คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ไม่สนิทอย่าพูดคำว่าเตี้ย!
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมายัง จัตุรัสกลางเมืองแอนนอทรีย์
ท่ามกลางผู้คนคับคังเดินกันไปมา จับจ่ายซื้อของกันอยู่นั้น ณ ร้านค่าเฟ่ใกล้ๆ
เด็กสาวสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินใจ อยู่ตรงหน้าร้านคาเฟ่
“ฉันต้องขอโทษเรื่องเมื่อตอนยังเด็กด้วยนะลูซ
พอมาคิดดูแล้วฉันไม่ควรแกล้งนายไปแบบนั้นจริงๆ”
สการ์เลทเอ่ยขอโทษอย่างใจจริงพลางก้มหัวน้อยๆ ให้กับลูซที่นั่งอยู่ข้างควีนไม่ห่าง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
ถ้าท่านสการ์เลทขอโทษผมอย่างใจจริงแล้วล่ะก็” ลูซส่งยิ้มและตอบกลับสการ์เลทที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาด้วยท่าทีที่ดูคลายกังวลมากขึ้น
พอควีนเห็นลูซที่กลับมายิ้มแบบนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“งั้นเรียกฉันว่าสการ์เลทเถอะ
เรียกท่านสการ์เลทมันดูห่างเหินนะ”
ลูซที่ได้ยินสการ์เลทพูดแบบนั้นเขาก็ผงกหัวเข้าใจ
เขาคงจะเกร็งมากเลยสินะ ถึงจะดูผ่อนคลายนิดหน่อยแล้วก็เถอะ
แต่ก็คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่แล้วล่ะ ควีนคิดแบบนั้นก็ยกยิ้มนิดๆ
“เอาล่ะ! ในเมื่อทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว
ทั้งสองคนก็มาสนิทกันไว้นะ”
ควีนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูร่าเริงก่อนจะจับมือทั้งสองคนมาไว้ตรงหน้าเธอแล้วให้ทั้งสองคนจับมือกันเพื่อเป็นการปรองดอง
ทำความรู้จักกันมากขึ้น
“พี่ครับ...เจ้าหญิงมีฐานะที่สูงศักดิ์กว่าเรามากนะครับ
การที่เรามาทำแบบนี้มัน” ลูซหันไปเตือนพี่สาวตัวเอง ก่อนที่ควีนจะทำมือปัดๆ
ส่วนสการ์เลทเองก็มองมีที่ลูซด้วยท่าท่าทางที่ดูใจดี
ต่างจากเมื่อก่อนที่เขาเคยเจอเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า
สการ์เลทเองก็เป็นกันเองกับพวกเราสุดๆ”
“ใช่แล้วๆ นายไม่ต้องกังวลหรอก”
ทั้งสองสาวพยักหน้าให้กันและกันเป็นการรับประกันความมั่นใจให้กับลูซที่ดูท่าท่างจะยังเกร็งๆ
อยู่ไม่น้อยเลยกับการกระทำที่ดูปุปปัปของพี่สาว
“ถ้าทั้งสองคนพูดแบบนั้นล่ะก็ ผมจะพยายามแล้วกันนะครับ”
“อ๊ะ! จริงสิ ลูซช่วยไปสั่งเค้กเพิ่มหน่อยสิ”
ควีนที่จู่ๆ ก็นึกได้ จึงหันไปขอร้องน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ
ลูซจึงขมวดคิ้วด้วยท่าทางที่ดูงุนงงกับคำขอร้องของพี่สาวก็เลื่อนสายตาไปบนโต๊ะ
“มะ...หมดตอนไหนกันครับเนี่ย?” ลูซตาโตเมื่อเค้กตรงหน้าที่พนักงานเพิ่งเอามาวางไว้บนโต๊ะไม่นานก็หมดเกลี้ยง
ทำเอาลูซถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นจนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ท่าทางเจ้าหญิงสการ์เลทเองก็ดูเหมือนจะทานได้มากเท่าพี่สาวของเขาไม่สิ
ทานเยอะกว่าพี่สาวของเขาซะอีก แถมนิสัยที่ดูเข้ากันได้บ้างไม่ได้บ้างแบบนี้ดูสนิทสนมกับเธอมากกว่าเขาที่อยู่บ้านหลังเดียวกันเสียอีก
คิดแล้วก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาจังเลยนะ
“งะ...งั้น เอาแบบเดิมสินะครับ”
ลูซเอ่ยถามทั้งสองคนด้วยท่าทีที่ยังดูตกใจกับจานเค้กตรงหน้าที่ไม่มีเค้กอยู่สักชิ้น
“ค่า.... ขอเค้กดาร์กช็อกเพิ่มอีกสองชิ้นนะ”
สการ์เลทยกมือขึ้นพลางชูสองนิ้วไปตรงหน้าลูซ
ทำเอาลูซผงะเล็กน้อยก่อนที่จะลุกออกเจ้าเก้าอี้แล้วหันหลังเดินออกจากโต๊ะตรงเข้าไปยังข้างในร้านคาเฟ่
ควีนจึงหันมามองสการ์เลทก่อนที่มือเล็กจะหยิบแก้วน้ำชาแล้วยกจิบเพื่อลิ้มรสชาติของชาหอมกรุ่นในยามบ่าย
ที่อากาศดีแบบนี้
“เธอรู้หรือเปล่าว่าตัวเองมาที่โลกนี้ได้ยังไง”
สการ์เลทเอ่ยถามควีนที่นั่งจิบชาอยู่ด้วยสีหน้าที่ดูเรียบนิ่ง
บรรยากาศที่ดูสดใสอย่างเมื่อครู่นั้นหายไปในทันทีที่ลูซก้าวเดินออกไป
“เมื่อสองเดือนก่อนน่ะ เธอจำวันที่ฉันลืมกระเป๋าตังค์ได้หรือเปล่า?”
ควีนเงยหน้าขึ้นมาจากการจิบน้ำชาสายตานั้นมองไปยังใบหน้าของเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ
“อืม...จำได้แหละมั้งมันก็นานสำหรับฉันแล้วด้วยสิ” สการ์เลทใช้ความคิดสักพักก่อนจะเอ่ยตอบควีนออกไป
“ในตอนนั้นฉันเกิดอุบัติเหตุน่ะ หัวโขกประตูตรงห้องเปลี่ยนชุดใกล้ๆ
สระว่ายน้ำหลังจากนั้นก็กลายมาเป็นคุณหนูควีนอย่างที่เห็นนี่แหละ”
ควีนพูดพลางวางแก้วชาไว้ที่จานรองน้ำชาบนโต๊ะ
แล้วหันไปมองสการ์เลทที่ขมวดคิ้วท่าท่างและสีหน้าเธอดูเครียดหน่อยๆ
“แปลกจัง...”
“หื้ม??”
“ฉันที่รอเธออยู่หน้าโรงเรียนจู่ๆ
ก็มีรถสิบล้อพุ่งเข้ามาน่ะ...แล้วก็ตื่นมาในร่างของสการ์เลทตอนที่เธออายุได้แค่สิบขวบ”
“เอ๋!? นี่เธออยู่ที่นี่มาห้าปีงั้นเหรอ?”
ควีนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่สการ์เลทพูดออกมา
ก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับโดยที่ไม่พูดอะไรต่อแล้วยื่นมือขึ้นไปเหนือหัวตัวเองเล็กน้อย
“อืม...แต่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย
ยิ่งเป็นแค่เด็กสิบขวบเลยทำอะไรยากมากเลยล่ะ”
นกตัวน้อยขนสีขาวบินมาจับที่ปลายนิ้วของสการ์เลท
ก่อนที่เธอจะเลื่อนแขนข้างนั้นมาตรงหน้าแล้วสนใจนกน้อยที่อยู่ตรงหน้าของเธอแทน
“พอพูดเรื่องโลกก่อนให้คนอื่นได้ยิน
พวกเขาก็หาว่าเจ้าหญิงพลัดตกน้ำแล้วกลายเป็นคนเสียสติ
แถมยังไม่มีใครเชื่อฉันเลยสักคน”
“ไม่แปลกหรอกที่โดนหาว่าเป็นคนบ้า
เป็นฉันเองคงไม่อยากจะเชื่อถ้าไม่ได้มาโลกเวทมนตร์นี่ด้วยตัวเอง”
ควีนพูดพลางเก็บจานสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ
จัดวางซ้อนกันให้เป็นระเบียบตามนิสัยปกติของเธอ
มันคือโชคชะตาหรืออะไรกันแน่นะ...เธอเริ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย
สการ์เลทเอง...ไม่สิ...แอนเองก็อยู่โลกนี้มาตั้งห้าปีแต่ไม่มีเรื่องราวอะไรคืบหน้าเลยสักนิด
ส่วนเราเองเทพอะไรนั่นก็บอกอย่าได้สงสัยในโชคชะตานี่อีกของแบบนี้มันจะไม่ให้สงสัยได้ยังไงกันล่ะ!
“ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจอะไรเลยแห๊ะ”
จานสีขาวถูกวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเสร็จ
ควีนยกมือเรียวเล็กขึ้นมาลูบคางพลางครุ่นคิด
“มันถึงได้แปลกยังไงล่ะ
เราตายในเวลาที่ใกล้เคียงกันแต่กลับมาตื่นในโลกนี้ในเวลาที่ไม่ใกล้เคียงกันเลย” ควีนกุมขมับตนเองพลางถอนหายใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของสการ์เลท
เรื่องนี้มันทำเอาเธอปวดหัวจนสมองไม่แล่นคิดอะไรไม่ออกเลยซะจริง
“ว่าแต่เบล...ไม่สิควีนเองมีเบาะแสอะไรหรือเปล่าล่ะ?”
สการ์เลทเลื่อนสายตาจากนกตรงหน้ามองไปที่ควีน โดยที่มือเล็กๆ
ยังคงลูบหัวเจ้านกน้อยอยู่
“ฉันไปวิหารเทพแห่งแสงมาน่ะสิ
เทพอลูลาบอกให้ฉันอย่าได้สงสัยในเรื่องที่มาที่นี่ได้ยังไง เพราะมันคือโชคชะตา”
“เทพอลูลา? ยอดเลยนี่เธอได้คุยกับเทพด้วยเหรอ?”
“อืมใช่...แต่คุยผ่านร่างทรงน่ะ”
“เห? เหลือเชื่ออย่างกับฟังคนบ้าเล่าเรื่องเลย
แล้วท่านเทพว่ายังไงบ้างเหรอ?” สการ์เลทพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
แต่นั่นมันกับทำให้ควีนหางคิ้วกระตุกเพราะท่าทางที่ดูน่าหมั่นไส้กับคำพูดกวนๆ
ของเธอ สการ์เลทที่เห็นสีหน้าควีนเป็นแบบนั้นก็ขำเล็กๆ
ยัยนี่ทำเรื่องจริงจังให้เป็นเรื่องเล่นได้ตลอดโดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสินะ
“อย่าสงสัยว่ามาโลกนี้ได้ยังไง
ให้หาชายมีเขาแล้วชีวิตจะปลอดภัย...พอถามเรื่องเวทมนตร์ประจำตัวก็หายเข้าไปในกลีบเมฆติดต่อไม่ได้อีกเลย”
“ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลยแห๊ะ...สรุปเธอก็ยังไม่รู้เรื่องเวทมนตร์ประจำตัวสินะ”
ควีนที่ได้ยินคำถามจากเพื่อนสาวเธอก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ
พอกลับมาคิดเรื่องชายมีเขากับเวทประจำตัวแล้วเธอยิ่งปวดหัวไม่ต่างจากการเรื่องที่มาโลกนี้ได้ยังไงเลย
แถมการที่จะให้เธอเข้าใกล้คนที่เป็นเจ้าชายได้แบบนั้น มันจะไปทำได้ยังไงกันล่ะ
เธอเป็นแค่คุณหนูที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์มากมายขนาดนั้นที่จะเข้าใกล้เจ้าชายได้เลย
ตระกูลโรสฮาร์ทเป็นตระกูลที่ทำงานควบคุมเรื่องต่างๆ ในการใช้เวทมนตร์
ทั้งการออกกฎหมาย สินค้าต่างๆ
แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลโรสฮาร์ทก็ไม่ใช่ตระกูลพวกขุนนางของกษัตริย์
เราเองจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ไปงานเต้นรำเฉพาะพวกขุนนางเท่าไหร่
เว้นแต่เราจะมีเพื่อนที่มีคุณพ่อ คุณแม่เป็นขุนนาง
หรือกษัตริย์นั้นรับเชิญพวกเราด้วยตนเอง ไม่ก็เจ้าชายจะรับเชิญเรา...
“แล้วมันเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ!” ควีนที่จู่ๆ ก็เผลอหลุดปากพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว
เธอจึงรีบเด้งตัวนั่งหลังตรงอย่างกุลสตรีพึงมีเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ตนพูดเสียงดังดูไม่มีมารยาททันทีทันใด
“พึ่งเคยเห็นควีนทำตัวแบบนี้เลยแห๊ะ ตลกจัง”
สการ์เลทพูดล้อเธอโดยที่ไม่ได้จริงจังมากนักพลางหัวเราะกับท่าทีแปลกๆ ของควีน
“อะแฮ่ม แล้วเธอจะเอายังไงต่อล่ะ
ยังอยากรู้เรื่องที่เรามาโลกนี้ได้ยังไงอยู่หรือเปล่า?” เด็กสาวกระแอมกลบเกลื่อนเรื่องหน้าอายเมื่อครูแล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
และมองไปที่ใบหน้าของสการ์เลท ก่อนที่จะเอนกายพิงพนักเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ห้าปีเป็นเวลาที่นานมากแต่เธอกลับไม่รู้อะไรเลยถ้าเป็นฉันเองคงยอมแพ้แล้วจำใจอยู่ในร่างนี้ไปแล้วล่ะ
แถมแอนดูต่างไปจากเมื่อก่อนเธอนั้นรู้สึกได้ เพราะเธอมาที่โลกนี้ก่อนหรือเปล่านะ
ดูเหมือนเธอจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหน่อยคงผ่านเรื่องเลวร้ายมาเยอะ
รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกแอนเองคงจะพึ่งพาและยืนด้วยตัวเองได้แล้ว
ในโลกที่เราจากมายัยนี่ทำให้เธอเป็นห่วงแทบแย่
“ไม่แล้วล่ะ”
สการ์เลทปล่อยเจ้านกน้อยขนปุยให้บินขึ้นสู่ท้องนภาแล้วส่ายหัวเล็กๆ พลางยิ้มอ่อน
“ฉันอยากจะช่วยประชาชนในอาณาจักรน่ะ
เลยต้องแต่งงานกับอีกอาณาจักรเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย”
ควีนเด้งตัวจากการพิงเก้าอี้ด้วยความตกใจกับสิ่งที่สการ์เลทเอ่ยออกมา
“หา!? ตะ...แต่งงาน!?”
“ตอนนี้เป็นแค่คู่หมั้นน่ะ...ยังไม่ถึงกับแต่ง”
พูดตามตรงนี่มันน่าตกใจกว่าการที่เจอเพื่อนสนิทในโลกนี้เสียอีก
คุยเรื่องแต่งงานในร่างของเด็กอายุสิบห้าปี มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอเนี่ย!? ถึงจะยังคู่หมั้นกันไว้ก่อนก็เถอะ
“ยอดเลย ว่าแล้วเชียวว่าเธอต้องแต่งก่อนฉัน”
“หื้ม? แต่งอะไรกันเหรอครับ”
เสียงที่ดังแทรกบทสนทนานั้นทำให้ทั้งสองคนหันไปมองก็พบกับลูซที่เดินออกมาจากร้านคาเฟ่กลับมานั่งที่เดิม
โดยมีพนักงานนำเค้กที่เขาสั่งนั้นเดินตามมาด้วย
“ยัยสการ์เลทจะแต่งงานน่ะ”
ควีนหันไปตอบคำถามของลูซที่นั่งข้างๆ
“อ๋อ...กับท่านวิคเตอร์ใช่ไหมครับ? เจ้าชายจากอาณาจักรซิลวานัส อาณาจักรครึ่งคนครึ่งสัตว์”
ควีนมองไปที่สการ์เลทกับลูซที่นั่งคุยกันอย่างเงียบๆ
พลางยกแก้วชาขึ้นมาดื่มกวาดสายตามองไปรอบๆ อดคิดไม่ได้เลยว่าอากาศที่นี่มันดีจริงๆ
“พี่ครับ” จู่ๆ ช้อนเล็กๆ ที่มีเค้กพอดีคำนั้นก็มาจ่ออยู่ตรงปากของควีน
ทำเอาสการ์เลท มองมายังพี่น้องด้วยสีหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่ม
พอหันไปมองลูซที่ตักเค้กมาจ่อไปที่ปากแบบนี้รู้สึกใจเต้นแปลกๆ
ก่อนที่จะรีบงับเค้กเข้าปากแล้วรีบกลืนลงท้องทันที
“จู่ๆ ทำอะไรเนี่ย”
ควีนรีบนั่งตัวตรงพลางมองลูซที่กำลังจะตักเค้กต่อ ก่อนที่มือของเธอจะจับไปที่แขนของเขาเพื่อให้หยุดการกระทำนั้นเสียก่อน
“ร้ายไม่เบาเลยนี่...อาศัยความเป็นพี่น้องเข้าใกล้เหรอลูซ”
สการ์เลทพูดเย้าแหย่ ก่อนที่ใบหน้าของลูซนั้นจะเกิดสีแดงระเรื่อขึ้น
ทำเอาสการ์เลทนั้นขำออกมาทันที
“เปล่านะครับ! ก็มันมีคนมองมาที่พี่นิครับ...”
ลูซตอบเสียงแข็งในประโยคแรก และเสียงนั้นค่อยๆ เบาลงมา
สองสาวที่ฟังคำพูดของลูซไม่ชัดก็ถึงกับงงกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
“เอาเถอะ พี่กินเองเถอะครับ” พูดจบน้องชายตัวแสบของเธอก็เลื่อนจานเค้กมาตรงหน้าของพี่สาวแล้วเบือนหน้าหนีทันที
ควีนที่เห็นสีหน้าลูซที่แดงไปถึงใบหูก็เอ่ยท้วงขึ้น
“พี่ว่าเราไปหาหมอหน่อยไหม? นายหน้าแดงบ่อยนะลูซ”
ควีนพูดด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนอะไรก่อนที่จะตักเค้กเข้าปาก
สการ์เลทที่มองสองพี่น้องก็อดยิ้มไม่ได้
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ!” ลูซรีบหันขวับเผลอขึ้นเสียงกระแทกใส่พี่สาว
ทำเอาควีนนั้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยสีหน้าฉงนใจ นี่เธอทำอะไรผิดหรือเปล่านะ? ก็แค่เป็นห่วงแท้ๆ
เลยอยากพาไปหาหมอเท่านั้นเองหรือว่าน้องชายของเขานั้นจะกลัวหมองั้นเหรอ?
“แอบหนีออกมาเที่ยวอีกแล้วสินะเจ้าหญิง?” เสียงปริศนาที่ดังขึ้น ทำให้สองพี่น้องนั้นหันไปมองยังต้นเสียงข้างหลัง
สการ์เลทตาเบิกโพลงพลางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะค่อยๆก้าวลุกออกจากเก้าอี้อย่างช้าๆ
“วะ...วิคเตอร์”
ชายร่างสูงรูปร่างกำยำเดินเข้าที่โต๊ะของพวกเรา
ด้วยท่าท่างสุขุมสีหน้าของเขาดูเรียบนิ่ง ใบหน้าที่ดูคมคายผมสีดำขลับถูกเซทมาอย่างดีกับหูที่เหมือนจะเป็นหูของสัตว์
ดวงตาดูเฉียบคมและดุร้ายดั่งหมาป่า เดี๋ยวสิ...มีหูงั้นเหรอ!? ปลายหูที่ตั้งแหลมกับหางที่ยกสูงขึ้นแถมใบหน้าที่ขมวดคิ้วเข้มๆ นั่นอีก
อารมณ์ไม่ดีสุดๆ เลยไม่ใช่เรอะ!?
“เจ้าชายวิคเตอร์” ลูซเอ่ยออกมาด้วยความตะลึงงันเมื่อเห็นเจ้าชายตัวเป็นๆ
อยู่ตรงหน้าเขา
“อีธานเจ้าคนทรยศ!”
สการ์เลทที่สังเกตเห็นคนข้างหลังคู่หมั้นตัวเองเธอก็ได้แต่ชี้หน้าพ่อบ้านตัวดีของเธอ
แม่เจ้า...นี่มันคู่หมั้นของสการ์เลทงั้นเหรอ หน้าตาดีถึงจะออกดุๆ
ไปหน่อย...ไม่สิไม่หน่อยเลยสักนิด เธอควรจะโฟกัสหน้าตาหล่อๆ ของคู่หมั้นเพื่อเธอหรือหูกับหางฟูๆ
นุ่มๆ นั่นก่อนดีนะ
“เราต้องกลับกันแล้ววันนี้มีงานเต้นรำใหญ่”
“แต่ฉันยังอยาก...”
สการ์เลทที่ยังพูดจบก็โดนคู่หมั้นตัวเองพูดขัดคอเสียก่อน
“เธอต้องไปเตรียมตัว”
มือหนาคว้าไปที่ข้อแขนของสการ์เลทด้วยท่าทางที่ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ก่อนจะลากเธอออกไปจากตรงนั้นโดยที่พูดอะไร
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิขอแค่ลาเพื่อน..”
“...” วิคเตอร์เงียบไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะหยุดเดินเพื่อให้คู่หมั้นของเขาได้หันไปโบกมือลาเพื่อนของเธอแทนคำพูด
“ขอโทษทีนะทั้งสองคน ไว้เจอกันใหม่นะ!” พอพูดจบ
สการ์เลทที่โดนลากตัวออกไปนั้นก็ได้แต่โบกมือลาด้วยท่าทางหงอยๆ
สองพี่น้องโรสฮาร์ทที่อยู่ในสถานการณ์นั้นก็ได้แต่มองและโบกมือลางอย่างเงียบๆ
โดยที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับสถานการณ์ตรงหน้านั้นได้ก็ได้แต่มองทั้งสองเดินออกไปจนลับสุดสายตา
ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
“หน้าตาน่ากลัวสุดๆ ทำผมตกใจแทบแย่...” ลูซเอ่ยจบ
เขาก็สังเกตเห็นพ่อบ้านอีธานที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
แต่สายตานั่นกลับดูเหยียดพวกเราอย่างเห็นได้ชัด
“คุณพ่อบ้านไม่ไปกับเขารึไง”
ลูซที่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร พี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
ตัวเธอก็เอ่ยถามตัดหน้าเขาไปเสียแล้ว
“กระผมต้องขอขอบคุณที่พวกคุณยังนั่งดื่มชาอยู่ที่คาเฟ่นี้
ไม่อย่างนั้นเราคงตามหาตัวท่านสการ์เลทได้ยาก นี่คือบัตรเชิญไปงานเลี้ยงขอรับ”
อีธานยื่นใบบางอย่างให้ทั้งสองคนก่อนที่เขาจะโค้งตัวให้แล้วรีบเดินออกไปทันทีที่ควีนรับมันมาไว้ในมือ
“พวกตระกูลสูงศักดิ์มีท่าทางเย่อหยิ่งกันแบบนี้ทุกคนเลยหรือไงนะ...”
พูดจบเธอก็ก้มไปอ่านมัน
“กล้าดียังมาสนิทสนมกับท่านสการ์เลท พวกคุณน่ะไม่คู่ควรถอยห่างออกไปซะ...โห
ไอ้บ้านี่!” ควีนลุกพรวดรีบคว้ารองเท้าที่ตนเองใส่มาไว้ในมือแล้วรีบง้างแขนทันที
ลูซไม่รีรอรีบหยุดการกระทำของพี่สาวตัวเองในทันที
“อ๊าก พี่ครับอย่านะ! รองเท้ามันไม่ควรโยนแบบนั้น”
“ลูซก็ดูไอ้พ่อบ้านคนนี้สิ! หงุดหงิดซะจริง!” ควีนค่อยๆ
พยายามทำให้ตัวเองนั้นใจเย็นลงก่อนที่ลูซจะหยิบรองเท้าจากมือของพี่สาวออกมาไว้ในมือของเขาได้สำเร็จ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ...”
“แต่ตอนนี้พี่ใส่รองเท้าก่อนนะ”
พูดจบลูซก็ยื่นรองเท้าให้พี่สาวตัวเอง ก่อนที่เธอจะรับมันมาใส่อย่างว่าง่าย
ตระกูลราชวงศ์แบบนี้คงไม่อยากให้ลูกตัวเองมาคลุกคลีกับตระกูลที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์แบบพวกเราก็ได้ล่ะมั้ง
เราเองก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ จนมาเจอยัยสการ์เลทเข้า...
ขนาดครอบครัวของเอเกิลเองดูไม่ค่อยจะต้อนรับเราสักเท่าไหร่เลยแปลกจัง ทั้งๆ
ที่ทุกคนในอาณาจักรก็ใช้เครื่องมือเวทมนตร์ที่มาจากตระกูลโรสฮาร์ททั้งนั้นแท้ๆ
ก็จะมีแต่กับชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ใช่พวกขุนนางแหละมั้งที่รักเรา
ทำดีกับเราด้วยความจริงใจจริงๆ
“เห้อ...กลับกันเถอะ พี่ไม่มีอารมณ์เที่ยวต่อแล้วสิ”
ควีนหันไปพูดกับลูซที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปจากหน้าร้านคาเฟ่โดยที่มีลูซเดินตามมาติดๆ
โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
สองพี่น้องเดินกลับมาตรงที่จอดไม้กวาดโดยเจ้าโคไม้กวาดวิญญาณสุนัขก็พุ่งตรงมาหาลูซด้วยความใจดี
แต่ถึงอย่างนั้นควีนก็ยังไม่ค่อยชินกับมันเสียที...ถ้ามีลิ้นละก็คงเลียหน้าลูซด้วยความดีใจไปแล้วล่ะมั้งนั่น
พอละสายตาจากฉากเลิฟซีนของลูซกับเจ้าโค
หางตาควีนก็สังเกตเห็นหญิงสาวลูกขุนนางดูเหมือนร้อนรนวิ่งไปที่ไหนสักแห่ง
แถมยังไม่ใช่เดินไปทางเดียวกับเป็นกะตั้ก
“ลูซ...พวกนั้นกำลังไปไหนกันน่ะ” ควีนหันไปมองยังทางที่พวกเขานั้นกำลังเดินไปก่อนที่ลูซจะหันไปมองตามมือเล็กๆ
ของพี่สาวที่ชี้ไป
“ไม่รู้สิครับ” เขาส่ายหัวน้อยๆ พลางยักไหล่
ก่อนที่ควีนจะฉีกยิ้มร่าแววตานั้นเต็มด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“งั้นเราไปดูกันหน่อยมั้ย”
ลูซที่ได้ยินคำพูดของพี่สาวเขาก็ทำท่าทางครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะพยักหน้าตอบตกลง
“ก็ได้ครับจริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลากลับ”
“เยส! งั้นไปกันเถอะ” ควีนกระโดดปรบมือด้วยท่าทางดีใจ
แล้วเดินโลดเต้นอย่างอารมณ์ดีตามคนพวกนั้นไปโดยมีลูซที่เดินตามมาพร้อมกับเจ้าโคที่ลอยตามจากข้างหลัง
“พวกเขากำลังมุงอะไรกันน่ะ!”
“ถ้าแม่มาเห็นกิริยาแบบนี้เข้า
มีหวังได้เรียนมารยาทเพิ่มแน่ๆ”
ลูซส่ายหัวอย่างระอาเมื่อเห็นพี่สาวของเขาทำกิริยาไม่สำรวมเท่าไหร่นัก
แต่พอมาคิดดูแล้วเขาคงคิดผิดนิดหน่อยที่ว่าในอาณาจักรนี้คงมีแต่พี่สาวเขาที่ทำกิริยาไม่สำรวม
จะว่าไปเจ้าหญิงสการ์เลทเองก็ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเหมือนกัน
กระโดดโลดเต้นกรี๊ดกร๊าดใหญ่โตกับพี่สาวของเขาจนอีธานเองก็คงเหนื่อยใจไม่น้อยแน่ๆ
... แล้วเจ้าหญิงไปสนิทกับพี่สาวของเขาตอนไหนกันเขากันนะ
เมื่อมาถึงจุดหมายตรงหน้าก็พบกับเหล่าลูกขุนนางกำลังมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ข้างใน
ทำเอาควีนเองก็อดสงสัยมันไม่ได้
เธอพยายามเขย่งเท้าเพื่อมองเหตุการณ์ข้างในนั้นแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จแต่อย่างใด
“โถ่เอ๊ย ขนาดใส่รองเท้าสูงมาสองนิ้วแล้วนะ
ไม่ช่วยอะไรเลย” เธอหันลงไปเอ็ดเจ้ารองเท้าส้นสูงของเท้า
มือเล็กเท้าเอวเม้มปากมองไปยังฝูงชนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
“นั่นสินะ...ข้อดีของคนตัวเล็กคือมุดไปไหนมาไหนง่ายไงล่ะ!”
เธอยิ้มร่าออกมาเมื่อคิดอะไรบางอย่างในหัวพลางดีดนิ้วดังเป๊าะ! ก่อนที่ร่างเล็กๆ
จะกระโดดเข้าไปยังฝูงชนที่อัดแน่นขนัดที่มุงดูอะไรสักอย่างที่เธอนั้นอดสงสัยไม่ได้
“ขอเผือกหน่อยแล้วกันนะ ฮึ่บ!” ในที่สุดก็เกิดผลสำเร็จ
ควีนมุดตัวออกมาจากฝูงชนมาอยู่แถวหน้าข้างในได้ในที่สุดก่อนที่เธอจะหันไปมองเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะก้มหน้างุดคอตกทันที
“นึกว่าขนมชิมฟรีหรือของลดราคาซะอีก”
“ลุกขึ้นมาซะยัยหมูโสโครก”
เสียงทุ้มต่ำของชายร่างสูงโปร่งทำให้ควีนหูผึ่งหันไปมากสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตั้งใจในทันที
เธอค่อยๆ ไล่สายตาจากรองเท้าหนังเงาวับไล่ไปถึงขายาวๆ
มีกล้ามเนื้อแน่นๆใต้เสื้อเชิ้ตขาวบางๆ กับไหล่กว้างได้รูป
ผิวขาวซีดกับดวงตาสีม่วงราวกับอัญมณีเปล่งประกายสีอเมทิสต์ ผมสีเงินเงางามที่ไม่ได้ถูกเซตทรงปล่อยปรกหน้าผากของเขาเอาไว้
เขาสีขาวเปล่งประกายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา...
“นะ...นั่นมัน!”
ควีนตกใจทันทีเมื่อเธอสังเกตเห็นสิ่งที่เขานั้นต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เขา!
เขาสีขาวโค้งยาวได้รูป กับเขาอีกข้างหนึ่งที่หัก
ไม่ผิดแน่นอนเจ้าชายลูเซียนจอมเอาแต่ใจคนนั้น!
บ้าจริงนี่เขาหน้าตาดีขนาดนี้เลยงั้นเหรอไม่อยากจะเชื่อสายตา แถมหุ่นล่ำๆ ขายาวๆ
แม้เจ้า หุ่นดีสุดๆ!
“ท่านลูเซียน” ลูเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
แววตามองมาที่เด็กสาวที่นั่งก้มหน้างุดไม่พูดอะไรด้วยสายตาที่ดูรังเกียจเธอเอาเสียมากๆ
เธอมองไปที่สถานการณ์นั้นอย่างเงียบๆ พลางขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด
เด็กสาวหน้าตาน่ารักแบบนี้ทำไมถึงต้องโดนรังแกตลอดเลยนะ!
ไม่เข้าใจซะจริงๆ
หรือเจ้าชายหงุดหงิดหน้าตาของเด็กสาวคนนี้เลยรังแกเธองั้นเหรอเพราะสวยกว่าสินะ!
แต่เดี๋ยว เขาเป็นผู้ชายไม่ใช่รึไงมาอิจฉาหน้าตาอาจจะแปลกไปสักหน่อย...
“หยุดแสดงบทบาทน่ารำคาญแล้วลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้...”
แววตาของเขาดูเย็นชาไร้อารมณ์ใดๆ เขาเอ่ยออกมาอีกครั้งราวกับว่านั่นคือคำสั่ง
ควีนเองที่มองไปรอบๆ
ก็ได้แต่รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนี้เลยสักคนงั้นเหรอ
“อึก...” เด็กสาวค่อยๆ
ยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ควีนกัดฟันพลางสูดหายใจลึกๆ
อดทนไว้เธอจะหาเรื่องใส่ตัวไม่ได้เด็ดขาด
ฟุบ
จู่ๆ ไม้กวาดของลูซก็เลื่อนเข้ามาอยู่ในมือของเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ
เธอมองไปในมือของตัวเองด้วยความงุนงง
“โคมาตรงนี้ได้ไง ว๊าก!” ไม่ทันได้ถามอะไรออกไป จู่ๆ
เจ้าไม้กวาดตัวดีก็ที่อยู่ในมือควีนก็ลากเธอออกไปสู่สายตาประชาชี ซวยแล้ว! เจ้านี่ทำอะไรลงไปเนี่ย!
เจ้าไม้กวาดบ้านี่!
“โคนี่แกบ้าไปแล้วเรอะ”
ควีนก้มไปด่าไม้กวาดที่อยู่ในมือด้วยท่าทีหงุดหงิด
แต่เจ้าโคนั่นก็แกล้งทำเป็นไม้กวาดปกติไปเสียแล้ว
พอรู้สึกตัวอีกทีเธอก็เสียวสันหลังวาบในทันที สายตาของคนอื่นๆ
กำลังจดจ้องมองมาที่เธอ
นะ..ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว! ลองสู้กันสักตั้งก็แล้วกันนะควีนเอ๊ย!
จะบอกว่าไม้กวาดในมือลากออกมาคนพวกนี้ได้ขำกันกระจายแน่ๆ
“ฮะ...เฮ้ย!
นี่นายรังแกผู้หญิงงั้นเหรอคุณเจ้าชายสุดหล่อ...” เดี๋ยวสิ!
เธอพลั้งปากพูดอะไรออกไปเนี่ย มันต้องเป็นนายรังแกผู้หญิงไม่ใช่รึไง!
เธออยากจะตบปากตัวเองสักทีซะจริง ยัยโง่เอ๊ย!
“หืม...ยัยเตี้ยนี่ใครกัน องครักษ์ตระกูลควินท์งั้นเหรอ”
ลูเซียนมองตรงมายังหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่หลังเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนที่จะกลับไปทำสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม
“เตี้ยงั้นเหรอ!?” ควีนจ้องมองไปที่ลูเซียนด้วยสายตาที่ฉายแววอยากจะตะบันหน้าหมอนี่สักทีหนึ่ง
ก่อนที่มือเล็กจะกำไม้กวาดนั้นด้วยมือที่สั่นด้วยความโกรธ
“ตัวเล็กยังพอว่าแต่คนไม่รู้จักมาด่าเตี้ยแบบนี้
บังอาจ! คิดว่าสูงส่งแค่ไหนกันห๊ะ!” เธอเหวี่ยงด้ามไม้กวาดชี้ไปตรงหน้าเจ้าชายลูเซียนอย่างหงุดหงิด
อารมณ์ของเธอแทบจะระเบิดเสียตอนนี้เลยจริงๆ
“โห กล้าต่อล้อต่อเถียงเช่นนี้
ช่างเป็นสตรีที่ไร้มารยาทเสียจริงๆ”
ลูเซียนยกยิ้มมุมปากก่อนที่จะมองมาที่เด็กสาวอย่างไม่เกรงกลัว
“แล้วการที่นายรังแกเธอแบบนี้ในที่สาธารณะคิดว่ามันถูกหรือไง!
นี่น่ะเหรอมารยาทของเจ้าชายที่ควรจะพึงมีน่ะ!”
“ยัยเตี้ยแบบเธอหุบปากไปซะถ้าไม่รู้...”
ควีนกัดฟันด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุดขีด
ขาเล็กก้าวเดินตรงเข้าไปยังชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมกับมือที่กำด้ามไม้กวาดเอาไว้แน่น
ก่อนที่จะง้างมันออกแล้วฟาดมันออกไปตามแรงโกรธของเธอในทันที
เพี้ยะ!
เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทำเอาพวกเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อเห็นการกระทำของเด็กสาว
ผู้คนต่างอึ้งไปชั่วขณะกับการกระทำที่สุดแสนจะสุดโต่งจนพวกเขาพูดไม่ออก
“เตี้ยแล้วมันยังไง! ตบปากเอ็งถึงแล้วกันล่ะเว้ย!
ดูถูกความสูงฉันไปแล้วคิดว่าจะตัวจะสูงส่งขึ้นรึไงห๊ะไอ้เปรต!
แล้วการที่แกมารังแกผู้หญิงในที่สาธารณะแบบนี้น่ะ มันโคตรหน้าตัวเมียเลยเว้ย!”
ควีนหายใจหอบเมื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออกมาจนหมด
ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ในทันทีเมื่อคิดถึงสิ่งตนเองได้ทำลงไปก่อนหน้านี้
ร่างของชายหนุ่มหันไปตามแรงตบที่ได้จากด้ามไม้กวาดไปเต็มๆ
เลือดไหลซิบที่มุมปากของเขา ลูเซียนยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนจะถุยน้ำลายที่ปนไปด้วยเลือดลงพื้น
ควีนที่เห็นสิ่งแปลกปลอมที่ปนอยู่กับเลือดนั้นเธอก็กลืนน้ำลายเหนียวลงคอที่แห้งผาก
“ฟันขาวจังเลยเนอะ”
เธอมองไปที่ฟันซี่แหลมเล็กจมอยู่ในกองเลือดบนพื้น พลางหัวเราะแห้ง
นี่เธอเผลอทำอะไรลงไปกันเนี่ย จู่ๆ ก็ไปตบเจ้าชายลูเซียนอย่างไม่ได้สติเพราะไอ่แค่เขาพูดว่าเตี้ยงั้นเหรอ!? ฉันทำอะไรลงกัน!? เพราะคำพูดล้อเหมือนที่เธอเคยโดนในสมัยก่อนงั้นเหรอถึงได้ฉุนขาด
ตอนลูซพูดฉันไม่เห็นจะฉุนแบบนี้เลยยัยควีนเอ๊ย ซวยแล้ว โดนเนรเทศแน่ๆ เลย
ชีวิตฉันต้องมาจบในเวลาแค่สองเดือนอย่างนั้นเหรอ แม่เจ้า
“หึๆ” ลูเซียนหัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองควีนอย่างช้าๆ
ทำเอาควีนนั้นเสียวสันหลังวาบในทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะอันแสนเย็นยะเยือกนั่น
“การกระทำสุดโต่งจังเลยน๊า...”
ควีนเบิกตากว้างตกใจกับภาพตรงในทันที นี่เขากำลังหน้าแดงงั้นเหรอ!? อย่างกับสาวน้อยวัยแรกแย้มพบกับรักแรกซะอย่างนั้น!
เดี๋ยวสิทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะเฮ้ย นี่เจ้าชายเป็นพวกชอบความรุนแรงงั้นเรอะ!?
“แมวน้อยของผม...ได้โปรดบอกชื่อของเธอได้หรือไม่”
ลูเซียนคุกเข่าลงข้างหนึ่งมือหนาเอื้อมมาจับมือเล็กก่อนที่จะจรดริมฝีปากลงไปที่หลังมือของเธอพลางขบเม้มหยอกล้อเบาๆ
“หยุดนะเฮ้ย!”
ควีนรีบชักมือกับใบหน้าของเธอร้อนผ่าวไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยจู่ๆ
เจ้าชายก็เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคนจนเธอนั้นตกใจ ไม่สิ
พวกคุณหนูที่มุงเราเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“แมวน้อยไม่อยากบอกชื่อกับผมงั้นเหรอ?” พอหันกลับไปมองใบหน้าเจ้าชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็เหมือนกับหมาน้อยขี้อ้อนซะอย่างนั้น
ทำเอาควีนรู้สึกเคลิ้มกับใบหน้าหล่อราวเทพบุตรตรงหน้าไปไม่น้อยเลย
ลูกอ้อนแบบนี้มันรุนแรงสำหรับเธอเกินไป
“คือฉัน ควีน ควีน
โรสฮาร์ทแล้วช่วยหยุดเรียกแมวน้อยเถอะขอล่ะนะ”
แววตาของลูเซียนดูเหมือนกับกำลังหลงใหลเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าในขณะที่เธอนั้นก็รู้สึกประหม่าเมื่อต้องมองลงมาที่เขา
“แมวน้อยของผมได้โปรดเป็นคู่เต้นรำให้กับผมในคืนนี้ได้หรือไม่...”
“ก็บอกให้หยุดเรียกแมวน้อยไงล่ะ” ควีนเกาหัวแกรกๆ
ด้วยความรู้สึกที่เธอเองนั้นไม่รู้จะทำตัวยังไงในสถานการณ์ตรงหน้าดีนี่มันมากเกินสำหรับเธอแล้วนะ
นี่เราโดนเจ้าชายที่ชอบความเจ็บปวดตกหลุมรักงั้นเหรอเนี่ย
ที่ว่าให้ตามหาชายมีเขาแล้วจะปลอดภัยเนี่ย...มันใช่แบบนี้หรือเปล่าเนี่ย...
“ฉันว่านายลุกขึ้นเถอะนะ
คือเราเป็นเพื่อนกันได้ใช่แล้วล่ะ ไม่ใช่แมวน้อยกับเอ่อ คุณเจ้าชายสายsmอะไรแบบนั้นน่ะ” ควีนส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ลูเซียนก่อนที่ควีนจะค่อยๆ
แกะมือของลูเซียนออกแล้วก้าวขาเล็กถอยห่างในทันที
“แต่แมวน้อย...”
“เพื่อน! เพื่อนนะเจ้าชาย!”
ควีนรีบพูดดักคอเจ้าชายลูเซียนแล้วรีบหมุนตัววิ่งพรวดหายเข้าไปในฝูงชนที่มุงดูในทันที
ตอนนี้เธอนั้นอยากจะกลับบ้านเต็มทนไม่น่ามาเผือกเรื่องชาวบ้านเลยเสียจริงๆ!
แถมเจ้าโคไม้กวาดตัวดีของลูซที่หาเรื่องซวยลากเธออีก!
นี่เราควรโทษตัวเราก่อนหรืออะไรก่อนดีเนี่ย!
ลูซที่เห็นพี่มุดตัวออกมาจากฝูงชนเขาก็รีบวิ่งแจ้นมาหาพี่สาวด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงพี่สาวตรงหน้า
มือหนาจับไปที่ไหลของพี่สาวที่กำลังหอบเหนื่อย สายตาของเขาสำรวจร่างกายของพี่สาวว่าเธอนั้นได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“พี่ครับ เจ็บตรงนะ...”ลูซไม่ทันพูดจบก็ถูกควีนยกมือขึ้นมาตรงหน้าเขาเพื่อให้เขานั้นหยุดพูดเสียก่อน
ก่อนที่ควีนจะยัดเจ้าไม้กวาดตัวดีใส่มือของลูซ
“กลับกันเถอะ กลับบ้านแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง” เธอพูดด้วยท่าทางหอบเหนื่อยก่อนที่จะลากลูซแยกออกมาจากฝูงชนตรงนั้นให้เร็วที่สุด
ลูเซียนมองเด็กสาวที่หายเข้าไปในฝูงชนที่มุงดูเขาอยู่ก่อนที่จะชูมือขึ้นเหมือนเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างๆ
ก่อนที่องครักษ์ในชุดสูทสีดำสนิทจะเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้าลูเซียน
“ยังไงคู่เต้นของฉันในคืนนี้จะต้องเป็นแมว...คุณหนูควีน
โรสฮารท์นี่คือคำสั่งของฉัน”
ลูเซียนออกคำสั่งด้วยสีหน้าที่กลับมาเรียบนิ่งดั่งเดิมก่อนที่จะหันไปมองหญิงสาวที่ก้มหน้างุดอยู่ข้างๆ
เขา
“ส่วนเธอน่ะ ริต้า หยุดการกระทำอันน่าสมเพชนี้ซะ”
“จะทำตัวอ่อนแอเพื่อให้ฉันช่วยต่อหน้าคนพวกนี้งั้นเหรอ ฉันไม่ได้โง่ที่จะติดกับดักเป็นเจ้าชายที่แสนดีหรอกนะ
โง่เสียจริง”
แววตากับคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นเย็นเยียบจนริต้าถึงกับรู้สึกหน้าชาไปหมดกับคำพูดของเขา
ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไปโดยไม่แยแสพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเดินออกไป
“คุณหนูริต้าเป็นอะไรมั้ยคะ!?”
เสียงสาวใช้ที่ดังออกมาจากฝูงชนที่เริ่มทยอยซากันออกไปนั้นก็ได้วิ่งมาหาริต้าด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“ไปสืบมาว่ายัยนั่นเป็นใคร กล้ามาแทนที่คู่เต้นรำในงานแทนฉันคนนี้งั้นเหรอ...หมั่นหน้าเสียจริงๆ...”
-To be continued -
ความคิดเห็น