ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกที่สาปสูญแห่งผู้พเนจรไร้นาม

    ลำดับตอนที่ #1 : เชคินาห์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 212
      0
      13 ส.ค. 50

    ตอน เชคินาห์


    ในท่ามกลางความมัวหม่น ใต้ฟ้าที่ครืนครั่นครวญครางยามโพล้เพล้ผสมผเสเสียงแผ่นดินกัมปนาทด้วยศาสตราวุธแล่นเป็นคลื่นสะเทือนมาแทบไม่ขาดตอน กับไฟสงครามที่ลุกโหมส่งควันพวยพุ่งขึ้นผิว่าจะบดบังแม้แสงสุริยจันทร์เบื้องบนไปให้สิ้น
    ในท่ามกลางความอลหม่าน ยังมีเงาร่างตะคุ่มๆ จำนวนเหลือเพียงสิบกว่า กระจุกกันอยู่ในซากปรักหักพังของเขตวิหารหินแห่งหนึ่งที่ไม่มีเหลือแม้โครงหลังคา ใต้ผืนฟ้าชุ่มมวลเมฆหมอกสีแดงเข้ม บนเนินหญ้าไม่ไกลจากหาดเท่าใดนักจนได้ยินเสียงคลื่นสาดซัดมาแผ่วๆ เป็นระลอก
    ซึ่งสำหรับสถานการณ์ ณ ที่นี้แล้ว มันไม่ต่างอันใดกับเสียงกระซิบแห่งคำสาปแช่งจากเหล่าวิญญาณ ที่รอท่าอยู่ใต้ผืนห้วงสมุทรไพศาลรอบข้าง

    บุรุษผู้อยู่กลางวงดูจะสิ้นท่าเสียแล้ว เขานั่งคุกเข่าก้มหน้าที่ชอกช้ำอยู่ ชุดคลุมของเขาบัดนี้กลับกลายเป็นดุจเศษผ้าขี้ริ้วเปรอะเลือดปนผงถ่านเถ้า บนพื้นต่อสายตาเขามีคฑายาวที่ประดับประดาอย่างประณีตหากแต่ได้ถูกหักรานลงเป็นท่อนๆ แล้วด้วยพลังฤทธิ์น่าขยาด วางทอดนิ่งอยู่ดูราวจะเยาะเย้ย แขนทั้งคู่ของเขาไพล่อยู่ข้างหลัง ถูกพันธนาการแน่นด้วยเชือกเส้นหนาที่ถักทอจากลวดโลหะเป็นลายสลับเลื่อมคล้ายลำตัวงู

    อีกบุรุษหนึ่งผู้ถือคฑาเช่นกันและอยู่ในชุดคลุมยาวทอประกายราศีจรัสบ่งบอกความมีศักดิ์สูง ดูอาวุโสกว่าด้วยเครายาวพ่วงเกศาสีเทาเงินแลแววตาบ่งร่องรอยการได้มองเห็นโลกมาอย่างยาวนานนั้น หากใบหน้าและผิวพรรณกลับยังไม่ต่างอะไรกับมาณพหนุ่มน้อย เขายืนผงาดเป็นประธานอยู่ต่อหน้าผู้ถูกจับกุม มีสตรีในชุดนักบวชนางหนึ่งนั่งคุกเข่ามองเหตุการณ์เงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ และสตรีอีกนางที่แววตาเด็ดเดี่ยวแข็งกล้าผิดวิสัยอิสตรีทั่วไป ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่างออกไปนัก
    ถัดออกไปจากบริเวณที่เคยมีผนังและเพดานห้องแต่บัดนี้เหลือเพียงโครงเสากับพื้นหินขัดที่มีซากโครงสร้างกองระเกะระกะนั้น คือหมู่ทหารจำนวนหนึ่งถืออาวุธตั้งล้อมเป็นวงหันหน้าออกไปเพื่อเตรียมพร้อมประจญกับผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อ

    "ปุโรหิตเชคินาห์!" บุรุษผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกร้าวดุแต่ขณะเดียวกันกลับแฝงความปวดร้าว "เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเจ้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง? เจ้าใช้พลังอำนาจทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่กับเจ้าไปในทางผิด เจ้าเลือกที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายผู้ทุรยศ ฝ่ายที่ก่อโกลาหลสร้างความสูญเสียอย่างไม่อาจนับได้ และอาจจะถึงกับนำความพินาศอย่างถึงที่สุดมาสู่พวกเราทั้งหมดในดินแดนแห่งนี้"
    "ทั้งหมด...ก็เพราะสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความรัก แต่ความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจเช่นนี้...เจ้าจะมีหน้ามาอวดอ้างว่ามันคือรักกระนั้นหรือ? เมื่อนางเองไม่ได้รักเจ้า และไม่มีวันที่จะเป็นของเจ้าได้ แต่เจ้าก็ยังดื้อด้านจนกระทั่งลงมือกระทำในสิ่งที่ก้าวล่วงกฎอย่างร้ายแรงที่สุด!"
    เขาหยุดพักสูดลมหายใจเข้าช้าๆ เป็นการสงบสติอารมณ์
    "เราไม่อาจละเว้นโทษทัณฑ์ได้ แม้เจ้าอาจจะร้องขอก็ตาม และข้าก็รู้จักเจ้าดี...ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่มีทางร้องขอความเมตตาเพื่อให้พวกเราลดหย่อนโทษ"
    "แต่ข้าขอให้เวลาเจ้าสงบนิ่ง เพื่อย้อนทบทวนตัวเจ้าเอง และกลับใจเสียให้ได้ก่อนถึงวาระสุดท้ายที่จะถูกพิพากษา ก่อนอัสดงจะลาลับ" "นั่นก็เพื่อ...เป็นการดีต่อวิญญาณของเจ้าเองนั่นแหละ"

    "ท่านเทฮูติ...อาจารย์..."
    อีกฝ่ายหนึ่งรวบรวมพลังที่เหลืออยู่ในกาย เผยอปากขึ้นกล่าวตอบได้ในที่สุด
    "ข้าหาได้สูญเสียความศรัทธาและก้าวลงสู่ด้านมืด เพียงเพราะนางไม่รักข้าตอบฉะนั้นไม่"
    ในสายตาของผู้ฟังมีแววฉงน พวกเขานิ่งเงียบเตรียมพร้อมที่จะรับฟังต่อไป
    "ถึงตอนนี้ ข้าเชื่อแล้วว่านางคงไม่ได้มีใจให้ข้าเลย" เขาหยุดชะงักกล้ำกลืนความรู้สึกที่กำลังเอ่อท้นก่อนจะพูดต่อ "แต่ก่อนหน้านี้เล่า พวกท่านและข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความจริงแท้ในใจนางเป็นเช่นไร? ในเมื่อแม้นางเองก็แสดงท่าทีเหมือนตอบรับในบางหน และในเมื่อมีสิ่งอื่นๆ เข้ามาบดบังแทรกซ้อน ให้อะไรที่ควรจะเป็นเรื่องตรงไปตรงมาระหว่างคนสองคน กลับกลายเป็นกับดักวังวนของเงื่อนไขร้อยแปดพันอย่าง"
    "ยิ่งเป็นข้าที่เคยถูกเหยียดหยัน ถูกปฏิเสธ ประสบกับความลักลั่นขัดแย้งมาตลอดในเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้อะไรๆ มันยุ่งยากเข้า"
    "ข้าสับสน...จมอยู่ในห้วงคำนึงครุ่นคิดอยู่ทุกคืนวัน ระหว่างบทบาทที่ควรจะเป็นกับสิ่งที่เรียกร้องที่จะเป็น ระหว่างหลักปรัชญาลึกล้ำกับสิ่งที่เป็นและเห็นอยู่อยู่รอบข้างทุกวัน ระหว่างความถูกต้องเหมาะสมกับความจริงแท้แห่งหัวใจ ระหว่างแบบแผนการวางตัวกับความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่ใต้ผิวหน้า ระหว่างดีเกินไปกับชั่วเกินทน..."
    "ข้าหวาดกลัวความคิดของตนเอง ข้าเริ่มแยกตัวเหินห่างจากพวกท่าน เพราะกลัวพวกท่านจะรู้สิ่งที่อยู่ในใจข้า แต่คนอื่นๆ ทั้งหลายที่ข้าไว้วางใจมากพอที่จะยอมบอกเล่าเรื่องทั้งหลายให้ฟัง ก็กลับมองข้าอย่างผิดประหลาดไปจากที่เคย และสุดท้ายก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรที่มากไปกว่าเกลี้ยกล่อมให้ข้าปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าอย่างเย็นชา บางคนยิ่งนำเอาเรื่องราวสารพัดเกี่ยวกับตัวข้าไปแพร่กระจายต่อ ทำเหมือนมันน่าขำเสียเต็มประดาอย่างนั้น ถึงพวกเขาจะพยายามบอกข้าว่าไม่ได้มุ่งร้ายหรือจริงจังอะไร...แต่ถ้าเช่นนั้น มันเป็นความผิดของข้าคนเดียวหรือที่ให้ความสำคัญจริงจังกับเรื่องนี้ เรื่องที่คนอื่นอาจจะมองว่าไร้แก่นสารสิ้นดี? มันเป็นความโง่ของข้าเองใช่หรือไม่ที่ไว้ใจพวกเขาจนยอมบอกความลับในส่วนลึกของใจข้าให้พวกเขามีส่วนล่วงรู้ เพียงเพื่อจะให้ถูกนำไปเหยียบย่ำทำเป็นเรื่องสนุกสนาน?"

    ถึงตอนนี้ความกล้าของเขาดูจะค่อยๆ ฟื้นกลับมาภายใต้ความกดดันนั้น เขาหลับตาทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านพ้นขณะที่พยายามบรรยายมันออกมาเป็นถ้อยคำ
    "จากความไม่เข้าใจ กลับกลายเป็นความคับข้องใจ และเลยเถิดไปกระตุ้นให้ข้าเริ่มสงสัยในหลายๆ สิ่งที่ไม่เคยนึกสงสัยมาก่อน หลายๆ สิ่งที่เคยเป็นของแน่นอน ที่เคยเป็นรากฐานของสังคมเราทั้งหมด ข้าเริ่มเกิดคำถามว่า...ถ้าหากความจริงมียิ่งกว่านั้น และโลกที่แท้จริงกว้างไกลกว่าที่เราเห็นเล่า? ถ้าสิ่งเหล่านั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่กรอบเกณฑ์ที่พวกเราสร้างขึ้นมาปิดกั้นตนเองด้วยความกลัว เพราะไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นได้ จึงพากันทำเหมือนคุดคู้อยู่ในถ้ำรอความตายเล่า?"
    "จากผู้ที่ควรเพลิดเพลินกับความเคารพยำเกรงที่ปวงชนมีให้กับชนชั้นปราชญ์ราชบัณฑิต ข้าเริ่มมองเห็นหอคอยสูงที่พวกเราอยู่เป็นเหมือนกับคุกคุมขัง กีดกันเราออกจากกระแสธารที่เรียกกันว่า ชีวิต ซึ่งผู้คนที่เหลืออีกจำนวนมากภายนอกนั่น ผู้ต่ำต้อยที่พากันหากินใกล้พื้นดิน ได้มีโอกาสโอบกอดแสงตะวัน ได้สูดกลิ่นอายหอมหวานของฝุ่นดินที่คลุกเคล้าน้ำค้างยามรุ่งอยู่ทุกวัน...ในขณะที่ข้าอยู่บนที่สูงขนาบด้วยกำแพงโลหะและศิลาเย็นเฉียบ ท่ามกลางค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่าที่ผ่านพ้นภายใต้แสงจันทร์และแสงดาว กับลมหนาวที่โกรกพัดจากหน้าต่างพาหน้ากระดาษปลิวว่อนและซัดใส่ร่างข้าผู้นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่แต่ลำพังผู้เดียว หน้าที่และภาระงานอันแห้งแล้งที่ดูจะไม่มีวันจบสิ้นเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีวิตเราและนำมาซึ่งลาภยศ เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีอันรุ่งโรจน์แก่เราทั้งหมด แต่ไม่รู้ทำไม ภายในข้า...กลับรู้สึกว่างเปล่าต่อสิ่งเหล่านั้นเหลือเกิน..."
    "ข้ารู้สึกแปลกแยก ไม่อาจเข้าได้กับสหายเหล่าปราชญ์อย่างสนิทใจอีกต่อไปแล้ว และก็ไม่อาจจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างลงไปอาศัยอยู่กับหมู่ชาวบ้านด้วยเช่นกัน ไม่ต้องให้พูดถึงวรรณะนักรบที่ข้ารังเกียจ...หวาดกลัว...จากในวิญญาณเบื้องลึกมาตลอด"
    "จนถึงขีดที่ข้าไม่รู้ว่าข้า...กำลังทำอะไรอยู่ และจะทำไปเพื่ออะไรกันแน่ และเมื่อข้าไม่อาจหวังได้รับคำตอบจากใครรอบข้างได้ นั่นแหละ...ข้าถึงไม่ทนอีกต่อไป และลุกขึ้นมาดื้อแพ่ง...ต่อต้าน..."

    เขาก้มหน้านิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างปลงตกเหมือนจะสรุปชะตากรรมของตนเอง
    "หลังจากสิ่งทั้งหลายทั้งสิ้นนี้ ข้าเห็นแล้ว...ว่าข้าได้เข้าร่วมในการสร้างความเดือดร้อนสูญเสียและความทุกข์ทรมานมาสู่ผู้คนมากมาย เป็นบาปมหันต์ที่แม้ด้วยชีวิตหนึ่งเดียวของข้าก็ไม่มีทางจะชดใช้ได้หมด ข้า...จึงจะขอก้มหน้ารับทัณฑ์แต่โดยดี" ถึงตอนนี้จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นประสานสายตาแน่วนิ่งกับผู้ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ "หากแต่...ในส่วนของความอยุติธรรมที่ข้าก็เห็นว่าข้าได้รับ ความขมขื่นที่ถูกยัดเยียดให้ คำขู่เข็ญเยาะเย้ยใดๆ ให้ข้าละทิ้งความเชื่อและสิ่งทั้งหลายที่ข้ายึดถือเป็นชีวิต...ข้ายอมรับไม่ได้เด็ดขาด!"
    สิ้นคำกล่าวครั้งสุดท้ายนั้น ความเงียบงันก็เข้ายึดครองปกคลุมอยู่ จนกระทั่งสตรีอีกนางขยับกายก้าวออกมา นางอยู่ในชุดสง่าแต่กระชับทะมัดทะแมงตกแต่งด้วยสีขาวเป็นพื้นขลิบทองเป็นลวดลายมีระเบียบที่สื่อถึงพลังอำนาจและความเข้มแข็ง มีดาบคู่หนึ่งสงบนิ่งอยู่ในฝักสะพายไว้ที่สองข้างสายเข็มขัดระดับเอว

    "ยังเหลือเวลาอีกกว่าตะวันจะลับฟ้า ข้า มาริเอ็ท-ซินญ์ ผู้คุ้มกฎ ขอกล่าวอะไรเป็นการส่วนตัว...ก่อนจะไม่ได้กล่าวอีก"
    บุรุษเจ้าของนามเทฮูติผงกศีรษะแผ่วเบาเป็นเชิงอนุญาต นางจึงหันไปทางเขา
    "เชคินาห์ มันไม่ควรจะต้องเป็นเช่นนี้เลย"
    "ข้าเอง...นึกเอ็นดูเจ้าเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่งมาตลอด" นางทอดถอนใจ พร้อมทอดสายตาลงมองบุรุษบนพื้นดินที่นิ่งอยู่ในท่าทีแสดงความรันทดไม่แพ้กัน "จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังหวังอยู่ว่า...ตราบใดการเดินทางแห่งวิญญาณยังไม่สิ้นสุด และเมื่อใดที่มีโอกาสอันชอบ ข้าหวังจะเป็นผู้ที่ได้ช่วยชี้นำทาง และปกป้องเจ้า...ไม่ให้พลัดหลงไปสู่หนทางมืดเช่นนี้อีกในกาลเบื้องหน้า"
    "ขอบคุณ..." เขาไม่รู้จะกล่าวอะไรให้มากความอีก ได้เพียงตอบรับเป็นคำสั้นๆ เท่านั้น "ท่านพี่..."

    "ถึงเวลาแล้ว..."
    ผู้คุ้มกฎหญิงยกมือขึ้นแกะปมเงื่อนปลายผ้าสีดำที่ผูกหลวมๆ เป็นวงคล้องรอบคออยู่ออก นำมันขึ้นมาคาดปิดตาไว้ หลังจากผูกปมที่ท้ายทอยกระชับเข้าเรียบร้อยอย่างที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว นางลดมือลงไปอีกคำรบหนึ่งเพื่อจะกุมด้ามดาบกระชับมั่น
    เป็นจังหวะที่เทฮูติยกมือขึ้นปรามเสียก่อน เหมือนเขามีอะไรที่จะกล่าวอยู่ยังไม่จบ
    "เจ้าจงมองดูให้ชัดเถิดว่า ความรักที่กลายมาเป็นความลุ่มหลง นำไปสู่ความมืดบอด สุดท้ายก็อาจย้อนกลับมาทำลายคนที่เจ้ารัก คนที่รักเจ้า คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย และ...แม้แต่ตัวเจ้าเอง"
    "เช่นนั้นแล้ว...ความรักความปรารถนาที่นำไปสู่ความทุกข์ทรมาน นำไปสู่การโหยไห้รำพันคร่ำครวญซ้ำซากไม่จบไม่สิ้น จะประเสริฐอะไรเล่า? จงแสวงหาปัญญาเถิด เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นแสงส่องนำทางให้เจ้าข้ามพ้นไปจากความมืดทั้งหลายได้"
    เชคินาห์นิ่งอยู่ไม่ตอบ
    "ในวาระสุดท้าย เจ้าจงพิจารณาลงในทุกห้วงลมหายใจที่เหลืออยู่ให้ดี จนแม้ชีพดับสลาย และวิญญาณของเจ้าได้ลอยล่วงผ่านคูหาแห่งอเมนตีไปแล้ว ก็จงใช้เจตจำนงเพื่อตอกตรึงสลักฝังไว้ในวิญญาณของเจ้าต่อไปเถิดว่า...ปัญญาอันบริสุทธิ์แท้จริงนั้นต่างหาก มีค่าควรแสวงหายิ่งกว่าอื่นใด"
    "ลาก่อน"
    เทฮูติลดมือลง ตามด้วยทรุดตัวลงนั่งบนตอของเสาหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ในท่าทีแสดงความเหนื่อยล้าเต็มที
    มาริเอ็ท-ซินญ์ เม้มปากแน่นขณะกระชากดาบทั้งสองออกจากฝักส่งเสียงเสียดบาดหัวใจส่งความเย็นเยียบเข้าไปตลอดสันหลัง นางเปล่งวาจาขานคำศักดิ์สิทธิ์ แล้วดาบแต่ละข้างก็เรืองแสงวาบลุกเป็นไฟขึ้นโดยพลันพลางส่งเสียงฟู่เหมือนอสรพิษขู่ นางถือดาบทั้งสองชูไว้ข้างหน้าไขว้กันอยู่ตรงระดับอกเป็นรูปกากบาทเพลิงต่างสี แล้วเดินย่างสามขุมทั้งที่ยังมีผ้าผูกปิดตาอยู่ ไปหยุดยืนหน้านักโทษในระยะหนึ่งก้าวพอดี
    และแล้วก็ถึงเวลา ผู้คุ้มกฎสะบัดแขนลงดาบตัดสิน นำพาให้แสงไฟจากใบดาบวาดวาบเป็นทางดุจสายฟ้าแหวกผ่านห้วงเวหา
    เหมือนจะช่วยเกลื่อนกลบหยาดน้ำตาและฝอยเลือดที่สาดกระเซ็น


    ความวุ่นวายขัดแย้งยังคงดำเนิน ไฟสงครามยังจะลุกโหมต่อไป แม้พายุฝนจะกระหน่ำลงมาเพียงใดก็ไม่รู้ดับ เมื่อเจ้าชีวิตทั้งสิบผู้เป็นดุจพี่น้องร่วมอุทรกันแท้ๆ ยังคงยืนหยัดที่จะหันหลังให้กันและตอบสนองซึ่งกันและกันด้วยคมอาวุธสุดร้ายนานา ในความร้าวฉานที่ลึกเกินกว่าจะแก้สมานคืน

    แต่สำหรับดาวดวงหนึ่งที่ลับร่วงจากฟากฟ้าไปในสนธยานี้เล่า...
    เจ้าไปอยู่แห่งหนใด?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×