ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกที่สาปสูญแห่งผู้พเนจรไร้นาม

    ลำดับตอนที่ #14 : กำเนิดมังกรศิลา

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 54


     ตอน กำเนิดมังกรศิลา


    กลางห้วงสมุทรอันลึกที่มองไม่เห็นฝั่งแผ่นดิน มองไม่เห็นร่องรอยของมนุษย์ผู้ใด สตรีผู้ทรงอำนาจได้กล่าวกับสิงโตทะเลซึ่งนอนทอดร่างอยู่บนไหล่ของนางว่า
    "ลูกเอ๋ย! ตัวแม่นั้นพ้นวัยที่จะมีน้ำนมให้เจ้ากินแล้ว จงดื่มเลือดของแม่แทนก่อนเพื่อให้กลับฟื้นเถิด"
    ว่าแล้วสตรีผู้นั้นใช้แขนจุ่มลงไปใต้พื้นน้ำ และกรีดเนื้อเข้ากับหินแหลมคมที่อยู่ในนั้นจนเลือดไหล จากนั้นจึงยกแขนขึ้นมาป้อนเลือดจากแผลเข้าสู่ปากให้สิงโตทะเลตัวนั้นกลืนกิน

    ในชั่วพักหนึ่ง ความร้อนซ่านจากโลหิตข้นๆ ได้ไหลเข้าไปเสริมความอบอุ่นในร่างของสัตว์ตัวน้อย จนมันเริ่มขยับตัวแสดงสัญญาณของการมีชีวิต แต่นางเป็นฝ่ายที่ดูอ่อนล้าลง จึงได้เริ่มทอดกายนอนอยู่กลางท้องทะเลสู่ความหลับไหล โดยให้สิงโตทะเลนั้นนอนอยู่บนหน้าท้องใกล้บริเวณสะดือ  และหยิบเอาแผ่นดินเผารูปดาวห้าแฉกที่ติดตัวมันมาด้วยวางไว้ให้หนุนต่างหมอน และร่างของนางก็กลายเป็นหินใหญ่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่ตอนนั้น

    แล้วก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับมัน เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดไว้
    ด้วยในโลหิตที่มันได้ดื่มกินนั้น ย่อมสืบเชื้อสายผ่านกาลอันยืดยาวมาจากโลหิตแห่ง เทียมาตู และนั่นเองไปปลุกเร้าสายเลือดของ เทียมาตู ที่แฝงอยู่ในตัวมันเช่นกันให้ตื่นขึ้น ในจังหวะเวลาที่ทุกอย่างลงตัวพอดี ที่เจตจำนงอันแรงกล้ากับสสารอันเหมาะสมมาบรรจบกันนั่นเอง

    ร่างของสิงโตทะเลน้อยเริ่มปริฉีกออกพร้อมเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ควันและกลิ่นเหม็นไหม้โชยคลุ้ง และทันใดนั้นเปลวไฟก็ระเบิดออกมาทุกทิศทาง จากภายใต้เปลือกที่เคยเป็นร่างเย็นชืดปกคลุมด้วยขนนุ่มๆ เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ซึ่งบัดนี้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านกระจายหายไปในสายลม
    แล้วกลับปรากฏสิ่งใหม่เติบโตออกมาเป็นมังกรมีร่างกายประดุจก้อนทองแดงที่ไฟลุกโพลงอยู่ มีปีกที่ประกอบด้วยขนเป็นแผงคล้ายปีกของนกดึกดำบรรพ์งอกออกมาสองคู่สี่ข้าง มีดวงตาสามดวง ขาคู่หน้าคู่หลังของมันมีกรงเล็บแหลมยาว ปลายหางของมันคล้ายลุกตุ้มปูดโปนมีเกล็ดหยาบแข็งและมีหนามแหลมยื่นออกมาโดยรอบ

    มันสะบัดเศียรไปรอบๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นสองข้างจับจ้องเขม้นมองไปยังทิศของแผ่นดินใหญ่ที่มันจากมา ส่วนตาดวงที่สามกลางหน้าผากยังไม่เปิดออก และในทันทีนั้นมันเปิดปากร้องตะโกนคำที่เหมือนคำทำนายกึ่งสาปแช่ง
    "หลงคิดว่าพวกแกปลอดภัยแล้วงั้นสิ? คงคิดว่าเท้าของพวกแกยืนอยู่อย่างมั่นคงบนผืนแผ่นดิน อยู่ในที่สูงจนเหยียบเมฆ...สูงจนจะทัดเทียมได้แม้บัลลังก์ของผู้สูงสุด อยู่ในที่มหาสมาคมทางทิศเหนือรายล้อมด้วยผู้คนที่ว่ากันว่าสมควรรอดจำนวนมากมาย และจะบอกว่า คลื่นลมของพระเจ้าแห่งห้วงสมุทรจะทำอะไรพวกแกได้? อย่างนั้นน่ะสิ?"
    "แต่ข้าขอบอกไว้ในที่นี้ว่า เช่นเดียวกับที่ในวันก่อนอาณาจักรของพวกข้าได้พบความวิบัติเพราะจมลงในมหาสมุทรแห่งน้ำ แต่พวกแกที่หัวเราะเย้ยหยันชะตากรรมของพวกข้าอยู่ในวันนี้...ในวันหน้าพวกแกจะต้องวิบัติเพราะจมลงในมหาสมุทรแห่งไฟ!"

    จากนั้นมันเปล่งเสียงขานลำนำมนตราอันลึกล้ำและทรงอำนาจ ที่ไม่มีผู้ใดได้ยินได้ฟังมานานแสนนานแล้ว และเมื่อมันดังขึ้นในโลกอีกครั้ง ต้นหญ้าและป่าเขาทุกแห่งหนก็หวาดผวา สัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลายทั้งสิ้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
    มีเพียงแต่มนุษย์ ผู้มัวเมาวกวนอยู่ในระบบของตนเองจนขาดการเชื่อมต่อกับธรรมชาติดั้งเดิมไปมาก จึงแทบไม่สำเหนียก ไม่รู้สึกรู้สาเลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกตน!

    เมื่อจบลำนำบทที่หนึ่งเกิดฝูงแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายอย่างที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน ปรากฎขึ้นมาในน่านน้ำโดยรอบหินที่ได้กลายมาเป็นผืนทวีปตรงนั้น

    มังกรยังไม่หยุดและขับขานต่อไป ในลำนำบทที่สองเกิดฝูงแมงมุมตัวเขื่องที่มีสีของความตายเป็นอาภรณ์ มีพิษร้ายอย่างที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อนอีกเช่นกัน พวกมันคืบคลานกระจุกตัวอยู่ริมชายฝั่งเป็นหย่อมๆ เหมือนรอสัญญาณสั่งการต่อไป

    ในลำนำบทที่สามเกิดฝูงงูพิษหลากชนิด พวกมันเลื้อยไปบนบกผ่านป่ารกชัฎและทะเลทราย และแหวกว่ายไปในน้ำทะเลได้อย่างคล่องแคล่ว ซ้ำยังมีพิษร้ายกาจยิ่งนัก

    มาถึงลำนำบทที่สี่ คราวนี้เกิดเป็นฝูงสัตว์บกคล้ายเสือผสมสุนัข ขากรรไกรของมันอ้ากว้างเผยให้เห็นแผงเขี้ยวที่มีน้ำลายไหลยืด ราวกับอยากจะให้เห็นทะลุลงไปถึงลำคอและโพรงท้องที่มืดมิดเช่นความมืดของห้วงเหวใต้สมุทร

    ในลำนำบทที่ห้าได้ก่อเกิดฝูงจระเข้และปลาฉลามขนาดใหญ่แหวกว่ายในแม่น้ำและทะเล ล้วนแต่ดุร้ายมีพละกำลังมหาศาล

    บทที่หก ก่อเกิดฝูงหมึกยักษ์ที่มีลวดลายสวยงามคล้ายกระเบื้องเคลือบ แต่ก็แฝงด้วยพิษร้าย ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในหลืบแนวปะการัง

    จนเมื่อมันขานลำนำถึงบทที่เจ็ด ต้นไม้ที่เริ่มมีขึ้นรกครึ้มอยู่ตามชายฝั่งทวีปก็โอนเอนล้มลง สาหร่ายในทะเลก็บิดพันกัน ถักประสานเป็นแพใหญ่จำนวนมาก ดักต้นไม้กิ่งไม้ และผลไม้ที่ลอยน้ำได้ดีอย่างเช่นลูกมะพร้าวไว้ พวกแมงมุมและงูพิษพากันปีนขึ้นไปบนแพเหล่านั้น และเข้าหลบอาศัยอยู่ตามซอกมุมและโพรงเท่าที่หาได้ เหมือนกองทัพที่เตรียมพร้อมสำหรับการยกพลขึ้นบกในยุทธนาวีอันยิ่งใหญ่

    มันหยุดการขับขานลำนำมนตราต้องห้ามไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหันมาคำรามและตะโกนเรียกด้วยเสียงกึกก้อง

    "มนุษย์เอ๋ย! จงลุกขึ้นมาตอบข้า! และตอบทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่พวกแกเคยเหยียบย่ำทำลายอย่างไร้สำนึกมาตลอด!"
    เปลือกที่ปิดคลุมดวงตาที่สามของมันเริ่มเผยอเปิด และเพ่งมองไปยังเป้าหมายที่พลังเจตจำนงอันแรงกล้าพุ่งไปจับไว้ - จิตวิญญาณรวมของเผ่าพันธุ์มนุษย์
    แต่ภาพที่เห็นนั้นดูคล้ายก้อนหมอกควันอะไรสักอย่างที่มัวซัวไม่ชัดเจนมีสีเทาเข้มเป็นส่วนมาก ที่ใจกลางมีเงาร่างตะคุ่มๆ ที่มีศีรษะและแขนขาอย่างละคู่ยื่นออกมา และยืนตรงสลับกับนั่งด้วยสองขา

    เมื่อมังกรกำลังจะเพ่งมองเข้าไปให้เห็นชัดขึ้น ก็พอดีมีเงาร่างอีกร่างหนึ่งกระโดดแยกตัวออกจากก้อนหมอกควันนั้นมาขวางหน้าเสียก่อน เป็นร่างมนุษย์ที่ทรวดทรง ผิวพรรณ และการแต่งกายดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
    "อย่าเอาเราไปรวมกับมนุษย์พวกนั้นด้วย! มังกรเอ๋ย จำได้ไหม? เราเคยได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องของเจ้า และเป็นผู้ที่เจ้าเคยร้องคร่ำครวญให้กับชะตาของเราที่เคยประสบมาด้วยกัน"

    จากนั้น มีเงาร่างอีกหลายๆ ร่าง ทยอยกันกระโดดตามออกมาและพูดกับมังกรด้วยเช่นกัน
    "ถ้าหากเจ้าไม่พอใจในสิ่งที่พวกมนุษย์โดยส่วนมากทำ และเห็นเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ก็อย่าไปทำตามอย่างพวกเขาสิ! อย่างแรกคืออย่าเหมารวม ยังมีมนุษย์อีกจำนวนไม่น้อย อีกหลายเผ่าพันธุ์ ที่ไม่ได้เห็นชอบกับสิ่งเหล่านั้น และเป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยซ้ำ" จิตวิญญาณของอีกชนเผ่าหนึ่งในรูปชายชราหนวดเคราเฟิ้มกล่าวเตือน

    อีกเงาร่างหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มท่าทางเหมือนคนเมืองแต่แต่งกายปอนๆ มากกว่า เปิดปากพูดบ้าง
    "ดูเราให้ชัดๆ เสียก่อน เราก็เป็นมนุษย์พวกหนึ่งที่เติบโตมาในกระแสหลัก และเราก็เสียใจที่ระบบที่เคยอุ้มชูเราอยู่ มีส่วนทำร้ายโลกและทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างมากมาย เราจึงเลือกที่จะละทิ้งเมืองใหญ่ ละทิ้งความสุขสบายที่เคยมี ถอนตัวออกมาจากระบบเหล่านั้น หันมาแสวงหาวิถีชีวิตแบบทางเลือก รวมตัวกันเป็นชุมชนและพยายามหาหนทางอยู่อย่างสมดุล เบียดเบียนผู้อื่นให้น้อยที่สุดแล้วเท่าที่เราจะคิดได้ แล้วอย่างพวกเรานี่ก็สมควรถูกทำลายให้พินาศไปด้วยงั้นหรือ?"

    ตอนนี้ ยังเหลือร่างที่อยู่กลางหมอกควันที่ยิ่งคล้ำเข้มดำสนิทกว่าเดิม กลิ่นน้ำมันดิบและควันไอเสียเหม็นคลุ้ง ร่างนั้นบวมฉุนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้นวมที่มีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบฝังอยู่มากมาย มีท่อระโยงระยางเหมือนจะเชื่อมต่อร่างมนุษย์กับเก้าอี้นวมและเครื่องจักรกลเข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนแยกไม่ออก ในมือของร่างนั้นถือแท่งวัสดุทำจากโลหะมีปุ่มมากมาย ที่ร่างนั้นกำลังใช้นิ้วไล่กดไปตามแต่ละปุ่มขณะที่ชี้มันมาหาร่างของมังกร  ในขณะที่ปากก็กล่าวคำสบถด่าต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย และทำหน้าเหมือนประหลาดใจที่ทำไมภาพความเป็นจริงที่เห็นตรงหน้าจึงไม่เปลี่ยนไปอย่างที่กดสั่งการผ่านแท่งโลหะนั้น

    มังกรนิ่งคิด แล้วหันไปพูดกับชนชาติเดิมของตนอีกทีหนึ่ง
    "แต่ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะถามท่าน...หากแม้นข้ากระทำการแทนโลกในบัดนี้ เพื่อชำระล้างมนุษย์เสียครั้งหนึ่ง พวกท่านก็จะยังพอหาทางเอาตัวรอดได้...ใช่หรือไม่?"
    ทั้งสองฝ่ายสบตากันแน่นิ่ง แล้วจิตวิญญาณของชนชาตินั้นก็พยักหน้า
    "ได้อยู่"
    "ข้าก็เชื่อว่าเช่นนั้น!" มังกรพลันสะบัดปีกของมันกางออก แล้วเปล่งเสียงขานลำนำขึ้นมาอีกครั้ง

    ลำนำบทนี้เรียกเอาลมจากทิศทั้งสี่ให้หอบเอาพลังอำนาจที่เป็นปฐมมาจากแต่ละมุมของโลก และพลังเหล่านั้นได้ถูกโอบไว้ภายใต้ปีกแต่ละข้างของมังกร
    ในขณะเดียวกัน ชนชาติที่เคยเป็นพี่น้องของมัน รวมถึงชนพื้นเมืองอีกหลายเผ่าตามที่ต่างๆ ของโลก ก็ได้ยินเป็นเสียงแว่วมากับลม เสียงนั้นดึงดูดใจ เรียกร้องให้พวกเขาพลันต้องออกเรือสู่ทะเลลึก และค่อยๆ มุ่งหน้ากันมายังทวีปที่มังกรนั้นอยู่โดยไม่รู้ตัว

    "จงดู! ภายใต้ปีกทั้งสี่ของข้าคือพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ทั้งสี่ที่ถูกจับไว้ และพร้อมแล้วที่จะถูกปลดปล่อยออกไปกระทำการกวาดล้างเสี้ยนหนามของแผ่นดินโลก!
    มนุษย์อย่างพวกแกถือสิทธิที่จะเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างเอาจากโลก ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิว่าพวกแกจะมีปัญญาเอาชนะพลังอำนาจเหล่านี้ได้หรือเปล่า ถึงกล้ามาประกาศตัวเป็นเจ้าของโลก? วาทกรรมและทฤษฎีอันสวยหรูมากมายที่พวกแกเคยประดิษฐ์สร้างขึ้นมาอ้างความชอบธรรมเข้าตัวเอง จะช่วยอะไรพวกแกได้บ้าง? ถ้ากระดูกของพวกแกกล่าวโทษพวกแกและหักพังลงเสีย ถ้าน้ำเลือดของพวกแกทรยศและกลายเป็นพิษอยู่ในตัว ถ้าความร้อนในไส้พุงของพวกแกทวีขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้และเผาไหม้ออกมาถึงข้างนอก ถ้าเส้นเอ็นในตัวพวกแกทั้งสิ้นหดเกร็งและไม่ยอมขยับเคลื่อนไหวตามที่ใจสั่ง จนแม้จะสูดลมหายใจเข้าออกก็ยังไม่ได้?
    ถ้าหากวันและคืนทั้งเจ็ดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนพากันสาปแช่งพวกแก และถ้าหากสัตว์บก สัตว์น้ำ แมลงและนกทั้งหลายที่พวกแกเคยเห็นเป็นของเล่น จะกลับมาไล่ล่าพวกแกบ้าง ดูสิว่าพวกแกจะทำยังไง!?"

    มังกรขยับปีกปลดปล่อยพลังอำนาจเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งออกไป ก็ทำให้กระแสลมและกระแสน้ำอันบ้าคลั่งทวีขึ้น พัดพากองทัพสัตว์ร้ายที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ออกไปสร้างความหวาดกลัวและโกลาหลที่ชายฝั่ง และแม้แต่ลามลึกเข้าไปในแผ่นดินทวีปอื่นๆ ทุกหนทุกแห่ง

    มันสะบัดปีกพาร่างทะยานสูงขึ้นไป ก่อนจะหยุดแล้วก้มลงมาอีกครั้ง ตาที่สามของมังกรเปิดกว้างขึ้นอีก พร้อมจับเอาภาพนิมิตของโลกเบื้องล่างมาสู่การมองเห็น และเหมือนกับว่าใครมาถักทอลวดลายตาข่ายแสงซับซ้อนคลุมโลกไว้หลายชั้น มันเพ่งมองให้ทะลุลึกลงไปทีละชั้น ทีละชั้น จนกระทั่งแลเห็นสลักบาดาลทั้งเจ็ดกับเส้นพลังดอกบัวเพลิงภายใต้พื้นพิภพเผยตัวอยู่อย่างชัดเจน

    มันขยับปีกปลดปล่อยพลังอำนาจอีกส่วนหนึ่งโปรยปรายเหมือนฝนดาวตก กระแทกลงไปใส่ปมข่ายสำคัญๆ ของเส้นพลังเหล่านั้น และโลกก็ปั่นป่วน การสั่นไหวเกิดขึ้นและย้ายไปตามจุดนั้นจุดนี้ ทั้งบนแนวเทือกเขาสูง ชายฝั่ง และกลางทะเลโดยถ้วนทั่วกัน

    สลักบาดาลอันหนึ่งถูกกระแทกให้หลุดออกจากที่ของมัน และน้ำปริมาณมหาศาลก็ทะลักทลายออกจากแหล่งเก็บสำรองอันลึกลับ พลุ่งขึ้นท่วมแผ่นดินในหลายแห่งทั่วโลก

    แล้วพลันก็มีสุรเสียงอีกหนึ่งดังก้องมา
    "หยุดก่อน!"

    มังกรหันมองไปทางทิศของเสียงนั้นอย่างประหลาดใจ และพบร่างของสิงห์ตัวหนึ่งมีสีขาวนวลเป็นพื้น และมีลวดลายสีทองสวยงามประดับอยู่ทั่วทั้งตัว สิงห์นั้นทรงอยู่ในท่าประทับนั่งกลางอากาศ เหนือระดับที่มังกรลอยตัวอยู่ไปเล็กน้อย
    "เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย เจ้ากำลังจมอยู่ในความเกรี้ยวกราดและคับแค้น จนหลงลืมอุดมคติอันสูงส่งแต่เดิมที่เคยมีไปเสียแล้วงั้นหรือ?"

    สิงห์ยกอุ้งเท้าขวาขึ้น แสงสีทองรูปร่างคล้ายฝ่ามือพุ่งออกมาจากอุ้งเท้าข้างนั้น กระแทกเข้าใส่ลำตัวมังกรอย่างจัง และก็เหมือนมีตาข่ายแสงสีทองแผ่กระจายจากจุดที่กระทบออกห่อหุ้มมันไว้ทั้งตัว ผูกรัด และเหมือนทวีน้ำหนักขึ้นถ่วงร่างมังกรให้ร่วงดิ่งลงใส่พื้นหินเบื้องล่าง
    เสียงฟู่ๆ ดังขึ้น ขณะที่ความร้อนแผ่ออกจากร่างของมังกร ทำให้พื้นหินที่รองรับตัวมันหลอมละลายอยู่รอบๆ และทำให้มังกรค่อยๆ จมลงไปใต้พื้นจนมิดทั้งตัวอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดอยู่อย่างต่อเนื่อง จนมันจมไปลึกถึงระดับหนึ่ง สิงห์ก็ยกอุ้งเท้าขึ้นอีกครั้ง ตาข่ายแสงสีทองก็แผ่พุ่งออกมาอีกจนทะลุขึ้นเหนือพื้น สานตัวขึ้นเป็นรูปโดมขนาดใหญ่ครอบจุดที่มังกรจมลง และหินที่หลอมละลายก็เอ่อล้นขึ้นมาเหมือนแป้งที่ขึ้นฟู เข้ารูปตามโดมตาข่ายแสงนั้นด้วย จากนั้นหินหลอมก็เย็นตัวลงกลายเป็นก้อนหินใหญ่ทับเหนือร่างมังกรไว้สนิท

    "ท...ท่านเป็นใครกัน!?" มังกรร้องถามออกมาจากใต้หินนั้นเสียงอู้อี้
    "ข้าเป็นหนึ่งในบรรดาคุรุที่ถูกกล่าวถึงในตำนานของชนชาติเจ้า เขาเรียกเราว่า ราตะ"

    จบแค่นั้น สิงห์ก็เริ่มขับขานลำนำมนตราขึ้นบ้าง เป็นท่วงทำนองอีกแบบหนึ่งที่อ่อนโยนขัดกับความเกรี้ยวกราดของมังกร แต่ก็แฝงไว้ด้วยกระแสความเข้มแข็งมั่นคง
    แล้วกระแสลมและกระแสน้ำก็หมุนย้อนกลับ พัดพาสัตว์ร้ายทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นจากลำนำของมังกร ให้กลับมาอยู่เป็นเสมือนผู้พิทักษ์ในแผ่นดินและในน่านน้ำโดยรอบทวีปนั้น ความโกลาหลทั่วโลกก็ค่อยสงบลง
    ท่วงทำนองก็แปรเปลี่ยนไปอีก เป็นความอ่อนหวาน นุ่มนวล...เหมือนเพลงกล่อมเด็ก ที่มารดาร้องกล่อมลูกรักของตนในอ้อมแขนเนื้อนิ่มแข่งกับเสียงคลื่นลมทะเล ตั้งแต่กาลก่อนเมื่อไหร่ก็จำแทบไม่ได้แล้ว...

    แต่อยู่ๆ ก็มีความสั่นสะเทือนเกิดขึ้นอีกจากใต้ก้อนหิน เสียงของมังกรที่เงียบไปตั้งแต่บทเพลงขับกล่อม กลับดังขึ้นอีกครั้ง แม้แฝงด้วยอารมณ์ง่วงงุนและเหนื่อยล้า
    "สิงห์ผู้ประเสริฐเอย...มีเรื่องราวหนึ่งผ่านเข้ามาสู่ความรับรู้ของข้าในตอนนี้ ที่จะเตือนให้ท่านรำลึกถึง"
    องค์ราตะนิ่งงัน แต่ก็ดูท่าเหมือนจำยอมฟังต่อไป

    "เมื่อชั่วอึดใจนี้เอง ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นตรงหลังคอของข้าเหมือนถูกตีตราด้วยเหล็กเผาไฟ และภาพนิมิตของชายผู้หนึ่งปรากฎขึ้น เขาถูกจับมัดกับเสาอยู่เหนือกองฟืนฟางชุ่มน้ำมัน และประจันหน้าอยู่กับฝูงชนหมู่มากที่คลุ้มคลั่ง"

    "ดูเถิด มนุษย์แต่แรกเริ่มนั้นอ่อนแอ...อ่อนแออย่างที่สุด ไม่มีเขี้ยวเล็บที่จะต่อสู้กับสัตว์ทั่วๆ ไปในโลกธรรมชาติที่ขนาดใกล้กันได้เลย"
    "แต่มนุษย์ก็ได้เปรียบจากสติปัญญาที่เหนือกว่าสัตว์อื่น สามารถดัดแปลงวัตถุในโลกมาทำอะไรได้สารพัด และก็ยังสามารถสื่อสารกัน รวมตัวกัน ช่วยสนับสนุนกันเองเกิดเป็นสังคมและเป็นอารยธรรมขึ้น"

    "แต่พวกมนุษย์มีสันดานลึกๆ ที่น่ารังเกียจ ...คือการรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ๆ โดยพากันละทิ้งสำนึกที่เป็นอิสระส่วนตัว จนกลายเป็นก้อนมวลอะไรสักอย่างที่เรียกกันว่า มวลชน แล้วจึงพากันแห่ไปกดเหยียบ ข่มเหง เบียดเบียนผู้ที่มีจำนวนน้อยกว่า หรืออยู่อย่างกระจัดกระจายมากกว่า ผู้ที่ทำตัวแตกต่างไปจากฝูงใหญ่"

    "ในหมู่มนุษย์มีคำกล่าวว่าใครๆ ก็ชอบระบบที่ให้คนหมู่มากมีอำนาจ นั่นแสดงว่าสัจธรรม หรือความจริง อยู่ข้างคนหมู่มาก ถึงเป็นคำพูดแบบอ้างเหตุผลวนซ้ำเข้าข้างตัวเองชัดเจน ...แต่ข้าก็ค้นพบด้วยความพรั่นพรึงว่า พวกมนุษย์มันอยู่มาด้วยวิธีคิดแบบนี้กันจริงๆ !"

    "พวกมันรวมหัวกันระเบิดภูเขา ขุดดิน โค่นป่า ขวางกั้นลำน้ำ ถมทะเล ขุดทะเล ทิ้งขยะ ทำให้ดินเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ อากาศเป็นพิษ ทำทุกอย่างตามใจชอบ ไม่ได้คิดถึงสายใยชีวิตของโลก ไม่นึกถึงแม้ว่าผู้คนที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันแต่อยู่นอกหมู่พวกของตนจะต้องทุกข์ทรมานอย่างไร ขอแค่ได้ผลประโยชน์ที่เห็นๆ เฉพาะหน้า ...แล้วก็พากันคิดเองเออเอง เอออวยกันเองไปๆ มาๆ ว่าพวกมันทำถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะเป็นคนส่วนมาก ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทุกอย่างที่พวกมันอยากจะได้!"

    "แล้วเมื่อพวกมันครอบงำผู้คนในโลกให้ถือเอาวิถีชีวิตแบบเดียวกันที่เรียกกันเองและยกยอกันเองว่าคืออารยธรรม เป็นจำนวนมากๆ จนกลายเป็นกระแสหลัก พวกมันก็ใช้วิธีคิดแบบเดียวกัน ถือสิทธิเข้ารุกรานเหยียบย่ำวิถีชีวิตของผู้คนหมู่อื่น ยัดเยียดสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมของพวกมันนั่นแหละให้กับคนเหล่านั้น พอพวกที่มีน้อยกว่า ด้อยกำลังกว่าพยายามต่อต้านอย่างไร้ผล ก็เยาะเย้ยถากถางเอาต่างๆ นานา พวกมันทำหน้าหยิ่งยะโสบอกกับผู้ที่ถูกพวกมันยึดครองว่าอย่าดักดาน ให้รู้จักยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกเสียบ้าง... แล้วนี่ไงล่ะ! ข้าก็กำลังจัดให้พวกมันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกแบบเต็มๆ ชัดๆ ต่อหน้าต่อตาสมใจอยู่นี่ไง! แล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีใครในพวกนั้นไม่หวาดกลัวจนตัวสั่นตาเหลือกลาน แล้วร้องหาหลักยึดอะไรสักอย่างเพื่อหวังจะได้รอดบ้าง!"

    "แต่ในความละโมบและทะยานอยากไม่สิ้นสุด...พวกมันกลับยิ่งทำลายรากเหง้าของตนเอง ดังที่พวกมันรุ่งเรืองขึ้นมาได้ด้วยสติปัญญา และเพราะมีผู้ที่อุทิศชีวิตตนค้นหาความรู้และความจริงในศาสตร์ต่างๆ  แต่พวกมันก็มักจะหัวร่อเย้ยหยัน กลั่นแกล้งและเกลียดชังผู้มีปัญญาซึ่งทำตัวแตกต่างไปจากพวกจากฝูงใหญ่ของมัน และทำลายผู้เปิดเผยความจริงที่กล่าวไม่ถูกใจ ไม่ตรงตามสิ่งที่พวกมันเลือกจะเชื่อ
    พวกมันชอบกินผลไม้ที่หอมหวาน แต่ก็กลับรุมกันทำลายต้นไม้ที่ให้ผลนั้นเสียทั้งรากด้วยอารมณ์พาลสันดานหยาบ พวกมันเห็นนกเป็ดน้ำที่ออกไข่เป็นทองคำ พวกมันก็แห่กันไปรุมฆ่านกนั้นเพื่อผ่าท้องจะเอาทองคำด้วยความโลภ หรือไม่ก็ฉุดคร่านกนั้นไปกักขังทำทารุณกรรม บังคับจะให้ออกไข่จนตายไปเสีย ...และแน่นอนว่า พวกมันก็จะหันมามองหน้ากันเอง หัวเราะสนุกสนาน และเอออวยกันเองว่าพวกเราทำดีแล้วหนอ พวกเรามีชัยชนะอย่างชอบธรรมแล้ว 
    แล้วก็จะมีใครสักคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า เราไม่มีผลไม้กินแล้ว! ไข่ทองคำก็หายไปหมด! ต้องเป็นความผิดของพวกคนเมือง พวกคนชั้นกลาง คนชั้นสูง พวกผู้ดีศักดินา  ที่มันชอบกดขี่เอาเปรียบมวลชนอย่างเราแน่ๆ แล้วพวกมันที่เหลือก็จะแห่ตามกันไปรุกราน ข่มขู่ ข่มเหง ไล่ทำร้าย ไล่ฆ่า ผู้คนที่พวกมันชี้เป้าให้เป็นโน่นเป็นนี่อย่างนั้นต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด"

    "ยังคงมีอีกหลายต่อหลายครั้ง หลายเรื่องราวที่เป็นเช่นนั้น ผ่านหลายยุคสมัยในประวัติศาสตร์ของพวกสัตว์ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์... เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ข้าได้ข้อสรุป ว่าชีวิตมนุษย์น่ะ...มันไม่ได้มีคุณค่าหรืออะไรที่วิเศษวิโสมากไปกว่าฝูงแมลงศัตรูพืช ที่พวกมนุษย์รังเกียจว่าเป็นตัวการทำลายพืชผลของตนเองสักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าและฉลาดกว่าฝูงเพลี้ยฝูงตั๊กแตนเท่านั้นเอง และฝูงแมลงก็มีจำนวนชีวิตมากกว่าพวกมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้อีกด้วยซ้ำ"

    "พวกมันชอบคิดว่าโลกนี้ติดหนี้พวกมัน เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ก็ถือสิทธิที่จะอาละวาดเผาทำลายไปทั่ว ในเวลาที่ตนเองได้เปรียบ มีอำนาจ ก็ยินดีที่จะใช้อำนาจนั้นกดเหยียบบีฑาผู้อื่นอย่างไม่ยั้งมือ และด้วยเสียงหัวเราะร่าเย้ยหยันต่อชะตากรรมของผู้อยู่ใต้อำนาจนั้น แต่ในเวลาที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถูกกระทำหรือถูกเรียกร้องทวงถามให้รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองทำบ้าง ก็มักทำมารยาสาไถยต่างๆ นานา อ้างว่าตนเองตกเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร ต้องถูกกดขี่อยู่ฝ่ายเดียว พวกมันอ้างพระเจ้าหลุยส์เพื่อเข่นฆ่ากาลิเลโอ!"
    ทันใดนั้นพลังจากเบื้องล่างได้ปะทุขึ้นอีกรอบ ทำให้ผนึกถึงกับแตกร้าว ไอความร้อนพลุ่งขึ้นลอดขึ้นมาตามรอยร้าวนั้นอย่างกักไม่อยู่ พาให้ลานราบบนก้อนหินหลอมละลายเป็นลายเส้นรูปสามเหลี่ยม ที่มีดวงตาดวงหนึ่งอยู่ข้างในกำลังถลึงมองขึ้นไปด้วยความเกรี้ยวกราด

    "ปล่อยข้าออกไปนะ! ยิ่งนึกถึง ข้าก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนกับพวกมันมากขึ้นทุกที ข้าจะออกไปบดขยี้พวกมนุษย์ให้เหมือนมดปลวก จะกระซวกไส้พุงของพวกมันออกมากองให้เรี่ยรายเต็มพื้นปฐพีด้วยกรงเล็บของข้าเอง!
    ข้ายังจำได้ว่าอาณาจักรของข้าถูกกลืนด้วยคลื่นน้ำมหึมาที่ท่วมท้นจนถึงยอดเขา เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวในสายตาข้าตอนนั้น...แต่บัดนี้ข้ามองเห็นความโสมมของพวกมนุษย์ล้นสูงขึ้นไปยิ่งกว่านั้นอีก จนจะท่วมถึงฟ้าอยู่แล้ว แล้วอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกนี้มีหรือที่จะมองไม่เห็น?!"

    ทันใดนั้นองค์ราตะรวบรวมพลังให้เข้มข้นขึ้น แล้วเปล่งเสียงบันลือสีหนาทตวาดก้อง พร้อมตบอุ้งเท้าอัดพลังลงไปสู่ผนึกที่รายล้อมก้อนหินอยู่ เสริมให้มันคืนสภาพสมบูรณ์และยิ่งแน่นหนาขึ้นอีกชั้นในอึดใจเดียว จากนั้นก็ค่อยกล่าวตอบโต้มังกรที่ดูอ่อนกำลังลงไปอีกหน
    "ฟังข้าก่อนอีกสักหน่อย!"

    "แม้ในโลกบัดนี้ยังคงมีผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผู้พรั่งพร้อมด้วยฤทธานุภาพและญาณทรรศนะสูงกว่าข้าและเจ้าอีกมากนัก ...แต่ท่านเหล่านั้นก็เลือกที่จะอาศัยมีชีวิตแบบมนุษย์ อยู่ปะปนกับพวกมนุษย์โดยทั่วไป...แม้ในหมู่พวกที่ต่ำทรามหยาบช้าที่สุดอย่างที่เจ้ากล่าวถึง และเลือกที่จะทำงาน หาวิธีหลากหลายเพื่อช่วยกอบกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ในหลายครั้งจะถูกทำร้ายถูกเบียดเบียนข่มเหงจากมนุษย์เหล่านั้น อย่างหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่พี่น้องประชาชาติของเจ้าพบเจอมาอีกก็ตาม"

    "แล้วเจ้าจะกล้าบอกว่า ท่านเหล่านั้นกำลังทำสิ่งที่เปล่าประโยชน์หรือ? การงานที่ท่านเหล่านั้นกำลังพยายามทำอยู่ด้วยความยากลำบาก เจ้ายังอยากจะด่วนทำลายมันให้ราบเสียในบัดนี้งั้นหรือ?"

    ความเงียบหวนกลับเข้าปกคลุมอีกครั้ง พร้อมกับไอความร้อนจากเบื้องล่างเริ่มจางลง
    "ถ้าตอนนี้ยังคิดไม่ได้ ก็ไปพักสงบสติอารมณ์เสียก่อนเถอะ พักให้นานๆ ไปเลยก็ดี..." องค์ราตะกล่าวต่อไป ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความเมตตา
    "อย่าห่วงเลย...ข้าสัญญาว่า ข้าจะดูแลประชาชาติของเจ้า และบรรดาชนเผ่าอื่นทั้งหลายที่กำลังอพยพมาสู่ทวีปนี้เอง"

    หลังการขับขานลำนำมนตราขับกล่อมอีกชั่วระยะหนึ่งที่ยาวนาน เสียงคำรามจากเบื้องล่างก็เงียบไป เหลือเพียงความสั่นสะเทือนดุจเสียงกรนเบาๆ จนแทบไม่รู้สึก
    "ไม่น่าเลย เด็กน้อยเอ๋ย...เจ้าได้กลายเป็นอสูรตนหนึ่งไปเสียแล้ว เป็นอสูรที่ปราบยาก และจะโปรดก็ยิ่งยากกว่า" องค์ราตะถอนใจขณะกล่าวรำพึงอีกครั้ง
    "แต่ข้าก็จะใช้พลังของอสูรตนนี้นี่แหละ จุดเปลวอัคคีแห่งการแปรธาตุ เพื่อหลอมสร้างประชาชาติใหม่และอารยธรรมใหม่ขึ้นมาในผืนทวีปที่โดดเดี่ยวแห่งนี้ ข้าจะแสดงให้โลกเห็นว่า...ยังมีความหวังอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ และจากกองเถ้าถ่านแห่งความดับสูญ ก็ย่อมจะมีที่ว่างให้ชีวิตใหม่งอกงามขึ้นมาได้เสมอ"

    "ในอนาคตกาลข้างหน้า บรรดาเด็กๆ ที่เกิดที่นี่ และผู้คนที่ได้ยินเสียงเรียกให้มุ่งหน้ามายังทวีปแห่งนี้ จะมีอยู่มากที่มีสภาพภายในส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์ ส่วนหนึ่งเป็นวิญญาณธรรมชาติ พวกเขาจะมีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการชักนำเส้นทางวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคหน้า และจะนำวิถีชีวิต วิทยาการ และอารยธรรมทั้งปวงของมนุษย์ ให้กลับมาสู่ความกลมกลืนกับธรรมชาติ มุ่งไปสู่ดุลยภาพในระดับสูงขึ้นกว่าเดิมได้ในที่สุด"

    เมื่อกล่าวดังนั้นแล้ว ร่างที่เห็นเป็นสิงห์ก็แหงนหน้าบันลือสีหนาทขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างเจิดจ้าแผ่ออกมาจากทั่วทั้งตัว แล้วจึงแตกระเบิดออกเป็นละอองแสงดุจผลึกทรายแก้วเล็กละเอียดมากมายกระจายไปทั่ว เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าญาณแห่งองค์ราตะได้กระจายตัวออกแผ่คลุมผืนทวีป โดยเฉพาะในบริเวณมหาศิลาก้อนนี้เรียบร้อยแล้ว

    และระหว่างผืนทรายอันเวิ้งว้างกับผืนน้ำกว้างไกลสุดหูสุดตา ก็ปรากฎเงาของเรือลำเล็กๆ หลายลำ ขึ้นเทียบฝั่งในยามอัสดง
    แสงสีทองของดวงตะวันหมดไปแล้ว เหลือเพียงวงกลมสีม่วงแดงช้ำเลือดช้ำหนองที่กำลังจะจมมิดน้ำที่ริมขอบฟ้า
    พวกเขาจุดคบเพลิงขึ้นพร้อมรับยามราตรี ช่วงกาลแห่งฝันอันมีทั้งความหวาดผวาน่าระทึกและความสุขอันแสนหวานรออยู่ และก้าวย่ำขึ้นบก มุ่งไปหาศิลาก้อนใหญ่ที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ตรงหน้านั้น ราวกับต้องมนต์สะกด
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×