ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกที่สาปสูญแห่งผู้พเนจรไร้นาม

    ลำดับตอนที่ #12 : วิหคทิ้งรัง

    • อัปเดตล่าสุด 26 มิ.ย. 53


    ตอน วิหคทิ้งรัง


    "เพื่อนเอ๋ย นายจะไปตอนนี้เลยจริงๆ หรือ?
    เพื่อนเอ๋ย ลองคิดทบทวนดูอีกสักหน่อยไหม?
    ท้องฟ้าเวิ้งว้าง หนทางข้างหน้ายังอีกแสนไกล
    โลกข้างนอกมันโหดมันร้ายเกินกว่านายจะจินตนาการถึง!"


    ข้าจับจ้องมองไปเบื้องหน้า หาได้หันไปตามเสียงข้างหลัง และไม่ได้พยายามแสร้งแสดงท่าว่าตั้งใจฟัง
    แต่ก็ได้ยินและเข้าใจถ้อยความนั้นดี
    แต่ก็หาใช่สิ่งที่ข้าจะใส่ใจอีกแล้วในตอนนี้...

    นอกหน้าต่างนั่นเป็นผืนฟ้าที่โปรยปรายเม็ดฝนสาดประดังเข้ามาดั่งคำขู่สำทับซ้ำ สายน้ำพรูพรั่งเป็นม่านบังตาแทบมองไม่เห็นตึกฝั่งตรงข้ามของถนน

    ถัดไปอีกมุมหนึ่งมีโครงสร้างที่ต่อขึ้นมาจากวัสดุของพวกมนุษย์ มันเคยบรรจุเศษวัสดุที่ประกอบเป็นรังให้ข้าซุกหัวนอน แต่บัดนี้ถูกรื้อออกไปจนเกือบว่างโล่ง บนโต๊ะใกล้ๆ กันนั้น มีชามใส่น้ำ ถาดอาหาร คอน และของอื่นๆ อีกสองสามอย่างที่เคยได้ใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน แต่บัดนี้กองรวมกันอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน

    ห่างออกไปในมุมอื่นๆ ของที่นี่ ความเป็นไปทั้งหลายยังพัดไหวตามปกติ มีเพียงบริเวณใกล้เคียงนี้เท่านั้น ที่บรรดาพรรคพวกที่สนิทกันมาห้อมล้อมพูดคุย...

    แลหลังปลาบประกายแสงทะลุม่านฝนลงมาพอได้เห็นแวบวาบ บทสนทนาพลันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงสนั่นหวั่นไหวของฟ้า
    และแสงที่เพิ่งสว่างจ้าอยู่ในตึกจนถึงเมื่ออึดใจที่แล้วก็ถูกกระชากให้ดับลง

    เราเงียบกันไปชั่วขณะหนึ่ง จ้องมองออกไปข้างนอก ราวกับถูกสะกด ด้วยแสงวาบอันน่าตื่นตาที่สะท้อนลงมาใส่แต่ละเม็ดพรายฝนนั้น
    “ข้ากลับมองเห็นว่ามันเลยเวลาของข้ามามากแล้ว และจะรอมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ข้ายังคงยืนยันอีกครั้งด้วยความแน่วแน่ “ที่เป็นอยู่ข้างนอกนั่น เป็นผลจากความผิดพลาดของข้าเอง ที่ไม่อาจเร่งกระบวนการออกไปให้เร็วกว่านี้ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ทีแรก แต่หากข้าจะปล่อยให้มันมาขัดขวางและเหนี่ยวรั้งให้รอต่อไปอีก ...เกรงว่าจะไม่มีโอกาสอีกเลย”

    สมาชิกอาวุโสหลายรายยังทำท่ากังวลห่วงใย ข้าพูดกับพวกเขาต่อไปอีกหวังจะให้คลายท่าทีนั้นลง
    “ข้ารู้จักสายลมแห่งนภา เช่นที่ท่านทั้งหลายรู้จักพื้นดิน นั่นคือสัญชาตญาณแต่กำเนิดของข้า ...และตอนนี้ข้าจะไปตามเสียงเรียกที่ข้าได้ยินแว่วมากับลมนั้น”

    โถงอาคารกว้างใหญ่แห่งนี้ มีหลังคาเป็นโดมโปร่งแสง ลักษณะคล้ายเรือนกระจกที่บรรจุสวนหย่อมไว้ภายใน ทุกด้าน ทุกมุม ทุกส่วน ในอาคาร มีความอึกทึกวุ่นวายพอสมควรในแต่ละวัน ที่ซึ่งหนูถีบจักร ลิงเล่นกล นกแก้วรับแขก หมาเฝ้ายาม และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นอีกสารพัดชนิดอยู่รวมกัน ทำงานของเราต่างๆ กันไปเป็นประจำวัน แลกกับที่อยู่และสิ่งจำเป็นในการเลี้ยงชีพ

    คณะผู้มาส่งดูนิ่งเงียบลงแล้ว ข้าหันไปยิ้ม...ยิ้มอย่างเรียบง่าย แต่เชื่อว่าจริงใจที่สุด
    “ลาก่อน”

    เสียงฝนเริ่มแผ่วลงอีกครั้ง แม้จะยังกระหน่ำหนัก เป็นจังหวะที่ช่างเป็นใจ ข้าใจชื้นขึ้น สูดอากาศเข้าเต็มที่ กางปีกแผ่ออกบดบังทัศนวิสัยของหน้าต่างจากพรรคพวกข้างหลังไปเสียครึ่งหนึ่ง
    และพุ่งดิ่งด้วยจงอยปากนำออกไปทางหน้าต่าง หักเลี้ยวก่อนจะชนตึกฝั่งตรงข้าม โฉบลงไปตามแนวถนน ที่บัดนี้ดูเหมือนงูใหญ่กำลังซุ่มอยู่ใต้น้ำโคลนตื้นๆ เบื้องล่าง

    เพียงหลังจากชั่ววูบที่โผทะยานออกมา ข้าเกิดได้ยินเสียงครืนครั่นราวแผ่นดินจะถล่ม ตามด้วยกระแสลมกรรโชกพัดไล่หลังมาช่วงสั้นๆ วูบหนึ่ง
    ข้าแข็งใจไม่หันกลับไปมอง แต่มุ่งความตั้งใจไปที่การพุ่งดิ่ง - ลอดผ่านใต้ร่มเงาบรรดาสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ของพวกมนุษย์ที่แข่งกันชูชันขึ้นมาท้าทายเบื้องบน - อีกสักครั้ง

    มีเศษขยะชิ้นใหญ่ที่ไหม้เกรียมกระดำกระด่าง กลิ้งแล้วกระเด็นจากสะพานลอยมาเฉียดผ่านปลายปีกและหางข้าไป ดีที่ไม่มีเปลวไฟใดทนอยู่ได้ใต้ฝนเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นขนข้าอาจลุกติดไฟไปหลายเส้นแล้วก็เป็นได้

    ข้าเปียกปอนอย่างที่คาดไว้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดข้าได้
    อันที่จริง มันออกจะรู้สึกสดชื่นไม่น้อย

    แต่สิ่งที่น้ำฝนทำต่อพื้นทางของเมืองสีเทานี่สิ...
    ก่อนหน้านี้หลายวัน ข้าผ่านมาแถวนี้ของเมือง และลงไปใกล้พื้นดินอยู่พักหนึ่ง เพื่อพบว่ามันเต็มไปด้วยขยะสกปรกมากมาย ผนังและเสาปูนต่างๆ มีหมึกและสีเขียนข้อความสารพัดและกระดาษสีสดใสแปะติดเต็มไปหมด
    ทุกซอกมุมมีกลิ่นเหม็นโชย แม้บนพื้นบาทวิถีก็เหมือนจะมีคราบเมือกไคลจางๆ จับแน่น พร้อมฝูงแมลงวันที่บินตอมอยู่ใกล้พื้นแทบทุกแผ่นกระเบื้อง ราวกับมีศพมนุษย์สักร้อยพันถูกซ่อนฝังไว้ข้างใต้กระนั้น

    ในบัดนี้ เมื่อระบบระบายน้ำเริ่มติดขัด ไม่อาจรองรับสายน้ำที่โถมทะลายลงมาจากเบื้องบนได้
    ประดาความโสมมลอยฟ่องก็ค่อยค่อยสูงขึ้นตามระดับน้ำที่เอ่อท้น
    ในความรู้สึกของหมู่คนข้างล่างคงราวกับกำลังล้นสูงขึ้นไปจนท่วมฟ้า

    ...เป็นเวลาเกินครึ่งค่อนวันแล้ว...ที่ข้าระหกระเหินมา
    ความรู้สึกอ่อนเพลียเริ่มเข้าจับ เมฆเบื้องบนยังปกคลุมให้มืดมิดไปทั่วอย่างน่ากลัวยิ่งนัก ทั้งส่งน้ำฝนโปรยปรายลงมาไม่มีโรยราลงเท่าไรเลย

    แต่ก่อนมาเขาว่าฟ้าคู่กับดิน บ้างก็ว่าฟ้าคู่กับทะเล
    แต่ยามนี้ใยเล่าจึงมีเมฆหม่นเข้ามาแทรกกลาง
    เมฆดำก็คงปวดร้าว ยามสดับเสียงฝูงชนเบื้องล่าง...ขับไล่ แช่งด่า
    ทั้งไม่อาจลอยขึ้นไปถึง ไม่มีที่ว่างในเบื้องบนให้อยู่เคียงคู่นภา
    มีแต่ต้องครวญไปในเสียงครืนครั่นสะท้าน
    เฆี่ยนตัวเองด้วยสายอัสนีบาต ขับสายฝนเป็นหยาดเลือดและน้ำตา
    จนกว่ามวลเมฆสิ้นสลาย...


    ในทัศนียภาพฉ่ำแฉะสลัวราง ข้าพยายามมองไปข้างหน้า
    แสวงหาแผ่นดินใหม่...
    แสวงหาแผ่นดินใหม่...
    ในภาพคลับคล้ายแผ่นดินเดิม แรกเริ่มที่ข้าจากมา
    ที่ยังคงกระจ่างชัดในห้วงฝันตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย
    และยิ่งชัดขึ้นอีกเรื่อยไปทุกขณะจนถึงเดี๋ยวนี้

    ดินแดนแห่งท้องทะเล ดินแดนแห่งอิสรภาพ...
    เด็กหนุ่มสาวผู้แกร่งกล้ามากมาย วิ่งไปใต้ร่มเงาไม้ที่เรียงรายริมหาด
    ที่ขนาบอ่าวปากแคบที่น้ำทะเลกำลังท่วมสูง น้ำเชี่ยวกรากล้นไหลผ่านพื้นถ้ำ
    ใต้โตรกหินตระการที่คร่อมเป็นซุ้มประตูระหว่างฝั่งทรายทั้งสอง แยกทะเลนอกเวิ้งว้างจากทะเลในที่ตื้นเขินด้วยทราย

    ในฉากหลังคือหน้าผากระด้างดำของภูเขาหินปูนมากหลาย ที่โผล่ขึ้นมาเรียงราย จากทะเลและจากพื้นแผ่นดิน เหมือนเขี้ยวฟันในปากยักษ์ บนยอดภูเหล่านั้นมีเมฆรูปร่างคล้ายพวยควันกรุ่นเกาะกุมอยู่ ทำให้ดูคล้ายเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิทดี

    ที่นั่นจะมีอะไรให้ข้าค้นหา จะมีพงษ์พันธุ์เดียวกันสักกี่รายที่ได้ไปถึงที่นั่นด้วยกัน
    มีอะไรที่ต้องสร้างทำขึ้นมาใหม่บ้างหนอ...

    แล้วข้าก็ตื่นขึ้นมาอย่างงงงวย
    เมื่อพบพาน ทำความรู้จักอย่างไม่ตั้งใจนัก
    กับที่พักพิงชั่วคราวที่เพิ่งจะหลับไหล
    ผ่านไปอีกหนึ่งราตรี


    *********

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×