ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
เธอมองเห็นแนวกำแพงกว้างที่น่าจะล้อมกรอบอาคารแห่งหนึ่งอยู่ ด้วยอาการออกจะตื่นๆ เล็กน้อยในสถานที่ไม่เคยคุ้น เธอรู้แต่ว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
...แต่มันคืออะไรล่ะ?
"นี่ เธอน่ะ!"
ความฟุ้งซ่านถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องทักที่ลอยมาจากใกล้ๆ นี่เอง เธอเหลียวไปมองทางต้นเสียง และก็เห็นประตูทางเข้า พร้อมผู้ที่ยืนเฝ้าประตูนั้น
"อ๊ะ นั่น!"
ที่เธอเห็นคือบุคคลผู้หนึ่ง เขาสวมหมวกครอบคลุมทั้งศีรษะและใบหน้าเป็นโลหะสีทองรูปหัวนกเห็นเด่นสะดุดตา แขนและลำตัวส่วนบนถูกปกปิดอยู่ใต้ชุดผ้าคลุมสีขาวมีแผ่นแผงไหล่คลุมทับ ส่วนอื่นอยู่ในเกราะอ่อนทำจากโลหะสีทองเป็นแถบๆทั่วตัว มือสองข้างจับถือคฑาโลหะแท่งยาวสีเดียวกันไว้ขนานกับพื้นในระดับต้นขา
"เจ้าขุนทอง!?!"
"....."
"ไม่ใช่เฟ้ย!" น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก "ฉันคือ...คือ...เอ่อ คืออะไรก็ช่างเหอะ แต่เธอจำไม่ได้รึไง ว่าเราตกลงอะไรกันไว้?"
"หา!?"
เธอเกิดรู้สึกขึ้นมาว่าช่วงนี้เธอเจอถ้อยคำในลักษณะทวงสัญญาจากใครๆ ที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกบ่อยผิดปกติ แต่ก็ไม่ทันได้นึกคิดอะไรให้วุ่นวายไปกว่านั้น เพราะเขาสานต่อบทสนทนาไปเสียก่อน
"ลองมองดูรอบๆ ให้ดีๆ สิ"
เธอเงยหน้ามอง ข้ามแนวกำแพงขึ้นไป บนยอดสุดของอาคารนั้นมีก้อนผลึกแร่ขนาดใหญ่เกือบเท่าถังน้ำประปาตั้งอยู่ และเหมือนจะมีแสงเบาบางเปล่งออกมาจากภายในเป็นจังหวะๆ ถี่กระชั้นคล้ายการเต้นของหัวใจ
"ทางนี้"
เขาเรียกให้เธอหันกลับมองต่ำลงมา ก็เห็นว่าบานประตูโลหะหนาแต่ละข้างมีภาพสัญลักษณ์อะไรบางอย่างเป็นร่องรอยเลือนลางอย่างยิ่งจารึกอยู่สามรูป รวมแล้วเป็นหกพอดี
"เธอต้องรวบรวมกุญแจที่เคยบอกไว้มาให้ครบซะก่อน เราถึงจะเข้าไปเดินเครื่องเพื่อเริ่มงานค้นหาได้" เขาพยายามอธิบาย "เงื่อนไขของที่นี่ตั้งไว้แบบนี้"
เมื่อกล่าวถึงกุญแจ เธอก็เกิดนึกได้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน และยิ่งกว่านั้นก็รู้ว่าเธอยังตกลงใจเลือกหากุญแจที่ว่ามาไม่ได้สักอย่างเลย จึงทำหน้าเบ้พลางบ่นอุบอิบ
"ยุ่งยากชะมัด"
อีกฝ่ายหนึ่งถอนหายใจยาวเหมือนหน่ายเล็กๆ
"ถ้าจะว่าแบบนั้น...เธอก็ต้องออกไปเดินหาเอาเองข้างนอกนั่นแล้วมั๊ง?"
มือในถุงมือโลหะที่ห่อหุ้มคล้ายกรงเล็บนกยกขึ้นมายื่นไปข้างหน้า นิ้วหนึ่งชี้ตรงดิ่งไปในทิศตรงข้ามกับประตู
ที่แท้พื้นที่ตั้งขอบรั้วและอาคารแห่งนี้ และที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่ เป็นเนินดินยกสูงขึ้นมาเป็นหน้าผา และเบื้องล่างนั้นเอง ป่าดงดิบรกทึบ...แผ่ขยายไป...สุดลูกหูลูกตา...ฉากหลังเป็นเทือกเขาสุดสลับซับซ้อนลดหลั่นเกือบถึงผืนเมฆดำทะมึน...
แค่เห็นก็จะหมดแรงแล้ว
"ถ้าหากุญแจมาก่อน มันจะง่ายกว่าจริงเหรอ?" เธอหันไปถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ หนักแน่น ระหว่างที่จ้องมองประสานสายตากับเธออย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ เหมือนโดนตรึงสะกดไว้
"งั้นฉันจะพยายามแล้วกันนะ"
ก่อนที่จะเดินจากมา เธอเหลียวไปเห็นเขายังคงยืนนิ่งเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ไกลเท่าไรไม่อาจรู้ได้
เธอนึกสงสัยว่าเขากะพริบตาบ้างหรือเปล่า
หญิงสาวเดินวกอ้อมมาอีกฝั่ง และไปๆ มาๆ ก็พบว่ากำลังเดินย่ำอยู่ในซอกระหว่างตึก ซึ่งข้างหน้าอีกฟากของถนนปูนแคบๆ คือลานกว้างปูด้วยอิฐตัวหนอนสีเทา มีพื้นดินที่ต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่แทรกเป็นจุดๆ นอกนั้นก็มีโต๊ะไม้ตั้งเรียงรายอยู่เป็นระเบียบ หนุ่มสาวเดินไปมาพูดคุยสังสรรค์ ทำงานและกิจกรรมต่างๆ เต็มไปหมด
"ว้าย!!!"
เธอเกิดสะดุดเข้ากับอิฐอันหนึ่งที่ยื่นเผยอขึ้นมาจากพื้น แต่ก่อนจะล้มลง ก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวเธอไว้พอดี
เหมือนภาพฝัน...เธอถูกแรงดึงเหนี่ยวให้พลิกตัวหันกลับไปช้าๆ กำลังจะได้เห็นหน้าเจ้าของมือที่อบอุ่นนั้นอยู่แล้วแท้ๆ แต่แสงแดดที่ส่องแทรกเข้ามาจากข้างบนเฉียงๆ เบื้องหลังชายผู้นั้น มันช่างระคายตา ทำให้เธอรู้สึกปวดหัวแปลบขึ้นมา-
"นี่ หนูๆ มาหลับอะไรตรงนี้?"
เธอผวาสะดุ้งตื่น ก่อนจะหันไปเห็นลุงภารโรงคนหนึ่งยืนจับแขนเธอเขย่าๆ ให้รู้สึกตัวอยู่
"ไม่ใช่ที่นอนนะ เอ้อ! แล้วอยู่มาตั้งแต่เมื่อคืนเหรอ ยุงไม่หามรึไง?"
เธอสะบัดหัวไล่ความมึนงงพลางบิดตัวเหยียดแขนไล่ความเมื่อยล้าที่สะสมออกไป ใต้ถุนตึกตรงนี้...แม้ความสับสนอลหม่านจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะสงบราบคาบลงเกือบโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยไว้อยู่
และก็มีบางคนที่งานยังไม่เสร็จ เหลือรายละเอียดให้ต้องเก็บอีกมากบ้างน้อยบ้างต่างกัน
และก็อีกบางคนเช่นเธอผู้นี้...ซึ่งเสร็จงานของที่นี่แล้ว แต่ก็มีงานของที่ใหม่ที่ยังรอเธออยู่อีก จนไม่ได้หยุดพัก
ขณะที่ลุงคนนั้นเอาผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่าก่อนจะเริ่มเดินออกทำความสะอาดสถานที่ พลางฮัมเพลงอมตะจากยุคเดียวกับแกต่อไปอย่างอารมณ์ดี เธอก็เริ่มย้อนนึกความหลัง ด้วยสมองที่เริ่มหายเบลอจากการตื่นนอนใหม่ๆ บ้างแล้ว
นับจากวันนั้น เธอไม่ได้คุยกับเขาคนนั้น...ที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ชะตาของเธออีกเลย
แต่เธอเองก็งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเหมือนกันนี่นะ
พอรู้ตัวอีกที...เวลา...ก็ผันผ่าน...
ต่อมาหลังจากนั้น...เธอนั่งเหม่อมองกองข้าวของที่เก็บรวบวางไว้บนพื้นข้างเตียงนอน มันเป็นชุดสุดท้าย ชุดก่อนหน้านี้ถูกขนกลับไปบ้านเธอเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงของส่วนตัวจริงๆ เพียงไม่มากนัก ที่เหมาะจะพกพาติดสอยออกเดินทางไกลได้
...นอกนั้นคงต้องไปหาเอาข้างหน้า
ห้องพักที่เรียบง่ายแห่งนี้กลับไปอยู่ในสภาพเกือบจะเหมือนเดิมตอนเริ่มต้นที่เธอย้ายเข้ามา ยกเว้นรอยตำหนิ ขูดขีด หรือแม้แต่ไหม้เกรียมบางแห่งที่ยังไม่อาจลบออกได้
แต่มันถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว...จริงๆ...
งานเลี้ยงทั้งหลายโรยราผ่านพ้นไป ตั้งแต่อาทิตย์กว่าๆ มาแล้ว ที่ร่ำลาอาลัยรักกันเหลือแสนก็เลิกรากันไปตั้งแต่เดือนที่ผ่านมาแล้ว และต่างก็ต้องวิ่งวุ่นกับการปรับตัวเข้าสู่อีกช่วงชีวิต อีกระดับขั้นหนึ่ง ที่ยากจะคุ้นเคยได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยบทบาทและความรับผิดชอบที่สูงขึ้น เรียกร้องความจริงจังมากขึ้น...ยากจะหลบเลี่ยงด้วยประการใดๆ อีกแล้ว
ณ ที่นี่ ความไร้เดียงสาแห่งวัยเยาว์จะผ่านพ้นไปแล้วอย่างแท้จริง...ตั้งแต่แรกเริ่มจากครรภ์กำเนิด โลกที่ลึกล้ำและปลอดภัยที่สุด เจ้าได้แยกตัวออกมาสู่ความเป็นคนแปลกหน้าในโลก ที่ขยายใหญ่ขึ้นทีละชั้นทีละชั้นๆ
เมื่อเจ้าเจาะฝ่าเปลือกอันอบอุ่นปลอดภัยของโลกชั้นในก่อนหน้า เจ้าก็จะปะทะเข้ากับโลกชั้นต่อไป เพื่อฟักตัวอยู่ในนั้น...รอเวลาที่จะเป็นคนของโลกนั้นโดยสมบูรณ์...ด้วยความคุ้นเคยเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของตัวเจ้าเอง
เมื่อนั้นแลเจ้าต้องพร้อมที่จะลอกคราบออกไปอีกครั้ง สู่โลกชั้นต่อไปอีก...
จะสิ้นสุดเมื่อไรเล่า?
คงมีแต่ต้องลองถามผู้ที่นำไปก่อนหน้าดูเท่านั้น...ว่าเห็นปลายทางแล้วหรือยัง?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอก็เกิดตื่นเต้นเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
บ้านใหม่ของฉัน...จะเป็นยังไงนะ?
ตะวันบ่ายปลายสัปดาห์ที่เงียบเหงาสาดส่องย้อมอะไรๆ เป็นสีเหลืองส้มหม่นมัวทุกหนทุกแห่ง เธอสะพายเป้และลากกระเป๋าสัมภาระอีกใบหนึ่งไปที่ประตู
...แล้วก็หันกลับไปมองผ่านหน้าต่างห้องที่เปิดม่านไว้ไม่สุดดีนัก ทอดสายตาข้ามระเบียงทะลุไปตึกฟากตรงข้ามที่หน้าต่างบานตรงกันมืดอยู่ และก็เหมือนกับจะเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้
แต่ในที่สุด...อะไรบางอย่างในตัวเธอก็กระตุกขาข้างแรกให้ก้าวข้ามพ้นธรณีประตูไปจนได้
เธอเปิดประตูและผ่านประตูนั้นมาแล้ว หันไปมองเลขหมายของห้องพัก และหันมามองเลขหมายเดียวกันบนกุญแจห้องที่อยู่ในมืออีกครั้งคล้ายจะประทับเก็บไว้ในแฟ้มพิเศษของความทรงจำ แล้วย่างก้าวต่อไปของเธอก็ไปสู่เคาท์เตอร์ต้อนรับ...เพื่อคืนกุญแจ
เธอปลดปล่อยกุญแจนั้นกลับไปสู่เจ้าของอาณาเขตแล้ว มันจะถูกหมุนเวียนไปสู่มือผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสจะได้มาอยู่ที่นั่น
สำหรับเธอคงไม่ต้องใช้มันอีกต่อไป และเธอก็กำลังจับจ้องไปที่ถนนลูกรังกว้างพอประมาณข้างนอกนั่น
แต่ก็กลับมีเสียงเรียกรั้งเธอไว้เสียก่อน
ดูเหมือนคนงานของหอพักจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีพัสดุห่อหนึ่งส่งมาถึงเธอ หลังจากที่ต้องเดินลากกระเป๋าย้อนกลับไปลงชื่อรับด้วยอาการเสียจังหวะสะดุดเล็กน้อย เธอก็ไปแวะหยุดตรงม้านั่งยาวข้างลานหน้าหอ และนั่งลงแกะห่อออกดูด้วยความพิศวง
ในนั้นคือ "ดรีมแคทเชอร์" เครื่องรางชนิดหนึ่งของชนเผ่าอินเดียนแดง ลักษณะเป็นห่วงไม้ ขึงด้วยเชือกภายในคล้ายตาข่ายเป็นลายวง คล้ายๆ กับเอาห่วงบาสเก็ตบอลมาขึงให้แบนราบ แถมด้วยร้อยลูกปัดทำจากไม้ ดินเผาและวัสดุอื่นๆ คละกันไว้ตามจุดต่างๆ ในตาข่ายนั้น และตรงขอบรอบๆ ก็มีขนนกอินทรีหลายอันติดไว้ห้อยลงมาไล้ตรงแขน ให้ความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยเมื่อสายลมพลิ้วมา
กระดาษแผ่นหนึ่งพับไว้อย่างง่ายๆ แนบมาในห่อ เมื่อคลี่ออกอ่านก็เห็นข้อความที่บรรจงเขียนถึงเธอ
"โลกนี้กว้างใหญ่
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายนักให้ค้นหา
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ
แล้วเรา...จะได้เจอกัน"
- ผู้พิทักษ์
คุณเอง...อีกแล้วสิเนี่ย...
เธอแอบยิ้ม พลางที่เก็บของชิ้นนั้นยัดใส่เป้อย่างทะนุถนอมที่สุดที่พอจะเป็นไปได้แล้วลุกขึ้น สูดหายใจลึกๆ พรวดเดียว แล้วออกเดินมุ่งหน้าสู่สถานีรถโดยสาร
...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับมามองตึกที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ซุกหัวนอนของเธอตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาอีกสักครั้ง
ไปแล้วล่ะ
เปิดพลิกหน้าบันทึกต่อไป สู่ฉากใหม่ในช่วงชีวิต ในดินแดนใหม่และภารกิจใหม่...สักที
เพื่อลอง เพื่อมองดู รู้เห็น เจิดจ้า
เพื่อทะยาน แกร่งกล้า บุกฝ่าท้าทายฝัน
ยืนหยัด แสวงหา ศรัทธาในหนทาง
...ยังคงต้องติดตาม ตอนต่อไป...
เธอมองเห็นแนวกำแพงกว้างที่น่าจะล้อมกรอบอาคารแห่งหนึ่งอยู่ ด้วยอาการออกจะตื่นๆ เล็กน้อยในสถานที่ไม่เคยคุ้น เธอรู้แต่ว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
...แต่มันคืออะไรล่ะ?
"นี่ เธอน่ะ!"
ความฟุ้งซ่านถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องทักที่ลอยมาจากใกล้ๆ นี่เอง เธอเหลียวไปมองทางต้นเสียง และก็เห็นประตูทางเข้า พร้อมผู้ที่ยืนเฝ้าประตูนั้น
"อ๊ะ นั่น!"
ที่เธอเห็นคือบุคคลผู้หนึ่ง เขาสวมหมวกครอบคลุมทั้งศีรษะและใบหน้าเป็นโลหะสีทองรูปหัวนกเห็นเด่นสะดุดตา แขนและลำตัวส่วนบนถูกปกปิดอยู่ใต้ชุดผ้าคลุมสีขาวมีแผ่นแผงไหล่คลุมทับ ส่วนอื่นอยู่ในเกราะอ่อนทำจากโลหะสีทองเป็นแถบๆทั่วตัว มือสองข้างจับถือคฑาโลหะแท่งยาวสีเดียวกันไว้ขนานกับพื้นในระดับต้นขา
"เจ้าขุนทอง!?!"
"....."
"ไม่ใช่เฟ้ย!" น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก "ฉันคือ...คือ...เอ่อ คืออะไรก็ช่างเหอะ แต่เธอจำไม่ได้รึไง ว่าเราตกลงอะไรกันไว้?"
"หา!?"
เธอเกิดรู้สึกขึ้นมาว่าช่วงนี้เธอเจอถ้อยคำในลักษณะทวงสัญญาจากใครๆ ที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกบ่อยผิดปกติ แต่ก็ไม่ทันได้นึกคิดอะไรให้วุ่นวายไปกว่านั้น เพราะเขาสานต่อบทสนทนาไปเสียก่อน
"ลองมองดูรอบๆ ให้ดีๆ สิ"
เธอเงยหน้ามอง ข้ามแนวกำแพงขึ้นไป บนยอดสุดของอาคารนั้นมีก้อนผลึกแร่ขนาดใหญ่เกือบเท่าถังน้ำประปาตั้งอยู่ และเหมือนจะมีแสงเบาบางเปล่งออกมาจากภายในเป็นจังหวะๆ ถี่กระชั้นคล้ายการเต้นของหัวใจ
"ทางนี้"
เขาเรียกให้เธอหันกลับมองต่ำลงมา ก็เห็นว่าบานประตูโลหะหนาแต่ละข้างมีภาพสัญลักษณ์อะไรบางอย่างเป็นร่องรอยเลือนลางอย่างยิ่งจารึกอยู่สามรูป รวมแล้วเป็นหกพอดี
"เธอต้องรวบรวมกุญแจที่เคยบอกไว้มาให้ครบซะก่อน เราถึงจะเข้าไปเดินเครื่องเพื่อเริ่มงานค้นหาได้" เขาพยายามอธิบาย "เงื่อนไขของที่นี่ตั้งไว้แบบนี้"
เมื่อกล่าวถึงกุญแจ เธอก็เกิดนึกได้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน และยิ่งกว่านั้นก็รู้ว่าเธอยังตกลงใจเลือกหากุญแจที่ว่ามาไม่ได้สักอย่างเลย จึงทำหน้าเบ้พลางบ่นอุบอิบ
"ยุ่งยากชะมัด"
อีกฝ่ายหนึ่งถอนหายใจยาวเหมือนหน่ายเล็กๆ
"ถ้าจะว่าแบบนั้น...เธอก็ต้องออกไปเดินหาเอาเองข้างนอกนั่นแล้วมั๊ง?"
มือในถุงมือโลหะที่ห่อหุ้มคล้ายกรงเล็บนกยกขึ้นมายื่นไปข้างหน้า นิ้วหนึ่งชี้ตรงดิ่งไปในทิศตรงข้ามกับประตู
ที่แท้พื้นที่ตั้งขอบรั้วและอาคารแห่งนี้ และที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่ เป็นเนินดินยกสูงขึ้นมาเป็นหน้าผา และเบื้องล่างนั้นเอง ป่าดงดิบรกทึบ...แผ่ขยายไป...สุดลูกหูลูกตา...ฉากหลังเป็นเทือกเขาสุดสลับซับซ้อนลดหลั่นเกือบถึงผืนเมฆดำทะมึน...
แค่เห็นก็จะหมดแรงแล้ว
"ถ้าหากุญแจมาก่อน มันจะง่ายกว่าจริงเหรอ?" เธอหันไปถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ หนักแน่น ระหว่างที่จ้องมองประสานสายตากับเธออย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ เหมือนโดนตรึงสะกดไว้
"งั้นฉันจะพยายามแล้วกันนะ"
ก่อนที่จะเดินจากมา เธอเหลียวไปเห็นเขายังคงยืนนิ่งเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ไกลเท่าไรไม่อาจรู้ได้
เธอนึกสงสัยว่าเขากะพริบตาบ้างหรือเปล่า
หญิงสาวเดินวกอ้อมมาอีกฝั่ง และไปๆ มาๆ ก็พบว่ากำลังเดินย่ำอยู่ในซอกระหว่างตึก ซึ่งข้างหน้าอีกฟากของถนนปูนแคบๆ คือลานกว้างปูด้วยอิฐตัวหนอนสีเทา มีพื้นดินที่ต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่แทรกเป็นจุดๆ นอกนั้นก็มีโต๊ะไม้ตั้งเรียงรายอยู่เป็นระเบียบ หนุ่มสาวเดินไปมาพูดคุยสังสรรค์ ทำงานและกิจกรรมต่างๆ เต็มไปหมด
"ว้าย!!!"
เธอเกิดสะดุดเข้ากับอิฐอันหนึ่งที่ยื่นเผยอขึ้นมาจากพื้น แต่ก่อนจะล้มลง ก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าตัวเธอไว้พอดี
เหมือนภาพฝัน...เธอถูกแรงดึงเหนี่ยวให้พลิกตัวหันกลับไปช้าๆ กำลังจะได้เห็นหน้าเจ้าของมือที่อบอุ่นนั้นอยู่แล้วแท้ๆ แต่แสงแดดที่ส่องแทรกเข้ามาจากข้างบนเฉียงๆ เบื้องหลังชายผู้นั้น มันช่างระคายตา ทำให้เธอรู้สึกปวดหัวแปลบขึ้นมา-
"นี่ หนูๆ มาหลับอะไรตรงนี้?"
เธอผวาสะดุ้งตื่น ก่อนจะหันไปเห็นลุงภารโรงคนหนึ่งยืนจับแขนเธอเขย่าๆ ให้รู้สึกตัวอยู่
"ไม่ใช่ที่นอนนะ เอ้อ! แล้วอยู่มาตั้งแต่เมื่อคืนเหรอ ยุงไม่หามรึไง?"
เธอสะบัดหัวไล่ความมึนงงพลางบิดตัวเหยียดแขนไล่ความเมื่อยล้าที่สะสมออกไป ใต้ถุนตึกตรงนี้...แม้ความสับสนอลหม่านจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะสงบราบคาบลงเกือบโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยไว้อยู่
และก็มีบางคนที่งานยังไม่เสร็จ เหลือรายละเอียดให้ต้องเก็บอีกมากบ้างน้อยบ้างต่างกัน
และก็อีกบางคนเช่นเธอผู้นี้...ซึ่งเสร็จงานของที่นี่แล้ว แต่ก็มีงานของที่ใหม่ที่ยังรอเธออยู่อีก จนไม่ได้หยุดพัก
ขณะที่ลุงคนนั้นเอาผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่าก่อนจะเริ่มเดินออกทำความสะอาดสถานที่ พลางฮัมเพลงอมตะจากยุคเดียวกับแกต่อไปอย่างอารมณ์ดี เธอก็เริ่มย้อนนึกความหลัง ด้วยสมองที่เริ่มหายเบลอจากการตื่นนอนใหม่ๆ บ้างแล้ว
นับจากวันนั้น เธอไม่ได้คุยกับเขาคนนั้น...ที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ชะตาของเธออีกเลย
แต่เธอเองก็งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเหมือนกันนี่นะ
พอรู้ตัวอีกที...เวลา...ก็ผันผ่าน...
ต่อมาหลังจากนั้น...เธอนั่งเหม่อมองกองข้าวของที่เก็บรวบวางไว้บนพื้นข้างเตียงนอน มันเป็นชุดสุดท้าย ชุดก่อนหน้านี้ถูกขนกลับไปบ้านเธอเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงของส่วนตัวจริงๆ เพียงไม่มากนัก ที่เหมาะจะพกพาติดสอยออกเดินทางไกลได้
...นอกนั้นคงต้องไปหาเอาข้างหน้า
ห้องพักที่เรียบง่ายแห่งนี้กลับไปอยู่ในสภาพเกือบจะเหมือนเดิมตอนเริ่มต้นที่เธอย้ายเข้ามา ยกเว้นรอยตำหนิ ขูดขีด หรือแม้แต่ไหม้เกรียมบางแห่งที่ยังไม่อาจลบออกได้
แต่มันถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว...จริงๆ...
งานเลี้ยงทั้งหลายโรยราผ่านพ้นไป ตั้งแต่อาทิตย์กว่าๆ มาแล้ว ที่ร่ำลาอาลัยรักกันเหลือแสนก็เลิกรากันไปตั้งแต่เดือนที่ผ่านมาแล้ว และต่างก็ต้องวิ่งวุ่นกับการปรับตัวเข้าสู่อีกช่วงชีวิต อีกระดับขั้นหนึ่ง ที่ยากจะคุ้นเคยได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยบทบาทและความรับผิดชอบที่สูงขึ้น เรียกร้องความจริงจังมากขึ้น...ยากจะหลบเลี่ยงด้วยประการใดๆ อีกแล้ว
ณ ที่นี่ ความไร้เดียงสาแห่งวัยเยาว์จะผ่านพ้นไปแล้วอย่างแท้จริง...ตั้งแต่แรกเริ่มจากครรภ์กำเนิด โลกที่ลึกล้ำและปลอดภัยที่สุด เจ้าได้แยกตัวออกมาสู่ความเป็นคนแปลกหน้าในโลก ที่ขยายใหญ่ขึ้นทีละชั้นทีละชั้นๆ
เมื่อเจ้าเจาะฝ่าเปลือกอันอบอุ่นปลอดภัยของโลกชั้นในก่อนหน้า เจ้าก็จะปะทะเข้ากับโลกชั้นต่อไป เพื่อฟักตัวอยู่ในนั้น...รอเวลาที่จะเป็นคนของโลกนั้นโดยสมบูรณ์...ด้วยความคุ้นเคยเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของตัวเจ้าเอง
เมื่อนั้นแลเจ้าต้องพร้อมที่จะลอกคราบออกไปอีกครั้ง สู่โลกชั้นต่อไปอีก...
จะสิ้นสุดเมื่อไรเล่า?
คงมีแต่ต้องลองถามผู้ที่นำไปก่อนหน้าดูเท่านั้น...ว่าเห็นปลายทางแล้วหรือยัง?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอก็เกิดตื่นเต้นเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
บ้านใหม่ของฉัน...จะเป็นยังไงนะ?
ตะวันบ่ายปลายสัปดาห์ที่เงียบเหงาสาดส่องย้อมอะไรๆ เป็นสีเหลืองส้มหม่นมัวทุกหนทุกแห่ง เธอสะพายเป้และลากกระเป๋าสัมภาระอีกใบหนึ่งไปที่ประตู
...แล้วก็หันกลับไปมองผ่านหน้าต่างห้องที่เปิดม่านไว้ไม่สุดดีนัก ทอดสายตาข้ามระเบียงทะลุไปตึกฟากตรงข้ามที่หน้าต่างบานตรงกันมืดอยู่ และก็เหมือนกับจะเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงนั้นอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้
แต่ในที่สุด...อะไรบางอย่างในตัวเธอก็กระตุกขาข้างแรกให้ก้าวข้ามพ้นธรณีประตูไปจนได้
เธอเปิดประตูและผ่านประตูนั้นมาแล้ว หันไปมองเลขหมายของห้องพัก และหันมามองเลขหมายเดียวกันบนกุญแจห้องที่อยู่ในมืออีกครั้งคล้ายจะประทับเก็บไว้ในแฟ้มพิเศษของความทรงจำ แล้วย่างก้าวต่อไปของเธอก็ไปสู่เคาท์เตอร์ต้อนรับ...เพื่อคืนกุญแจ
เธอปลดปล่อยกุญแจนั้นกลับไปสู่เจ้าของอาณาเขตแล้ว มันจะถูกหมุนเวียนไปสู่มือผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสจะได้มาอยู่ที่นั่น
สำหรับเธอคงไม่ต้องใช้มันอีกต่อไป และเธอก็กำลังจับจ้องไปที่ถนนลูกรังกว้างพอประมาณข้างนอกนั่น
แต่ก็กลับมีเสียงเรียกรั้งเธอไว้เสียก่อน
ดูเหมือนคนงานของหอพักจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีพัสดุห่อหนึ่งส่งมาถึงเธอ หลังจากที่ต้องเดินลากกระเป๋าย้อนกลับไปลงชื่อรับด้วยอาการเสียจังหวะสะดุดเล็กน้อย เธอก็ไปแวะหยุดตรงม้านั่งยาวข้างลานหน้าหอ และนั่งลงแกะห่อออกดูด้วยความพิศวง
ในนั้นคือ "ดรีมแคทเชอร์" เครื่องรางชนิดหนึ่งของชนเผ่าอินเดียนแดง ลักษณะเป็นห่วงไม้ ขึงด้วยเชือกภายในคล้ายตาข่ายเป็นลายวง คล้ายๆ กับเอาห่วงบาสเก็ตบอลมาขึงให้แบนราบ แถมด้วยร้อยลูกปัดทำจากไม้ ดินเผาและวัสดุอื่นๆ คละกันไว้ตามจุดต่างๆ ในตาข่ายนั้น และตรงขอบรอบๆ ก็มีขนนกอินทรีหลายอันติดไว้ห้อยลงมาไล้ตรงแขน ให้ความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยเมื่อสายลมพลิ้วมา
กระดาษแผ่นหนึ่งพับไว้อย่างง่ายๆ แนบมาในห่อ เมื่อคลี่ออกอ่านก็เห็นข้อความที่บรรจงเขียนถึงเธอ
"โลกนี้กว้างใหญ่
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายนักให้ค้นหา
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ
แล้วเรา...จะได้เจอกัน"
- ผู้พิทักษ์
คุณเอง...อีกแล้วสิเนี่ย...
เธอแอบยิ้ม พลางที่เก็บของชิ้นนั้นยัดใส่เป้อย่างทะนุถนอมที่สุดที่พอจะเป็นไปได้แล้วลุกขึ้น สูดหายใจลึกๆ พรวดเดียว แล้วออกเดินมุ่งหน้าสู่สถานีรถโดยสาร
...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับมามองตึกที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ซุกหัวนอนของเธอตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาอีกสักครั้ง
ไปแล้วล่ะ
เปิดพลิกหน้าบันทึกต่อไป สู่ฉากใหม่ในช่วงชีวิต ในดินแดนใหม่และภารกิจใหม่...สักที
เพื่อลอง เพื่อมองดู รู้เห็น เจิดจ้า
เพื่อทะยาน แกร่งกล้า บุกฝ่าท้าทายฝัน
ยืนหยัด แสวงหา ศรัทธาในหนทาง
...ยังคงต้องติดตาม ตอนต่อไป...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น