ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
เพียงแค่ฝัน...ในค่ำคืนหนึ่ง
ท่ามกลางแสงสลัวในอุโมงค์ที่ถูกขุดเจาะ มีรูปสลักศิลาของหญิงสาวนางหนึ่ง ฝังอยู่ในผนังสุดทางตันอยู่ครึ่งตัว บนรูปนั้นและบนหินรอบข้างเต็มไปด้วยลวดลายอักขระแปลกๆ มากมายสลักไว้
ทั้งผนังและพื้นเบื้องหน้า มีรอยเลือดกระเซ็นเปื้อนอยู่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือเส้นรอยเลือดที่ถูกขีดเขียนอย่างลวกๆ เป็นข้อความสีแดงฉาน
ข้าได้เดิมพันด้วยชีวิต เพื่อท้าทายต่อความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของโลก
และข้า...ล้มลง พ่ายแพ้
ข้าผู้แปลความประสงค์แห่งฟ้า ผู้กำราบเหล่าวิญญาณบนหน้าแผ่นดิน
ณ ที่นี่ ข้า...หัวใจสลาย เพราะหลงรักภาพในอุดมคติ ที่ไม่อาจเป็นจริง
ในห้องที่ชักจะรกรุงรังเข้าใกล้จุดวิกฤต เธองัวเงียตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดชื่นนัก ด้วยฝันประหลาดที่ทำให้ใจคอไม่ดี แต่ก็จำใจต้องลุกขึ้นล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปทำกิจวัตรประจำวันที่เร่งเร้าใกล้เข้าเส้นตายต่อไป
ช่วงสัปดาห์นี้ออกจะยุ่งเหยิง เธอหมกมุ่นอยู่กับงานเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนทำให้เกิดเรื่องให้จิตตกอยู่เป็นพักๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็กลับเป็นแรงเสริมความมุ่งมั่น และช่วยให้ได้รู้จักและเข้าใจในความอ่อนแอของตนเองได้ดีขึ้นด้วย
ยามเย็นย่ำที่ฝนซัดกระหน่ำ ของวันพฤหัสถัดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น...เธอยืนหลบฝนอยู่ใต้กันสาดหลังคาของท่ารถในเมือง รอเวลาที่จะได้กลับที่พัก หมอกมัวซัวปกคลุมทั่วทั้งฟ้าเบื้องบน ทัศนียภาพรอบข้างดูเบลอไปหมด เมื่อเหลียวมองไปก็พบหนุ่มสาวกางร่มฝ่าฝนออกไปกันเป็นคู่ๆ ไม่ขาดระยะ และอีกทีก็มีลุงท่าทางกร้านกรำโลกคนหนึ่งเดินสวมเสื้อกันฝนเก่าโทรมเดินท่อมๆ ลุยน้ำไปตามลำพัง ตามด้วยหมาตัวหนึ่งเปียกโชกวิ่งสวนทางขึ้นมา เธอถอยหลบทันก่อนที่มันจะหยุดยืนสะบัดขนไล่น้ำออกไปอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
อะไรบางอย่างกระตุกวูบอีกแล้ว...
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว...เวลาเดียวกันนี้แหละ...ในบรรยากาศคล้ายๆ กันนี้ด้วย ฝนกระหน่ำไล่เธอไปค้างเติ่งอยู่จนพลาดรถขบวนสุดท้ายที่จะพากลับบ้านไปอย่างน่าเจ็บใจ
แต่สำหรับวันนี้ไม่เหมือนเดิม จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เพราะเธอมองเห็นเงาร่างของใครบางคนใกล้เข้ามา จนถึงระยะที่พอจำได้
เขาคนนั้น...
ภายใต้ร่มคันขนาดพอเหมาะ ชายปริศนาเดินย่ำลุยน้ำมาเนิบนาบในท่วงท่าราวกับอสูรกายจากทะเล จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ฝั่งข้างๆ เธอ
"เอ้า" เขายื่นร่มมาบังเหนือเธอพลางทำท่าชักชวน
"ทำงงทำไมน่ะ จะอยู่ยังงี้จนถึงค่ำเหรอ?" เขาเร่งเร้าเมื่อเห็นเธอนิ่งเฉยอยู่
"นี่ยังไม่ถึงวันเสาร์เลยนะ"
"ผมก็ไม่ได้บอกซักหน่อยนี่ว่าจะโผล่มาได้เฉพาะวันเสาร์เท่านั้น" เขาตอบแค่สั้นๆ แล้วก็กลับมาย้ำถามอย่างเดิม "จะไปไม่ไป?"
"ท่าทางคุณนี่จะว่างน่าดู"
เธอเปรยขึ้นในระหว่างเดินฝ่าฝนมาด้วยกันภายใต้ร่มคันนั้นในครู่ต่อมา เขาหัวเราะขบขัน
"ไม่หรอก ผมเองก็มีงานอะไรให้ทำหลายอย่าง ช่วงจังหวะที่จะได้ทำแต่ละอย่างก็แค่แป๊บเดียวจริงๆ..."
"งั้นมันจะลำบากเกินไปรึเปล่าคะ? ต้องมาเดินลุยฝนอยู่แบบนี้ ทั้งที่มีอะไรต้องทำอีกเยอะแยะ" เธอถามออกไปฟังเหมือนไล่กลายๆ "เดี๋ยวไม่สบายเป็นอะไรไปละก็ไม่รู้ด้วยนะ"
ในตอนนั้นทั้งสองเพิ่งผ่านทางเดินซอกแซกระหว่างอาคารหลายแห่ง จนออกมาถึงถนนโล่งที่ออกจะรกร้าง เขาเงียบไป ตาเหม่อมองภาพถนนทอดยาวเบื้องหน้าภายใต้สายฝนฉ่ำ เธอรู้สึกเหมือนกับเขากำลังย้อนนึกถึงอะไรบางอย่างที่ห่างไกล...
"ไม่หรอกน่า" รอยยิ้มที่แฝงความเศร้าผุดขึ้นมาบนใบหน้าเรียบนิ่งนั้นอีกครั้ง "บรรยากาศแบบนี้สดชื่นดีออก"
อยู่ๆ เขาก็ส่งด้ามจับของร่มมาให้เธอถือไว้แทน ในขณะที่เขาออกไปอ้าแขนรับลมและฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างท้าทาย ถึงแม้จะเป็นมรสุมที่ทำให้เธอเริ่มสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวอยู่ภายใต้เงาร่ม สีหน้าเขาดูสบายเต็มที่ถึงแม้จะต้องหรี่ตาภายใต้เม็ดฝนและสายน้ำที่พรั่งพรูผ่านลงมาอาบทุกส่วนทั่วร่าง แล้วยังเคลื่อนไหวขยับไปในอาการกึ่งกระโดดโลดแล่น
...ดูราวกับกำลังเต้นรำกลางสายฝนอย่างไรอย่างนั้น
"ไม่เคยได้ยินรึไง ถ้าคิดจะเป็นเจ้าสาว ก็จงอย่ากลัวฝนน่ะ?" เขาก้าวเดินพลางยื่นมือมาหาเธอ ซึ่งก็รับไว้ด้วยมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือร่ม
เขาเหวี่ยงตัวไปเป็นวงรีอ้อมรอบเธอที่ยังเก้ๆ กังๆ อยู่ที่เดิม ถึงจังหวะที่ออกห่างจากกันมากที่สุด เธอก็เกิดความรู้สึกวูบวาบแปลกๆ ขึ้นมา ราวกับมีเงาของใครอีกหนึ่งที่มองไม่เห็นคั่นอยู่กลางระหว่างนั้น จากมุมมองของเธอผ่านเลยออกไปด้านหลังของเขาไกลลิบๆ เป็นทุ่งนาผืนกว้างที่กำลังแช่มชื่นกับเม็ดฝน
เป็นความรู้สึกวูบหายบรรยายไม่ถูก คล้ายกับมีใครบางคนถูกทิ้งไว้ในความมืด และเธอบังเอิญผ่านไปเห็นได้มองลอดรอยแตกบนกำแพงที่คุมขังนั้นเข้าไป
...แต่ก็เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นจริงๆ ก่อนที่เขาจะกระชับมือเธอเหวี่ยงจากจุดนั้นให้เริ่มวนไปอ้อมตัวเขาบ้าง แล้วต่อมาทั้งสองก็ย่างก้าวปรับจังหวะเข้าหากัน ย่ำเท้าเต้นรำบนไหล่ทางเฉอะแฉะอย่างเพลิดเพลิน เหมือนจะดึงเวลาช่วงวัยเยาว์กลับย้อนมาได้ในขณะหนึ่ง ร่มถูกทิ้งไว้บนพื้นไม่ห่างออกไปนัก
"พอเหอะ เดี๋ยวเป็นปอดบวมตายพอดี"
ในที่สุดเธอก็ผละจากเขาหันไปหยิบร่มขึ้นมากำบังเหนือศีรษะอีกครั้ง แม้ทั้งสองจะเปียกปอนชุ่มโชกไปหมดจนดูเหมือนไม่มีประโยชน์แล้วก็ตาม
"แล้วเรื่องที่ผมฝากไว้ล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?"
ขณะที่กำลังเร่งเดินต่อไปบนเส้นทางกลับที่พัก อยู่ๆ เขาก็หันมาถาม ซึ่งเธอก็ยังงงอยู่ว่าหมายถึงเรื่องไหน
"ยังมาทำงงอีก ก็สัญลักษณ์แห่งความรักไง"
"เอ่อ...ฉัน" ก่อนหน้านี้เธอทำเป็นลืมไป ด้วยแอบนึกว่ามันคงไม่จริงจังอะไรหรอก หรือไม่ก็คงเป็นแค่กลวิธีหาเรื่องทำความรู้จักในแบบของเขาเท่านั้นเอง
แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาดูจะตั้งใจมาก ทั้งที่เธอไม่ได้เข้าใจด้วยสักนิดเลย
"ไม่เป็นไรๆ ยังมีเวลาถึงวันเสาร์นี้" เขาถอนหายใจเบาๆ "ถ้าคุณคิดว่าเรื่องความรักสำคัญกับคุณจริงๆ ล่ะก็นะ"
คำพูดนั้นเหมือนจะแทงใจขึ้นมาทันที
ก็ใช่...ตราบใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งใดจริงจัง จะหวังให้สิ่งนั้นเป็นผลสำเร็จขึ้นมาได้อย่างไร?
นี่คงเป็นการทดสอบและกระตุ้นอย่างหนึ่งของ "ผู้นำทาง" ล่ะนะ?
เธอพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร คางเธอกำลังสั่นอยู่ด้วยความหนาวที่เริ่มกลับมาเกาะกุมประสาทสัมผัสในร่าง และเขาก็คงจะสังเกตเห็นแล้ว
ทั้งสองเริ่มกลับเข้าสู่เขตที่มีผู้คนอีกครั้ง ตึกสูงพร้อมลานจอดรถมีจักรยานยนต์จอดเรียงเป็นตับตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ในตอนนั้นเอง เธอได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งร้องไห้
เมื่อหันไปทางเขา เขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจะบอกอะไร แล้วทั้งสองก็เบนออกนอกเส้นทางไปที่นั่น
และพวกเขาก็ได้พบเด็กผู้ชายอายุประมาณ 5-6 ขวบคนหนึ่งในชุดแต่งกายปอนๆ ยืนหลบฝนอยู่ในชายคาศาลาพักริมทาง มองลูกบอลที่น่าจะเป็นของตัวเองแต่ในขณะนี้อยู่ไกลเกินเอื้อมถึงได้ มันลงไปติดอยู่ในซอกระหว่างกิ่งของต้นไม้ใหญ่ อยู่ด้านหลังศาลพระภูมิคู่หนึ่งที่ตั้งขวางอยู่ในสภาพที่ดูจะเบียดแทรกผ่านไปไม่ได้ เบื้องหน้าถัดออกมาเป็นแท่นวางของไหว้ที่มีบางอย่างล้มไป
ไม่ใช่กำแพงทางวัตถุที่ยากจะเอาชนะเลย แต่พลังความเชื่อและจิตใจของผู้คนที่ผูกพันอยู่ด้วยต่างหากที่ทำให้น่าลำบากใจ
เธอหันไปมองคนข้างๆ เหมือนจะหยั่งเชิงว่า...เขาจะทำอย่างไรต่อไป
จะช่วยเด็กน้อยคนนั้นหรือเปล่า และจะเลือกวิธีไหน?
จะเลือกปีนข้ามศาลไป?
ถ้าชาวบ้านแถวนั้นมาเห็นหรือรู้เรื่องเข้า ก็เสี่ยงกับการมีใครไม่พอใจหาว่าลบหลู่
หรือจะหาวิธีอื่นเพื่อเอาลูกบอลออกมาให้ได้?
ขณะที่เธอกำลังกวาดสายตาไปรอบๆ เผื่อจะมีอุปกรณ์ที่พอใช้ได้ ชายผู้นั้นก็ออกเคลื่อนไหวแล้ว เขาเดินไปอีกทางหนึ่งแหวกหญ้าคารก แล้วลุยเข้าไปในพงไม้หนามที่โคนต้นนั้น
"ระวังด้วยค่ะ" เธอเตือนในขณะที่แอบลุ้นว่าเขาจะโดนทิ่มพรุนเอา แต่เขาก็ยังแหวกฝ่าพงหนามอ้อมโคนต้นไม้ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจ
เขาเหยียบไปบนรากไม้ผิดจังหวะแล้วทำท่ากระตุกจะลื่นล้ม เจ้าหนูที่ยืนช่วยลุ้นอยู่ข้างๆ เธอ ร้องอุทานอย่างตื่นตกใจ แต่เขาก็หาจุดเหยียบยันและใช้มือคว้าส่วนของลำต้นไว้ได้ทันก่อนจะลงไปเต็มตัว
ยังมีการลื่นไถลที่น่าหวาดเสียวอีกหลายครั้ง แต่เขายังคงบุกฝ่าไปเงียบๆ ด้วยการใช้มือบรรจงจับลำเถาหนามแต่ละเส้นขยับเพื่อเปิดที่ว่างให้ก้าวต่อไป เหมือนจะระมัดระวังไม่ให้มันเสียหายด้วยซ้ำ ทั้งที่แขนข้างหนึ่งพลาดถูกหนามกรีดเป็นทางยาวจนเลือดซิบเห็นชัดเจน
จนในที่สุด...เขาก็ไปโผล่หลังศาลพระภูมิจนได้
และแล้วหลังจากโยนบอลลูกนั้นออกมาจากพงหนามให้เธอรับ เขาก็เดินฝ่าพงหนามกลับออกมาให้ต้องลุ้นกันอีกรอบหนึ่ง
"สนุกมั๊ย อยู่ๆ ไปเดินลุยแบบนั้นน่ะ ดูสิ...ดีนะไม่ล้มไป"
"ไม่เป็นไรหรอก" เขาเช็ดเลือดที่แขนกับชายเสื้อพลางกล่าวตอบ "ผมเคยทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว เมื่อตอนที่มีงานรับน้องชมรม"
"พอได้มาพบเจออีกที ก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาตอนนั้นขึ้นมาได้..." เขาพูดต่อขณะหันมองไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตกที่แสงสุดท้ายกำลังส่องทะลุผืนเมฆและม่านฝนมาพอให้เห็นรำไร "ความอบอุ่น สนุกสนาน ระทึกเป็นบางหนกับเส้นทางข้างหน้าที่ยังไม่รู้จักและดูเหมือนข่มขู่คุกคาม และสุดท้ายก็เปิดเผยให้เห็นความออกจะไร้สาระของโลก"
"กลายเป็นช่วงคนแก่รำลึกความหลังไปแล้วสิเนี่ย" เธอล้อเลียนด้วยสีหน้าขบขัน เขาทำเป็นไม่ใส่ใจ
"ใช่...จะขุดความทรงจำเก่าๆ ที่ลืมเลือนไปแล้วกลับคืนมา ก็ต้องหากุญแจของมันให้เจอ ถ้าคนหลงป่าจะกลับเข้าไปในเส้นทางที่เดินออกมานานแล้วได้ ก็ต้องมองหาเครื่องหมายบางอย่างนำไป"
"นั่นแหละ...ผมถึงให้การบ้านเรื่องสัญลักษณ์ไว้"
เธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย แม้จะยังมีเศษชิ้นส่วนของความลึกลับรออยู่อีกมากมายก่ายกอง...จนดูเหมือนจะไม่มีทางปะติดปะต่อให้หมดสิ้นจริงๆ ได้
อยู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นเหมือนตัดบท และทิ้งท้ายในเรื่องภารกิจที่ดูพิลึกพิลั่นนี้เพิ่มเติม:
"จะได้รู้กันล่ะว่า ผมจะเป็นแบบผู้ที่รักษาบาดแผลให้คนอื่นได้ แต่รักษาตัวเองไม่ได้
...หรือเป็นผู้ที่รักษาบาดแผลของตัวเองได้ ด้วยการช่วยรักษาคนอื่นกันแน่"
"เดี๋ยวสิ! คุณ..." เขาหันกลับมาปะทะสายตากับเธออย่างจัง สวนกับที่เธอเรียกเกือบพอดี
"เจอกันอีกทีเสาร์นี้นะ อย่าลืม"
เธอหยุดชะงักไป มือที่ยกชูขึ้นค้างอยู่ในอากาศ
...เมื่อกี๊นี้เราจะถามอะไรแล้วนะ?
แล้วเธอก็ถูกปล่อยไว้ที่หน้าหอพักตัวเองอย่างงงๆ ในขณะที่เขาเดินลับหายไปทางไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากนั้น...ผู้พิทักษ์ชะตาเดินไปตามถนน กำลังจะกลับบ้าน
เขาชอบการเดินสำรวจเส้นทางเป็นระยะใกล้ไกลแล้วแต่เวลาว่างจะอำนวย ด้วยชุมชนแต่ละแห่ง สถานที่แต่ละที่ที่เขาผ่าน ต่างก็มีบรรยากาศเฉพาะตัว ต่างก็มีความทรงจำแห่งคนและสิ่งที่เคยเกิดในที่นั้นฝังแฝงไว้ เมื่อผ่านเข้าไปก็จะระลึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
กลิ่นอายบรรยากาศ ทำเลสถานที่เคยคุ้น ภาพสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าหรือบ่าย หรือตึกแถวมีร้านรวงเรียงรายในยามพลบค่ำ บทเพลงที่ฝังใจ เหล่านี้ต่างก็เป็นเครื่องหมายชี้ทางไปสู่ความทรงจำที่สาปสูญบางชิ้นได้ทั้งสิ้น
ยังจำได้ว่าเมื่อบ่ายของวันเสาร์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่จะเริ่มมาติดต่อกับเธออีกครั้ง เขากำลังเดินไปต่อรถประจำทาง ในย่านชุมชนริมถนนเส้นหนึ่ง
เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า...เขายังนั่งวาดฝัน วางแผนอนาคตกับคนรักเก่าอยู่ว่าต่อไปจะไปซื้อบ้านอยู่กันแถบชานเมือง เช่นแถวนี้นี่เองที่ทั้งสองออกชื่อมุ่งหมายกันไว้
นั่นคืออดีต ก่อนหน้าที่จะแยกทางกันไม่นานนัก
บ่ายนั้นเขาขึ้นรถสายหนึ่งที่แล่นมาจอด และหลังจากรถออกวิ่งต่อแล้วไม่กี่อึดใจ เพลงหนึ่งก็ดังขึ้นจากวิทยุ เป็นท่วงทำนองของความรักและบ้านที่อบอุ่น เพลงของนกน้อยที่ผ่านการเดินทางมาจนได้ตั้งหลักฐานสร้างรังรักไว้รองกายแนบกัน
...มันเป็นเพลงที่เขาเคยชอบเป็นพิเศษ และจดจำไว้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นนั่นเอง
เพียงแค่ฝัน...ในค่ำคืนหนึ่ง
ท่ามกลางแสงสลัวในอุโมงค์ที่ถูกขุดเจาะ มีรูปสลักศิลาของหญิงสาวนางหนึ่ง ฝังอยู่ในผนังสุดทางตันอยู่ครึ่งตัว บนรูปนั้นและบนหินรอบข้างเต็มไปด้วยลวดลายอักขระแปลกๆ มากมายสลักไว้
ทั้งผนังและพื้นเบื้องหน้า มีรอยเลือดกระเซ็นเปื้อนอยู่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือเส้นรอยเลือดที่ถูกขีดเขียนอย่างลวกๆ เป็นข้อความสีแดงฉาน
ข้าได้เดิมพันด้วยชีวิต เพื่อท้าทายต่อความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของโลก
และข้า...ล้มลง พ่ายแพ้
ข้าผู้แปลความประสงค์แห่งฟ้า ผู้กำราบเหล่าวิญญาณบนหน้าแผ่นดิน
ณ ที่นี่ ข้า...หัวใจสลาย เพราะหลงรักภาพในอุดมคติ ที่ไม่อาจเป็นจริง
ในห้องที่ชักจะรกรุงรังเข้าใกล้จุดวิกฤต เธองัวเงียตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดชื่นนัก ด้วยฝันประหลาดที่ทำให้ใจคอไม่ดี แต่ก็จำใจต้องลุกขึ้นล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปทำกิจวัตรประจำวันที่เร่งเร้าใกล้เข้าเส้นตายต่อไป
ช่วงสัปดาห์นี้ออกจะยุ่งเหยิง เธอหมกมุ่นอยู่กับงานเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนทำให้เกิดเรื่องให้จิตตกอยู่เป็นพักๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็กลับเป็นแรงเสริมความมุ่งมั่น และช่วยให้ได้รู้จักและเข้าใจในความอ่อนแอของตนเองได้ดีขึ้นด้วย
ยามเย็นย่ำที่ฝนซัดกระหน่ำ ของวันพฤหัสถัดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น...เธอยืนหลบฝนอยู่ใต้กันสาดหลังคาของท่ารถในเมือง รอเวลาที่จะได้กลับที่พัก หมอกมัวซัวปกคลุมทั่วทั้งฟ้าเบื้องบน ทัศนียภาพรอบข้างดูเบลอไปหมด เมื่อเหลียวมองไปก็พบหนุ่มสาวกางร่มฝ่าฝนออกไปกันเป็นคู่ๆ ไม่ขาดระยะ และอีกทีก็มีลุงท่าทางกร้านกรำโลกคนหนึ่งเดินสวมเสื้อกันฝนเก่าโทรมเดินท่อมๆ ลุยน้ำไปตามลำพัง ตามด้วยหมาตัวหนึ่งเปียกโชกวิ่งสวนทางขึ้นมา เธอถอยหลบทันก่อนที่มันจะหยุดยืนสะบัดขนไล่น้ำออกไปอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
อะไรบางอย่างกระตุกวูบอีกแล้ว...
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว...เวลาเดียวกันนี้แหละ...ในบรรยากาศคล้ายๆ กันนี้ด้วย ฝนกระหน่ำไล่เธอไปค้างเติ่งอยู่จนพลาดรถขบวนสุดท้ายที่จะพากลับบ้านไปอย่างน่าเจ็บใจ
แต่สำหรับวันนี้ไม่เหมือนเดิม จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เพราะเธอมองเห็นเงาร่างของใครบางคนใกล้เข้ามา จนถึงระยะที่พอจำได้
เขาคนนั้น...
ภายใต้ร่มคันขนาดพอเหมาะ ชายปริศนาเดินย่ำลุยน้ำมาเนิบนาบในท่วงท่าราวกับอสูรกายจากทะเล จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ฝั่งข้างๆ เธอ
"เอ้า" เขายื่นร่มมาบังเหนือเธอพลางทำท่าชักชวน
"ทำงงทำไมน่ะ จะอยู่ยังงี้จนถึงค่ำเหรอ?" เขาเร่งเร้าเมื่อเห็นเธอนิ่งเฉยอยู่
"นี่ยังไม่ถึงวันเสาร์เลยนะ"
"ผมก็ไม่ได้บอกซักหน่อยนี่ว่าจะโผล่มาได้เฉพาะวันเสาร์เท่านั้น" เขาตอบแค่สั้นๆ แล้วก็กลับมาย้ำถามอย่างเดิม "จะไปไม่ไป?"
"ท่าทางคุณนี่จะว่างน่าดู"
เธอเปรยขึ้นในระหว่างเดินฝ่าฝนมาด้วยกันภายใต้ร่มคันนั้นในครู่ต่อมา เขาหัวเราะขบขัน
"ไม่หรอก ผมเองก็มีงานอะไรให้ทำหลายอย่าง ช่วงจังหวะที่จะได้ทำแต่ละอย่างก็แค่แป๊บเดียวจริงๆ..."
"งั้นมันจะลำบากเกินไปรึเปล่าคะ? ต้องมาเดินลุยฝนอยู่แบบนี้ ทั้งที่มีอะไรต้องทำอีกเยอะแยะ" เธอถามออกไปฟังเหมือนไล่กลายๆ "เดี๋ยวไม่สบายเป็นอะไรไปละก็ไม่รู้ด้วยนะ"
ในตอนนั้นทั้งสองเพิ่งผ่านทางเดินซอกแซกระหว่างอาคารหลายแห่ง จนออกมาถึงถนนโล่งที่ออกจะรกร้าง เขาเงียบไป ตาเหม่อมองภาพถนนทอดยาวเบื้องหน้าภายใต้สายฝนฉ่ำ เธอรู้สึกเหมือนกับเขากำลังย้อนนึกถึงอะไรบางอย่างที่ห่างไกล...
"ไม่หรอกน่า" รอยยิ้มที่แฝงความเศร้าผุดขึ้นมาบนใบหน้าเรียบนิ่งนั้นอีกครั้ง "บรรยากาศแบบนี้สดชื่นดีออก"
อยู่ๆ เขาก็ส่งด้ามจับของร่มมาให้เธอถือไว้แทน ในขณะที่เขาออกไปอ้าแขนรับลมและฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างท้าทาย ถึงแม้จะเป็นมรสุมที่ทำให้เธอเริ่มสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวอยู่ภายใต้เงาร่ม สีหน้าเขาดูสบายเต็มที่ถึงแม้จะต้องหรี่ตาภายใต้เม็ดฝนและสายน้ำที่พรั่งพรูผ่านลงมาอาบทุกส่วนทั่วร่าง แล้วยังเคลื่อนไหวขยับไปในอาการกึ่งกระโดดโลดแล่น
...ดูราวกับกำลังเต้นรำกลางสายฝนอย่างไรอย่างนั้น
"ไม่เคยได้ยินรึไง ถ้าคิดจะเป็นเจ้าสาว ก็จงอย่ากลัวฝนน่ะ?" เขาก้าวเดินพลางยื่นมือมาหาเธอ ซึ่งก็รับไว้ด้วยมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือร่ม
เขาเหวี่ยงตัวไปเป็นวงรีอ้อมรอบเธอที่ยังเก้ๆ กังๆ อยู่ที่เดิม ถึงจังหวะที่ออกห่างจากกันมากที่สุด เธอก็เกิดความรู้สึกวูบวาบแปลกๆ ขึ้นมา ราวกับมีเงาของใครอีกหนึ่งที่มองไม่เห็นคั่นอยู่กลางระหว่างนั้น จากมุมมองของเธอผ่านเลยออกไปด้านหลังของเขาไกลลิบๆ เป็นทุ่งนาผืนกว้างที่กำลังแช่มชื่นกับเม็ดฝน
เป็นความรู้สึกวูบหายบรรยายไม่ถูก คล้ายกับมีใครบางคนถูกทิ้งไว้ในความมืด และเธอบังเอิญผ่านไปเห็นได้มองลอดรอยแตกบนกำแพงที่คุมขังนั้นเข้าไป
...แต่ก็เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นจริงๆ ก่อนที่เขาจะกระชับมือเธอเหวี่ยงจากจุดนั้นให้เริ่มวนไปอ้อมตัวเขาบ้าง แล้วต่อมาทั้งสองก็ย่างก้าวปรับจังหวะเข้าหากัน ย่ำเท้าเต้นรำบนไหล่ทางเฉอะแฉะอย่างเพลิดเพลิน เหมือนจะดึงเวลาช่วงวัยเยาว์กลับย้อนมาได้ในขณะหนึ่ง ร่มถูกทิ้งไว้บนพื้นไม่ห่างออกไปนัก
"พอเหอะ เดี๋ยวเป็นปอดบวมตายพอดี"
ในที่สุดเธอก็ผละจากเขาหันไปหยิบร่มขึ้นมากำบังเหนือศีรษะอีกครั้ง แม้ทั้งสองจะเปียกปอนชุ่มโชกไปหมดจนดูเหมือนไม่มีประโยชน์แล้วก็ตาม
"แล้วเรื่องที่ผมฝากไว้ล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?"
ขณะที่กำลังเร่งเดินต่อไปบนเส้นทางกลับที่พัก อยู่ๆ เขาก็หันมาถาม ซึ่งเธอก็ยังงงอยู่ว่าหมายถึงเรื่องไหน
"ยังมาทำงงอีก ก็สัญลักษณ์แห่งความรักไง"
"เอ่อ...ฉัน" ก่อนหน้านี้เธอทำเป็นลืมไป ด้วยแอบนึกว่ามันคงไม่จริงจังอะไรหรอก หรือไม่ก็คงเป็นแค่กลวิธีหาเรื่องทำความรู้จักในแบบของเขาเท่านั้นเอง
แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องอะไรบางอย่างที่เขาดูจะตั้งใจมาก ทั้งที่เธอไม่ได้เข้าใจด้วยสักนิดเลย
"ไม่เป็นไรๆ ยังมีเวลาถึงวันเสาร์นี้" เขาถอนหายใจเบาๆ "ถ้าคุณคิดว่าเรื่องความรักสำคัญกับคุณจริงๆ ล่ะก็นะ"
คำพูดนั้นเหมือนจะแทงใจขึ้นมาทันที
ก็ใช่...ตราบใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งใดจริงจัง จะหวังให้สิ่งนั้นเป็นผลสำเร็จขึ้นมาได้อย่างไร?
นี่คงเป็นการทดสอบและกระตุ้นอย่างหนึ่งของ "ผู้นำทาง" ล่ะนะ?
เธอพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร คางเธอกำลังสั่นอยู่ด้วยความหนาวที่เริ่มกลับมาเกาะกุมประสาทสัมผัสในร่าง และเขาก็คงจะสังเกตเห็นแล้ว
ทั้งสองเริ่มกลับเข้าสู่เขตที่มีผู้คนอีกครั้ง ตึกสูงพร้อมลานจอดรถมีจักรยานยนต์จอดเรียงเป็นตับตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ในตอนนั้นเอง เธอได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งร้องไห้
เมื่อหันไปทางเขา เขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจะบอกอะไร แล้วทั้งสองก็เบนออกนอกเส้นทางไปที่นั่น
และพวกเขาก็ได้พบเด็กผู้ชายอายุประมาณ 5-6 ขวบคนหนึ่งในชุดแต่งกายปอนๆ ยืนหลบฝนอยู่ในชายคาศาลาพักริมทาง มองลูกบอลที่น่าจะเป็นของตัวเองแต่ในขณะนี้อยู่ไกลเกินเอื้อมถึงได้ มันลงไปติดอยู่ในซอกระหว่างกิ่งของต้นไม้ใหญ่ อยู่ด้านหลังศาลพระภูมิคู่หนึ่งที่ตั้งขวางอยู่ในสภาพที่ดูจะเบียดแทรกผ่านไปไม่ได้ เบื้องหน้าถัดออกมาเป็นแท่นวางของไหว้ที่มีบางอย่างล้มไป
ไม่ใช่กำแพงทางวัตถุที่ยากจะเอาชนะเลย แต่พลังความเชื่อและจิตใจของผู้คนที่ผูกพันอยู่ด้วยต่างหากที่ทำให้น่าลำบากใจ
เธอหันไปมองคนข้างๆ เหมือนจะหยั่งเชิงว่า...เขาจะทำอย่างไรต่อไป
จะช่วยเด็กน้อยคนนั้นหรือเปล่า และจะเลือกวิธีไหน?
จะเลือกปีนข้ามศาลไป?
ถ้าชาวบ้านแถวนั้นมาเห็นหรือรู้เรื่องเข้า ก็เสี่ยงกับการมีใครไม่พอใจหาว่าลบหลู่
หรือจะหาวิธีอื่นเพื่อเอาลูกบอลออกมาให้ได้?
ขณะที่เธอกำลังกวาดสายตาไปรอบๆ เผื่อจะมีอุปกรณ์ที่พอใช้ได้ ชายผู้นั้นก็ออกเคลื่อนไหวแล้ว เขาเดินไปอีกทางหนึ่งแหวกหญ้าคารก แล้วลุยเข้าไปในพงไม้หนามที่โคนต้นนั้น
"ระวังด้วยค่ะ" เธอเตือนในขณะที่แอบลุ้นว่าเขาจะโดนทิ่มพรุนเอา แต่เขาก็ยังแหวกฝ่าพงหนามอ้อมโคนต้นไม้ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจ
เขาเหยียบไปบนรากไม้ผิดจังหวะแล้วทำท่ากระตุกจะลื่นล้ม เจ้าหนูที่ยืนช่วยลุ้นอยู่ข้างๆ เธอ ร้องอุทานอย่างตื่นตกใจ แต่เขาก็หาจุดเหยียบยันและใช้มือคว้าส่วนของลำต้นไว้ได้ทันก่อนจะลงไปเต็มตัว
ยังมีการลื่นไถลที่น่าหวาดเสียวอีกหลายครั้ง แต่เขายังคงบุกฝ่าไปเงียบๆ ด้วยการใช้มือบรรจงจับลำเถาหนามแต่ละเส้นขยับเพื่อเปิดที่ว่างให้ก้าวต่อไป เหมือนจะระมัดระวังไม่ให้มันเสียหายด้วยซ้ำ ทั้งที่แขนข้างหนึ่งพลาดถูกหนามกรีดเป็นทางยาวจนเลือดซิบเห็นชัดเจน
จนในที่สุด...เขาก็ไปโผล่หลังศาลพระภูมิจนได้
และแล้วหลังจากโยนบอลลูกนั้นออกมาจากพงหนามให้เธอรับ เขาก็เดินฝ่าพงหนามกลับออกมาให้ต้องลุ้นกันอีกรอบหนึ่ง
"สนุกมั๊ย อยู่ๆ ไปเดินลุยแบบนั้นน่ะ ดูสิ...ดีนะไม่ล้มไป"
"ไม่เป็นไรหรอก" เขาเช็ดเลือดที่แขนกับชายเสื้อพลางกล่าวตอบ "ผมเคยทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว เมื่อตอนที่มีงานรับน้องชมรม"
"พอได้มาพบเจออีกที ก็ทำให้นึกถึงช่วงเวลาตอนนั้นขึ้นมาได้..." เขาพูดต่อขณะหันมองไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตกที่แสงสุดท้ายกำลังส่องทะลุผืนเมฆและม่านฝนมาพอให้เห็นรำไร "ความอบอุ่น สนุกสนาน ระทึกเป็นบางหนกับเส้นทางข้างหน้าที่ยังไม่รู้จักและดูเหมือนข่มขู่คุกคาม และสุดท้ายก็เปิดเผยให้เห็นความออกจะไร้สาระของโลก"
"กลายเป็นช่วงคนแก่รำลึกความหลังไปแล้วสิเนี่ย" เธอล้อเลียนด้วยสีหน้าขบขัน เขาทำเป็นไม่ใส่ใจ
"ใช่...จะขุดความทรงจำเก่าๆ ที่ลืมเลือนไปแล้วกลับคืนมา ก็ต้องหากุญแจของมันให้เจอ ถ้าคนหลงป่าจะกลับเข้าไปในเส้นทางที่เดินออกมานานแล้วได้ ก็ต้องมองหาเครื่องหมายบางอย่างนำไป"
"นั่นแหละ...ผมถึงให้การบ้านเรื่องสัญลักษณ์ไว้"
เธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย แม้จะยังมีเศษชิ้นส่วนของความลึกลับรออยู่อีกมากมายก่ายกอง...จนดูเหมือนจะไม่มีทางปะติดปะต่อให้หมดสิ้นจริงๆ ได้
อยู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นเหมือนตัดบท และทิ้งท้ายในเรื่องภารกิจที่ดูพิลึกพิลั่นนี้เพิ่มเติม:
"จะได้รู้กันล่ะว่า ผมจะเป็นแบบผู้ที่รักษาบาดแผลให้คนอื่นได้ แต่รักษาตัวเองไม่ได้
...หรือเป็นผู้ที่รักษาบาดแผลของตัวเองได้ ด้วยการช่วยรักษาคนอื่นกันแน่"
"เดี๋ยวสิ! คุณ..." เขาหันกลับมาปะทะสายตากับเธออย่างจัง สวนกับที่เธอเรียกเกือบพอดี
"เจอกันอีกทีเสาร์นี้นะ อย่าลืม"
เธอหยุดชะงักไป มือที่ยกชูขึ้นค้างอยู่ในอากาศ
...เมื่อกี๊นี้เราจะถามอะไรแล้วนะ?
แล้วเธอก็ถูกปล่อยไว้ที่หน้าหอพักตัวเองอย่างงงๆ ในขณะที่เขาเดินลับหายไปทางไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากนั้น...ผู้พิทักษ์ชะตาเดินไปตามถนน กำลังจะกลับบ้าน
เขาชอบการเดินสำรวจเส้นทางเป็นระยะใกล้ไกลแล้วแต่เวลาว่างจะอำนวย ด้วยชุมชนแต่ละแห่ง สถานที่แต่ละที่ที่เขาผ่าน ต่างก็มีบรรยากาศเฉพาะตัว ต่างก็มีความทรงจำแห่งคนและสิ่งที่เคยเกิดในที่นั้นฝังแฝงไว้ เมื่อผ่านเข้าไปก็จะระลึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
กลิ่นอายบรรยากาศ ทำเลสถานที่เคยคุ้น ภาพสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าหรือบ่าย หรือตึกแถวมีร้านรวงเรียงรายในยามพลบค่ำ บทเพลงที่ฝังใจ เหล่านี้ต่างก็เป็นเครื่องหมายชี้ทางไปสู่ความทรงจำที่สาปสูญบางชิ้นได้ทั้งสิ้น
ยังจำได้ว่าเมื่อบ่ายของวันเสาร์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่จะเริ่มมาติดต่อกับเธออีกครั้ง เขากำลังเดินไปต่อรถประจำทาง ในย่านชุมชนริมถนนเส้นหนึ่ง
เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า...เขายังนั่งวาดฝัน วางแผนอนาคตกับคนรักเก่าอยู่ว่าต่อไปจะไปซื้อบ้านอยู่กันแถบชานเมือง เช่นแถวนี้นี่เองที่ทั้งสองออกชื่อมุ่งหมายกันไว้
นั่นคืออดีต ก่อนหน้าที่จะแยกทางกันไม่นานนัก
บ่ายนั้นเขาขึ้นรถสายหนึ่งที่แล่นมาจอด และหลังจากรถออกวิ่งต่อแล้วไม่กี่อึดใจ เพลงหนึ่งก็ดังขึ้นจากวิทยุ เป็นท่วงทำนองของความรักและบ้านที่อบอุ่น เพลงของนกน้อยที่ผ่านการเดินทางมาจนได้ตั้งหลักฐานสร้างรังรักไว้รองกายแนบกัน
...มันเป็นเพลงที่เขาเคยชอบเป็นพิเศษ และจดจำไว้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นนั่นเอง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น