคลุกคลานสักแค่ไหน...เว้นแต่เพียงเรื่องเดียว... เรื่องเดียวเท่านั้นจริงๆ...
สิ่งที่ได้ฟังมันไปกระตุ้นสิ่งที่เหมือนหนามยอกอกเมื่อนานแสนนาน ให้พิษอันแสนหวานกลับกระจายพลุ่งขึ้นอีกครั้ง
"เพราะแบบนี้แหละ ที่จำเป็นสำหรับคุณตอนนี้...ก็คือผู้พิทักษ์ และผู้นำทาง"
ระหว่างที่เธอยังชะงักค้างคา เขาทำเหมือนได้ใจรุกต่อไปด้วยท่าทีราบเรียบเช่นเดิม ยากจะคาดเดาจุดประสงค์ได้
"ตอนนี้คุณคงพอรู้แล้ว..."
"ทั้งส่วนที่เข้มแข็ง จุดที่อ่อนแอ ส่วนที่งดงามและส่วนที่น่าเกลียดน่ากลัว...ผมรู้จักคุณดีกว่าที่คุณอาจจะคาดถึง"
"หมายความว่าไงฮะ?!?" การต่อปากต่อคำของเธอคราวนี้กลับอ่อนแรงลง ด้วยยังไม่หายตระหนกจากสิ่งที่ได้ยิน...มันมากเกินกว่าที่เธอจะรับได้ในเวลา สั้นๆ เช่นนี้ สิ่งทั้งหลายที่เธอเตรียมตั้งไว้กีดขวางป้องกันตัวเอง ถูกทำให้พลัดหล่นกระเจิงกระจายไปชั่วคราว
เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะเหมือนระฆังสัญญาณ เธอทำหน้าเจื่อน ก้มลงมองท้องตัวเองแล้วยกนาฬิกาขึ้นมองอีกครั้ง
"ฉันจะไปเดินตลาดก่อน" น้ำเสียงของเธอเจือปนอยู่ด้วยทั้งความโล่งใจและความเสียดายลึกๆ ต่อสู้แย่งชิงกัน แต่ก็เพียงแผ่วเบาอ่อนระโหย จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะจับสัมผัสจากคำพูดเจื้อยแจ้วนั้น "หิวแล้ว ไม่ได้เตรียมเสบียงมาด้วยสิ"
"ผมไปด้วย เรายังมีเรื่องต้องคุยกันให้จบอยู่"
"..." เธอสาวเท้าเดินจากมาเหมือนจงใจจะสะบัดให้หลุด แต่เขาก็ยังก้าวตามได้อย่างสม่ำเสมอจนเธอต้องยอมแพ้ พอดีกับที่เดินกลับจากวิเวกแห่งธรรมชาติเข้ามาสู่ที่คนจอแจอีกครั้ง
เพื่อนและคนที่เธอรู้จักหลายคนเดินสวนมาบ้างก็ตัดผ่านไป เธอเอ่ยปากทักทายเหมือนเคยแต่ออกจะเกร็งๆ เล็กน้อย เพราะนึกพะวงว่าพวกเขาจะเห็นเธอเดินมากับชายแปลกหน้าคนนั้นรึไม่
...เดี๋ยวกลายเป็นข่าวละก็แย่แน่ๆ เหยื่อ เอ๊ย! เป้าหมายที่เล็งไว้จะพลาดหลุดไปหมดก็คราวนี้แหละ น่าโมโหตาบ้านี่จริงๆ
เธอนึกอย่างเริ่มหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีก ด้วยตาบ้าที่ว่านั่นยังทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เดินประกบไปข้างๆ เธอตลอดทางอย่างน่าอึดอัด แต่ด้วยมารยาทและความหวั่นเกรงคล้ายเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ ที่ยังตกค้างจากเมื่อครู่ เธอก็ได้แต่ทำเย็นชาไม่พูดอะไรออกไป
แต่ตลอดทางที่เดินมา ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีผิดปกติหรือหันมองเขาเลย จนเธอเริ่มนึกแปลกใจแทน
ดูๆ ไปแล้วเธอก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวตนของเขาเบาบางมาก...ในสายตาคนรอบข้าง
ราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอมในโลกนี้ เป็นบุคคลแปลกหน้าที่ใครๆ มองผ่านไปไม่นึกอยากทักทาย อาจไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นกระนั้นแหละ...
ขณะที่กำลังนึกสงสัยพร้อมกับขนแขนที่แล่นลุกขึ้นมาเบาๆ ว่า "ที่จริงเขาเป็นคนอย่างเราๆ รึเปล่า?" นั้น เขาคนนั้นก็หันไปสั่งซื้อลูกชิ้นจากแผงลอยที่เดินผ่านพอดี
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาควักเหรียญยื่นให้พ่อค้าแล้วรับถุงลูกชิ้นมาถือเดินนำหน้าเธอไป แล้วยังจะหันมามองอย่างข้องใจในสีหน้าแปลกๆ ของเธออีก
เธอก้าวตาม จนไปถึงม้านั่งแห่งหนึ่งข้างทางเดินสวนสาธารณะแห่งนั้น ทั้งคู่จึงนั่งลงพัก
"ถ้ามีของกินแล้ว ก็คุยธุระกันต่อเถอะ"
หลังจากขย้ำเสบียงอาหารกันไปพอประทัง หลังจากย้ายมาอยู่ในบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายสบายใจมากขึ้น มากพอจะเริ่มคุยล้อเล่นและถามคำถามเอากับเขาบ้าง
...แต่ลึกๆ นั้นเธอต้องการช่วงชิงความได้เปรียบกลับมา ต้องการค้นหาเรื่องราวของเขาให้มากกว่านี้ รวมทั้งอาจจะจับผิดว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่...
เธอไม่อยากตกอยู่ในสภาพเด็กหลงทางตัวเล็กๆ ที่ตกกระไดพลอยโจนมานั่งฟังตาลุงแปลกหน้าเล่านิทานที่ดูเหมือนโม้หลุดโลก อยู่ต่อไปอีกนานๆ หรอก
"เอาเป็นว่า...ผู้พิทักษ์ชะตากรรมจะช่วยอะไรฉันได้มั่งล่ะนี่ หืม?"
"ก็แล้วคุณกำลังแสวงหาอะไรอยู่ล่ะ?"
เขาย้อนถามคำถามเดิมตั้งแต่ตอนแรกอย่างยียวนเล็กๆ
"ชิ! ยังไม่ลืมอีกนะ"
"ช่วยไม่ได้...คุณต้องตอบคำถามนี้ก่อนเป็นอย่างแรกสุด กฎเป็นอย่างนั้น"
ในชั่วขณะนั้น เธอชั่งใจอย่างมหาศาลว่าควรเล่าเรื่องราวในใจให้ชายพิลึกๆ คนนี้ฟังดีหรือไม่ เป็นชั่วกาลที่ราวกับโลกจะหยุดหมุนไป
"ก็ได้ๆ อย่างอื่นฉันมั่นใจว่าฉันลุยต่อไปข้างหน้าได้หมด เรื่องที่ห่วงตอนนี้ก็เลยมีอยู่เรื่องเดียว ...เรื่องความรักน่ะ" เธอก้มหน้าเล็กน้อย ทำไมต้องอายด้วยก็ไม่รู้สิ? หรือเสียหน้าที่ต้องเผลอคายความในใจอีกชิ้นหนึ่งออกไปให้เขาด้วยตัวเอง?
"ถ้าคุณรู้เรื่องราวของฉัน ถ้าคุณเป็นผู้พิทักษ์ ถ้าคุณรู้หนทางข้างหน้าจริงๆ ละก็...บอกมาหน่อยเถอะ..."
"ฉันจะหาคนๆ นั้นของฉันเจอได้ที่ไหน??"
เขาไม่ยิ้ม เขาไม่แอบขำ กลับทำหน้าเคร่งขรึมตึงขึ้นมาทันใด น้ำเสียงของเขาเหมือนคนกำลังคุยธุรกิจอยู่จริงๆ
"นั่นแหละ งานหลักที่ผมควรจะช่วยจัดการ"
ยังไม่ทันที่เธอกำลังจะยอมหลุดปากบอกอะไรเขามากไปกว่านั้น เขาลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วเดินเอามือไพล่หลังราวกับคิดว่าเท่ที่สุดแล้ว ไปยืนอยู่หน้าเธอตรงกลางถนน แล้วหันมองไปทั่วๆ รอบทิศ ก่อนจะหันกลับมาถามเธออีกคำถามหนึ่ง
"คุณมีสัญลักษณ์แห่งความรักประจำตัวมั๊ย?"
หญิงสาวเลิกคิ้วสูงให้เห็นอีกคำรบ
"อาจจะเป็นพืช สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หนังสือ หรืออะไรก็ตามแต่ที่คุณเห็นหรือนึกถึงแล้ว มันมีความหมายเกี่ยวพันกับความรักของคุณ...ในทางใดทางนึง"
"สัญลักษณ์เหรอ..." ระบบคิดของเธอคงถูกทำให้ปั่นป่วนเสียจนต้องเค้นสมองทบทวนคำถามอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกได้ว่าควรส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบ
"งั้นการบ้านข้อแรก ไปหาสัญลักษณ์แห่งความรักของคุณมาให้ได้ 6 อย่างก่อน...ผมถึงจะช่วยคุณต่อไปได้"
"หา!?"
ปฏิบัติการตามหารักแท้ครั้งนี้ เริ่มจะพิลึกพิลั่นเข้าไปทุกที...แต่จะว่าก็คงไม่ได้ ในเมื่อมันพิลึกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นะ?
"ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่จริงๆ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก" เขากล่าวต่อไปอีกพร้อมขยิบตาทีหนึ่ง "ต้องเป็น 6 อย่างที่มีความหมายกับคุณมากที่สุดเท่านั้น และจะยิ่งดีมากถ้าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัว ที่คุณคนเดียวเท่านั้นรู้ซึ้งในความหมาย ไม่ใช่ของดาษๆ ทั่วไป"
ช่วงจังหวะนั้นที่เธอเผลอเหลือบลงมองถุงของกินบนหน้าตัก เขาก็ก้าวเดินออกไปเกือบพ้นบริเวณ แล้วหันมาตะโกนบอก
"อาทิตย์หน้าผมจะรออยู่ที่เดิม เวลาเดิม พยายามเข้าล่ะ!"
"นี่!"
เธอรีบลุกพรวดขึ้นพลางตะโกนไล่หลัง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ "ขอถามอีกอย่างเถอะ"
"เรื่องสำคัญคุณยังไม่ได้บอกฉันเลย มีเหตุผลอะไรกันแน่...ที่คุณต้องมาเป็นผู้พิทักษ์ชะตาของฉัน?"
เขายืนนิ่ง...เหมือนจะเนิ่นนานจนเธอกระสับกระส่าย เริ่มหมดความอดทน เขาก็หันหน้ากลับมาช้าๆ แล้วกล่าวตอบในที่สุด
"เราทั้งหลาย ในแต่ละช่วงบนเส้นทางที่ยาวไกล ต่างก็มักจะติดค้างหนี้บางอย่างไว้กับใครๆ อื่นอีกมากมายนัก" ความนิ่งในน้ำเสียงนั้นสั่นคลอนอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก "ที่ผมทำอยู่ก็เป็นความพยายามหนึ่งที่จะชดใช้ หรือช่วยปรับเปลี่ยนสิ่งที่เคยมีระหว่างกัน จากลบให้กลับเป็นบวก จากศูนย์ก็ให้กลับมีเพิ่มพูนขึ้น ...ถึงแม้สุดท้ายปลายหนทางจะบอกได้ยากว่าจะลงเอยยังไงกันแน่"
"...ก็มีแต่ต้องคอยดูกันต่อไป"
"แล้วเจอกัน"
บนม้ายาวในสวนสาธารณะตัวอื่น ในเวลาอื่นหลังจากนั้น บุรุษลึกลับกำลังนั่งสำรวจสมบัติส่วนตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกล่องไม้บุผ้าไหมสีเข้มภายในอีกชั้น มันเป็นสำรับไพ่ที่ใช้ในการทำนาย
เมื่อครั้งนั้น...
ช่วงแรกๆ ที่เธอรู้จักกับเขา ก่อนที่เรื่องทั้งหลายจะลบเลือนไปจากความทรงจำ...ของเธอฝ่ายเดียว หากยังชัดแจ้งอยู่ในใจเขาถึงบัดนี้
ก็อาจจะเหมือนใครอื่นอีกมากมาย ที่ได้โคจรมาพบเจอกัน ได้แลกเปลี่ยนเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา ความคิดและความรู้สึก สุขและเศร้าในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สำหรับเธอแล้ว...เขาอยู่ตรงไหนเล่า?
เขาจำเป็นต้องรู้ ต้องเข้าใจให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่สำคัญในชีวิตเขา
เขาเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ปรารถนาอย่างลึกล้ำจากก้นบึ้งแห่ง วิญญาณ ที่จะล่วงรู้ถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปในเบื้องบนและเบื้องล่าง ทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในและภายนอก จากโลกธาตุใหญ่เท่าอนันตจักรวาลลงมาจนถึงอณูธาตุอันเล็กยิ่งกว่า ควาร์กและโฟตอน
วันต่อวัน เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายไปเรื่อยๆ จนถึงเขาตัดสินใจใช้ไพ่ทำนายชุดนี้ เขาตั้งคำถามด้วยใจนิ่งสงบ ว่า...
ระหว่างเขากับเธอ ควรจะทำเช่นใดต่อไป?
ใบแรกที่เขาขึ้นจับมาได้ คือไพ่ "คู่รัก"
เขาอยากจะลิงโลด แต่อะไรบางอย่างวาบขึ้นมาหน่วงรั้งให้เขายั้งใจ รู้สึกได้...ว่าต้องมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ยิ่งกว่านั้นอีก
เขาจึงเลือกที่จะหยิบไพ่อีกใบหนึ่ง
ใบที่สองกลับเป็นไพ่ "ฤาษี"
มือเขาจับไพ่ไว้ ตาจ้องมองภาพนั้นนิ่งงัน ขณะที่กระแสความรับรู้และการนึกคิดเริ่มจัดเรียงตัว พยายามเชื่อมโยงหาความหมายออกมา
ภาพในไพ่คู่รัก...มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนกุมมือกันอยู่ และหันหน้าไปทางชายชราลึกลับภายใต้ชุดคลุมปกปิดมิดชิด ผู้ที่ยื่นมือทั้งสองออกมาปกเหนือศีรษะของคู่รักในอาการให้พร กามเทพตัวน้อยลอยอยู่อีกมุมเตรียมแผลงศร
ที่สำคัญ...ชายชราผู้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกันมากกับฤาษีที่เดิน ท่อมๆ ถือตะเกียงท่องไปแต่ลำพังผู้เดียวสู่เขตแดนรกเรื้อและอันตราย ในไพ่อีกใบหนึ่ง
และแล้ว ณ ที่นั่น ความเข้าใจอันเรียบง่ายผิดวิสัยเกิดขึ้นกับเขาโดยเฉียบพลัน
"คุณกำลังแสวงหาอะไรอยู่หรือเปล่า?"
มันเป็นประโยคเปิดการสนทนาที่ไม่ปกตินัก แต่ก็ไม่ถึงกับเกินความคาดหมายของหญิงสาว
เธอคว้าสมุดดินสอ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นเผชิญกับผู้มาเยือน
หากเป็นเวลาปกติ เธอคงยินดีจะทักทายหรือแม้แต่หยอกล้อด้วยอัธยาศัยตามสมควร
แต่ไม่ใช่ในเวลาเช่นนี้...เวลาที่ความอึมครึมหนักทึบปกคลุมเหนือท้องฟ้า เวลาที่อารมณ์ปรวนแปรไม่มั่นคง บรรยากาศรอบกายทำให้เธอหงุดหงิดกับอะไรๆ ได้ง่ายเหมือนสิงโตแม่ลูกอ่อนก็ไม่ปาน
...กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีคนเข้ามาแหยมจนได้สิน่า!
"หมายความว่าไงคะ? ที่บอกว่าแสวงหาน่ะ"
"ก็หมายความตามนั้นแหละ" เขายืนยัน ด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจกับสีหน้าและน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเธอแม้แต่น้อย "ไม่ใช่แค่มองหา แต่เป็นแสวงหา"
เธอเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยปนเริ่มนึกขัน จ้องมองเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจ ชายผู้นี้ก็ดูเป็นคน มีตา หู จมูก ปาก รูปร่างใบหน้าไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาอะไรเลย หากเหมือนจะมีบรรยากาศบางอย่างที่แปลกประหลาดอย่างบรรยายไม่ถูกแผ่อยู่รอบๆ ตัวเขา เครื่องแต่งกายของเขาดูออกจะซอมซ่อไปสักนิด คล้ายวัยรุ่นที่ออกท่องโลกกว้างทั่วไป แต่ไม่มีสัญลักษณ์หรือสีสันส่วนไหนแสดงความแกร่งกร้าวห้าวศึกหรือท้าทายสิ่ง ใดในโลก กลับดูเรียบสงบและเหมือนจะยอมจำนน แต่ก็แฝงซ่อนความแกร่งมหาศาลไว้อย่างมั่นคงดุจหินผาภายใต้ผิวหน้านั้น
ชั่วขณะที่ดวงตาคู่นั้น...ดวงตาที่ฉายแววเสมือนผู้ผ่านกาลเวลามายาวนาน ผู้หนึ่ง ผิดกันกับสภาพใบหน้าที่เห็น...ขยับเคลื่อนเลื่อนวิถีมาประสานแน่วนิ่งกับ ดวงตาอีกคู่ของเธอ แล้วก็ราวกับจะเจาะทะลวงเข้าไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ...
เป็นชั่วขณะแห่งความเงียบเพียงอึดใจเดียว แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้ต้องพูดอะไรออกไปเพื่อทำลายความเงียบลง เสียเดี๋ยวนั้น เพื่อต่อต้านความรู้สึกอึดอัดที่ผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่ทราบได้
"แล้วทำไมคุณถึงคิดยังงั้น?"
"ที่นี่มันดูวังเวงไปหน่อยนะ" เขาเริ่มละสายตาจากเธอหันไปมองรอบข้างอย่างช้าๆ "ไม่ใช่ที่เหมาะที่จะนัดเพื่อนมาเฮฮาสังสรรค์เลย แถมท่าทางคุณก็ไม่เหมือนคนที่กำลังรอใครอยู่ด้วยความหวัง...เหมือนไม่รู้ จุดหมายของตัวเองด้วยซ้ำ"
เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับไปอีกหน
"ฉันมาหาที่สงบๆ ทำงานก็เท่านั้นแหละ คุณนี่จะคิดอะไรไปมากมาย"
"ก็อาจจะเป็นได้" ชายลึกลับยังคงเดินทอดน่องมองไปรอบๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่าง "แต่ถึงบรรยากาศจะสงบแค่ไหน ผมก็ว่ามันยากนะที่จะทำงานได้ลื่นไหล ตอนที่มีปมปัญหาค้างคาใจอยู่"
"...โดยเฉพาะเรื่องความรัก"
"ใช่สิ" เธอส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่มือก็หยิบก้อนหินน้อยๆ ที่เคราะห์ร้ายก้อนหนึ่งขว้างลงไปในน้ำดังจ๋อม "คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหญิงสาวแรกแย้ม จะมีเรื่องให้กลุ้มใจอยู่ก็ไม่กี่เรื่องนักหรอก"
ดูเหมือนเธอจะเล็งเป้าหมายใกล้ฝั่งเกินไป น้ำที่กระเด็นขึ้นมาหลายหยดจึงโปรยลงกระทบสมุดในมือเธอ ซึ่งชายผู้นั้นก็สังเกตเห็น พาให้แอบยิ้มขันอยู่เบาๆ
"คนเรานี่ก็แปลกนะ" เขาถอนหายใจเฮือกได้ยินชัดเจน "คิดว่ารู้ว่าตัวเองแสวงหาอะไร เฝ้าบอกตัวเองว่าเมื่อไรหนอจะได้พบเจอ แต่หลายครั้งเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ตรงหน้า...ก็กลับกลัวที่จะคว้าไว้ แล้วยังอาจผลักไสออกไป เพื่อที่จะต้องมาเสียใจในภายหลัง...เมื่อทำสิ่งนั้นหายไปอีกครั้งแล้ว"
เธอยังคงทำนิ่งเฉยอยู่ สายตาเหม่อมองไปข้างหน้า หากในใจกลับรู้สึกถูกกระตุกด้วยข้อความนั้น
"นี่...เป็นความเร้นลับอันยิ่งใหญ่"
ประโยคนั้นมันเป็นสำนวนแปลกประหลาด ที่เธอจำได้เพียงลางๆ ว่าอาจจะเคยอ่านเจอมาในหนังสือที่ไหนสักแห่งเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นใน ชีวิต
"แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรที่นี่กันแน่?" ยิ่งนานไปยิ่งจะทำให้เธอนึกสงสัยในความประสงค์ของชายลึกลับ จนตัดสินใจได้ว่าควรถามออกไปตั้งแต่บัดนี้จะดีกว่า
"งั้นผมถามก่อน..." เขามองเธอนิ่งๆ อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาอ่อนและเบาลง แต่จริงจังยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ถามอีกคำถามนั้นออกไป "คุณจำผมไม่ได้จริงๆ งั้นเหรอ?"
"ไม่เลย" เธอตอบสวนกลับไปทันที
"งั้นผมก็จำคุณไม่ได้เหมือนกัน"
"นี่! อย่ามากวนประสาทกันนะ!"
"เอาล่ะๆ เข้าเรื่องซะทีก็ได้"
คราวนี้เขาเลยถอนตัวออกจากการโต้คารม แล้วเปลี่ยนมาเป็นเริ่มบรรยายความ
"ความจริงนะ ผมเคยรู้จักคุณ...เมื่อนานมาแล้ว ถึงคุณจะจำไม่ได้ก็เหอะ แต่เรื่องนั้น...เอาไว้ทีหลังก็ได้"
"คุณก็คงพอจะรู้ว่าคนเราแสวงหาสิ่งต่างๆ มากมาย และที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดคือ แสวงหาความหมายในชีวิต"
"และเราส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนผู้หลงทาง...ที่ต้องเดินเดาสุ่มไปในกระแส ความเป็นไปของโลกรอบข้างที่เรารู้ได้แค่ส่วนน้อยนิด และรู้สึกว่าไม่มีทางควบคุมมันได้อย่างแท้จริงเลย แล้วเราก็เรียกกระแสที่พัดพาชีวิตเราไปทางนั้นทางนี้ว่า ชะตากรรม บ้างก็เรียกว่า ความบังเอิญ"
...นี่เข้าเรื่องแล้วเหรอเนี่ย? หญิงสาวนึกในใจพลางกลอกตาไปมา แต่สิ่งที่เขาพูดมายาวยืดนั้นก็กระตุ้นให้เธอคิดตามให้ทัน และมันก็ชวนให้เพลิดเพลินบันเทิงสมองดีอยู่ไม่ใช่น้อย
"แต่คุณเคยคิดมั๊ยล่ะ? ว่ามีคนมากมาย ที่ต้องเจอกับปัญหาเดิมๆ ในชีวิตเป็นรูปแบบซ้ำๆ เฉพาะตัว ทั้งที่โลกนี้ก็มีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนที่เหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่าไม่มีความบังเอิญที่แท้จริงในโลกนี้หรอก"
หญิงสาวกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัวขณะที่รอฟังประโยคต่อไป
"แต่จริงๆ แล้วจะมีใคร หรืออะไรเป็นผู้ควบคุมและกำหนดชะตากรรมของผู้คนในโลกนี้ก็ช่างเถอะ คุณรู้มั๊ย...ว่าคุณน่ะ มี ผู้พิทักษ์ชะตา ประจำตัวอยู่ เพื่อช่วยคุณ...ให้รู้วิธีกุมชะตาชีวิตของตัวเอง แล้วรับมือกับกระแสชะตากรรมของโลกภายนอกได้"
ในชั่วอึดใจนั้น เธอพยายามคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานาจากคำถามนั้น แล้วจึงลองย้อนดู
"ขอโทษ คุณเป็นพวกหมอดูหรืออะไรทำนองนั้นรึเปล่า?"
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าอ่านยากนั้นเป็นครั้งแรก "จะว่าใช่ก็ได้"
"แต่คงไม่ใช่อย่างที่คุณคิด"
เขาหยุดเว้นวรรคจังหวะหนึ่งเหมือนกับจะกลั้นใจ แล้วก็กล่าวต่อ
"อันที่จริง...ผมเองนี่แหละ จะเป็นผู้พิทักษ์ชะตากรรมของคุณ"
เป็นประโยคที่ชวนให้เธออึ้งไปชั่วครู่
ตานี่...ท่าทางไม่ค่อยเต็มซะล่ะมั๊ง?
"ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก...เรื่องอะไรๆ มันยังมีอยู่ข้างหน้าอีกยาวไกล"
เขาเริ่มพูดต่อไปขณะที่ยังสังเกตท่าทีของเธออยู่อย่างระมัดระวัง
"สำหรับช่วงนี้ ผมขอบอกไว้ก่อนก็แล้วกันว่า..."
"คุณกำลังจะก้าวไปสู่จุดหมายที่ท้าทายอยู่เบื้องหน้า บางสิ่งที่ถวิลหาแต่ไม่คุ้นเคย แต่ส่วนลึกภายในก็กลับดึงดันที่จะวิ่งหนี หนีไปตามเส้นทางที่มีแต่จะวกกลับสู่ความเคยชินเดิมๆ ที่ที่คุณเริ่มต้น ที่ที่คุณจมหาย ปล่อยตัวเองให้ถูกแผดเผาจากความคับแค้นภายในไปเสียก่อนจะได้ทันเห็นรุ่งเช้า "
"แต่คุณก็จำเป็นต้องเดินหน้าไป ถึงแม้เคยเจอเหตุการณ์เหมือนโลกจะถล่มทลายลงต่อหน้ามาแล้ว แต่คุณก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปในวันนี้...และสู่วันพรุ่งนี้ให้ได้!"
นี่เขาเป็นใครกันแน่!?
หรือที่จริงแล้วเขาเป็นพวกโรคจิตชอบตามตื๊อ? เธอเองก็มีคนแอบชื่นชมสนใจใช่ว่าจะน้อยๆ อยู่เมื่อไหร่
ไม่สิ...ถ้าเป็นแค่คนแอบติดตาม จะรู้ถึงขนาดนี้ได้ยังไง? ไม่ ไม่มีทางหรอก...
ภายใต้เปลือกของหญิงสาวมาดมั่นทระนง ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ผู้ร่าเริงเสมอในหมู่เพื่อนๆ ผู้ไม่เคยยอมแพ้แม้จะล้มลุกคลุกคลานสักแค่ไหน...เว้นแต่เพียงเรื่องเดียว... เรื่องเดียวเท่านั้นจริงๆ...
สิ่งที่ได้ฟังมันไปกระตุ้นสิ่งที่เหมือนหนามยอกอกเมื่อนานแสนนาน ให้พิษอันแสนหวานกลับกระจายพลุ่งขึ้นอีกครั้ง
"เพราะแบบนี้แหละ ที่จำเป็นสำหรับคุณตอนนี้...ก็คือผู้พิทักษ์ และผู้นำทาง"
ระหว่างที่เธอยังชะงักค้างคา เขาทำเหมือนได้ใจรุกต่อไปด้วยท่าทีราบเรียบเช่นเดิม ยากจะคาดเดาจุดประสงค์ได้
"ตอนนี้คุณคงพอรู้แล้ว..."
"ทั้งส่วนที่เข้มแข็ง จุดที่อ่อนแอ ส่วนที่งดงามและส่วนที่น่าเกลียดน่ากลัว...ผมรู้จักคุณดีกว่าที่คุณอาจจะคาดถึง"
"หมายความว่าไงฮะ?!?" การต่อปากต่อคำของเธอคราวนี้กลับอ่อนแรงลง ด้วยยังไม่หายตระหนกจากสิ่งที่ได้ยิน...มันมากเกินกว่าที่เธอจะรับได้ในเวลา สั้นๆ เช่นนี้ สิ่งทั้งหลายที่เธอเตรียมตั้งไว้กีดขวางป้องกันตัวเอง ถูกทำให้พลัดหล่นกระเจิงกระจายไปชั่วคราว
เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะเหมือนระฆังสัญญาณ เธอทำหน้าเจื่อน ก้มลงมองท้องตัวเองแล้วยกนาฬิกาขึ้นมองอีกครั้ง
"ฉันจะไปเดินตลาดก่อน" น้ำเสียงของเธอเจือปนอยู่ด้วยทั้งความโล่งใจและความเสียดายลึกๆ ต่อสู้แย่งชิงกัน แต่ก็เพียงแผ่วเบาอ่อนระโหย จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะจับสัมผัสจากคำพูดเจื้อยแจ้วนั้น "หิวแล้ว ไม่ได้เตรียมเสบียงมาด้วยสิ"
"ผมไปด้วย เรายังมีเรื่องต้องคุยกันให้จบอยู่"
"..." เธอสาวเท้าเดินจากมาเหมือนจงใจจะสะบัดให้หลุด แต่เขาก็ยังก้าวตามได้อย่างสม่ำเสมอจนเธอต้องยอมแพ้ พอดีกับที่เดินกลับจากวิเวกแห่งธรรมชาติเข้ามาสู่ที่คนจอแจอีกครั้ง
เพื่อนและคนที่เธอรู้จักหลายคนเดินสวนมาบ้างก็ตัดผ่านไป เธอเอ่ยปากทักทายเหมือนเคยแต่ออกจะเกร็งๆ เล็กน้อย เพราะนึกพะวงว่าพวกเขาจะเห็นเธอเดินมากับชายแปลกหน้าคนนั้นรึไม่
...เดี๋ยวกลายเป็นข่าวละก็แย่แน่ๆ เหยื่อ เอ๊ย! เป้าหมายที่เล็งไว้จะพลาดหลุดไปหมดก็คราวนี้แหละ น่าโมโหตาบ้านี่จริงๆ
เธอนึกอย่างเริ่มหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีก ด้วยตาบ้าที่ว่านั่นยังทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เดินประกบไปข้างๆ เธอตลอดทางอย่างน่าอึดอัด แต่ด้วยมารยาทและความหวั่นเกรงคล้ายเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ ที่ยังตกค้างจากเมื่อครู่ เธอก็ได้แต่ทำเย็นชาไม่พูดอะไรออกไป
แต่ตลอดทางที่เดินมา ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีผิดปกติหรือหันมองเขาเลย จนเธอเริ่มนึกแปลกใจแทน
ดูๆ ไปแล้วเธอก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวตนของเขาเบาบางมาก...ในสายตาคนรอบข้าง
ราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอมในโลกนี้ เป็นบุคคลแปลกหน้าที่ใครๆ มองผ่านไปไม่นึกอยากทักทาย อาจไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นกระนั้นแหละ...
ขณะที่กำลังนึกสงสัยพร้อมกับขนแขนที่แล่นลุกขึ้นมาเบาๆ ว่า "ที่จริงเขาเป็นคนอย่างเราๆ รึเปล่า?" นั้น เขาคนนั้นก็หันไปสั่งซื้อลูกชิ้นจากแผงลอยที่เดินผ่านพอดี
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาควักเหรียญยื่นให้พ่อค้าแล้วรับถุงลูกชิ้นมาถือเดินนำหน้าเธอไป แล้วยังจะหันมามองอย่างข้องใจในสีหน้าแปลกๆ ของเธออีก
เธอก้าวตาม จนไปถึงม้านั่งแห่งหนึ่งข้างทางเดินสวนสาธารณะแห่งนั้น ทั้งคู่จึงนั่งลงพัก
"ถ้ามีของกินแล้ว ก็คุยธุระกันต่อเถอะ"
หลังจากขย้ำเสบียงอาหารกันไปพอประทัง หลังจากย้ายมาอยู่ในบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายสบายใจมากขึ้น มากพอจะเริ่มคุยล้อเล่นและถามคำถามเอากับเขาบ้าง
...แต่ลึกๆ นั้นเธอต้องการช่วงชิงความได้เปรียบกลับมา ต้องการค้นหาเรื่องราวของเขาให้มากกว่านี้ รวมทั้งอาจจะจับผิดว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่...
เธอไม่อยากตกอยู่ในสภาพเด็กหลงทางตัวเล็กๆ ที่ตกกระไดพลอยโจนมานั่งฟังตาลุงแปลกหน้าเล่านิทานที่ดูเหมือนโม้หลุดโลก อยู่ต่อไปอีกนานๆ หรอก
"เอาเป็นว่า...ผู้พิทักษ์ชะตากรรมจะช่วยอะไรฉันได้มั่งล่ะนี่ หืม?"
"ก็แล้วคุณกำลังแสวงหาอะไรอยู่ล่ะ?"
เขาย้อนถามคำถามเดิมตั้งแต่ตอนแรกอย่างยียวนเล็กๆ
"ชิ! ยังไม่ลืมอีกนะ"
"ช่วยไม่ได้...คุณต้องตอบคำถามนี้ก่อนเป็นอย่างแรกสุด กฎเป็นอย่างนั้น"
ในชั่วขณะนั้น เธอชั่งใจอย่างมหาศาลว่าควรเล่าเรื่องราวในใจให้ชายพิลึกๆ คนนี้ฟังดีหรือไม่ เป็นชั่วกาลที่ราวกับโลกจะหยุดหมุนไป
"ก็ได้ๆ อย่างอื่นฉันมั่นใจว่าฉันลุยต่อไปข้างหน้าได้หมด เรื่องที่ห่วงตอนนี้ก็เลยมีอยู่เรื่องเดียว ...เรื่องความรักน่ะ" เธอก้มหน้าเล็กน้อย ทำไมต้องอายด้วยก็ไม่รู้สิ? หรือเสียหน้าที่ต้องเผลอคายความในใจอีกชิ้นหนึ่งออกไปให้เขาด้วยตัวเอง?
"ถ้าคุณรู้เรื่องราวของฉัน ถ้าคุณเป็นผู้พิทักษ์ ถ้าคุณรู้หนทางข้างหน้าจริงๆ ละก็...บอกมาหน่อยเถอะ..."
"ฉันจะหาคนๆ นั้นของฉันเจอได้ที่ไหน??"
เขาไม่ยิ้ม เขาไม่แอบขำ กลับทำหน้าเคร่งขรึมตึงขึ้นมาทันใด น้ำเสียงของเขาเหมือนคนกำลังคุยธุรกิจอยู่จริงๆ
"นั่นแหละ งานหลักที่ผมควรจะช่วยจัดการ"
ยังไม่ทันที่เธอกำลังจะยอมหลุดปากบอกอะไรเขามากไปกว่านั้น เขาลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วเดินเอามือไพล่หลังราวกับคิดว่าเท่ที่สุดแล้ว ไปยืนอยู่หน้าเธอตรงกลางถนน แล้วหันมองไปทั่วๆ รอบทิศ ก่อนจะหันกลับมาถามเธออีกคำถามหนึ่ง
"คุณมีสัญลักษณ์แห่งความรักประจำตัวมั๊ย?"
หญิงสาวเลิกคิ้วสูงให้เห็นอีกคำรบ
"อาจจะเป็นพืช สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หนังสือ หรืออะไรก็ตามแต่ที่คุณเห็นหรือนึกถึงแล้ว มันมีความหมายเกี่ยวพันกับความรักของคุณ...ในทางใดทางนึง"
"สัญลักษณ์เหรอ..." ระบบคิดของเธอคงถูกทำให้ปั่นป่วนเสียจนต้องเค้นสมองทบทวนคำถามอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกได้ว่าควรส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบ
"งั้นการบ้านข้อแรก ไปหาสัญลักษณ์แห่งความรักของคุณมาให้ได้ 6 อย่างก่อน...ผมถึงจะช่วยคุณต่อไปได้"
"หา!?"
ปฏิบัติการตามหารักแท้ครั้งนี้ เริ่มจะพิลึกพิลั่นเข้าไปทุกที...แต่จะว่าก็คงไม่ได้ ในเมื่อมันพิลึกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นะ?
"ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่จริงๆ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก" เขากล่าวต่อไปอีกพร้อมขยิบตาทีหนึ่ง "ต้องเป็น 6 อย่างที่มีความหมายกับคุณมากที่สุดเท่านั้น และจะยิ่งดีมากถ้าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัว ที่คุณคนเดียวเท่านั้นรู้ซึ้งในความหมาย ไม่ใช่ของดาษๆ ทั่วไป"
ช่วงจังหวะนั้นที่เธอเผลอเหลือบลงมองถุงของกินบนหน้าตัก เขาก็ก้าวเดินออกไปเกือบพ้นบริเวณ แล้วหันมาตะโกนบอก
"อาทิตย์หน้าผมจะรออยู่ที่เดิม เวลาเดิม พยายามเข้าล่ะ!"
"นี่!"
เธอรีบลุกพรวดขึ้นพลางตะโกนไล่หลัง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ "ขอถามอีกอย่างเถอะ"
"เรื่องสำคัญคุณยังไม่ได้บอกฉันเลย มีเหตุผลอะไรกันแน่...ที่คุณต้องมาเป็นผู้พิทักษ์ชะตาของฉัน?"
เขายืนนิ่ง...เหมือนจะเนิ่นนานจนเธอกระสับกระส่าย เริ่มหมดความอดทน เขาก็หันหน้ากลับมาช้าๆ แล้วกล่าวตอบในที่สุด
"เราทั้งหลาย ในแต่ละช่วงบนเส้นทางที่ยาวไกล ต่างก็มักจะติดค้างหนี้บางอย่างไว้กับใครๆ อื่นอีกมากมายนัก" ความนิ่งในน้ำเสียงนั้นสั่นคลอนอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก "ที่ผมทำอยู่ก็เป็นความพยายามหนึ่งที่จะชดใช้ หรือช่วยปรับเปลี่ยนสิ่งที่เคยมีระหว่างกัน จากลบให้กลับเป็นบวก จากศูนย์ก็ให้กลับมีเพิ่มพูนขึ้น ...ถึงแม้สุดท้ายปลายหนทางจะบอกได้ยากว่าจะลงเอยยังไงกันแน่"
"...ก็มีแต่ต้องคอยดูกันต่อไป"
"แล้วเจอกัน"
บนม้ายาวในสวนสาธารณะตัวอื่น ในเวลาอื่นหลังจากนั้น บุรุษลึกลับกำลังนั่งสำรวจสมบัติส่วนตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกล่องไม้บุผ้าไหมสีเข้มภายในอีกชั้น มันเป็นสำรับไพ่ที่ใช้ในการทำนาย
เมื่อครั้งนั้น...
ช่วงแรกๆ ที่เธอรู้จักกับเขา ก่อนที่เรื่องทั้งหลายจะลบเลือนไปจากความทรงจำ...ของเธอฝ่ายเดียว หากยังชัดแจ้งอยู่ในใจเขาถึงบัดนี้
ก็อาจจะเหมือนใครอื่นอีกมากมาย ที่ได้โคจรมาพบเจอกัน ได้แลกเปลี่ยนเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา ความคิดและความรู้สึก สุขและเศร้าในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สำหรับเธอแล้ว...เขาอยู่ตรงไหนเล่า?
เขาจำเป็นต้องรู้ ต้องเข้าใจให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่สำคัญในชีวิตเขา
เขาเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ปรารถนาอย่างลึกล้ำจากก้นบึ้งแห่ง วิญญาณ ที่จะล่วงรู้ถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปในเบื้องบนและเบื้องล่าง ทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในและภายนอก จากโลกธาตุใหญ่เท่าอนันตจักรวาลลงมาจนถึงอณูธาตุอันเล็กยิ่งกว่า ควาร์กและโฟตอน
วันต่อวัน เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายไปเรื่อยๆ จนถึงเขาตัดสินใจใช้ไพ่ทำนายชุดนี้ เขาตั้งคำถามด้วยใจนิ่งสงบ ว่า...
ระหว่างเขากับเธอ ควรจะทำเช่นใดต่อไป?
ใบแรกที่เขาขึ้นจับมาได้ คือไพ่ "คู่รัก"
เขาอยากจะลิงโลด แต่อะไรบางอย่างวาบขึ้นมาหน่วงรั้งให้เขายั้งใจ รู้สึกได้...ว่าต้องมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ยิ่งกว่านั้นอีก
เขาจึงเลือกที่จะหยิบไพ่อีกใบหนึ่ง
ใบที่สองกลับเป็นไพ่ "ฤาษี"
มือเขาจับไพ่ไว้ ตาจ้องมองภาพนั้นนิ่งงัน ขณะที่กระแสความรับรู้และการนึกคิดเริ่มจัดเรียงตัว พยายามเชื่อมโยงหาความหมายออกมา
ภาพในไพ่คู่รัก...มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนกุมมือกันอยู่ และหันหน้าไปทางชายชราลึกลับภายใต้ชุดคลุมปกปิดมิดชิด ผู้ที่ยื่นมือทั้งสองออกมาปกเหนือศีรษะของคู่รักในอาการให้พร กามเทพตัวน้อยลอยอยู่อีกมุมเตรียมแผลงศร
ที่สำคัญ...ชายชราผู้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกันมากกับฤาษีที่เดิน ท่อมๆ ถือตะเกียงท่องไปแต่ลำพังผู้เดียวสู่เขตแดนรกเรื้อและอันตราย ในไพ่อีกใบหนึ่ง
และแล้ว ณ ที่นั่น ความเข้าใจอันเรียบง่ายผิดวิสัยเกิดขึ้นกับเขาโดยเฉียบพลัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น