ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แหกชะตา ผ่าทางรัก (Love Against All Fate)

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 50


    ตอนที่ 6


    ประตูบานต่อไปเปิดขึ้น เพื่อนำไปสู่...

    คูหาแห่งพันธสัญญา

    ที่นี่ดูคล้ายท้องพระโรงใต้ดินขนาดกว้างถึงกว้างมาก มีเสาหินตั้งค้ำเพดานอยู่เป็นระยะๆ หีบศิลารูปร่างและขนาดคล้ายคลึงหีบศพวางระเกะระกะเต็มไปหมดนับร้อยๆ คำบรรยายบอกว่านี่เป็นข้อมูลเซฟเกมที่เคยมีคนเล่นไว้ก่อน เพื่อจะได้กลับมาเล่นต่อจากจุดเดิมได้ภายหลัง
    "ลองหาเซฟซักอันเปิดดูดีกว่า จะเริ่มเล่นตั้งแต่ต้นเลยก็ช้าไป"
    อัศวินยืนหันรีหันขวางอยู่อย่างเลือกไม่ถูกว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน ดนตรีพื้นหลังเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าผู้ร่วมทางวิ่งตึกๆๆ ก้องอยู่ทางใดทางหนึ่งแถวนั้น
    "ท่าทางเซิฟเวอร์นี้จะไม่ค่อยได้เก็บกวาดข้อมูลเลยนะเนี่ย"
    เมื่อเข้าไปประชิดหีบหนึ่งและใช้คำสั่งสำรวจดู ก็มีกรอบขึ้นมาบอกชื่อข้อมูลเซฟเกม พร้อมคำบรรยายที่เจ้าของใส่ไว้ และมีข้อความบอกว่าเซฟอันนี้ต้องใช้รหัสลับสำหรับเปิด
    อัศวินของเธอหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้น เมื่อทุกหีบที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างบอกว่าต้องใช้รหัสเปิดทั้งสิ้น จนกระทั่งได้ยินเขาเรียก
    "นี่ไงๆ เปิดได้แล้ว"
    อัศวินวิ่งไปดูข้างๆ แม่มดสาว เธอยืนอยู่ต่อหน้าหีบหนึ่งที่ฝากำลังเลื่อนเปิดออกดังครืด...

    และจากภายในนั้น ดวงแสงสองดวงต่างมีสีสดใสพร้อมประกายเลื่อมลายระยับ พุ่งขึ้นราวกับพลุแล้ววิ่งวกลงเคลื่อนเข้าหาตัวละครแต่ละตัว ก่อนจะแผ่ขยายออกเป็นม่านแสงอาบทั้งร่าง
    เมื่อมันจางลง อัศวินก็มีดาบ ชุดเกราะชั้นดีกว่าเดิมสวมใส่อยู่แล้ว พร้อมกับท่าไม้ตายขั้นต้นและขั้นกลางอีกหลายอย่าง ส่วนแม่มดก็มีชุดคลุมกับคฑาคู่มือที่ดูเด่นสะดุดตามากขึ้น และพลังเวท บทคาถาที่เพิ่มขึ้นอีกมากมายจนเลือกไม่ถูก
    ประตูของคูหาแห่งนี้เปิดออกอีกทาง ทั้งคู่วิ่งไปที่นั่นโดยอัตโนมัติ มุ่งสู่ทางเดินในอุโมงค์ที่ตรงปลายมีแสงสว่างรำไร แล้วฉากที่เห็นก็ค่อยๆ มืดดับลง...

    เริ่มการผจญภัย

    อีกทีหนึ่งทั้งสองก็ออกมายืนมองหน้ากันอยู่ในทุ่งโล่งหน้าถนนเข้าเมืองชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในฉากมีลมพัดใบไม้ใบหญ้าปลิวไสว มีไก่คุ้ยเขี่ยหากินอยู่ตัวหนึ่ง แล้วก็บางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ
    เขาเลือกคำสั่งให้ตรวจดูสิ่งของที่พกมา มีสมุดบันทึกการรับทำภารกิจอยู่ในนั้นด้วย
    "ไปรังนกอินทรีกัน" เขาหันมาบอกเธอหลังจอ หลังกราดสายตาอ่านในรวดเดียว "เราต้องไปเก็บขนนกมาทำภารกิจที่ค้างอยู่"

    แผนที่อาณาจักรที่อยู่ในห่อสัมภาระของอัศวินเข้าใจได้ไม่ยากนัก และดูเหมือนการเดินทางที่น่าจะยากลำบากก็สะดวกกว่าที่คิด เนื่องด้วยพวกเขารู้จุดหมายและรู้ทิศที่จะไปอยู่แล้ว และการเริ่มด้วยตัวละครที่ขีดความสามารถระดับค่อนไปทางสูง ก็ทำให้จัดการกับอุปสรรคที่ขวางหน้าไปได้เรื่อยๆ

    จนกระทั่งมาถึงชายป่าโปร่งแห่งหนึ่ง ที่ขวางคั่นระหว่างพวกเขากับต้นไม้ขนาดยักษ์ที่มองเห็นไกลๆ ประมาณได้ยากว่าลำต้นของมันใหญ่แค่ไหน กิ่งก้านดกรกครึ้มของมันแผ่คลุมไปเป็นบริเวณกว้าง สูงจนระฟ้า
    "นั่นแหละ ที่เราต้องไป" เขาสั่งเปิดแผนที่ดูให้ละเอียดอีกหน "แล้วมีอะไรอีก...ทั้งแถบนี้ในแผนที่ไม่มีบอกจุดน่าสนใจเลย นอกจากต้นมหาพฤกษา รังนกอินทรีบนยอดไม้ กับรูงูใหญ่ที่อยู่ในดินใต้รากของมัน"

    ทั้งคู่พากันลัดเลาะไป จนเมื่อใกล้เข้าๆ ก็เริ่มสดับเสียงเพลงไพเราะแว่วไหวหวาน กระทบใจให้หวนรำลึกวันวานของวัยเยาว์ เนิ่นนานตั้งแต่เท่าไหร่มาแล้วไม่อาจประมาณได้
    จนเงาทะมึนของร่มมหาพฤกษาเริ่มทาบทับคลุมเหนือศีรษะ พวกเขายังคงตามเสียงไปเรื่อยๆ และได้เห็นฝูงกระต่าย กวาง นกนานาชนิดพากันมาห้อมล้อม จ้องและฟังการบรรเลงนิ่งอยู่

    ตรงศูนย์กลางของครึ่งวงกลมสารพัดสัตว์นั้น ติดกับลำต้นที่ในระยะประชิดกลายเป็นเหมือนกำแพงไม้สีน้ำตาลทะมึน มีนักกวีพเนจรผู้หนึ่งในชุดปอนๆ สีเขียวใบไม้ กำลังดีดนิ้วเริงร่ายกับเครื่องสายประจำตัว พลางขับขานเนื้อร้องทำนองประกอบไป
    เขาดึงสายดีดเป็นจังหวะกระตุกโสตประสาทสั้นๆ สองครั้งติดกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงพูดบรรยายเล่าเรื่อง สลับกับดีดให้จังหวะแบบเดียวกันอีกเป็นพักๆ หลังจบเนื้อความสำคัญเป็นส่วนๆ

    "สวัสดีสหาย! สบายดีกันอยู่ไหม?" ตะดึ๊ง! "วันนี้ก็เป็นอีกวันที่อากาศสดใส" ตะดึ๊ง! "มะๆ! มาๆ! ล้อมวงกันเข้ามา!" ตะดึ๊ง! "ฟังเรื่องราวข้าจักเล่าขานแต่ปางบรรพ์!" ตะดึ๊ง!

    ตัวละครทั้งสองค่อยๆ เดินใกล้เข้าไป และพวกสัตว์ป่าก็แหวกทางให้ด้วยท่าทีตื่นๆ ระคนระแวงเล็กน้อย ส่วนนักกวีพเนจรนั้นเงยหน้าขึ้นและหันมาทักทายกับแม่มดก่อน
    "โอ้แม่สาวตางาม เจ้าดูไม่คุ้นหน้า" ตะดึ๊ง! "มาตรว่าจะเป็นชาวต่างถิ่น มาจากด้าวดินแดนสวรรค์หนใดกันเล่าหนา?" ตะดึ๊ง!
    ไม่ร้องรำทำเพลงเปล่า เจ้านั่นยังถือวิสาสะก้าวเข้ามารุกประชิดตัวนาง แล้วส่งถ้อยความออดอ้อนอีกคำรบ
    "ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว ช่วยอะไรข้าสักหน่อยได้ไหมคนดี"
    ถึงตอนนี้ก็มีตัวเลือกถ้อยคำโต้ตอบนับสิบรายการปรากฏขึ้นด้านล่างของจอ เขาไล่สายตาผ่านตัวเลือกเหล่านั้นขณะไตร่ตรองว่าควรให้แม่มดสาวตอบว่าไรดี

    แต่แล้วก็ปรากฎเสียงพูดแทรกขึ้นมาขัดพร้อมคำบรรยายใต้จอ จากอัศวินที่ยืนอยู่ข้างๆ เสียก่อน
    "งี่เง่าน่า ไสหัวไปไกลๆ เลย!"

    เหมือนกับโลกในเกมทั้งหมดจะกระตุกชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่นายกวีคนนั้นจะมีท่าทีแปลกๆ ไป มือข้างที่จับคอเครื่องดนตรีค่อยๆ ลดลงข้างตัว ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นมาดึงทึ้งผมตัวเองอย่างรุนแรง
    "โอ้! ทำไมใจร้ายอย่างนั้นเล่าสหาย ทำกับข้าผู้บรรเลงบทเพลงแห่งทวยเทพได้เยี่ยงนี้ ...แต่เมื่อต้องการเช่นนั้นล่ะก็..."
    มันกระตุกมือกระชากหัวตัวเองให้หลุดออกจากคอในทีเดียว โดยยังมีเพียงโซ่เส้นหนึ่งเชื่อมหัวกับตัวไว้ เมื่อเหยียดแขนยกหัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โซ่นั้นก็ยืดยาวออกทำเสียงดังครืดคราด
    "ย่อมได้! ย่อมได้!!! เคี้ยกฮ่าๆๆ~!!!"

    เกมตรงหน้าเข้าสู่สถานการณ์ต่อสู้ เทพมารผู้ลึกลับจับโซ่เหวี่ยงหัวตัวเองออกไปรอบๆ ต่างลูกตุ้ม สลับกับใช้เครื่องดนตรีกรีดดีดท่วงทำนองให้วิ่งเลื้อยผ่านอากาศพุ่งเข้าเสียดแทงพวกเขาอย่างดุเดือด อีกบางครั้งก็กลับแตกปะทุเป็นเปลวไฟแผดเผา การเคลื่อนไหวของมันกระโดดโลดเต้นว่องไวจนแทบจับไม่ทัน ฝูงสัตว์ ณ ที่นั้นแตกกระเจิงหนีหายกันไปสิ้นแล้ว

    พวกเขาพยายามรับมือ โดยแม่มดใช้อาคมธาตุน้ำและธาตุดินจับมันให้ช้าลง แล้วอัศวินใช้กระบวนท่าพุ่งเข้าประชิด คว้าจับ มัดทุ่ม และฉวยจังหวะโจมตีสวนอย่างไม่ยั้งมือ
    ในที่สุด มันก็ดึงโซ่กระตุกหัวตนกลับไปประคองไว้ พลางถอยห่าง รอบๆ ตัวมันมีประกายแสงสายฟ้าปั่นป่วนบ่งบอกการเปิดของห้วงมิติ
    "ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะ!"
    แล้วมันก็หนีหายไป ทิ้งไว้แต่คะแนนประสบการณ์และห่อผ้าอันหนึ่งบนพื้น เมื่อเปิดดูก็ได้ของวิเศษที่ทั้งสองยังไม่เข้าใจวิธีใช้ดีนัก

    "ไหนๆ ก็เปิดเซฟมาเป็นระดับสูงแล้ว ปราบบอสอีกซักตัวดีมั๊ย" เขาหันมาถามเธอหลังจออีกครั้ง ในเกมตัวละครคู่ผจญภัยทั้งสองนั่งพักฟื้นพลังอยู่ที่โคนลำต้นนั่นเอง หลังจากปีนขึ้นไปเก็บขนนกอินทรีกันมาเป็นฟ่อนๆ เรียบร้อยแล้ว
    "ก็ดี"

    ไกลออกไปทางทิศตะวันตก เริ่มเข้าสู่ดินแดนรกร้าง...คล้ายทะเลทรายสลับกับทุ่งราบดินแข็งสีเทาหม่น ทัศนียภาพแห่งชีวิตเจือจางลงทุกขณะที่มุ่งหน้าไป ถูกแทนที่ด้วยภาพแห่งความตายและความสิ้นหวัง
    เมื่อมาสุดเขตแดน พวกเขาเห็นโครงสร้างทำจากแท่งหินทึบตันจำนวนมากวางกองไว้เป็นแนวกำแพง เว้นช่องว่างอยู่ช่องใหญ่เบื้องหน้าขนาบด้วยแท่งตั้งสูงขึ้นไปเหมือนสองข้างของซุ้มประตู เลยจากนั้นไปเป็นเขตหุบผาที่ดูหม่นมืดทะมึนยิ่งกว่าดินแดนอื่นใดที่พวกเขาเคยผ่านมา ฟ้าเหนือขึ้นไปยังมีผืนเมฆม้วนเม้มเป็นม่านหนา บดเบียดเสียดสีส่งเสียงครืนครั่นคำรามเหมือนยักษ์เคี้ยวฟัน ทอประกายสายฟ้าแปลบปลาบอยู่เป็นนิตย์

    "เดี๋ยว! อย่าเพิ่ง!" อัศวินผลุนผลันนำหน้าไปก่อนแล้ว เท้าของเขากำลังเหยียบผ่านธรณีประตูระหว่างเสาหินทั้งสอง
    แล้วมันก็โผล่ออกมา...

    อสูรแมงป่องขนาดใหญ่กายสีดำเมื่อมวาววับ กินพื้นที่กว่าครึ่งของหน้าจอ ตะกายขึ้นจากลาดผา จ้องมองร่างมนุษย์เล็กๆ ทั้งสองราวจะกินเลือดกินเนื้อ...
    ก้ามของมันค่อยๆ ยกชูขึ้น...ก่อนจะพุ่งเข้ามาหมายหนีบจับร่างอัศวิน ดีที่เธอกดกระโดดหลบขึ้นไปได้ทัน แล้วให้อัศวินใช้ท่าหมุนตัวถีบยันเสาหินนั้นกลางอากาศ เพื่อดีดตัวถอยห่างออกมา เช่นเดียวกับแม่มดที่วิ่งไปตั้งหลักข้างๆ กัน
    "ดูพลังชีวิตมันได้มั๊ย?" เธอถาม เขาจึงให้แม่มดลองใช้วิชาตรวจดูพลังชีวิต ก็ปรากฏวงกลมแสงขึ้นรอบๆ จอ ที่หดตัวเข้าไปโอบล้อมรอบโครงร่างลำตัวของมันเป็นฟองรูปวงรี แล้วตัวเลขบอกพลังก็เด้งขึ้นมาเหนือวงนั้น
    "เห..." เขาอุทานด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นตัวเลขชัด "แค่สามพันหนึ่งร้อยเองเหรอ ใช่จริงรึเปล่าเนี่ย?"

    "งั้นก็ต้องลองดูล่ะ ย้าก!!!"
    เธอกระหน่ำอุปกรณ์บังคับทั้งหมดอย่างประสานกัน ด้วยสมาธิพุ่งเข้าไปในหน้าจออย่างเต็มที่ เพื่อทำกระบวนท่าโจมตีต่อเนื่องที่รุนแรงถั่งโถมโหมกระหน่ำ ร่างของพญาแมงป่องสั่นสะท้านด้วยแรงดาบที่ฟาดฟันลงใส่เปลือกแข็ง ...และแล้วมันก็เสียท่าถูกเพลงยุทธอัดกระแทกให้ปลิวพลิกตัวลงไปติดแปะตรงก้อนหินใหญ่เบื้องล่าง อัศวินกระโจนตามไปติดๆ เพื่อถีบซ้ำเข้าใส่หลังมันเหมือนจะอัดให้ติดหน้าก้อนหินนั้นแน่นเข้าไปอีก ตามด้วยใช้ดาบแทงผ่านรอยที่แตกร้าวงัดเปลือกส่วนหลังของมันแหวะออกมาอย่างไม่ปราณีปราศัย แต่แล้ว...พร้อมกับประกายแสงที่แลบออกมาจากภายในนั้นเอง อัศวินก็กระเด็นถอยหลังร่วงลงมาด้วยแสงกะพริบทั่วหน้าจอและมีสัญลักษณ์ผุดขึ้นต่อหน้าแสดงว่าได้รับบาดเจ็บจากไฟลวก
    พลังชีวิตของอัศวินหดหายไปเกินครึ่งในชั่วพริบตา

    และจากบนหลังของมัน ที่อัศวินยืนอยู่เมื่อครู่นี้เอง...แทนที่จะเป็นเลือด กลับเป็นหมอกควันสีเทาทึบพลุ่งทะลักขึ้นจากบาดแผล แต่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีแสงไฟที่สาดส่องลอดออกมาได้ สภาพของเจ้าแมงป่องในยามนี้ดูราวกับแบกภูเขาไฟหรือเตาหลอมอยู่ภายในตัวก็ไม่ปาน

    แม่มดสาววิ่งเข้ามาช่วยใช้พลังบำบัดรักษาให้อย่างเร่งรีบ จนกระทั่งพลังชีวิตของอัศวินกลับมาอยู่ในระดับปลอดภัย
    ยังพอเหลือพลังที่จะใช้เวทมนตร์ได้อยู่ เขาให้แม่มดหันไปลองดูพลังชีวิตของมันใหม่อีกหน และผลก็ทำให้แปลกใจอีกครั้ง...
    วงแสงบนหน้าจอหดตัวโอบเข้าไปล้อมอาณาเขตรอบก้อนหัวใจที่เห็นคุโชนแสงสีแดงจ้าเต้นตุบๆ เป็นจังหวะอยู่ใต้กลุ่มควันนั้น แล้วตัวเลขก็เด้งขึ้นมาเป็นแถวยาวเหยียด เขาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
    "หกร้อยล้าน!?"
    "ล้อเล่นน่า!"
    เขาให้แม่มดลองอีกที ผลที่ได้ยังคงเหมือนเดิม
    "ที่เห็นอ่อนๆ มีพลังแค่สามพันกว่าเมื่อกี๊ เป็นแค่เปลือกนอกของมันเท่านั้นเองเหรอเนี่ย"

    "มีวิธีสู้มันได้มั๊ย?" เธอรีบถามในขณะที่ในหัวก็พยายามคิดหาทางออก
    "ล่อมันไปที่หน้าผาตรงนั้น เร็ว!"
    เขาพูดแค่นั้นแล้วทั้งสองก็ออกวิ่งข้ามทุ่งร้างโล่งไป พญาแมงป่องไล่ตามมาอย่างรวดเร็วพาฝุ่นดินฟุ้งกระจาย จนใกล้จะมาถึงขอบหน้าผาอีกแห่งที่เบื้องล่างมีสายน้ำใหญ่เชี่ยวกรากถาโถม
    "ตอนนี้แหละ แยก! คุณไปซ้าย!"
    ทั้งสองกระโดดผละจากกันคนละทางทันที แล้วต่างก็วิ่งวกอ้อมรอบพญาแมงป่องกลับไป หมายจะตลบหลังเพื่อผลักให้มันร่วงลงในสายธาร อัศวินผนึกพลังใส่ดาบพร้อมใช้กระบวนท่าอีกหนแล้ว...

    แต่เจ้าแมงป่องไม่หันกลับมา มันหมอบต่ำจิกปลายขาทั้งหมดตรึงลงกับพื้นอย่างมั่นคง แล้วตวัดหางของมันกวาดไปเรี่ยพื้นครั้งเดียว แม่มดก็ถูกฟาดกระเด็นไปคลุกฝุ่น ส่วนอัศวินเข้าปะทะในจังหวะที่ปลายหางของมันตวัดขึ้นโดยปลายแหลมของเหล็กไนอยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไปเพียงไม่กี่คืบ และก็ถูกสอยให้ปลิวเป็นวิถีโค้งลอยลิ่วลงไปในเหวนั้นทันที

    เสียงประกอบดังตูมใหญ่ แล้วมุมมองก็เปลี่ยนไปดั่งเป็นอีกโลกหนึ่ง ใต้ความมืดมนหม่นคล้ำนั้นเห็นได้เพียงสาหร่ายหรือวัชพืชน้ำเป็นเส้นยาวยืดสีดำ...โบกสะบัดพลิ้วไปมา ท่ามกลางทัศนียภาพบิดเบี้ยวรอบๆ ร่างอัศวินถูกกระแสน้ำซัดพา ดึงดูด เหนี่ยวรั้งไปตามทางอย่างหยุดไม่ได้ กระแทกหิน พลังชีวิตลด เส้นสาหร่ายละไล้ผ่านหน้าและชุดเกราะไปดุจเส้นผมนางพราย
    "ปัดโธ่เว้ย! แย่แล้ว!!!" ด้วยจิตใจที่กำลังใส่อารมณ์กับเกมอย่างสุดๆ เธอเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกแทรกขึ้นมา
    ...เหมือนเกินไปแล้วมั๊ง...

    แต่ยังไม่ทันจะได้คิดฟุ้งซ่านต่อไป เธอก็เห็นอะไรแวบๆ ผ่านเข้ามาในหน้าจอ...
    แล้วนั่น...คือร่างแม่มดที่ดำดิ่งลงมาถึง คว้าจับแขนของอัศวินไว้แล้วทำท่าพลิกกายเข้ามาแนบกันใช้วงแขนโอบกอดคล้องรอบลำตัวให้กระชับแน่น ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังคงถือคฑาที่กำลังเรืองแสงวาบวับ แล้วกระแสน้ำรอบๆ ก็ปั่นป่วนผสานกับรัศมีพลังที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อการใช้เวทธาตุลมระดับสูง...
    ฟลายอิ้ง!
    มวลน้ำควบแน่น บีบคั้น และยกตัวขึ้นโดยรอบ โอบอุ้มทั้งสองพุ่งทะยานไปด้วยกันจนส่งถึงให้แหวกผ่านผิวน้ำแตกกระเซ็นขึ้นเป็นฝอย โผบินไปกลางอากาศราวกับจะลอยลิบสู่แดนสรวง
    ...ก่อนจะคล้อยตกลงจากจุดสูงสุด แล้วร่อนลงจอดบนฝั่งผาแห่งหนึ่งอย่างเปียกชุ่มโชกแต่ปลอดภัยในที่สุด

    "คุณว่ายมาถึงฉันได้ไงน่ะ น้ำแรงขนาดนั้น" เธอถามขึ้นหลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่เห็นตัวละครของตนกลับมาปกติสุขดีแล้ว
    "ยัยแม่มดของผมไม่ได้ใส่เกราะหนักแบบอัศวินของคุณนี่"
    "แต่เกราะหนักๆ ที่อัศวินใส่...ก็มีไว้เพื่อปกป้องยัยแม่มดไม่ใช่รึไง?"
    "ก็ใช่น่ะสิ แล้วไงล่ะ?"
    "....."

    ทั้งสองหันไปดูนาฬิกาอีกฟากหนึ่งของผนังร้าน ก็ตกลงกันว่าน่าจะพอได้แล้ว
    เมื่อกดเลือกคำสั่งเซฟเกม ทั้งสองก็ถูกนำกลับไปยังคูหาแห่งพันธสัญญาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้แม่มดสาววิ่งนำไปหาหีบเดิมที่ฝาเปิดค้างอยู่ จัดแจงตั้งรหัสผ่าน
    แล้วตัวละครทั้งสองก็สลายร่างเปลี่ยนเป็นดวงแสงสีต่างกันสองดวง วิ่งลับหายลงไปในหีบนั้นที่ฝาหับปิดลงจนสนิท...
    เพื่อรอวันที่จะกลับมาสานต่อตำนานการผจญภัยนั้นอีกครั้ง

    หลังจากที่จ่ายเงินแล้วพากันเดินออกจากร้านเกม ทั้งสองเดินไปด้วยกันตามบาทวิถีส่องสว่างด้วยแสงไฟโคมจากเสาข้างทางและแสงสีจากร้านรวงยามราตรี แล้วอยู่ๆ หญิงสาวก็พูดขึ้น
    "นี่..."
    "หืม?"
    "ฉันรู้แล้วล่ะ สัญลักษณ์แห่งความรักอย่างแรกของฉัน..." เธอหดมือเข้ามากอดอกกระชับเบาๆ ตอบสนองต่อลมที่พัดพลิ้วมาปะทะกาย "สายน้ำที่น่ากลัวนั่นแหละ"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×