ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคุณหนูในต่างโลกไปซะแล้ว

    ลำดับตอนที่ #4 : ความรู้สึกอันแสนคุ้นเคย

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 64


    อาณาจักร แอนนอทรีย์ มีตำนานที่เล่าขานกันมาก่อนว่าเป็นอาณาจักรที่เทพเจ้าได้สร้างขึ้นมาหลายร้อยปี เทพเจ้าตนนี้ได้ใช้พลังเวทแสงนั้นปกครองประเทศให้สงบสุขจากเหล่าปีศาจนอกอาณาจักรที่ไกลออกไป...

    “...พี่...”

    เพราะแบบนั้นผู้คนเลยนับถือและศรัทธาในเทพเจ้าแห่งแสงกันมาก มีผู้คนที่เคยพบเห็นเทพคนนั้นมามากมายในร่างของหญิงสาวที่สวยสดงดงามราวกับเทพนิยาย ในปัจจุบันเลยสร้างรูปปั้นตามที่คนเล่าลือกันมา... เลยถูกเรียกว่าเทพธิดาแห่งแสงมากกว่าเทพเจ้าสินะ ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่เลย

    ควีนจ้องเขม็งไปที่หนังสือเล่มหนา พลางกุมคางของตัวเองด้วยท่าทางครุ่นคิด

    “พี่ครับ!”

    “เย้ย! โถ่ลูซ! พี่ตกใจนะ!” ควีนเงยขึ้นจากหนังสือพลางเอ็ดลูซไปหนึ่งที เพราะจู่ๆ น้องชายตัวดีของเธอดันมาพูดเสียงดังกระแทกใส่หูเธอแบบนั้น ทำเอาเธอเองตกใจไปหมด

    “ผมเรียกพี่ตั้งหลายครั้งแล้วต่างหาก” ลูซถอนหายใจแล้วกอดอกพลางมองลงมาพี่สาวอย่างระอา ควีนที่ได้ยินแบบนั้นจึงได้แต่เกาไปที่แก้มแก้เขินแล้วส่งยิ้มแห้งไปให้

    “อ้าวเหรอ... โทษทีๆ” เธอดันเผลอจดจ้องกับเรื่องในหนังสือเทพนิยายนี่มากเกินไปซะได้ ควีนคิดแบบนั้นก็จัดการปิดหนังสือแล้ววางมันไว้บนโต๊ะตรงหน้าของเธอ ขาเล็กๆ ก็ก้าวลุกออกจากเก้าอี้ไม้สีขาว

    “แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ วันนี้มีเรียนมารยาทบนโต๊ะอาหารแค่ตอนเช้าไม่ใช่เหรอ?” นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่วันนี้ลูซมาหาเธอได้ เพราะปกติเขาจะฝึกซ้อมเวทในลานกว้างใกล้ๆ ในจุดที่ห้องนอนฉันนั้นมองเห็นเป็นประจำ

    “ครบกำหนดสองเดือนที่คุณหมอสั่งให้พี่พักเรื่องพลังเวทแล้วครับ” ลูซพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ส่วนควีนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบหันมามองน้องชายของเธอด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

    “ถึงเราจะยังไม่รู้ว่าเวทของพี่เพิ่มขึ้นได้ยังก็ตาม...ที”

    “อื้มๆ” ควีนพยักหน้าแล้วจดจ้องใบหน้าของลูซพร้อมกับยิ้มแก้มปริ ทำเอาลูซต้องยืนเกร็งอยู่แบบนั้นจนเขาแทบจะหยุดหายใจ

    “คุณหมอบอกว่าพลังเวทที่เพิ่มขึ้นดูจะไม่เป็นอันตรายสำหรับพี่” ควีนมองไปที่ลูซลุ้นตัวโก่ง พร้อมขยับเข้าใกล้น้องชายของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัวสักนิด

    สำหรับเธอนี่มันเป็นเวลาที่เธอรอคอยมานานแสนนาน! หลังจากที่กลับมาจากวิหาร คุณแม่ก็รู้สึกสงสัยพวกเราทั้งสองคน คุณแม่เลยสั่งให้พ่อบ้านวิลตามติดฉันไม่ห่าง จนแอบออกไปข้างนอกไม่ได้เลยสักนิดเดียว แต่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ!


    “โถ่ พี่ครับ! ช่วยหยุดจ้องผมแบบนั้นจะได้มั้ย!” ลูซจับไปที่บ่าของควีนทั้งสองของก่อนที่จะผลักเธอออกไปให้อยู่ห่างๆ

    พี่เธอไม่เคยระวังตัวเวลาที่อยู่ใกล้เขาเลยสักนิดเดียว ทำเอาเขาเองรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่เธอเข้าใกล้แบบนี้ ทั้งที่ปกติควรจะชินกับมันแท้ๆ ...เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองสักว่าทำไมภายในใจลึกๆ ของเขานั้นกับชอบที่พี่ทำแบบนี้กันนะ ถ้ารู้ตัวนานกว่านี้เขาคงจะได้เล่นสนุกกับพี่สาวของเขาตั้งแต่เด็กๆ แล้วสนิทกันกว่านี้ก็ได้

    “สรุปก็คือเราออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ใช่ไหม! ?”

    “ครับ” ลูซมองไปที่พี่สายพลางส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ จะมีคุณหนูแบบพี่ ที่ไหนจะมากระโดดโลดเต้นทำกิริยาไม่สำรวมแบบนี้อีกนะ...ถ้าให้คิดล่ะก็ในอาณาจักรนี้คงไม่มีแล้วล่ะ....

    “เอาล่ะๆ! งั้นเราไปกันเถอะ!” ควีนพูดแบบนั้นพลางยื่นหน้าชะเง้อไปมองอีกทาง เพื่อมองหาสาวรับใช้คนสนิทของเธอมาตั้งแต่เด็กๆ

    “ป้าเมียรคะ! หนูจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกนะ!” เธอตะโกนเสียงดังออกไปเมื่อเห็นร่างสาวรับใช้ที่คุ้นเคยกำลังเดินมาหาเธอที่ซุ้มศาลา

    “เข้าใจแล้วค่ะ คงไปกับคุณหนูลูซสินะคะ” ป้าเมียรหันไปมองผ่านไหล่ของคุณหนูผู้เป็นที่รักของตนก็พบกับร่างของเด็กหนุ่มอย่างลูซที่ยืนรอด้วยท่าทีสงบ ก่อนที่เธอจะหันมามองคุณหนูของเธอ

    “ดูแลตัวเองด้วยนะคะคุณหนู” เมียร์ส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้กับเด็กสาวอย่างเอ็นดู ก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับแล้วพร้อมส่งยิ้มให้โดยไม่พูดอะไรแล้ววิ่งออกไป

    “เหวอ! พะ..พี่ครับเดียวสิ!”

    “ไปกันเลย!” ป้าเมียร์มองทั้งสองที่จับมือกันวิ่งออกจากซุ้มศาลาไปก็อดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีของคุณหนูควีนที่ดูร่าเริงต่างออกไปจากเดิม...ถึงจะต่างออกไปยังไงเสียเธอก็ชอบที่คุณหนูของเธอร่าเริงขึ้นมาแบบนี้

    ยามบ่ายในวันนี้เป็นวันที่แสนสบาย ต้นหญ้าดอกไม้พลิ้วไหวไปตามแรงลม แปลงสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ในคฤหาสน์ตระกูลโรสฮาร์ท เด็กสาวและชายหนุ่มกำลังคุยอะไรกันบางอย่างท่ามกลางสวนดอกไม้ที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่

    “อากาศดีแบบนี้! มันก็ถึงเวลาที่พี่จะขี่ไม้กวาดแล้ว!” ควีนคว้าไม้กวาดในมือของลูซมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว ก่อนที่จะวางมันขนานในแนวนอนพร้อมกับควบขี่มันด้วยท่าทางที่ดูชำนาญ และมั่นใจ

    “อ๊ะ! พี่ครับ! เจ้าโคไม่ยอมให้ใครขี่ง่าย...” ลูซพูดไม่ทันจบบท เขาก็ต้องพูดไม่ออก เมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่เจ้าโคดูจะว่านอนสอนง่ายกับเธอเอาเสียมากๆ แถมยังให้เธอนั่งได้โดยที่ไม่มีเขา

    “โคดูท่าจะชอบพี่นะ” ควีนหันไปส่งยิ้มร่าให้ลูซด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นมากว่าปกติ

    “ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย” ลูซมองควีนด้วยท่าทางที่งุนงงเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปใกล้ๆ พี่สาวของตัวเอง

    “ขึ้นมาสิลูซ ไม่มั่นใจในตัวพี่หรือ?” ควีนมองไปยังลูซพลางส่งสายตาให้เขาไปนั่งข้างหลังเธอ เขามองไปที่พี่สาวด้วยความลังเลใจอยู่พักใหญ่ๆ

    “ไม่มั่นใจเลยสักนิดครับ”

    “อย่าพูดตรงขนาดนั้นสิยะ!” ควีนตะโกนใส่หน้าเจ้าน้องชายที่มองพี่สาวด้วยสีหน้าเอือมๆ แถมสายตาที่เหมือนกำลังดูถูกเธอแบบนั้น รับไม่ได้!

    “พี่จะทำให้ดูว่าการขี่ไม้กวาดที่แท้จริงเป็นยังไง! เอาล่ะ!”

    “พี่ครับ...”

    “ฮึบ!” ควีนพูดจบ เธอจัดการกระโดดแล้วเอนตัวไปข้างหน้า ทำเอาลูซมองการกระทำที่แสนแปลกประหลาดของพี่สาวของเขาถึงกับพูดไม่ออกกับสภาพตรงหน้าเลยทีเดียว

    “กะแล้วเชียว...พี่ครับนี่มันแค่กระโดดไม่ใช่รึไง” ท่าทางการขี่ไม้กวาดของพี่สาวนั้นมันยกลอยเหนือจากพื้นก็จริงแต่นี่มันดูยังไง ก็เหมือนแค่กระโดดแล้วยกขาขึ้นให้เหนือพื้นชัดๆ

    เราคิดว่าขี่ไม้กวาดมันจะง่ายกว่านี้ซะอีก... ถึงจะผิดหวังกับสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจคิดนิดหน่อยก็เถอะ เธอกะจะทำเท่แล้วเชียวนะ!

    ควีนทำหน้าหงอยเล็กๆ พลางก้มงุดมองไปที่พื้นแล้วกระโดดลงจากเจ้าไม้กวาดไปยืนข้างๆ ลูซแทน

    “ขี่ไม้กวาดไม่ได้ทำกันวันเดียวแล้วได้หรอกนะครับพี่” ลูซมองไปยังพี่สาวพร้อมกับส่งยิ้มปลอบประโลมใจที่เห็นเธอยืนทำสีหน้าดูผิดหวังกับสิ่งที่เธอทำได้เล็กน้อย

    “พี่อยากขี่เจ้านี่ให้ได้เร็วๆ นี่นา..โถ่เจ้าโค!”

    “มันขึ้นอยู่กับสมาธิแล้วก็พลังเวทของพี่ต่างหากล่ะครับที่ใช้ควบคุมน่ะ...” พอได้ยินน้องชายพูดจบ เธอก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่เธอต้องฝึกใช้พลังเวทควบคุมสินะ นึกว่ามันจะง่ายดั่งใจนึกเสียอีก ทำไมมันถึงยากขนาดนี้กันล่ะเนี่ย

    ลูซที่เห็นพี่สาวทำหน้าเศร้าเขาจึงเดินไปควบไม้กวาดแล้วเคลื่อนมันไปตรงหน้าพี่สาวของเขา

    “ขึ้นมาเถอะครับ ผมจะพาไปทานอะไรอร่อยๆ” ควีนที่ได้ยินคำพูดของลูซก็เกิดจ้องมองไปที่ลูซด้วยสายตาเป็นประกายอีกครั้ง ลูซที่เห็นสีหน้าพี่สาวที่ดูดีขึ้นก็อดที่จะเอ็นดูเธอไม่ได้

    “ถ้าไม่อร่อยล่ะก็ เตรียมใจไว้เลยนะลูซ” ควีนชี้หน้าน้องชายของเขา ขาเล็กๆ ก็รีบควบเจ้าไม้กวาดแล้วเกาะไหล่ลูซเพื่อกันไม่ให้เธอตกระหว่างที่เหินขึ้นไปบนอากาศ

    คงต้องทำใจเรื่องที่จะขี่ไม้กวาดได้อย่างใจนึกไปก่อนซะแล้วสิเนี่ย แต่ยังไงก็ตามของอร่อยกำลังจะถึงท้องแล้ว ไว้ค่อยคิดเรื่องไม้กวาดทีหลังแล้วสนุกกับที่ที่จะไปตรงหน้าก่อนดีกว่า


    ใช้เวลาไม่นานมากนักสองพี่น้องตระกูลโรสฮาร์ทก็เดินทางถึงเมืองหลวง ควีนกระโดดลงจากไม้กวาด แล้วมองไปยังรอบๆ ด้วยท่าทีที่ดูตื่นเต้น

    “อย่างกับมาเที่ยวที่ฝรั่งเศสเลยแห๊ะ....” ควีนรำพึงรำพันออกมาเบาๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

    ที่นี่เหมือนกับถนนคนเดินในโลกที่เรานั้นเคยอยู่ แถมบรรยากาศอย่างกับอยู่ต่างประเทศไม่มีผิดเพี้ยน ผู้คนเดินพลุ่งพล่าน จับจ่ายซื้อของแต่กลับดูแตกต่างไปจากเดิมนิดหน่อย เหมือนผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะเป็นนักท่องเที่ยว ลูกคุณหนู หรือพวกลูกขุนนางเลย

    “คงจะเป็นถนนคนเดินสำหรับพวกผู้ดีกับสินะ”

    “ฝรั่งเศส? ที่ไหนกันครับ?” เสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลังเธอทำเอาเธอตกใจเล็กน้อย นี่เธอเผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกมาอีกแล้วเหรอเนี่ย

    ลูซเอียงคอสงสัยมองไปที่พี่สาวด้วยสีหน้าที่ดูฉงนกับสิ่งที่พี่สาวของตัวเองพูดออกมา ทำเอาควีนรีบหันหลังมองไปที่ลูซด้วยท่าทีร้อนรน

    “นิทานน่ะ! พี่ไปอ่านเจอมา” ควีนรีบตอบกลับแล้วส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้ลูซ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อไม่ให้น้องชายของเธอสงสัยไปมากกว่านี้

    “ไหนว่าจะพาพี่ไปทานของอร่อยไง ไปเถอะๆ” เธอคว้าแขนของน้องชายของเธอแล้วออกแรงลากไปยังถนนคนเดินทันที ส่วนลูซนั้นก็ปล่อยให้พี่สาวของตนลากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

    ทั้งสองเดินเข้ามายังในร้านคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยโทนสีน้ำตาล กลิ่นช็อกโกแลตลอยเข้ามาแตะที่จมูกของเด็กสาวทำเอาเธอกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึก กลิ่นช็อกโกแลตหอมๆ ทำเอาเธออยากจะกินเค้กที่โชว์อยู่ให้หมดตู้จริงๆ

    “ยินดีต้อนรับค่ะคุณลูกค้า...” ลูซหันไปพยักหน้ารับมองพนักงานสาวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนที่พนักงานสาวจะเอามือป้องปากสีหน้าดูตกตะลึงกับใบหน้าแสนน่ารักของเด็กหนุ่มเข้า ควีนที่เห็นแบบนั้นก็หันไปมองลูซกับพนักงานสาวสลับกันไปมา

    มีคนตกตะลึงกับความน่ารักของลูซเขาให้แล้วสินะ เขาโตขึ้นเป็นชายหนุ่มแถมยังมีเสน่ห์จนสาวใช้สาวๆ ในบ้นบางคนก็ดูจะเขินกันเล็กน้อยซะด้วย

    “นายก็มีเสน่ห์ไม่เบานะลูซ” ควีนพูดโดยที่เธอไม่ได้คิดอะไรก่อนจะจดจ้องไปยังเค้กที่อยู่ตู้โชว์หน้าเคาน์เตอร์ ลูซที่ได้ยินพี่สาวของเขาเอ่ยชมเช่นนั้นก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

    “ขอโทษนะคะ ขอเค้กชี้นนี้ แล้วก็นั่น แล้วก็ตรงนั้นด้วยค่ะ” ควีนชี้ไปที่เค้กที่เธออยากได้ตรงหน้าตู้โชว์ ก่อนที่เธอจะหันไปมองพนักงานสาวตรงหน้าเคาน์เตอร์ แล้วถอนหายใจด้วยความเซ็งเล็กน้อย

    พนักงานสาวตรงหน้ายังยืนจ้องใบหน้าของลูซอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่สนใจเธอที่กำลังสั่งเค้กอยู่ตรงนี้ นี่เรากลายเป็นตัวประกอบในสายตาของเธอไปแล้วรึไงนะ

    “เอเกิลมาเห็นเข้าคงเสียใจแย่” ควีนกอดอกมองสถานการณ์ตรงหน้าพลางจิ๊ปากอย่างเซ็งๆ ส่วนลูซที่ได้ยินชื่อนั้นออกมาจากปากของพี่สาวก็รีบหันมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจทันที

    “เสียใจอะไรกันครับ! ผมบอกแล้วไงว่ากับหมอนั่นน่ะเราไม่ถูกกัน” ลูซอธิบายให้พี่สาวของเธอฟังอีกครั้งอย่างหมดหวังที่จะทำให้พี่สาวของเธอเข้าใจในสิ่งที่ขาต้องการจะสื่อมันออกมา

    “อะไรกันเห็นจ้องเอเกิลตาเป็นมันขนาดนั้นเนี่ยนะ อย่าปฏิเสธความรู้สึกตัวเองหน่อยเลยน่าลูซ” ควีนหันไปพูดกับลูซที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอนั้นไม่กี่ก้าว

    “แล้วพี่ไปคิดว่าผมไปจ้องหมอนั่นตาเป็นมันได้ไงเนี่ย! ?” เขาที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจกับสิ่งที่พี่สาวของเขาคิด พูดอะไรไปก็ไม่เข้าหูของพี่สาวของเขาเลยจริงๆ กับเรื่องพวกนี้

    “...”

    “คุณพนักงานคนสวยคะ!!” ควีนไม่ได้ตอบอะไรกับบทสนทนาที่คุยกับลูซ แล้วหันไปเรียกพนักงานสาวที่จ้องหน้าน้องชายของเธอให้ได้สติขึ้นมา ก่อนที่เธอจะหันมามองยังควีนตามเสียงเรียกในทันที ส่วนลูซก็ได้แต่ทำหน้าหงอยคอตกอีกครั้งเพราะอธิบายกับพี่สาวของเขาไม่สำเร็จนั่นเอง


    “อิ่มจังๆ ร้านนี้เค้กอร่อยใช้ได้เลยแห๊ะ” ควีนเดินออกจากร้านด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนที่จะลูบท้องของตัวเองวนไปมาเบาๆ ส่วนลูซเองก็มองพี่สาวของเขาอย่างกับไม่เชื่อสายตาตนเอง

    “ปกติพี่กินเค้กไม่เยอะไม่ใช่นิครับ นี่กินไปตั้งห้าชิ้น...”

    “คนเรามันเปลี่ยนกันได้น่า พอพี่ตื่นนิสัยพี่ยังเปลี่ยนเป็นสาวมั่นสุดสวยแบบนี้เลย!” ควีนพูดจบก็จัดการโพสท่าเหมือนนางแบบให้ลูซดู ลูซมองดูอย่าเงียบๆ เหมือนจะพูดไม่ออกกับสิ่งที่เธอทำ

    “หยุดเถอะครับพี่ ผมบอกไปแล้วไงว่าต้องสูง 170 น่ะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเปิดปากอธิบายให้พี่สาวของเธอนั้นเข้าใจอีกครั้ง

    “โถ่เอ๊ย! นางแบบตัวเล็กไงเล่า! นายไม่เข้าใจเอาซะเลย” ควีนพูดจบก็จัดการดึงหูเจ้าน้องชายตัวดีของเธออย่างหมั่นไส้

    “โอ๊ยๆๆ เจ็บนะครับ!”

    ตอกย้ำกันเสียจริงๆ เรื่องความสูงเนี่ยทำเอาเธอหงุดหงิดซะจริงเชียว ขนาดในโลกนี้มาตรฐานหุ่นนางแบบก็ 170 ถึงหน้าตาจะสวยแบบนี้ก็หมดหวังสินะ คิดแล้วมันน่าหงุดหงิด!

    “หน้าตาสวยแบบนี้นึกว่าจะได้เป็นนางแบบแล้วซะอีก! เห้อ” ควีนบ่นอุบอิบพลางกวาดสายตามองไปยังร้านๆ ข้างถนน ส่วนลูซเองก็ได้แต่ยื่นเงียบๆ มองพี่สาวพลางลูบหูตัวเบาๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บที่ได้รับมาจากพี่สาวของเขา

    “ที่นี่มีร้านหนังสือรึเปล่า?” ควีนถามลูซออกไปพลางมองไปยังผู้คนที่เดินพลุ่งพล่านกันไปมา พอมาคิดเรื่องหนังสือเทพนิยายที่เธออ่านแล้วก็เกิดนึกถึงขึ้นมาเลย ไม่ได้อ่านนิยายกับมังงะนานแค่ไหนแล้วนะ ในโลกก่อนที่เราจะมาที่นี่เอง พอเราอยู่เกรด12เองก็ไม่มีเวลาอ่านอีกเลยแห๊ะ...

    “ถ้าร้านหนังสือล่ะก็ ตรงมุมถนนตรงนั้น” ลูซชี้ไปยังมุมถนนสุดทางเดิน ควีนจึงเลื่อนสายตามองไปตามที่น้องชายของเธอชี้ก็พบกับป้ายร้านหนังสือตั้งอยู่หน้าร้าน

    “ไปกันเถอะ พี่อยากซื้อหนังสือนิดหน่อย” พูดจบมือเรียวเล็กก็เอื้อมมาจับมือลูซเอาไว้อีกครั้งแล้วออกแรงลากเขาให้เดินไปด้วยกัน ทั้งสองจึงมุ่งตรงไปยังร้านหนังสือตรงมุมถนนนั้นทันที

    ควีนและลูซย่างก้าวเข้ามาในร้านหนังสือลมเย็นๆ ตีพัดเข้ามาที่ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคน บรรยากาศในร้านดูสงบเหมือนร้านหนังสือที่เธอเคยไปมาก่อน หนังสือวางเรียงรายตามชั้นเต็มไปหมด พร้อมกับป้ายที่บอกประเภทหนังสือ ทำเอาควีนรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

    เด็กสาวดันเผลอบีบมือของลูซโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมกับสีหน้าแววตาที่ดูประกายแตกต่างจากเดิม ทำเอาลูซถึงกับแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นท่าทีของพี่สาวตัวเองเปลี่ยนไป

    ไม่คิดเลยว่าพี่จะชอบหนังสือมากขนาดนี้ พี่เค้าดูเหมือนจะมีความสุขมากตอนนี้เป็นสีหน้าที่หาได้ยากของพี่เลยสินะ

    ควีนดึงมือของลูซเบาๆ ให้เดินไปตามเธอ ขาเล็กๆ ค่อยก้าวอย่างช้าๆ ชื่นชมบรรยากาศกับกลิ่นของหนังสืออ่อนๆ จากบนชั้นหนังสือ เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ชั้นหนังสือที่วางเป็นแถวพลางมองประเภทของหนังสือที่ติดอยู่ตรงชั้น

    “อยู่ไหนกันนะ...” เธอพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่ลูซจะเอียงคอมองเธอแล้วเอ่ยถามพี่สาวออกไป

    “พี่หาหนังสือแนวไหนอยู่เหรอครับ” ลูซเอ่ยถามพี่สาวของตัวเอง ควีนที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็เห็นหมวดหนังสือที่เธอต้องการแล้ว

    “นั่นไง ไปเถอะๆ” ควีนชี้ไปที่ป้ายหมวดหมู่ของนิยาย จากนั้นก็จัดการดึงมือของลูซให้ตามไป ก่อนที่ลูซจะหันไปดูหมวดหมู่ประเภทหนังสือที่พี่สาวชี้ ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วรีบรุดดึงพี่สาวของตัวเองไว้ในทันที

    “เดี๋ยวนะครับ! นั่นมันนิยายสำหรับผู้ใหญ่นะ! อีกอย่างสตรีชั้นสูงแบบพี่มันไม่สมควร...” ลูซจับควีนหมุนกลับมาประจันหน้ากับเขา ย่อตัวลงให้สายตาของเขาและเธออยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

    “แต่พี่อยากอ่านมันนี่! ให้ตายเถอะ ศึกษาไงศึกษาน่ะ” ลูซที่ได้ยินพี่สาวพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่มีท่าทีดูร้อนรนใจอะไรก็นึกอิจฉาเสียไม่ได้ แล้วทำไมเขาถึงพูดไปด้วยอายไปด้วยแบบนี้กันเนี่ย

    หน้าของลูซตอนนี้กำลังร้อนผ่าวไปหมด ทำเอาควีนที่มองจึงยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

    “แหม่ๆ ...ที่แท้นายก็เขินเรื่อง..อุ๊บ!” มือหนารีบปิดปากของพี่สาวของตัวเองทันที ตอนนี้ใบหน้าลูซแดงก่ำไปถึงใบหู เขาอายแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

    ควีนที่เห็นการกระทำอันไร้เดียงสานั้นก็อดที่จะขำไม่ได้ ก่อนที่มือเล็กๆ จะค่อยๆ แกะมือของน้องชายของเขาออกแล้วจับมันไว้พลางจ้องมองใบหน้าที่แดงก่ำอย่างกับลูกมะเขือเทศของลูซ

    “งั้นนายยืนรอพี่อยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่มา” พูดจบมือเล็กก็ลูบไปที่กลุ่มผมสีบลอนด์ด้วยความเอ็นดู แล้วหันหลังเดินแยกออกไปจากลูซ

    เขาควรจะรู้สึกเรื่องนิยายที่พี่ของเธออ่านหรือ รู้สึกดีที่พี่สาวลูบหัวของเขาแบบนี้กันนะ รู้สึกสับสนในใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย

    ควีนฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีมองไปยังชั้นวางหนังสือที่มีนิยายเรียงรายกันเต็มไปหมด ก่อนที่จะสังเกตเห็นร่างของหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอเช่นกัน เธอจึงหยุดฮัมเพลงแล้วมองไปยังหญิงสาวด้วยท่าทีสงบเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

    ผมที่ยาวประบ่าสีแดงเข้ม กับชุดที่ดูดีมาฐานะนี่...ลูกขุนนางหรือเปล่านะ? ไหนลูซบอกว่าสตรีชั้นสูงไม่พึงกระทำแบบนี้ไงหรือว่าจะเป็นลูกชาวบ้านปกตินะ แต่การแต่งตัวมันไม่ใช่เลยนี่นา เอาเถอะหยุดสงสัยเรื่องคนอื่นก่อนดีกว่าเรา

    “การเดินทางของหนุ่มหน้ามนและไก่ของเขา...จะมีไหมนะ” ควีนพึมพำเบาๆ ออกมาพลางไล่สายตาอ่านชื่อเรื่องหนังสือทีละเล่มเรื่อยๆ ขอให้สิ่งที่เธอหวังนั้นมันมีจริงขึ้นมา

    “ในโลกนี้ไม่มีเล่มแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ” ควีนชะงักค้างไปพลางหันไปมองที่เด็กสาวที่ยืนข้างๆ เธอ

    “เอ๊ะ? ฉันก็หาเล่มนั้นมาหลายปีแล้วเหมือนกันค่ะ เพื่อนของฉันบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากเลยล่ะค่ะ” เด็กสาวผมสีแดงเข้มหันมาพูดกับควีนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เด็กสาวคนนี้พูดขึ้น แววตาของเธอดูเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย

    “พอมาร้านหนังสือแบบนี้ ก็ทำให้คิดถึงเพื่อนคนนั้นขึ้นมาอยู่บ่อยๆ ...ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะปลอดภัยอยู่หรือเปล่า” เด็กสาวผมสีแดงเข้มปิดหนังสือนิยายที่เธอเปิดอ่านไปเมื่อครู่แล้ววางไว้บนชั้นดั่งเดิม ก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อย

    “ขอโทษทีนะคะที่จู่ๆ ก็เล่าเรื่องแปลกๆ ให้ฟัง” ควีนมองไปที่เด็กสาวด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเธอคนนี้มาก่อนนะ เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน

    “เผลอทำตัวเสียมารยาทไปจนได้ ฉันสการ์เลท คาร์เนเลียน่า ดีเมเทอร์” รู้สึกตัวอีกที มือเล็กๆ ของเด็กสาวตรงหน้าก็ยื่นออกมาเหมือนอยากจะจับมือทักทาย ควีนจึงรีบเอ่ยแนะนำตัวแล้วยื่นมือไปจับมือของเด็กสาว

    “ฉันควีน ควีน โรสฮาร์ทค่ะ” ควีนส่งยิ้มเล็กๆ ไปให้เด็กสาวตรงหน้าก่อนที่เธอจะยื่นใบหน้าเขามาใกล้ควีนด้วยความตื่นเต้น

    “เอ๋! ? งั้นเธอก็เป็นบุตรสาวของท่านกริช่า โรสฮาร์ทน่ะสิ ได้ยินมาว่าหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากหลังม้าก็กลายเป็นว่านิสัยเปลี่ยนไป ฉันน่ะอยากเจอเธอมากๆ เลยล่ะ! จะว่ายังไงดีล่ะ มันดูน่าสงสัยน่ะ...” สการ์เลทเหลือบมองไปที่ใบหน้าของควีนที่ดูเหมือนเม็ดเหงื่อจะผุดออกมาที่ใบหน้าของเธอ

    “เอ๊ะ?” ควีนเปล่งเสียงอุทานออกมาแล้วมองใบหน้าของเด็กสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ดูอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย

    คนตรงหน้าเธอมีใบหน้าที่ดูน่ารัก ดวงตากลโตดูสวยสง่า แต่ก็มีเค้าโคลงที่เหมือนนางร้ายในมังงะที่เธอเคยอ่าน มันดูน่ากลัวแปลกๆ เหมือนเธอคนนี้จะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรา

    “ดูเหมือนนิสัยมันเปลี่ยนมันดูเปลี่ยนไปมากๆ ..ไม่สิ คนล่ะคนเลยซะมากกว่า”

    “ไม่รู้เรื่องอะไรในโลกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังทำตัวแปลกๆ พูดคำที่คนอื่นไม่รู้ความ เธอน่ะคือใครกันแน่...”

    “คะ...คือฉัน” ควีนรีบหลบสายตาของเด็กสาวตรงหน้า ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เธอต้องมีสติในการตอบคำถามนี้สิ เธออาจแค่กำลังล้อเล่นเราอยู่ก็ได้

    “เธออาจจะคิดว่าฉันบ้าก็ได้นะ...แต่ฉันน่ะพอลืมตาขึ้นมาก็มาอยู่ในร่างของเธอคนนี้เข้าพอพูดเรื่องโลกให้คนทางนี้ฟังพวกเขาก็ทำหน้าไม่เข้าใจฉันกันสักคนเลย ฉันอึดอัดใจมากๆ เลย คนอื่นคิดว่าฉันกลายเป็นบ้ากันไปหมด ตอนนี้ครอบครัวฉันแล้วก็ยัยเบลที่โลกนู้นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ รูปก่อนนอนที่อยากจะส่งก็ทำไม่ได้อีกแล้วล่ะ...” สการ์เลทพูดออกมาร่ายยาวด้วยท่าทีที่ดูต่างออกไปจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว แถมยังทำหน้าตาเศร้า น้ำตาคลอเบ้าทำเอาควีนเองได้แต่ยืนอึ้งกิ่มกี่อยู่แบบนั้น

    แต่เดี๋ยวก่อนนะ...เบลงั้นเหรอ ครอบครัว โลกนู้นงั้นเหรอ! ? ฉันรีบเงยหน้ามองเด็กสาวตรงหน้าช้าๆ ไม่ผิดแน่ๆ เธอคนนี้ เด็กสาวตรงหน้าที่ชอบทำตัวบ้าบอ ร่าเริง แถมยังชอบเล่าเรื่องอะไรหลายๆ อย่างให้ฉันฟังทุกวัน ทั้งๆ ที่ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมันบ้างก็ตาม แถมยังชอบส่งรูปแปลกๆ มาให้ก่อนนอนทุกคืน

    “ไม่ใช่งั้นสินะ...ฉันคงคิดมากไปเองแหละว่าเธอคือคนที่มาจากโลกนู้น” สการ์เลทโค้งหัวให้ฉันเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบหนังสือนิยายเล่มใหม่ขึ้นมาเปิดอ่านมันเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย ความเงียบเริ่มเข้าปกคุลม ควีนเม้มปากแน่นพลางใช้ความคิดที่อยากจะลองเอ่ยถามออกไปอยู่พักใหญ่

    “แอนใช่หรือเปล่า?” ควีนลองเอ่ยชื่อนั้นออกไปด้วยความรู้สึกที่เธอคุ้นเคยกับเด็กสาวตรงหน้า ก่อนที่สการ์เลทจะหันมาช้าๆ ด้วยแววตาที่ดูประกายด้วยความหวัง

    “เธอ...รู้จักฉันงั้นเหรอ...” น้ำตาสีใสๆ ที่คลออยู่ที่ดวงตากลมโตนั้น ทำให้เธอมั่นใจแล้วล่ะว่าคนตรงหน้าที่เธอเรียกชื่อไปคือยัยแอนเพื่อนสนิทของเธอ สการ์เลทสวมกอดเด็กสาวตรงหน้าพลางร้องไห้โฮด้วยความรู้สึกเหงาอยู่เต็มอก

    เธอเหงามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอต้องใช้ชีวิตในร่างของเจ้าหญิงตัวร้ายที่ใครๆ ต่างก็รังเกียจเธอ เธอเฝ้าฝันมาเนิ่นนานว่าจะมีใครสักคนนั้นตื่นเข้ามาในโลกนี้เหมือนกับเธอ ขอแค่ใครสักคนใครสักคนก็ได้ ที่รู้ชื่อจริงๆ ของเธอ ไม่ใช่ในนามเจ้าหญิงสการ์เลทที่ใครๆ ก็ต่างเกลียดชัง

    “เฮ้...ยัยโง่...จะร้องไห้ทำไมย่ะ” ควีนรีบผละตัวสการ์เลทออก พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากระโปรงแล้วยื่นให้คนตรงหน้าเช็ดน้ำตาของที่ไหลออกมาไม่หยุดนั่นสักที สการ์เลทรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของควีนก่อนที่จะจัดการเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูกจนเสียงดัง

    “อย่าคิดแม้แต่จะคืนให้ฉันเชียวนะ” ควีนกอดอกมองเพื่อนสนิทของตนที่มาอยู่ในร่างของเด็กสาวแสนน่ารัก หุ่นดีตัวสูงสง่า ดูไปแล้วเหมือนรู้ว่าถึงจะเข้ามาในโลกนี้ยัยเพื่อนสนิทตรงหน้าก็ยังจะสูงกว่าเธอ นี่มันโคตรจะไม่ยุติธรรม...

    “ว่าเธอเป็นใครอ่ะ รู้ชื่อฉันได้ไง?” สการ์เลทถามออกมาด้วยหน้าตาที่ดูใสซื่อ ทำเอาควีนที่ได้ยินคำถามถึงกับคิ้วกระตุกเล็กๆ

    ไม่ผิดแล้วล่ะคนคนนี้ยัยแอนแน่นอนไม่ผิดตัวแน่ๆ

    “เบลไงยะ! จู่ๆ ก็โผงผางพูดแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าฉันเป็นใครเนี่ยนะ?” ควีนเท้าเอวยืนถามคนตรงหน้าก่อนที่เธอจะเกาหัวพร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้

    “แหม่...คนรู้จักเนี่ยจะเป็นใครก็ได้นี่นา”

    “เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ...”

    “ท่านสการ์เลท! หนีออกมาแบบนี้มันอันตรายนะขอรับ!” เสียงที่ดังมาจากของหลังสการ์เลท ทำให้เธอหันไปมองก่อนจะหัวเราะแห้งออกมา ควีนที่งงกับสถานการณ์ตรงหน้าก็ได้แต่ยืนงง ชายในชุดสูทสีดำเหมือนกับจะเป็นพ่อบ้านของสการ์เลทกำลังดุเธออยู่ตรงหน้า

    โลกนี้แม้กระทั่งพ่อบ้านก็หน้าตาดีไม่เบาเลยแห๊ะ...ผมสีน้ำตาลเข้มผิวขาวออร่าสง่าใช่พ่อบ้านจริงๆ เรอะ?

    “นี่เธอตรงนั้นนะ! กล้ายืนเทียบชั้นกับเจ้าหญิงสการ์เลทงั้นเหรอ! บังอาจนัก!” ควีนหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินคำพูดจากปากพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างสการ์เลทกำลังชี้หน้าของเธอ

    “หา? ...แล้วทำจะยืนไม่ได้นี่เพื่อนฉันนะ!” ควีนเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย และไม่เกรงกลัวกับสิ่งที่พ่อบ้านเอ่ย เป็นแค่พ่อบ้านแท้ๆ แต่กลับมาชี้หน้าของเธอแบบนี้ ขอถอนคำพูดเลยที่ชมว่าหน้าตาดีน่ะ!

    “บังอาจ!”

    “พี่ครับ! เอะอะเสียงดังแบบนั้นไม่ได้...” ลูซที่ได้ยินเสียงดังของควีนเข้าก็รีบเดินมาเตือนพี่สาวของเธอทันที แต่ไม่ทันที่จะพูดจบก็ชะงักข้างกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที

    เจ้าหญิงสการ์เลท ขึ้นชื่อเรื่องทำร้ายชาวรับใช้ พ่อบ้าน เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง หญิงสาวใดที่สวยเกินหน้าเกินหน้าเกินตาของเธอนั้นจะต้องถูกเนรเทศ ใครที่ทำให้เธอไม่พอใจก็ต้องถูกเนรเทศ นี่พี่เผลอทำเรื่องวุ่นวายอะไรอีกเนี่ย! ?

    “พี่ครับ นี่พี่ทำเรื่องอะไรอีกเนี่ย นี่เจ้าหญิงสการ์เลท...” ลูซที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าดูไม่สู้ดีนักก็รีบรุดตัวมาเกาะที่ไหล่ของพี่สาวทันที ควีนจึงหันมาพูดกับลูซ

    “นี่เพื่อนพี่เองยัยสการ์เลทน่ะ สการ์เลท นี่ลูซน้องชายฉันเอง” ควีนชี้ไปที่สการ์เลทแล้วเอ่ยแนะนำให้กับน้องชายของเขาที่ทำตัวเล็กแล้วเกาะไหล่พี่สาวเอาไว้อย่างลืมตัว ก่อนที่ควีนจะแนะนำลูซให้สการ์เลทนั้นรู้จัก

    “บังอาจมาก กล้าทำตัวเทียบชั้น คิดจะมาเป็นเพื่อนกับท่านสการ์เลทงั้นรึ!” สการ์เลทถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจับแขนของพ่อบ้านที่ชี้หน้าควีนให้ลดมือลง แล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้พ่อบ้านของเธอ

    “อีธาน นี่ควีนเพื่อนของฉันจริงๆ นะ ฉันผิดเองแหละที่แอบออกมาโดยไม่บอกน่ะ” สาร์เลทก้มหัวขอโทษพ่อบ้านคนสนิทของเธอก่อนที่ อีธานจะรีบหยุดการกระทำของสการ์เลทไว้

    “ท่านสการ์เลทอย่าทำแบบนี้นะครับ ท่านวิคเตอร์มาเห็นเข้าผมจะแย่เอา!”

    “หึๆ นั่นสินะ งั้นนายช่วยซื้อหนังสือนิยายพวกนี้ให้ฉันหน่อยสิ” สการ์เลทยิ้มพลางชี้ยังหนังสือนิยายอีโรติกมากมายบนชั้น ทำเอาพ่อบ้าถึงกับกลืนน้ำลายลงคอพลางกะพริบตาด้วยท่าทางสั่นๆ

    “ก็แหม่...เจ้าหญิงแบบฉันซื้อของแบบนี้มันไม่ดีนี่ ฝากด้วยล่ะ” พูดจบเธอก็ส่งยิ้มพลางตบบ่าอีธานเบาๆ แล้วหันกลับมาหาเพื่อนสาวของตนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ

    “นี่ควีน! ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไปดื่มชาร้านใกล้ๆ ด้วยกันสิ” สการ์เลทพูดด้วยท่าทางร่าเริงก่อนที่จะเลื่อนใบหน้ามากระซิบที่ข้างหู

    “เผื่อจะมีเบาะแสอะไรที่ทำให้เรารู้ว่าเรามาที่นี่ได้ยังไงด้วยน่ะ” ควีนพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนที่สการ์เลทจะเลื่อนใบหน้าห่างออกไป แล้วส่งยิ้มให้

    “เอาสิ ไปเถอะลูซ” ควีนเอ่ยพูดกับสการ์เลทแล้วจึงหันหน้ามามองน้องชายของตนที่ดูเหมือนว่าจะยังกล้าๆ กลัวๆ กับเจ้าหญิงสการ์เลทที่ยืนอยู่ข้างๆ เธออยู่

    “พี่ครับ มันอันตรายนะ” ลูซบีบที่แขนเล็กขอควีนเบๆ ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่าเขากลัวหญิงสาวตรงหน้าจริงๆ เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ปกติเธอจะยืนกรานปกป้องเธอแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเกาะแขนเธอแจไม่ยอมปล่อยจนเธอรู้สึกแปลกใจ

    “ไม่เอาน่าลูซ...ยัยสการ์เลทไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกนะ ยัยนี่เปลี่ยนไปเป็นเจ้าหญิงโรคจิตบ้ากล้ามแล้วล่ะเชื่อพี่สิ” ควีนมองลูซด้วยท่าทางเอ็นดูก่อนที่จะจับมือของเขาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ ทั้งๆ ที่ปกติเจ้าเด็กน้อยตรงหน้าจะเป็นคนยืนปลอบเธอแท้ๆ

    “เห? รสนิยมชอบเด็กไม่เปลี่ยนเลยน๊า” สการ์เลทพูดแซวควีนออกไป ก่อนที่ควีนจะหันมาแยกเขี้ยวใส่ยัยเพื่อนสาวที่หัวเราะชอบใจกับท่าทางที่แสดงออกมาของควีน ส่วนลูซที่เห็นท่าทางของสการ์เลทที่ดูต่างออกไปจากเดิมจากที่เขาเคยเห็นมาก่อนก็ดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย

    ทั้งสามคนจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังร้านคาเฟ่ใกล้ๆ เพื่อพักดื่มชาพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กัน และค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าการไปดื่มชาในครั้งนี้จะทำให้ชีวิตของควีนนั้นเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย






    -To be continued -




    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×