ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แหกชะตา ผ่าทางรัก (Love Against All Fate)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 51


    ตอนที่ 1

    "คุณกำลังแสวงหาอะไรอยู่หรือเปล่า?"
    มันเป็นประโยคเปิดการสนทนาที่ไม่ปกตินัก แต่ก็ไม่ถึงกับเกินความคาดหมายของหญิงสาว
    เธอคว้าสมุดดินสอ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นเผชิญกับผู้มาเยือน
    หากเป็นเวลาปกติ เธอคงยินดีจะทักทายหรือแม้แต่หยอกล้อด้วยอัธยาศัยตามสมควร
    แต่ไม่ใช่ในเวลาเช่นนี้...เวลาที่ความอึมครึมหนักทึบปกคลุมเหนือท้องฟ้า เวลาที่อารมณ์ปรวนแปรไม่มั่นคง บรรยากาศรอบกายทำให้เธอหงุดหงิดกับอะไรๆ ได้ง่ายเหมือนสิงโตแม่ลูกอ่อนก็ไม่ปาน
    ...กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีคนเข้ามาแหยมจนได้สิน่า!

    "หมายความว่าไงคะ? ที่บอกว่าแสวงหาน่ะ"
    "ก็หมายความตามนั้นแหละ" เขายืนยัน ด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจกับสีหน้าและน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเธอแม้แต่น้อย "ไม่ใช่แค่มองหา แต่เป็นแสวงหา"

    เธอเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยปนเริ่มนึกขัน จ้องมองเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจ ชายผู้นี้ก็ดูเป็นคน มีตา หู จมูก ปาก รูปร่างใบหน้าไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาอะไรเลย หากเหมือนจะมีบรรยากาศบางอย่างที่แปลกประหลาดอย่างบรรยายไม่ถูกแผ่อยู่รอบๆ ตัวเขา เครื่องแต่งกายของเขาดูออกจะซอมซ่อไปสักนิด คล้ายวัยรุ่นที่ออกท่องโลกกว้างทั่วไป แต่ไม่มีสัญลักษณ์หรือสีสันส่วนไหนแสดงความแกร่งกร้าวห้าวศึกหรือท้าทายสิ่ง ใดในโลก กลับดูเรียบสงบและเหมือนจะยอมจำนน แต่ก็แฝงซ่อนความแกร่งมหาศาลไว้อย่างมั่นคงดุจหินผาภายใต้ผิวหน้านั้น

    ชั่วขณะที่ดวงตาคู่นั้น...ดวงตาที่ฉายแววเสมือนผู้ผ่านกาลเวลามายาวนาน ผู้หนึ่ง ผิดกันกับสภาพใบหน้าที่เห็น...ขยับเคลื่อนเลื่อนวิถีมาประสานแน่วนิ่งกับ ดวงตาอีกคู่ของเธอ แล้วก็ราวกับจะเจาะทะลวงเข้าไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ...
    เป็นชั่วขณะแห่งความเงียบเพียงอึดใจเดียว แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้ต้องพูดอะไรออกไปเพื่อทำลายความเงียบลง เสียเดี๋ยวนั้น เพื่อต่อต้านความรู้สึกอึดอัดที่ผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่ทราบได้
    "แล้วทำไมคุณถึงคิดยังงั้น?"

    "ที่นี่มันดูวังเวงไปหน่อยนะ" เขาเริ่มละสายตาจากเธอหันไปมองรอบข้างอย่างช้าๆ "ไม่ใช่ที่เหมาะที่จะนัดเพื่อนมาเฮฮาสังสรรค์เลย แถมท่าทางคุณก็ไม่เหมือนคนที่กำลังรอใครอยู่ด้วยความหวัง...เหมือนไม่รู้ จุดหมายของตัวเองด้วยซ้ำ"

    เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับไปอีกหน
    "ฉันมาหาที่สงบๆ ทำงานก็เท่านั้นแหละ คุณนี่จะคิดอะไรไปมากมาย"

    "ก็อาจจะเป็นได้" ชายลึกลับยังคงเดินทอดน่องมองไปรอบๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่าง "แต่ถึงบรรยากาศจะสงบแค่ไหน ผมก็ว่ามันยากนะที่จะทำงานได้ลื่นไหล ตอนที่มีปมปัญหาค้างคาใจอยู่"
    "...โดยเฉพาะเรื่องความรัก"

    "ใช่สิ" เธอส่ายหน้าเบาๆ ขณะที่มือก็หยิบก้อนหินน้อยๆ ที่เคราะห์ร้ายก้อนหนึ่งขว้างลงไปในน้ำดังจ๋อม "คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหญิงสาวแรกแย้ม จะมีเรื่องให้กลุ้มใจอยู่ก็ไม่กี่เรื่องนักหรอก"
    ดูเหมือนเธอจะเล็งเป้าหมายใกล้ฝั่งเกินไป น้ำที่กระเด็นขึ้นมาหลายหยดจึงโปรยลงกระทบสมุดในมือเธอ ซึ่งชายผู้นั้นก็สังเกตเห็น พาให้แอบยิ้มขันอยู่เบาๆ

    "คนเรานี่ก็แปลกนะ" เขาถอนหายใจเฮือกได้ยินชัดเจน "คิดว่ารู้ว่าตัวเองแสวงหาอะไร เฝ้าบอกตัวเองว่าเมื่อไรหนอจะได้พบเจอ แต่หลายครั้งเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ตรงหน้า...ก็กลับกลัวที่จะคว้าไว้ แล้วยังอาจผลักไสออกไป เพื่อที่จะต้องมาเสียใจในภายหลัง...เมื่อทำสิ่งนั้นหายไปอีกครั้งแล้ว"
    เธอยังคงทำนิ่งเฉยอยู่ สายตาเหม่อมองไปข้างหน้า หากในใจกลับรู้สึกถูกกระตุกด้วยข้อความนั้น

    "นี่...เป็นความเร้นลับอันยิ่งใหญ่"

    ประโยคนั้นมันเป็นสำนวนแปลกประหลาด ที่เธอจำได้เพียงลางๆ ว่าอาจจะเคยอ่านเจอมาในหนังสือที่ไหนสักแห่งเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นใน ชีวิต

    "แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรที่นี่กันแน่?" ยิ่งนานไปยิ่งจะทำให้เธอนึกสงสัยในความประสงค์ของชายลึกลับ จนตัดสินใจได้ว่าควรถามออกไปตั้งแต่บัดนี้จะดีกว่า

    "งั้นผมถามก่อน..." เขามองเธอนิ่งๆ อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาอ่อนและเบาลง แต่จริงจังยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ถามอีกคำถามนั้นออกไป "คุณจำผมไม่ได้จริงๆ งั้นเหรอ?"
    "ไม่เลย" เธอตอบสวนกลับไปทันที
    "งั้นผมก็จำคุณไม่ได้เหมือนกัน"
    "นี่! อย่ามากวนประสาทกันนะ!"

    "เอาล่ะๆ เข้าเรื่องซะทีก็ได้"
    คราวนี้เขาเลยถอนตัวออกจากการโต้คารม แล้วเปลี่ยนมาเป็นเริ่มบรรยายความ
    "ความจริงนะ ผมเคยรู้จักคุณ...เมื่อนานมาแล้ว ถึงคุณจะจำไม่ได้ก็เหอะ แต่เรื่องนั้น...เอาไว้ทีหลังก็ได้"
    "คุณก็คงพอจะรู้ว่าคนเราแสวงหาสิ่งต่างๆ มากมาย และที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดคือ แสวงหาความหมายในชีวิต"
    "และเราส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนผู้หลงทาง...ที่ต้องเดินเดาสุ่มไปในกระแส ความเป็นไปของโลกรอบข้างที่เรารู้ได้แค่ส่วนน้อยนิด และรู้สึกว่าไม่มีทางควบคุมมันได้อย่างแท้จริงเลย แล้วเราก็เรียกกระแสที่พัดพาชีวิตเราไปทางนั้นทางนี้ว่า ชะตากรรม บ้างก็เรียกว่า ความบังเอิญ"
    ...นี่เข้าเรื่องแล้วเหรอเนี่ย? หญิงสาวนึกในใจพลางกลอกตาไปมา แต่สิ่งที่เขาพูดมายาวยืดนั้นก็กระตุ้นให้เธอคิดตามให้ทัน และมันก็ชวนให้เพลิดเพลินบันเทิงสมองดีอยู่ไม่ใช่น้อย

    "แต่คุณเคยคิดมั๊ยล่ะ? ว่ามีคนมากมาย ที่ต้องเจอกับปัญหาเดิมๆ ในชีวิตเป็นรูปแบบซ้ำๆ เฉพาะตัว ทั้งที่โลกนี้ก็มีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนที่เหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่าไม่มีความบังเอิญที่แท้จริงในโลกนี้หรอก"
    หญิงสาวกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัวขณะที่รอฟังประโยคต่อไป

    "แต่จริงๆ แล้วจะมีใคร หรืออะไรเป็นผู้ควบคุมและกำหนดชะตากรรมของผู้คนในโลกนี้ก็ช่างเถอะ คุณรู้มั๊ย...ว่าคุณน่ะ มี ผู้พิทักษ์ชะตา ประจำตัวอยู่ เพื่อช่วยคุณ...ให้รู้วิธีกุมชะตาชีวิตของตัวเอง แล้วรับมือกับกระแสชะตากรรมของโลกภายนอกได้"

    ในชั่วอึดใจนั้น เธอพยายามคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานาจากคำถามนั้น แล้วจึงลองย้อนดู
    "ขอโทษ คุณเป็นพวกหมอดูหรืออะไรทำนองนั้นรึเปล่า?"
    รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าอ่านยากนั้นเป็นครั้งแรก "จะว่าใช่ก็ได้"
    "แต่คงไม่ใช่อย่างที่คุณคิด"
    เขาหยุดเว้นวรรคจังหวะหนึ่งเหมือนกับจะกลั้นใจ แล้วก็กล่าวต่อ
    "อันที่จริง...ผมเองนี่แหละ จะเป็นผู้พิทักษ์ชะตากรรมของคุณ"

    เป็นประโยคที่ชวนให้เธออึ้งไปชั่วครู่
    ตานี่...ท่าทางไม่ค่อยเต็มซะล่ะมั๊ง?

    "ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก...เรื่องอะไรๆ มันยังมีอยู่ข้างหน้าอีกยาวไกล"
    เขาเริ่มพูดต่อไปขณะที่ยังสังเกตท่าทีของเธออยู่อย่างระมัดระวัง

    "สำหรับช่วงนี้ ผมขอบอกไว้ก่อนก็แล้วกันว่า..."
    "คุณกำลังจะก้าวไปสู่จุดหมายที่ท้าทายอยู่เบื้องหน้า บางสิ่งที่ถวิลหาแต่ไม่คุ้นเคย แต่ส่วนลึกภายในก็กลับดึงดันที่จะวิ่งหนี หนีไปตามเส้นทางที่มีแต่จะวกกลับสู่ความเคยชินเดิมๆ ที่ที่คุณเริ่มต้น ที่ที่คุณจมหาย ปล่อยตัวเองให้ถูกแผดเผาจากความคับแค้นภายในไปเสียก่อนจะได้ทันเห็นรุ่งเช้า "
    "แต่คุณก็จำเป็นต้องเดินหน้าไป ถึงแม้เคยเจอเหตุการณ์เหมือนโลกจะถล่มทลายลงต่อหน้ามาแล้ว แต่คุณก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปในวันนี้...และสู่วันพรุ่งนี้ให้ได้!"

    นี่เขาเป็นใครกันแน่!?
    หรือที่จริงแล้วเขาเป็นพวกโรคจิตชอบตามตื๊อ? เธอเองก็มีคนแอบชื่นชมสนใจใช่ว่าจะน้อยๆ อยู่เมื่อไหร่
    ไม่สิ...ถ้าเป็นแค่คนแอบติดตาม จะรู้ถึงขนาดนี้ได้ยังไง? ไม่ ไม่มีทางหรอก...

    ภายใต้เปลือกของหญิงสาวมาดมั่นทระนง ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ผู้ร่าเริงเสมอในหมู่เพื่อนๆ ผู้ไม่เคยยอมแพ้แม้จะล้มลุกคลุกคลานสักแค่ไหน...เว้นแต่เพียงเรื่องเดียว... เรื่องเดียวเท่านั้นจริงๆ...
    สิ่งที่ได้ฟังมันไปกระตุ้นสิ่งที่เหมือนหนามยอกอกเมื่อนานแสนนาน ให้พิษอันแสนหวานกลับกระจายพลุ่งขึ้นอีกครั้ง

    "เพราะแบบนี้แหละ ที่จำเป็นสำหรับคุณตอนนี้...ก็คือผู้พิทักษ์ และผู้นำทาง"
    ระหว่างที่เธอยังชะงักค้างคา เขาทำเหมือนได้ใจรุกต่อไปด้วยท่าทีราบเรียบเช่นเดิม ยากจะคาดเดาจุดประสงค์ได้
    "ตอนนี้คุณคงพอรู้แล้ว..."
    "ทั้งส่วนที่เข้มแข็ง จุดที่อ่อนแอ ส่วนที่งดงามและส่วนที่น่าเกลียดน่ากลัว...ผมรู้จักคุณดีกว่าที่คุณอาจจะคาดถึง"
    "หมายความว่าไงฮะ?!?" การต่อปากต่อคำของเธอคราวนี้กลับอ่อนแรงลง ด้วยยังไม่หายตระหนกจากสิ่งที่ได้ยิน...มันมากเกินกว่าที่เธอจะรับได้ในเวลา สั้นๆ เช่นนี้ สิ่งทั้งหลายที่เธอเตรียมตั้งไว้กีดขวางป้องกันตัวเอง ถูกทำให้พลัดหล่นกระเจิงกระจายไปชั่วคราว

    เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะเหมือนระฆังสัญญาณ เธอทำหน้าเจื่อน ก้มลงมองท้องตัวเองแล้วยกนาฬิกาขึ้นมองอีกครั้ง
    "ฉันจะไปเดินตลาดก่อน" น้ำเสียงของเธอเจือปนอยู่ด้วยทั้งความโล่งใจและความเสียดายลึกๆ ต่อสู้แย่งชิงกัน แต่ก็เพียงแผ่วเบาอ่อนระโหย จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะจับสัมผัสจากคำพูดเจื้อยแจ้วนั้น "หิวแล้ว ไม่ได้เตรียมเสบียงมาด้วยสิ"

    "ผมไปด้วย เรายังมีเรื่องต้องคุยกันให้จบอยู่"
    "..." เธอสาวเท้าเดินจากมาเหมือนจงใจจะสะบัดให้หลุด แต่เขาก็ยังก้าวตามได้อย่างสม่ำเสมอจนเธอต้องยอมแพ้ พอดีกับที่เดินกลับจากวิเวกแห่งธรรมชาติเข้ามาสู่ที่คนจอแจอีกครั้ง

    เพื่อนและคนที่เธอรู้จักหลายคนเดินสวนมาบ้างก็ตัดผ่านไป เธอเอ่ยปากทักทายเหมือนเคยแต่ออกจะเกร็งๆ เล็กน้อย เพราะนึกพะวงว่าพวกเขาจะเห็นเธอเดินมากับชายแปลกหน้าคนนั้นรึไม่
    ...เดี๋ยวกลายเป็นข่าวละก็แย่แน่ๆ เหยื่อ เอ๊ย! เป้าหมายที่เล็งไว้จะพลาดหลุดไปหมดก็คราวนี้แหละ น่าโมโหตาบ้านี่จริงๆ
    เธอนึกอย่างเริ่มหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีก ด้วยตาบ้าที่ว่านั่นยังทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เดินประกบไปข้างๆ เธอตลอดทางอย่างน่าอึดอัด แต่ด้วยมารยาทและความหวั่นเกรงคล้ายเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ ที่ยังตกค้างจากเมื่อครู่ เธอก็ได้แต่ทำเย็นชาไม่พูดอะไรออกไป
    แต่ตลอดทางที่เดินมา ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีผิดปกติหรือหันมองเขาเลย จนเธอเริ่มนึกแปลกใจแทน

    ดูๆ ไปแล้วเธอก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวตนของเขาเบาบางมาก...ในสายตาคนรอบข้าง
    ราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอมในโลกนี้ เป็นบุคคลแปลกหน้าที่ใครๆ มองผ่านไปไม่นึกอยากทักทาย อาจไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นกระนั้นแหละ...

    ขณะที่กำลังนึกสงสัยพร้อมกับขนแขนที่แล่นลุกขึ้นมาเบาๆ ว่า "ที่จริงเขาเป็นคนอย่างเราๆ รึเปล่า?" นั้น เขาคนนั้นก็หันไปสั่งซื้อลูกชิ้นจากแผงลอยที่เดินผ่านพอดี
    ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาควักเหรียญยื่นให้พ่อค้าแล้วรับถุงลูกชิ้นมาถือเดินนำหน้าเธอไป แล้วยังจะหันมามองอย่างข้องใจในสีหน้าแปลกๆ ของเธออีก
    เธอก้าวตาม จนไปถึงม้านั่งแห่งหนึ่งข้างทางเดินสวนสาธารณะแห่งนั้น ทั้งคู่จึงนั่งลงพัก
    "ถ้ามีของกินแล้ว ก็คุยธุระกันต่อเถอะ"
    หลังจากขย้ำเสบียงอาหารกันไปพอประทัง หลังจากย้ายมาอยู่ในบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายสบายใจมากขึ้น มากพอจะเริ่มคุยล้อเล่นและถามคำถามเอากับเขาบ้าง
    ...แต่ลึกๆ นั้นเธอต้องการช่วงชิงความได้เปรียบกลับมา ต้องการค้นหาเรื่องราวของเขาให้มากกว่านี้ รวมทั้งอาจจะจับผิดว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่...
    เธอไม่อยากตกอยู่ในสภาพเด็กหลงทางตัวเล็กๆ ที่ตกกระไดพลอยโจนมานั่งฟังตาลุงแปลกหน้าเล่านิทานที่ดูเหมือนโม้หลุดโลก อยู่ต่อไปอีกนานๆ หรอก

    "เอาเป็นว่า...ผู้พิทักษ์ชะตากรรมจะช่วยอะไรฉันได้มั่งล่ะนี่ หืม?"
    "ก็แล้วคุณกำลังแสวงหาอะไรอยู่ล่ะ?"
    เขาย้อนถามคำถามเดิมตั้งแต่ตอนแรกอย่างยียวนเล็กๆ
    "ชิ! ยังไม่ลืมอีกนะ"
    "ช่วยไม่ได้...คุณต้องตอบคำถามนี้ก่อนเป็นอย่างแรกสุด กฎเป็นอย่างนั้น"

    ในชั่วขณะนั้น เธอชั่งใจอย่างมหาศาลว่าควรเล่าเรื่องราวในใจให้ชายพิลึกๆ คนนี้ฟังดีหรือไม่ เป็นชั่วกาลที่ราวกับโลกจะหยุดหมุนไป
    "ก็ได้ๆ อย่างอื่นฉันมั่นใจว่าฉันลุยต่อไปข้างหน้าได้หมด เรื่องที่ห่วงตอนนี้ก็เลยมีอยู่เรื่องเดียว ...เรื่องความรักน่ะ" เธอก้มหน้าเล็กน้อย ทำไมต้องอายด้วยก็ไม่รู้สิ? หรือเสียหน้าที่ต้องเผลอคายความในใจอีกชิ้นหนึ่งออกไปให้เขาด้วยตัวเอง?
    "ถ้าคุณรู้เรื่องราวของฉัน ถ้าคุณเป็นผู้พิทักษ์ ถ้าคุณรู้หนทางข้างหน้าจริงๆ ละก็...บอกมาหน่อยเถอะ..."
    "ฉันจะหาคนๆ นั้นของฉันเจอได้ที่ไหน??"
    เขาไม่ยิ้ม เขาไม่แอบขำ กลับทำหน้าเคร่งขรึมตึงขึ้นมาทันใด น้ำเสียงของเขาเหมือนคนกำลังคุยธุรกิจอยู่จริงๆ
    "นั่นแหละ งานหลักที่ผมควรจะช่วยจัดการ"

    ยังไม่ทันที่เธอกำลังจะยอมหลุดปากบอกอะไรเขามากไปกว่านั้น เขาลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วเดินเอามือไพล่หลังราวกับคิดว่าเท่ที่สุดแล้ว ไปยืนอยู่หน้าเธอตรงกลางถนน แล้วหันมองไปทั่วๆ รอบทิศ ก่อนจะหันกลับมาถามเธออีกคำถามหนึ่ง
    "คุณมีสัญลักษณ์แห่งความรักประจำตัวมั๊ย?"
    หญิงสาวเลิกคิ้วสูงให้เห็นอีกคำรบ
    "อาจจะเป็นพืช สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หนังสือ หรืออะไรก็ตามแต่ที่คุณเห็นหรือนึกถึงแล้ว มันมีความหมายเกี่ยวพันกับความรักของคุณ...ในทางใดทางนึง"

    "สัญลักษณ์เหรอ..." ระบบคิดของเธอคงถูกทำให้ปั่นป่วนเสียจนต้องเค้นสมองทบทวนคำถามอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกได้ว่าควรส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบ
    "งั้นการบ้านข้อแรก ไปหาสัญลักษณ์แห่งความรักของคุณมาให้ได้ 6 อย่างก่อน...ผมถึงจะช่วยคุณต่อไปได้"
    "หา!?"
    ปฏิบัติการตามหารักแท้ครั้งนี้ เริ่มจะพิลึกพิลั่นเข้าไปทุกที...แต่จะว่าก็คงไม่ได้ ในเมื่อมันพิลึกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นะ?

    "ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่จริงๆ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก" เขากล่าวต่อไปอีกพร้อมขยิบตาทีหนึ่ง "ต้องเป็น 6 อย่างที่มีความหมายกับคุณมากที่สุดเท่านั้น และจะยิ่งดีมากถ้าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัว ที่คุณคนเดียวเท่านั้นรู้ซึ้งในความหมาย ไม่ใช่ของดาษๆ ทั่วไป"
    ช่วงจังหวะนั้นที่เธอเผลอเหลือบลงมองถุงของกินบนหน้าตัก เขาก็ก้าวเดินออกไปเกือบพ้นบริเวณ แล้วหันมาตะโกนบอก
    "อาทิตย์หน้าผมจะรออยู่ที่เดิม เวลาเดิม พยายามเข้าล่ะ!"

    "นี่!"
    เธอรีบลุกพรวดขึ้นพลางตะโกนไล่หลัง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ "ขอถามอีกอย่างเถอะ"
    "เรื่องสำคัญคุณยังไม่ได้บอกฉันเลย มีเหตุผลอะไรกันแน่...ที่คุณต้องมาเป็นผู้พิทักษ์ชะตาของฉัน?"
    เขายืนนิ่ง...เหมือนจะเนิ่นนานจนเธอกระสับกระส่าย เริ่มหมดความอดทน เขาก็หันหน้ากลับมาช้าๆ แล้วกล่าวตอบในที่สุด
    "เราทั้งหลาย ในแต่ละช่วงบนเส้นทางที่ยาวไกล ต่างก็มักจะติดค้างหนี้บางอย่างไว้กับใครๆ อื่นอีกมากมายนัก" ความนิ่งในน้ำเสียงนั้นสั่นคลอนอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก "ที่ผมทำอยู่ก็เป็นความพยายามหนึ่งที่จะชดใช้ หรือช่วยปรับเปลี่ยนสิ่งที่เคยมีระหว่างกัน จากลบให้กลับเป็นบวก จากศูนย์ก็ให้กลับมีเพิ่มพูนขึ้น ...ถึงแม้สุดท้ายปลายหนทางจะบอกได้ยากว่าจะลงเอยยังไงกันแน่"
    "...ก็มีแต่ต้องคอยดูกันต่อไป"
    "แล้วเจอกัน"

    บนม้ายาวในสวนสาธารณะตัวอื่น ในเวลาอื่นหลังจากนั้น บุรุษลึกลับกำลังนั่งสำรวจสมบัติส่วนตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกล่องไม้บุผ้าไหมสีเข้มภายในอีกชั้น มันเป็นสำรับไพ่ที่ใช้ในการทำนาย

    เมื่อครั้งนั้น...
    ช่วงแรกๆ ที่เธอรู้จักกับเขา ก่อนที่เรื่องทั้งหลายจะลบเลือนไปจากความทรงจำ...ของเธอฝ่ายเดียว หากยังชัดแจ้งอยู่ในใจเขาถึงบัดนี้
    ก็อาจจะเหมือนใครอื่นอีกมากมาย ที่ได้โคจรมาพบเจอกัน ได้แลกเปลี่ยนเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา ความคิดและความรู้สึก สุขและเศร้าในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สำหรับเธอแล้ว...เขาอยู่ตรงไหนเล่า?
    เขาจำเป็นต้องรู้ ต้องเข้าใจให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่สำคัญในชีวิตเขา

    เขาเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ปรารถนาอย่างลึกล้ำจากก้นบึ้งแห่ง วิญญาณ ที่จะล่วงรู้ถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปในเบื้องบนและเบื้องล่าง ทั้งสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในและภายนอก จากโลกธาตุใหญ่เท่าอนันตจักรวาลลงมาจนถึงอณูธาตุอันเล็กยิ่งกว่า ควาร์กและโฟตอน

    วันต่อวัน เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายไปเรื่อยๆ จนถึงเขาตัดสินใจใช้ไพ่ทำนายชุดนี้ เขาตั้งคำถามด้วยใจนิ่งสงบ ว่า...
    ระหว่างเขากับเธอ ควรจะทำเช่นใดต่อไป?

    ใบแรกที่เขาขึ้นจับมาได้ คือไพ่ "คู่รัก"
    เขาอยากจะลิงโลด แต่อะไรบางอย่างวาบขึ้นมาหน่วงรั้งให้เขายั้งใจ รู้สึกได้...ว่าต้องมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ยิ่งกว่านั้นอีก
    เขาจึงเลือกที่จะหยิบไพ่อีกใบหนึ่ง

    ใบที่สองกลับเป็นไพ่ "ฤาษี"
    มือเขาจับไพ่ไว้ ตาจ้องมองภาพนั้นนิ่งงัน ขณะที่กระแสความรับรู้และการนึกคิดเริ่มจัดเรียงตัว พยายามเชื่อมโยงหาความหมายออกมา

    ภาพในไพ่คู่รัก...มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนกุมมือกันอยู่ และหันหน้าไปทางชายชราลึกลับภายใต้ชุดคลุมปกปิดมิดชิด ผู้ที่ยื่นมือทั้งสองออกมาปกเหนือศีรษะของคู่รักในอาการให้พร กามเทพตัวน้อยลอยอยู่อีกมุมเตรียมแผลงศร
    ที่สำคัญ...ชายชราผู้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกันมากกับฤาษีที่เดิน ท่อมๆ ถือตะเกียงท่องไปแต่ลำพังผู้เดียวสู่เขตแดนรกเรื้อและอันตราย ในไพ่อีกใบหนึ่ง

    และแล้ว ณ ที่นั่น ความเข้าใจอันเรียบง่ายผิดวิสัยเกิดขึ้นกับเขาโดยเฉียบพลัน




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×