ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : เพลงกล่อมทะเลฝันกับแสงตะวันที่อาบเรือ
ตอน เพลงกล่อมทะเลฝันกับแสงตะวันที่อาบเรือ
ณ เบื้องบน...
รอบข้างเรือมีแต่ผืนน้ำกว้างไกลสุดตา ลมโบกโบยพัดมาพร้อมกระแสคลื่นซัดสาด แสงแดดแผดกล้าลงมาจากกลางฟากฟ้าสีครามใสสว่างไปทั่วทิศ
ชายคนหนึ่งยืนวางท่าอยู่ในห้องบังคับบนดาดฟ้าเรือที่มีหลังคาช่วยปกคลุม ให้ร่มเงาอยู่ ตรงหน้าเป็นพังงาสำหรับคุมทิศทางหักเลี้ยว เขาสวมหมวกหนังแข็งสีน้ำตาลทรงคล้ายระฆังครอบที่เสริมความแข็งแรงที่ขอบด้วย แถบโลหะ มีเขาวัวสั้นๆ ประดับยื่นชี้ออกไปสองข้าง มีสายโซ่เส้นบางๆ ร้อยจากยอดหมวกลากยาวไปตามพื้นสู่บริเวณหัวเรือ
ชายคนนั้นดูท่าทางกำลังอารมณ์ดีจนไม่อาจเก็บไว้ ต้องขับขานระบายออกมาเป็นเสียงเพลงฝากไปกับลมที่ลอดผ่านประตูหน้าต่างเปิดโล่งเข้ามา
เจ้านกเอย...
เจ้าจะบินไปถึงหนใดหนอ
ใต้นภาฟ้ากว้าง ในหนทางว้างเวิ้ง เจ้ามองหาหลักชัยอันไหนมี
สายลมโอบใต้ปีก หรือจะกรีดเฉือนกัน
ให้เหน็บหนาว จนร้าว ไม่ปราณี...
ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ หอบเอาเมฆก้อนหนึ่งที่รูปร่างหงิกงอไม่ปกตินักเคลื่อนตัวคลอเคลียกับดวง ตะวัน ให้บดบังแสงแดดสาดไล่ สลับกับฉายเงาทาบทาสู่พื้นทะเลเบื้องล่างอย่างเว้าๆ แหว่งๆ เหมือนเล่นซ่อนแอบกัน เขาก็เปลี่ยนบทลำนำที่ขับขานไล่ตามไปด้วย
ตะวันเอยตะวัน...
ท่านจะเห็นเรือน้อยลำนั้นไหม
แม้ลอยล่องสูงล้ำฟ้าแสนไกล
ข้ายังอุ่นไอไฟแห่งความหวัง...
เขาถอยฉากจากหน้าพังงาวิ่งไปหาชุดเครื่องกลสำหรับควบคุมใบเรือ แล้วเอี้ยวตัวออกแรงผลักคันโยกขนาดเท่าแขน เสียงเอียดอาดถ่ายทอดเหมือนกระซิบส่งข่าวสารไปจากคันโยกสู่เพลาลงไปใต้พื้น ดาดฟ้าเรือ
แล้วจึงไปถึงเชือกหมู่หนึ่งตรงเสากระโดงที่ขยับขึ้นลง ส่งผลกางใบเรือออกรับลมเต็มที่ให้แล่นลิ่ว คล้ายจะกางปีกโผบินแข่งกับฝูงนกทั้งหลาย
และแล้ว...
เสียงเพลงอีกกระแสหนึ่งแว่วมาเพียงผะแผ่ว แต่ก็ตราตรึงเข้าสู่ใจทันทีที่กระทบโสต
ชายหนุ่มจึงวิ่งด้วยความไวเหลือเชื่อ วูบผ่านเงาของใบเรือปีนขึ้นไปด้วยบันไดเชือกตามความสูงของเสากระโดง จนกระทั่งขึ้นถึงรังกา ซึ่งเป็นคล้ายถังไม้ขนาดใหญ่ที่เปิดโล่งอยู่ยอดกระโดงสำหรับใช้สังเกตการณ์ รอบๆ
เมื่อมองไปสู่เบื้องหน้า เบื้องขวา เบื้องหลัง และสุดท้าย...สู่เบื้องซ้ายของเรือ
ก็พบเห็นเรืออีกลำหนึ่งที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ลักษณะคล้ายเรือประมงของชาวบ้านแต่มีบางอย่างผิดธรรมดาให้เห็น แล่นอยู่ห่างออกไปแต่ก็ยังอยู่ในโอบเอื้อมของขอบฟ้า
เมื่อคว้าเอากล้องส่องทางไกลกระบอกใหญ่เทอะทะขึ้นมาประทับมอง พุ่งเป้าไปยังเรือลำนั้นโดยเล็งตรงรังกาก่อนให้รู้ทางกันกับผู้ที่อาจจะ ส่องกล้องกลับมาหาเรือลำนี้
แต่ก็พบเป้าหมายที่ว่างเปล่า ยกเว้นแต่หุ่นผ้าขนาดเท่าเด็กโตคนหนึ่ง วาดหน้ายิ้มแป้นทิ้งแขนสองข้างลงเกาะขอบรังกาอยู่ และหันหน้าตรงมาหาเขาพอเหมาะพอดีเหมือนต้อนรับ รอบใบหน้าของหุ่นตัวนั้นก็มีแฉกผ้าสีเหลืองระบายดูคล้ายดอกทานตะวันดอกใหญ่
เขาลดแนวเล็งส่องกล้องลงไปตามเสาเรือเป้าหมายเรื่อยๆ จนถึงดาดฟ้า ก็ได้พบว่าสิ่งที่เขามองเห็นผิดสังเกตเมื่อครู่นี้คืออะไร
นี่ย่อมไม่ใช่เรือประมงที่ชาวบ้านผู้กรำชีวิตแล่นออกหาปลาให้เห็นกัน เกลื่อนกล่นอย่างทุกวันเป็นแน่แท้ เพราะมันเต็มไปด้วยเด็กทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กหลายสิบคน แทรกด้วยลุงป้าแก่ๆ ท่าทางใจดีอยู่กลางวง และหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่งล้อมรอบยืนชมทิวทัศน์ใกล้กราบเรือ บ้างก็หันเข้ามามองกิจกรรมในวงด้วยความสนใจ พวกเด็กๆ แต่งตัวเป็นชุดแบบเดียวกัน กำลังนั่งเขย่าเครื่องให้จังหวะดนตรีแบบพื้นบ้าน บางคนถือปากกาและกระดาษจดขยุกขยิก แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ก็ราวจะได้ยินความจอแจที่อบอุ่นสดใสแล่นมาพร้อมกับภาพ ที่เห็นได้ไม่ยากเลย
และที่ยิ่งกว่านั้น...
หญิงสาวคนหนึ่งดูสะดุดสายตาเขามาก ดูบุคลิกท่าทางยังไม่พ้นวัยรุ่นดี เธอไว้ผมกึ่งสั้นกึ่งยาวรวบมัดไว้ปล่อยปอยผมเพียงบางเบาให้ระใบหน้า ใส่เสื้อและกางเกงขายาวหลวมๆ ดูสบายตัวเหมือนคนอื่นๆ ในเรือลำนั้น
เธอยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆ อย่างดูไม่เสแสร้ง เธอดูร่าเริงและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังท่ามกลางธรรมชาติ ในการพัดพาของคลื่นลมทะเล ที่ดูเหมือนจะไหวสะเทือนตอบรับต่อทุกเสียงร้องขับขานเพลงของเธอ ที่เขาได้ยินผสานรวมมากับเสียงของคนอื่นๆ เป็นกระแสแผ่วมากระทบถึงเรือของเขาด้วย
เพียงแค่นั้นเขาก็ไม่รีรอต่อไป รีบไต่กลับลงมาสู่ตัวเรือแล้ววิ่งไปหมุนกงล้อพังงาให้หัวเรือหันหักเลี้ยว ตาม แล้วค่อยๆ นำเรือแล่นเข้าไปใกล้ชิดเป้าหมายมากขึ้น...มากขึ้น...
เมื่อเข้าไปจนได้ระยะพอเห็นสีหน้าท่าทางคนบนเรืออีกลำได้ ชายหนุ่มก็กระแอมก่อนจะวิ่งออกไปโบกไม้โบกมือและเริ่มตะโกนทักทายกัน
จังหวะนั้นคลื่นลูกใหญ่ซัดโซมขึ้น ส่งน้ำเค็มกระเซ็นเข้าหน้าเข้าปากชายหนุ่มผู้ไปเยือน ทำให้เขาต้องเงียบไปชั่วจังหวะหนึ่ง
"อย่างนี้สินะ" แล้วเขาก็พักรำพึงกับตัวเองในขณะพยายามปาดน้ำเค็มออกจากใบหน้า "ที่เขาว่า ยามรัก...น้ำทะเลก็ยังหวาน"
เหมือนธรรมชาติหรือเทพเจ้าก็ตามทีจะแกล้งเล่นตลกกับเขา เมื่อกระแสลมเริ่มเปลี่ยนทิศทาง และพัดปะทะใบเรือเขาให้ค่อยๆ ถอยห่างออกมา
"...แต่ไยเล่าต้องร้าวราน...เพราะสายลมบันดาลพัดให้พราก ให้ห่างพลัน"
"แต่ลูกผู้ชายถ้ามีใจต้องไม่ยอมแพ้สิ...!!!" กำลังจะตะโกนออกมาเพื่อปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิมอีกคำรบอยู่ แต่ก็จำต้องหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อสายโซ่ที่ล่ามอยู่บนศีรษะถูกกระตุกตึงกะทันหัน จนเขามีอันต้องหงายหลังล้มลง ในปลายสายตาเหมือนจะเห็นหลายคนบนเรืออีกลำหัวเราะครืน
ณ เบื้องล่าง...
พื้นที่ภายในหัวเรือส่วนที่เป็นรูปหัวปลาใหญ่ เป็นห้องที่ปิดมิดชิดดูแออัด ด้านหลังห้องมีชั้นหนังสือเก่าและอุปกรณ์แปลกประหลาดสารพัดชนิดอยู่เรียงราย
ส่วนหน้าในห้องมืดสลัวมีอีกบุรุษหนึ่งท่าทางเคร่งขรึมในชุดคลุมยาวสี คล้ำเข้มนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนศีรษะของเขาถูกคลุมด้วยหมวกโลหะทึบสีดำที่มีสัญลักษณ์ประหลาดวาดอยู่บน หน้า ใบหน้าที่แท้จริงและสายตาของเขาไม่อาจมองเห็นได้
และบนยอดหมวกของเขามีโซ่แบบเดียวกับสหายร่วมลำเรือ ร้อยขึ้นไปเก็บไว้ในช่องบนเพดานที่ดูลึกลับ ยากจะเดาออกว่าเชื่อมต่อไปสู่แห่งหนใด
บุรุษผู้นั้นนั่งเอกเขนกวางแขนบนที่เท้าแขน มือซ้ายพลิกหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะเล็กข้างที่เท้าแขนเปิดอ่าน โดยอาศัยแสงแดดที่ส่องลอดหน้าต่างแก้วบนเพดานลงมา ส่วนมือขวากำลังเล่นกับแบบจำลองแผนที่ดาวที่เป็นโครงโลหะรูปทรงกลมหมุนไปมา ได้หลายระนาบ
มีช่องหน้าต่างกรุแก้วหนาอีกช่องหนึ่ง ถูกเจาะเป็นรูปวงรีคล้ายปากอยู่บนพื้นในแนวพาดขวางกระดูกงูเรือ ให้มองลงไปจากบนเก้าอี้นั้นแล้วแลเห็นห้วงทะเลดำมืดเบื้องล่างได้ ซึ่งก็ยังเป็นปริศนาสำหรับเขาอีกคนหนึ่งว่า...มันมีอะไรให้น่าส่องมองขนาด นั้นหรือ?
ยอดบนสุดของพนักเก้าอี้นั้นมีเขาโลหะยาวยื่นออกมาสองข้างเป็นวงโค้งโอบ เข้าหาศูนย์กลาง ตรงปลายติดกับถ้วยโลหะที่เป็นเหมือนกระดิ่งหันเข้าหาศีรษะด้านข้างของผู้ นั่ง ด้านหลังพนักเก้าอี้มีสายลวดโลหะเจ็ดเส้นขึงไว้ในแนวดิ่งดูคล้ายเครื่อง ดนตรี มีรูเล็กๆ ขนาดนิ้วก้อยเจาะด้านหลังพนักเก้าอี้ไปทะลุด้านหน้าตรงกับกลางลำคอข้างหลัง ของผู้นั่ง และตรงกับแนวสายลวดเส้นกลางซึ่งถูกตรึงยึดลงไปสู่กระดูกงูเรือ ลวดอีกหกเส้นที่เหลือเป็นกลุ่มซ้ายขวาข้างละสามเส้น ปลายสายด้านบนขึงติดกับโคนเขาโลหะซ้ายขวา สายด้านล่างต่อยาวแยกกันออกจากฐานเก้าอี้ แล้วถูกขึงร้อยไปตามด้านข้างตลอดลำเรือคล้ายเส้นข้างตัวปลาโดยมีกระบอกไม้ ครอบปิด
เก้าอี้นี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ไม่อาจแยกออกจากเรือ ทั้งลำ มันมีไว้ใช้ฟังเสียงจากทะเล และในทางกลับกันก็ใช้ส่งเสียงพูดหรือขับขานเสียงเพลงออกไปสู่ท้องทะเลได้ ด้วย
"น้อยๆ หน่อยน่าสหาย" เขากล่าวออกมาเนิบๆ โดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายหนึ่งที่เดินลงมาหาจากข้างบน
"อย่าลืมว่านาวาลำนี้ แม้รูปร่างหน้าตามันจะไม่สมบูรณ์นัก ไม่ได้แข็งแรงทนทานมากมายขนาดที่จะต้านทานน้ำวนและมรสุมหนักๆ ได้ ไม่ได้สง่างามโดดเด่นจนดึงดูดสายตาใครให้เข้ามาหา หรืออยากแล่นเรือติดตามไปเป็นขบวนได้"
"แต่เราก็มีอยู่แค่นี้...และยังต้องใช้มันร่วมกันไปอีกนาน...หวังว่านะ"
ชายอีกคนหนึ่งทำท่ากระสับกระส่าย แววตาบ่งบอกว่าไม่พอใจนัก ก่อนจะหลุดถ้อยคำออกมาเหมือนบ่น
"หลายทีฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าชีวิตคนเราจะหดหู่ไปให้ได้อะไรกันนักหนา"
อีกฝ่ายร่ายคำตอบออกมายืดยาวราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิด
"ในความสว่างสดใสของนาย ก็ยังมีความมืด ความขุ่นมัว เพราะยังดิ้นรนและสับสนในตนเอง โดยหลายๆ ครั้งก็ไม่เข้าใจว่าจะทำบางสิ่งบางอย่างไปทำไม เพียงแต่ถูกชักพาไปด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ ที่วูบไหวแปรเปลี่ยนไปตามกระแสในชั่วขณะหนึ่งๆ"
"และในความมืดหม่นอย่างที่เห็นว่าฉันเป็นอยู่นี้ ก็ยังมุ่งไปสู่แสงสว่าง เพราะเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และพยายามเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า พยายามแสวงหาความสงบสุขและเที่ยงตรง ด้วยความเคารพ..."
"ดวงตะวันที่เป็นสัญลักษณ์แทนชีวิตและความหวังอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอมา แต่ในหลายๆ ครั้ง แสงแดดก็แผดเผาอย่างโหดร้ายเกินคาดคิด"
"ท้องทะเลที่มีอันตราย พร้อมจะกลืนกินชีวิตคนและสรรพสิ่งเมื่อยามบ้าคลั่ง แต่ทะเลก็ถือเป็นต้นกำเนิดของชีวิตทั้งหลายเช่นกัน"
ทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ในอาการที่ต่างยอมรับในถ้อยคำทั้งหมด จนกระทั่งบุรุษผู้ลึกลับพูดขึ้นอีก
"ว่าไปแล้ว เสียงเพลงก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนะ..."
"เพราะเสียงเพลงทำให้ผู้ที่ถูกแผดเผาอยู่ใต้แดดกล้า มีแก่ใจจะอดทนสู้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างร่าเริงแม้หลายครั้งจะยิ้มอยู่ใน หยาดเหงื่อและน้ำตา และก็ยังเป็นเสียงเพลงนี่แหละ ที่บรรเลงขับกล่อมความโหดร้ายที่ไม่ควรเอ่ยถึงให้ยังคงหลับไหลต่อไปในห้วง สมุทรลึก...ข้างล่างนั่น..." บุรุษลึกลับนิ่งชะงักไปชั่วอึดใจ ในอาการขยับไหวตัวดูเหมือนสั่นสะท้านอยู่จังหวะหนึ่ง จะเป็นด้วยความหนาวหรือเหตุอันใดยากนักจะหยั่งคาดได้
"จนกว่าสักวันหนึ่ง...ที่บทเพลงนี้จะสิ้นสุดลง เมื่อนั้น...เราทั้งหลาย คงต้องตื่นขึ้นมาเผชิญกับความจริงของโลกเสียที"
ณ เบื้องบน...
รอบข้างเรือมีแต่ผืนน้ำกว้างไกลสุดตา ลมโบกโบยพัดมาพร้อมกระแสคลื่นซัดสาด แสงแดดแผดกล้าลงมาจากกลางฟากฟ้าสีครามใสสว่างไปทั่วทิศ
ชายคนหนึ่งยืนวางท่าอยู่ในห้องบังคับบนดาดฟ้าเรือที่มีหลังคาช่วยปกคลุม ให้ร่มเงาอยู่ ตรงหน้าเป็นพังงาสำหรับคุมทิศทางหักเลี้ยว เขาสวมหมวกหนังแข็งสีน้ำตาลทรงคล้ายระฆังครอบที่เสริมความแข็งแรงที่ขอบด้วย แถบโลหะ มีเขาวัวสั้นๆ ประดับยื่นชี้ออกไปสองข้าง มีสายโซ่เส้นบางๆ ร้อยจากยอดหมวกลากยาวไปตามพื้นสู่บริเวณหัวเรือ
ชายคนนั้นดูท่าทางกำลังอารมณ์ดีจนไม่อาจเก็บไว้ ต้องขับขานระบายออกมาเป็นเสียงเพลงฝากไปกับลมที่ลอดผ่านประตูหน้าต่างเปิดโล่งเข้ามา
เจ้านกเอย...
เจ้าจะบินไปถึงหนใดหนอ
ใต้นภาฟ้ากว้าง ในหนทางว้างเวิ้ง เจ้ามองหาหลักชัยอันไหนมี
สายลมโอบใต้ปีก หรือจะกรีดเฉือนกัน
ให้เหน็บหนาว จนร้าว ไม่ปราณี...
ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ หอบเอาเมฆก้อนหนึ่งที่รูปร่างหงิกงอไม่ปกตินักเคลื่อนตัวคลอเคลียกับดวง ตะวัน ให้บดบังแสงแดดสาดไล่ สลับกับฉายเงาทาบทาสู่พื้นทะเลเบื้องล่างอย่างเว้าๆ แหว่งๆ เหมือนเล่นซ่อนแอบกัน เขาก็เปลี่ยนบทลำนำที่ขับขานไล่ตามไปด้วย
ตะวันเอยตะวัน...
ท่านจะเห็นเรือน้อยลำนั้นไหม
แม้ลอยล่องสูงล้ำฟ้าแสนไกล
ข้ายังอุ่นไอไฟแห่งความหวัง...
เขาถอยฉากจากหน้าพังงาวิ่งไปหาชุดเครื่องกลสำหรับควบคุมใบเรือ แล้วเอี้ยวตัวออกแรงผลักคันโยกขนาดเท่าแขน เสียงเอียดอาดถ่ายทอดเหมือนกระซิบส่งข่าวสารไปจากคันโยกสู่เพลาลงไปใต้พื้น ดาดฟ้าเรือ
แล้วจึงไปถึงเชือกหมู่หนึ่งตรงเสากระโดงที่ขยับขึ้นลง ส่งผลกางใบเรือออกรับลมเต็มที่ให้แล่นลิ่ว คล้ายจะกางปีกโผบินแข่งกับฝูงนกทั้งหลาย
และแล้ว...
เสียงเพลงอีกกระแสหนึ่งแว่วมาเพียงผะแผ่ว แต่ก็ตราตรึงเข้าสู่ใจทันทีที่กระทบโสต
ชายหนุ่มจึงวิ่งด้วยความไวเหลือเชื่อ วูบผ่านเงาของใบเรือปีนขึ้นไปด้วยบันไดเชือกตามความสูงของเสากระโดง จนกระทั่งขึ้นถึงรังกา ซึ่งเป็นคล้ายถังไม้ขนาดใหญ่ที่เปิดโล่งอยู่ยอดกระโดงสำหรับใช้สังเกตการณ์ รอบๆ
เมื่อมองไปสู่เบื้องหน้า เบื้องขวา เบื้องหลัง และสุดท้าย...สู่เบื้องซ้ายของเรือ
ก็พบเห็นเรืออีกลำหนึ่งที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ลักษณะคล้ายเรือประมงของชาวบ้านแต่มีบางอย่างผิดธรรมดาให้เห็น แล่นอยู่ห่างออกไปแต่ก็ยังอยู่ในโอบเอื้อมของขอบฟ้า
เมื่อคว้าเอากล้องส่องทางไกลกระบอกใหญ่เทอะทะขึ้นมาประทับมอง พุ่งเป้าไปยังเรือลำนั้นโดยเล็งตรงรังกาก่อนให้รู้ทางกันกับผู้ที่อาจจะ ส่องกล้องกลับมาหาเรือลำนี้
แต่ก็พบเป้าหมายที่ว่างเปล่า ยกเว้นแต่หุ่นผ้าขนาดเท่าเด็กโตคนหนึ่ง วาดหน้ายิ้มแป้นทิ้งแขนสองข้างลงเกาะขอบรังกาอยู่ และหันหน้าตรงมาหาเขาพอเหมาะพอดีเหมือนต้อนรับ รอบใบหน้าของหุ่นตัวนั้นก็มีแฉกผ้าสีเหลืองระบายดูคล้ายดอกทานตะวันดอกใหญ่
เขาลดแนวเล็งส่องกล้องลงไปตามเสาเรือเป้าหมายเรื่อยๆ จนถึงดาดฟ้า ก็ได้พบว่าสิ่งที่เขามองเห็นผิดสังเกตเมื่อครู่นี้คืออะไร
นี่ย่อมไม่ใช่เรือประมงที่ชาวบ้านผู้กรำชีวิตแล่นออกหาปลาให้เห็นกัน เกลื่อนกล่นอย่างทุกวันเป็นแน่แท้ เพราะมันเต็มไปด้วยเด็กทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กหลายสิบคน แทรกด้วยลุงป้าแก่ๆ ท่าทางใจดีอยู่กลางวง และหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่งล้อมรอบยืนชมทิวทัศน์ใกล้กราบเรือ บ้างก็หันเข้ามามองกิจกรรมในวงด้วยความสนใจ พวกเด็กๆ แต่งตัวเป็นชุดแบบเดียวกัน กำลังนั่งเขย่าเครื่องให้จังหวะดนตรีแบบพื้นบ้าน บางคนถือปากกาและกระดาษจดขยุกขยิก แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ก็ราวจะได้ยินความจอแจที่อบอุ่นสดใสแล่นมาพร้อมกับภาพ ที่เห็นได้ไม่ยากเลย
และที่ยิ่งกว่านั้น...
หญิงสาวคนหนึ่งดูสะดุดสายตาเขามาก ดูบุคลิกท่าทางยังไม่พ้นวัยรุ่นดี เธอไว้ผมกึ่งสั้นกึ่งยาวรวบมัดไว้ปล่อยปอยผมเพียงบางเบาให้ระใบหน้า ใส่เสื้อและกางเกงขายาวหลวมๆ ดูสบายตัวเหมือนคนอื่นๆ ในเรือลำนั้น
เธอยิ้มและหัวเราะไปกับคนอื่นๆ อย่างดูไม่เสแสร้ง เธอดูร่าเริงและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังท่ามกลางธรรมชาติ ในการพัดพาของคลื่นลมทะเล ที่ดูเหมือนจะไหวสะเทือนตอบรับต่อทุกเสียงร้องขับขานเพลงของเธอ ที่เขาได้ยินผสานรวมมากับเสียงของคนอื่นๆ เป็นกระแสแผ่วมากระทบถึงเรือของเขาด้วย
เพียงแค่นั้นเขาก็ไม่รีรอต่อไป รีบไต่กลับลงมาสู่ตัวเรือแล้ววิ่งไปหมุนกงล้อพังงาให้หัวเรือหันหักเลี้ยว ตาม แล้วค่อยๆ นำเรือแล่นเข้าไปใกล้ชิดเป้าหมายมากขึ้น...มากขึ้น...
เมื่อเข้าไปจนได้ระยะพอเห็นสีหน้าท่าทางคนบนเรืออีกลำได้ ชายหนุ่มก็กระแอมก่อนจะวิ่งออกไปโบกไม้โบกมือและเริ่มตะโกนทักทายกัน
จังหวะนั้นคลื่นลูกใหญ่ซัดโซมขึ้น ส่งน้ำเค็มกระเซ็นเข้าหน้าเข้าปากชายหนุ่มผู้ไปเยือน ทำให้เขาต้องเงียบไปชั่วจังหวะหนึ่ง
"อย่างนี้สินะ" แล้วเขาก็พักรำพึงกับตัวเองในขณะพยายามปาดน้ำเค็มออกจากใบหน้า "ที่เขาว่า ยามรัก...น้ำทะเลก็ยังหวาน"
เหมือนธรรมชาติหรือเทพเจ้าก็ตามทีจะแกล้งเล่นตลกกับเขา เมื่อกระแสลมเริ่มเปลี่ยนทิศทาง และพัดปะทะใบเรือเขาให้ค่อยๆ ถอยห่างออกมา
"...แต่ไยเล่าต้องร้าวราน...เพราะสายลมบันดาลพัดให้พราก ให้ห่างพลัน"
"แต่ลูกผู้ชายถ้ามีใจต้องไม่ยอมแพ้สิ...!!!" กำลังจะตะโกนออกมาเพื่อปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิมอีกคำรบอยู่ แต่ก็จำต้องหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อสายโซ่ที่ล่ามอยู่บนศีรษะถูกกระตุกตึงกะทันหัน จนเขามีอันต้องหงายหลังล้มลง ในปลายสายตาเหมือนจะเห็นหลายคนบนเรืออีกลำหัวเราะครืน
ณ เบื้องล่าง...
พื้นที่ภายในหัวเรือส่วนที่เป็นรูปหัวปลาใหญ่ เป็นห้องที่ปิดมิดชิดดูแออัด ด้านหลังห้องมีชั้นหนังสือเก่าและอุปกรณ์แปลกประหลาดสารพัดชนิดอยู่เรียงราย
ส่วนหน้าในห้องมืดสลัวมีอีกบุรุษหนึ่งท่าทางเคร่งขรึมในชุดคลุมยาวสี คล้ำเข้มนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนศีรษะของเขาถูกคลุมด้วยหมวกโลหะทึบสีดำที่มีสัญลักษณ์ประหลาดวาดอยู่บน หน้า ใบหน้าที่แท้จริงและสายตาของเขาไม่อาจมองเห็นได้
และบนยอดหมวกของเขามีโซ่แบบเดียวกับสหายร่วมลำเรือ ร้อยขึ้นไปเก็บไว้ในช่องบนเพดานที่ดูลึกลับ ยากจะเดาออกว่าเชื่อมต่อไปสู่แห่งหนใด
บุรุษผู้นั้นนั่งเอกเขนกวางแขนบนที่เท้าแขน มือซ้ายพลิกหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะเล็กข้างที่เท้าแขนเปิดอ่าน โดยอาศัยแสงแดดที่ส่องลอดหน้าต่างแก้วบนเพดานลงมา ส่วนมือขวากำลังเล่นกับแบบจำลองแผนที่ดาวที่เป็นโครงโลหะรูปทรงกลมหมุนไปมา ได้หลายระนาบ
มีช่องหน้าต่างกรุแก้วหนาอีกช่องหนึ่ง ถูกเจาะเป็นรูปวงรีคล้ายปากอยู่บนพื้นในแนวพาดขวางกระดูกงูเรือ ให้มองลงไปจากบนเก้าอี้นั้นแล้วแลเห็นห้วงทะเลดำมืดเบื้องล่างได้ ซึ่งก็ยังเป็นปริศนาสำหรับเขาอีกคนหนึ่งว่า...มันมีอะไรให้น่าส่องมองขนาด นั้นหรือ?
ยอดบนสุดของพนักเก้าอี้นั้นมีเขาโลหะยาวยื่นออกมาสองข้างเป็นวงโค้งโอบ เข้าหาศูนย์กลาง ตรงปลายติดกับถ้วยโลหะที่เป็นเหมือนกระดิ่งหันเข้าหาศีรษะด้านข้างของผู้ นั่ง ด้านหลังพนักเก้าอี้มีสายลวดโลหะเจ็ดเส้นขึงไว้ในแนวดิ่งดูคล้ายเครื่อง ดนตรี มีรูเล็กๆ ขนาดนิ้วก้อยเจาะด้านหลังพนักเก้าอี้ไปทะลุด้านหน้าตรงกับกลางลำคอข้างหลัง ของผู้นั่ง และตรงกับแนวสายลวดเส้นกลางซึ่งถูกตรึงยึดลงไปสู่กระดูกงูเรือ ลวดอีกหกเส้นที่เหลือเป็นกลุ่มซ้ายขวาข้างละสามเส้น ปลายสายด้านบนขึงติดกับโคนเขาโลหะซ้ายขวา สายด้านล่างต่อยาวแยกกันออกจากฐานเก้าอี้ แล้วถูกขึงร้อยไปตามด้านข้างตลอดลำเรือคล้ายเส้นข้างตัวปลาโดยมีกระบอกไม้ ครอบปิด
เก้าอี้นี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ไม่อาจแยกออกจากเรือ ทั้งลำ มันมีไว้ใช้ฟังเสียงจากทะเล และในทางกลับกันก็ใช้ส่งเสียงพูดหรือขับขานเสียงเพลงออกไปสู่ท้องทะเลได้ ด้วย
"น้อยๆ หน่อยน่าสหาย" เขากล่าวออกมาเนิบๆ โดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายหนึ่งที่เดินลงมาหาจากข้างบน
"อย่าลืมว่านาวาลำนี้ แม้รูปร่างหน้าตามันจะไม่สมบูรณ์นัก ไม่ได้แข็งแรงทนทานมากมายขนาดที่จะต้านทานน้ำวนและมรสุมหนักๆ ได้ ไม่ได้สง่างามโดดเด่นจนดึงดูดสายตาใครให้เข้ามาหา หรืออยากแล่นเรือติดตามไปเป็นขบวนได้"
"แต่เราก็มีอยู่แค่นี้...และยังต้องใช้มันร่วมกันไปอีกนาน...หวังว่านะ"
ชายอีกคนหนึ่งทำท่ากระสับกระส่าย แววตาบ่งบอกว่าไม่พอใจนัก ก่อนจะหลุดถ้อยคำออกมาเหมือนบ่น
"หลายทีฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าชีวิตคนเราจะหดหู่ไปให้ได้อะไรกันนักหนา"
อีกฝ่ายร่ายคำตอบออกมายืดยาวราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิด
"ในความสว่างสดใสของนาย ก็ยังมีความมืด ความขุ่นมัว เพราะยังดิ้นรนและสับสนในตนเอง โดยหลายๆ ครั้งก็ไม่เข้าใจว่าจะทำบางสิ่งบางอย่างไปทำไม เพียงแต่ถูกชักพาไปด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ ที่วูบไหวแปรเปลี่ยนไปตามกระแสในชั่วขณะหนึ่งๆ"
"และในความมืดหม่นอย่างที่เห็นว่าฉันเป็นอยู่นี้ ก็ยังมุ่งไปสู่แสงสว่าง เพราะเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และพยายามเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า พยายามแสวงหาความสงบสุขและเที่ยงตรง ด้วยความเคารพ..."
"ดวงตะวันที่เป็นสัญลักษณ์แทนชีวิตและความหวังอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอมา แต่ในหลายๆ ครั้ง แสงแดดก็แผดเผาอย่างโหดร้ายเกินคาดคิด"
"ท้องทะเลที่มีอันตราย พร้อมจะกลืนกินชีวิตคนและสรรพสิ่งเมื่อยามบ้าคลั่ง แต่ทะเลก็ถือเป็นต้นกำเนิดของชีวิตทั้งหลายเช่นกัน"
ทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ในอาการที่ต่างยอมรับในถ้อยคำทั้งหมด จนกระทั่งบุรุษผู้ลึกลับพูดขึ้นอีก
"ว่าไปแล้ว เสียงเพลงก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนะ..."
"เพราะเสียงเพลงทำให้ผู้ที่ถูกแผดเผาอยู่ใต้แดดกล้า มีแก่ใจจะอดทนสู้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างร่าเริงแม้หลายครั้งจะยิ้มอยู่ใน หยาดเหงื่อและน้ำตา และก็ยังเป็นเสียงเพลงนี่แหละ ที่บรรเลงขับกล่อมความโหดร้ายที่ไม่ควรเอ่ยถึงให้ยังคงหลับไหลต่อไปในห้วง สมุทรลึก...ข้างล่างนั่น..." บุรุษลึกลับนิ่งชะงักไปชั่วอึดใจ ในอาการขยับไหวตัวดูเหมือนสั่นสะท้านอยู่จังหวะหนึ่ง จะเป็นด้วยความหนาวหรือเหตุอันใดยากนักจะหยั่งคาดได้
"จนกว่าสักวันหนึ่ง...ที่บทเพลงนี้จะสิ้นสุดลง เมื่อนั้น...เราทั้งหลาย คงต้องตื่นขึ้นมาเผชิญกับความจริงของโลกเสียที"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น