คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เข้าใจผิด
ท้องฟ้าแจ่มใสในยามเช้า ไร้เมฆหมอกบดบังนับได้ว่าวันนี้เป็นวันที่อากาศดีเหมาะสำหรับการออกไปเดินเล่น สายลมอ่อนๆ พัดพาต้นหญ้าและดอกไม้พลิ้วไหว นกตัวน้อยก็เริ่มออกมาจากรังพากันโบยบินไปตามกระแสลมอ่อนๆ ในยามเช้า มันช่างเป็นช่วงเช้าที่อากาศดีสุดๆ
“วู้ว! อยากรีบขี่ไอ้นี่ให้เป็นไวๆจัง!” ควีนหันมองไปรอบๆ เพื่อเพลิดเพลินกับบรรยากาศและรับลมที่พัดตีเข้าหน้าเธอเบาๆ
“มันอันตรายนะครับพี่!” ลูซที่หันไปพูดกับพี่สาวตัวเองในเวลานี้ไม่ได้ จึงต้องทำใจยอมรับแล้วพูดปรามพี่สาวตัวแสบของเขาที่นั่งกระดุกกระดิกอยู่ข้างหลัง เพราะเขาเองก็ต้องใช้สมาธิในการคุมเจ้าไม้กวาด เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อเขาและพี่สาว
“ก็พี่ไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่มองจากข้างบนแบบนี้เลยนี่นา แถมบรรยากาศยังดีสุดๆ” ควีนชะเง้อหน้าพูดผ่านไหล่ของลูซ จนลูซเองถึงกับผงะ เพราะเสียงของพี่สาวที่จู่ ๆ ก็ดันมาพูดใกล้ๆ หูของเขากระทันหัน ทำเอาใบหน้าของเขาร้อนผ่าวไปถึงใบหู
“ลูซหูนายแดงนะ เป็นอะไรไป?” ควีนที่คอยน้องชายของเธอว่าจะตอบอะไรเธอมาบ้างนั้น สายตาของเธอก็สังเกตเห็นหูของลูซที่แดงผิดปกติ ด้วยความคิดที่ควีนเองอดสงสัยไม่ได้เลยยื่นไปลูบใบหูของลูซ
“ว๊าก! อย่าจับนะครับ!” ลูซรีบหันขวับเผลอพูดเสียงดังออกไปเตือนพี่สาวของเขาทันทีที่เธอยื่นมือแตะไปที่ใบหู มือข้างซ้ายของลูซรีบจับไปที่ใบหูของตัวเองทันที
“โอ๊ะ! โทษทีๆ ก็เห็นหูนายแดงๆ ...” ควีนที่จู่ ๆ ก็โดนน้องชายเสียงดังใส่นั้นก็รีบขอโทษออกไป ส่วนลูซเองก็หันกลับไปมองยังทางข้างหน้าต่อด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงใบหู พลางถอนหายใจ
พี่สาวของเขาทำอะไรอันตรายเกินไปแล้ว...แต่เผลอเสียงดังใส่แบบนั้นพี่จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?
หลังจากที่เธอขอโทษน้องชายเสร็จ ก็เลื่อนสายตาไปมองบรรยากาศรอบๆ อีกครั้ง พอมองลงไปยังด้านล่าง เห็นผู้คนมากมายเดินไปมา บรรยากาศน่าดูชม ผู้คนต่างจับจ่ายซื้อของพูดคุยกันอย่างครื้นเครง
ลูซเองที่ขี่ไม้กวาดตลอดทางที่ผ่านนั้นชาวบ้านบางคนขี่ไม้กวาดสวนผ่านทั้งสองคนก็ต่างทักทายด้วยการส่งยิ้มให้ บางคนก็โบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร
“คุณหนูควีนอรุณสวัสดิ์ครับ!”
“ขอให้หายไวๆ นะจ๊ะ!”
“คุณหนูควีน!”
ขณะที่สองพี่น้องขี่ไม้กวาดตรงไปยังวิหารเทพธิดาแห่งแสง ชาวบ้านที่ขี่ไม้กวาดไปมาก็เอ่ยทักทายพวกเขาไม่หยุดไม่หย่อนตลอดทางที่ผ่านมา
“เป็นคนดังนี่ลำบากจังเลยนะ...” ควีนถอนหายใจพลางบ่นอุบอิบเบาๆ แต่ในระยะที่กระชั้นชิดแบบนี้ลูซเองที่ได้ยินก็หลุดยิ้มกับคำพูดแปลกๆ ที่พี่สาวของเขาเอ่ยออกมา
ควีนคนนั้นต้องเป็นคนดีมีเมตตาขนาดไหน ชาวบ้านถึงได้รู้จักเธอแบบเหนือใต้ออกตกแบบนี้ ถ้าขนาดถึงขั้นที่ลูซขี่ไม้กวาดไปทางไหนก็มีแต่คนทักทายโบกมือให้อย่างนี้ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าไปเดินตามท้องถนนข้างล่างที่ผ่านมาเมื่อครู่ เธอคงต้องโบกมือแบบ 360 องศาจนลายตาเป็นแน่
“ต่อจากนี้เราคงต้องเดินไปแล้วล่ะครับ” เสียงของลูซที่ดังขึ้นทำให้ควีนหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วชะเง้อมองลงไปยังด้านล่าง
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นตลาดที่มีประชาชนคนทั่วไปเดินพลุ่งพล่าน แถมยังขี่ไม้กวาดทักทายกันตามประสาชาวบ้านอยู่เลยแท้ๆ แต่ภาพตรงหน้าที่เห็นตอนนั้นเป็นทางเดินลายหินสีเทาขนาดใหญ่ทอดตรงไปยังวิหารสีขาวที่ส่องสว่าง เปล่งประกายระยิบระยับดั่งในเทพนิยาย เทียบกับในโลกก่อนหน้านี้ก็คงคลับคล้ายกับวิหารโบราณของอังกฤษ
ใช้เวลาไม่นานนักทั้งคู่ก็ลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัย ส่วนเจ้าไม้กวาดของลูซก็ขยับไปมาเหมือนอย่างกับลูกสุนัขที่กำลังตื่นเต้นเมื่อได้ออกมาเดินเล่นซะอย่างนั้น ถ้าไม่บอกว่านี่คือไม้กวาดเวทมนตร์ เธอคงคิดไปแล้วล่ะว่ามีวิญญาณสุนัขกำลังสิงสู่เจ้าไม้กวาดนี่อยู่...
“เอาล่ะ ไว้เสร็จธุระฉันจะรีบกลับมา แกไปรออยู่แถวนั้นก่อนนะ” ควีนกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นบทสนทนาอันแสนไม่น่าเชื่อระหว่างลูซและไม้กวาดของเขาที่โค้งไปมาอย่างกับรับทราบคำสั่งที่ลูซพูดออกไปเมื่อครู่ จากนั้นมันก็ลอยเหินห่างออกไปไม่ไกล ตรงไปที่คล้ายๆ กับที่จอดรถจักรยานยนต์ในโลกก่อน ถ้าในโลกนี้คงจะเป็นที่จอดไม้กวาดสินะ...
“เหลือเชื่อเลยแห๊ะ...”
“เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะครับ” ลูซที่จัดการกับเจ้าไม้กวาดของเขาเรียบร้อยก็เดินนำควีนไป ควีนเองที่เห็นน้องชายของเธอเดินนำเธอไป ขาเล็กๆ ก็รีบจ้ำอ้าวเดินตามน้องชายของเธอพลางชมบรรยากาศโดยรอบไปด้วย
สองข้างๆ ทางที่ทั้งสองคนเดินไปนั้นมีพุ่มดอกไม้สีขาวประดับอยู่ตลอดทางเดินไปยังวิหาร สลับกับโคมไฟโบราณสไตล์ยุโรป
“ทางเข้ามันเดินไกลไปแล้วนะ ถ้าขี่ไม้กวาดเข้าไปเราคงถึงกันแล้ว” ควีนพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรขณะที่เดินขนาบข้างลูซ
“สถานที่รอบๆ นี่ จนถึงทางสุดลายหินนั่นไป มีกฎห้ามให้ประชาชนทั่วไป เข้ามาหรือขับขี่ยานพาหนะใดๆ ทั้งสิ้นครับ” เมื่อได้ยินคำพูดจากลูซเธอก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้วล่ะ แล้วหันไปรอบๆ ด้วยท่าทางตื่นเต้นกับสิ่งรอบตัวที่ทั้งสองเดินกันมาเรื่อย ๆ
“งั้นแสดงว่าที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับคนทั่วไปที่จะเข้ามาได้ด้วยน่ะสิ”
“ใช่ครับ...พวกเราเป็นกรณีพิเศษน่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะขี่ไม้กวาดเล่นไปทั่วได้นะครับ” ลูซพยักหน้าพลางพูดต่อ
“อย่างนี้นี่เอง” เมื่อบทสนทนาระหว่างทั้งสองจบลง พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อแล้วเดินตรงไปยังวิหารข้างหน้า
เสียงน้ำตกดังกระทบกับในบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ เกิดเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกสบายอารมณ์ที่ได้ฟัง ดอกไม้หลากสีประดับอยู่รอบข้างอยู่ตรงเบื้องหน้าของทั้งสองในลานกว้างขนาดใหญ่ก่อนที่จะถึงตัววิหารนั้นก็ดูสวยสดงดงามจนเธออดไม่ได้ที่อยากจะชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ
“สวยจนไม่อยากจะละสายตาเลย..” ควีนที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศโดยรอบอยู่นั้น มือเรียวยาวของน้องชายแตะมาที่ไหล่ของเธอ ควีนจึงละสายตาจากน้ำพุและเจ้าดอกไม้ตรงหน้าแล้วเงยมองน้องชายที่อยู่ข้างตัวเธอแทน
“เราไม่มีเวลากันมากนะครับพี่...ถ้าเกิดแม่รู้ว่าเราแอบออกมาล่ะก็นะ” ลูซพูดไว้แค่นั้นก็รีบเดินเลี่ยง สวนดอกไม้และอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ตรงหน้า
ควีนเองที่ได้ยินแบบนั้นก็เกิดสงสัยกับคำพูดของน้องชายตัวเองแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไปดักข้างหน้าน้องชายของเขาอย่างรวดเร็ว ลูซจึงหยุดเดินแล้วมองพี่สาวของเธอในระดับสายตาเดียวกัน
“หมายความว่ายังไง...นี่พวกเราแอบออกมากันงั้นเหรอลูซ?” ควีนเท้าเอวถามน้องชายของเธอด้วยสายตาที่ไม่พอใจเอาเสียมากๆ ก่อนที่ลูซจับพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ เพราะงั้นเราต้องรีบแล้ว”
“หา!? พี่นึกว่านายจะขออนุญาตจากคุณแม่แล้วซะอีก!” ลูซที่เห็นควีนขมวดคิ้วมุ่น ลูซก็ส่งยิ้มละมุนกลับไปให้พลางพูดว่า
“พี่ทำอย่างกับว่า สองสามวันมานี้ พี่ไม่แอบปีนต้นไม้ออกจากบ้านไปอย่างนั้นแหละ”
“เอ๊ะ!?”
“นะ...นายรู้?” ควีนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับหน้าเสียทันที
“ผมแอบดูพี่อยู่ตลอดครับ...” ลูซส่งยิ้มหวานไปให้ควีน เธอที่มองแบบนั้นก็รู้สึกอย่างจะเขกหัวน้องชายของเธอสักสองสามที นี่เขาแอบตามดูเวลาส่วนตัวของเธองั้นเหรอ!? แถมเนียนซะจนเธอไม่รู้สึกตัว
“ผมเองก็ตกใจนะที่เห็นว่าพี่เลิกกลัวแมวแล้ว” ควีนปิดปากเงียบไม่พูดอะไรต่อ พลางนึกถึงหลายวันก่อนที่เธออกปีนต้นไม้ออกนอกบ้านไป พอไปเจอแมวจรจัดเข้าก็เลยแวะเล่นกับเจ้าตัวเล็กนั่นสักพักใหญ่ๆ
เลิกกลัวแมวงั้นเหรอ....อย่าบอกนะว่าควีนตัวจริงเธอกลัวแมวน่ะ!? ซวยแล้วสิ ยังไงก็ต้องเลี่ยงบทสนทนาเรื่องแมวไปก่อน!
“อ่า...บ้าจริง...ถ้าแม่จับได้พี่ไม่ยอมโดนลงโทษคนเดียวหรอกนะ” ควีนยกมือขึ้นชี้หน้าของลูซ พร้อมมองเจ้าน้องชายของตัวเองด้วยสีหน้าเคืองๆ ก่อนจะหันหลังให้น้องชายแล้วเดินนำเขาออกไป
โล่งอกไปทีที่เขาไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องกลัวแมวไปมากกว่านี้ แต่การที่เขาพาเราออกมาข้างนอกโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ เขาก็คงเตรียมใจมาไม่น้อยเลย เราเองก็อยากจะออกมาสำรวจข้างนอกไวๆ เหมือนกัน แต่แม่เองก็ห้ามเราออกไปไหนจนกว่าจะรู้เหตุของเวทมนตร์ที่จู่ ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุนั่นอีก เพราะแบบนั้นคงต้องเตรียมการทำเรื่องหลายๆ อย่าง วุ่นวายไปหมด เพื่อให้เราได้เขาเรียนโรงเรียนเวทมนตร์พร้อมกับลูซในปีนี้
ใช้เวลาในการเดินเท้าสักพักประตูเล็กๆ สลักด้วยลวดลายที่ดูประหลาดตา พอมายืนประจันหน้าใกล้ๆ แล้วมันกลับใหญ่มากเสียจนไม่คิดว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเปิดมันออกได้เลย
พอคิดแบบนั้นในหัว ลูซที่ในตอนแรกยืนอยู่ข้างตัวควีน ก็จัดการผลักประตูนั่นให้เปิดออกอย่าง่ายดาย จนทำเอาพี่สาวคนนี้ถึงกับแปลกใจเมื่อเห็นลูซที่ดูเปิดมันออกได้เหมือนอย่างกับประตูที่ทำมาหลอกตาคน ลูซเองที่เดินเข้าไปข้างในวิหารก่อนหน้านั้นหันกลับมามองพี่สาวก็อ่านสีหน้าของเธอได้ในทันที
“ใช้เวทมนตร์ครับเห็นมั้ย?” ลูซพูดพลางโบกมือที่มีออร่าพลังเวทอยู่มือนั้นไปมาตรงหน้าพี่สาวของตน
“วิหารนี่ไม่ธรรมดาเลยแห๊ะ...” ควีนเอ่ยชมวิหารโบราณแห่งนี้ด้วยสีหน้าที่ดูยกย่องนับถืออยู่ไม่น้อย จนลูซเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งส่งให้
“ถ้ามันธรรมดาผมคงไม่ยอมถ่อมาถึงที่นี่หรอกนะ” ลูซพูดแบบนั้นพลางมองมาที่พี่สาวที่กำลังทำหน้าดูปลื้มจิตปลื้มใจกับวิหารแห่งนี้ ก็อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“หัวเราะอะไรของนายน่ะ...” ควีนที่เห็นน้องชายหัวเราะกับท่างทางที่แสดงออกมาของเธอ แต่เมื่ออยู่ในวิหารคงจะต้องสำรวมตัวนิดหน่อยเธอจึงก็ได้แต่มองค้อนเจ้าน้องชายตัวแสบกลับไป แล้วก้าวเดินเข้ามายังในตัววิหารอย่างช้าๆ
เมื่อเข้ามาข้างในเธอถึงกับต้องตกตะลึงในความงดงามที่ได้เห็น ควีนทอดสายตามองไปยังรอบวิหารขนาดใหญ่ พอมองตรงไปยังทางที่ถูกพรมสีขาวปูเป็นทางก็เห็นรูปปั้นขนาดเท่าตัวคนจริงๆ อยู่ตั้งอยู่บนแท่นสูงสง่า แม้จะเป็นแค่รูปปั้นแต่ดูงดงามราวกับตัวเอกในเทพนิยาย พอละสายตาจากรูปปั้นนั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนอยู่ ควีนจึงเลื่อนสายตาลอบมองลงมายังข้างล่างที่ตัวแท่น
“นั่นมันใครกันน่ะ” ร่างเล็กในชุดคลุมสีขาวยาวคลุมไปถึงข้อเท้า ผมยาวสีขาวบริสุทธิ์ดุจดั่งแพรไหมกำลังหันหลังให้พวกเขาทั้งสอง อยู่ในท่าทางที่ดูกำลังอธิษฐานอยู่ตรงหน้ารูปปั้น
“คน...จริงๆ งั้นเหรอ ผมสีขาวเหมือนตัวเอกในเทพนิยายเลยอ่ะ” ควีนที่คิดในใจดังไปหน่อยจนตัวเองเผลอพูดออกมาก็รีบเอามือป้องปากตัวเองทันที เผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกไปอีกแล้ว!
“พูดอะไรของพี่น่ะ นี่คือเอเกิลไงครับ พี่เองก็รู้จัก” ลูซหันมาพูดกับควีนที่อยู่ในท่าทางที่ทำตัวไม่ถูก แถมยังมองไปยังคนที่ตัวเองคุ้นเคยเหมือนไม่รู้จักเสียอย่างงั้น
“งั้นเหรอ...พี่...ละ...ลืมน่ะ!” ควีนหันมามองลูซด้วยท่าทางร้อนรนใจ พลางส่งยิ้มเฝื่อนให้ ทำเอาน้องชายทอดถอนใจแล้วเดินแยกออกไปหาเอเกิลที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้น
“เอเกิล พี่สาวฉัน...” ลูซที่ยังพูดไม่จบประโยค เอเกิลก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“จิตวิญญาณที่เปลี่ยนไป...” เอเกิลค่อยๆ หันมาพูดกับลูซด้วยใบหน้าที่ดูสงบนิ่ง เสียงหวานๆ ที่ดูนุ่มนวลของเขาทำเอาควีนที่เดินมาอยู่ข้างๆ ลูซ ต้องใจเต้นแรงกับใบหน้าอันงดงามนั่น ควีนค่อยๆ มองสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาดูมีร่างกายที่ผอมบางถึงแม้จะอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวแต่ควีนเองก็พอจะเดารูปร่างนั่นออก ผมยาวสีขาวราวกับหิมะดวงตากลมโตสีครามราวกับน้ำในมหาสมุทร เสียงที่นุ่มนวลชวนฝันแบบนั้นช่างน่าหลงใหลเสียจริงๆ
“เป็นผู้หญิงที่สวยจังเลยนะคะ” ควีนพูดเชยชมใบหน้าอันแสนงดงามพลางส่งยิ้มสดใสให้กับเอเกิล
“เอ๊ะ? ท่านควีนหมายถึงผมเหรอครับ?” เอเกิลหันนิ้วชี้เข้าหาตันเอง เอียงคอถามด้วยความสงสัย ลูซที่ได้ยินพี่สาวตัวเองพูดแบบนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายว่ากำลังเอือมระอา
“พี่ครับ เอเกิลเป็นผู้ชายนะ”
“เอ๋!? ผู้ชายหรอกเรอะ!” ควีนที่ตกใจตะโกนออกมาสุดเสียง ดังไปทั่ววิหาร
“ขอโทษจริงๆ นะเอเกิล ฉันลืมน่ะ!” ควีนยกมือไหว้ขอโทษเอเกิลอยู่แบบนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจกับท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของคนที่เขาเคยรู้จัก
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ท่านควีน ผมชอบที่ท่านควีนชมแบบนั้นนะ” เอเกิลส่งยิ้มอันแสนละมุนให้ ทำเอาควีนใจเต้นอีกหนกับใบหน้าอันแสนงดงามดั่งเทพนิยาย
เอเกิลดูเหมือนกับตัวละครเอกในเทพนิยายที่เธอเคยอ่านมาในโลกก่อนที่เธอจะมาที่นี่ รอยยิ้มที่ดูละมุนนั่นอีกช่างดูน่าหลงใหล หน้าตาที่ดูสวยสดงดงามอย่างกับผู้หญิงที่สาวๆ หลายคนคงต้องอิจฉามันไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
“เข้าเรื่องกันได้รึยังครับ” ขณะที่ควีนกำลังจ้องใบหน้าของเอเกิลอย่างชื่นชม เสียงที่ดังขัดจังหวะขึ้นมาของลูซนั้นทำเอาพี่สาวหันไปมองน้องชายของตัวเอง เขากำลังจ้องใบหน้าของเอเกิลเขม็งเลยดูเหมือนเขา...หรือว่า!?
ลูซกำลังโดนมนต์เสน่ห์ของเอเกิล ทำให้ตกหลุมรักงั้นเหรอ? สายตาที่จ้องมองเอเกิลนั่นดูร้อนแรงเสียจนน่าตกใจ นี่น้องชายของเรากำลังตกหลุมรักเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้เข้าแล้วสินะ! ช่างเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีที่สุดในวันนี้เลยจริงๆ ในโลกนี้ก็ยังมี BL ให้เสพอยู่ ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง!
“นั่นสินะครับ ผมเองก็เผลอไปหน่อย...” เอเกิลหันมายิ้มส่งให้ลูซก่อนที่เขาจะผายมือไปยังทางที่เราเข้ามาในวิหารเมื่อครู่
“ถ้างั้นท่านลูซ ช่วยออกไปรอข้างนอกด้วยนะครับ” ลูซจ้องไปที่เอเกิลด้วยสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์มากนักก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
“ผมจะเริ่มแล้วนะครับท่านควีน” เอเกิลที่มองส่งลูซเดินออกไปก็หันมาก้มมองควีน เขาทำตัวดูเหม่อแปลกๆ ก่อนที่ดวงตาสีครามดั่งมหาสมุทรภายในแววตาของเขาดูเปลี่ยนไป ผมยาวสีขาวดุจดั่งกับแพรไหมลอยสยายราวกับว่ามีลมกำลังพัดผมของเขา ออร่าบางอย่างเริ่มสว่างขึ้น ร่างกายของเอเกิลนั่นมีออร่าเปล่งประกายอยู่รอบๆ ตัว ควีนที่เห็นภาพตรงหน้าทำเอาอ้าปากค้างอึ้งกิ่มกี่เมื่อได้เห็นคนตรงหน้ากำลังลอยขึ้นเหนือพื้น
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ควีนกะพริบตาปลิบๆ ขยี้ตาไปพลางอย่างกับไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
“จิตวิญญาณที่แปรเปลี่ยนทำให้พลังเวทของเจ้าตื่นขึ้น อย่าได้สงสัยในสถานที่ที่จากมาเพราะโชคชะตากำหนดมันเอาไว้” เสียงของเอเกิลที่ดูนุ่มนวลแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหวานของผู้หญิง
“เอ๋?”
“จงตามหาบุรุษมีเขาแล้วเจ้าจะปลอดภัย” ชายที่มีเขางั้นเหรอ แล้วเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน หมายถึงอย่าคิดจะสงสัยว่าเรามาอยู่ในร่างนี้ได้ยังไงเพราะชะตาของเราถูกกำหนดมาไว้อย่างงั้นเหรอ? ฉันควรเชื่อกับคำที่เหมือนคำทำนายนี้มั้ยนะ
ควีนมองไปที่เอเกิลพลางถอนหายใจ
“สุดแต่เจ้า จะเชื่อข้าหรือไม่”
“นี่อ่านใจได้ด้วยเหรอ!?” ควีนถามออกไปด้วยความตกใจ แต่ก็ไร้คำตอบจากชายหนุ่มตรงหน้า เธอกอดอกแล้วยกมือขึ้นมากุมที่คางพลางครุ่นคิดในหัว
เด็กคนนี้คล้ายร่างทรงเลยหรือที่เราคุยอยู่จะเป็นเทพธิดาแห่งแสงงั้นเหรอ? แต่เดี๋ยวก่อนนี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้นสักหน่อยนี่นา ลูซพาเรามาที่นี่เพราะอยากรู้เวทประจำตัวของเรา คิดได้แบบนั้นควีนก็เคลื่อนสายตากลับไปมองร่างของเอเกิลที่ยังลอยอยู่ตรงหน้าของเธอ
“ว่าแต่ท่านเทพรู้เรื่องเวทประจำตัวของฉันหรือเปล่า”
“...”
“นี่ท่านเทพคะ...”
“....”
“ขอโทษนะคะ! ควีน โรสฮาร์ทคนนี้เวทประจำตัวคืออะไรคะ!?”
“อะ...โอ้...งั้นรึเข้าใจแล้วล่ะ”
“หา?” ควีนมองไปที่ร่างของเอเกิลด้วยความฉงนใจ นี่เธอกำลังคุยกับเทพแห่งแสงตัวจริงใช่มั้ยนะ ทำไมมันดูราวกับว่ากำลังสอบสัมภาษณ์ หรือถามคำถามอาจารย์แต่หล่อนไม่มีความรู้มากพอที่จะตอบคำถามได้เลยล่ะเนี่ย...
“ควีน โรสฮาร์ทเวทประจำตัวก็คือ...แย่ล่ะนี่มันตกหล่นไปได้ยังไง”
“อะไรของเค้าเนี่ย...” ควีนเกาไปที่แก้ม ยืนมองไปที่ร่างของเอเกิลพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่เธอกำลังคุยกับใครอยู่กันแน่เนี่ย
“ท่านอลูลา ท่านเฮเมอร่าเรียกประชุมด่วนครับ” เสียงแปลกประหลาดที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันทำเอาควีนงงกับสถานการณ์ที่เธอเองไม่เข้าใจเลยสักอย่างตรงหน้า
“งั้นรึ? ตายล่ะข้าลืมไปได้ยังไง?”
“อะแฮ่ม! เรื่องเวทประจำตัวของเจ้าน่ะเราจะคุยกันหลังจากเจ้าเปิดเทอมนะ!” พอพูดจบออร่าแสงสว่างที่เปล่งประกายจากตัวเอเกิลก็ค่อยๆ จางหายไป ผมของเขาที่พลิ้วไหวไปมาก็กลับมาเป็นดั่งเดิมก่อนที่ร่างกายของเขาจะล้มลงไปนอนกับพื้น
ฟุบ
“เห้ย!” ควีนที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งพรวดเข้าไปเอามือรองรับตัวของเกิลเอาได้ทัน ก่อนที่ร่างจะลงไปกระแทกลงกับพื้น เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วค่อยๆ ประคองร่างของเอเกลไว้ในอ้อมแขนของเธอเอง พลางหันสายตาเหลือบมองไปมองยังรูปปั้นเทพธิดาที่เหมือนจะเป็นตัวแทนของแสงสว่างที่วางอยู่บนแท่น
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่...ตกหล่น...หมายถึงอะไรกัน แถมเรื่องที่เรามาในโลกนี้ได้ยังไงก็ห้ามเราไม่ให้สงสัย โชคชะตาบ้าอะไร แล้วไอ้ผู้ชายที่มีเขาคือใครล่ะ” ควีนนั่งนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น พลางคิดวุ่นวายในหัวเพราะไม่เข้ากับสิ่งที่เทพจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้พูดออกมา
“ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เทพประสาอะไรเนี่ย...” ยิ่งคิดเธอเองก็ยิ่งหงุดหงิดภายในใจ เธอมาที่โดยไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่พออยากจะหาคำตอบ ก็บอกว่ามันคือโชคชะตา
“ผมเป็นร่างทรงของเทพที่มีชื่อว่า เทพอลูลาครับเทพธิดาแห่งแสงรุ่งอรุณ” เสียงนุ่มนวลอันคุ้นเคยดังขึ้นมา ควีนจึงก้มหน้าลงไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ
“เทพอลูลางั้นเหรอ?” ควีนขมวดคิ้วด้วยความงุนงงเอ่ยถามเอเกิลออกไป
“ครับ เทพอลูลา ท่านเป็นเทพแสงแห่งรุ่งอรุณ ท่านจะจำคำทำนายแบบท่องสคลิปครับ ถ้าถามนอกเรื่องที่ท่านคิดเอาไว้ท่านจะเงียบเพราะกำลังหาข้อมูลอยู่” ควีนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับยิ้มแห้งทันที
นี่มันเทพจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย ท่องสคลิปงั้นเหรอ เทพเองก็มีอะไรรแบบนี้กับเค้าด้วยงั้นเหรอเนี่ย
“ดูเป็นเทพที่แปลกจังนะ...”
“ครับ...เพราะแบบนั้นคนในตระกูลวินด์เซอร์จึงไม่ค่อยคาดหวังกับผมมากเท่าไหร่นัก เพราะงั้นร่างทรงแบบพี่จึงถูกคาดหวังมากกว่า พี่ถึงเป็นตัวแทนของตระกูลทำให้ตระกูลได้เชิดหน้าชูตาได้จนถึงทุกวันนี้ครับ ส่วนตัวผมเองนั้นก็ถูกเลี้ยงแบบไม่ค่อยสนใจไยดีสักเท่าไหร่” เอเกิลเล่าไปพลางหัวเราะร่า แต่ลึกลงไปภายใต้สีหน้านั้นกลับรู้สึกดูเศร้าจนควีนเองรู้สึกเจ็บไปที่อกข้างซ้าย
“เอเกิล...”
“แต่หลังจากนั้นผมก็มาพบกับท่านควีนที่แสนอ่อนโยน ช่วยเหลือผู้คนมากมาย ถึงตอนนี้ท่านควีนจะแตกต่างจากเดิมไปมากแต่ไม่ว่าท่านควีนจะเป็นยังไงผมก็ยอมรับในสิ่งที่ท่านควีนเป็นครับ...” เขาส่งยิ้มแสนละมุนละไมนั้นกลับมาให้ ควีนเองที่ได้ยินคำพูดนั้นต้องใจเต้นเป็นครั้งที่สาม
อย่างกับว่าเอเกิลกำลังสารภาพรักเธอเลยแห๊ะ คิดไปเองหรือเปล่านะ.... แต่จะให้เรามาแย่งคนที่ลูซไปแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ เราต้องคอยสนับสนุนลูซสิ เขาเป็นน้องชายของเรานี่น่า!
“...ท่าน...ครับ..”
พี่สาวน่ะต้องย่อมเสียสละให้น้องชายได้อยู่แล้วล่ะนะ ลูซเองก็มองเอเกิลไม่วางตาเลยอาจจะเป็นรักแรกก็ได้
“ท่านควีนครับ” ควีนสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเรียกกะทันหันดังขึ้นมา เธอจึงหันก้มไปมองหน้าของเอเกิลทันที
“คะ!?”
“หญิงสาวนั่งให้ชายหนุ่มนอนโอบในอ้อมแขนแบบนี้ผมว่ามัน... “ควีนที่กำลังรู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอทำอะไรลงไปก็รีบผละตัวออกให้ห่างจากเอเกิลทันที
“โทษที! นายเองไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ควีนรีบลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ พยุงตัวเอเกิลให้ลุกขึ้นตาม
“ขอบคุณครับ”
“เอ่อนี่ เอเกิลนายรู้จักคนมีที่มีเขาบ้างไหม?” ควีนที่จู่ๆ ก็นึกถึงคำของเทพอลูลาได้ก็เอ่ยถามเอเกิลออกไป เอเกิลที่ได้ยินแบบนั้นก็มีสีหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย
“มีเขาเหรอครับ?”
“เขางั้นเหรอ!?” ไม่ทันที่ควีนจะได้พูดอะไรต่อเสียงที่ดังมากข้างหลังทำให้ เอเกิลเองก็หันไปมองยังต้นเสียงเช่นเดียวกับควีน ลูซเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูตื่นตระหนกตกใจเอามากๆ
“อืม เทพอลูลาบอกฉันว่าให้ตามหาผู้ชายที่มีเขาน่ะสิ” ควีนเริ่มอธิบายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองฟัง ก่อนที่ลูซจะคัดค้านกับสิ่งที่ฉันพูดทันทีทันใด
“ไม่ได้นะครับพี่! มันอันตรายเกินไป”
“ในอาณาจักรแอนนอทรีย์ มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นครับ เจ้าชายลำดับที่หก ท่านลูเซียน คลาดิเบลล์ แอนนอทรีย์” เอเกิลพูดตัดบทลูซ ลูซจึงหันขวับกลับมาไปมองเอเกิลทันที
“ฉันพึ่งพูดไปว่าไม่ได้ ไม่ใช่รึไง!?” ทั้งสองคนมองหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องหน้ากันอย่างนั้นเงียบๆ บรรยากาศกำลังมาคุขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาควีนที่มองได้แต่ยืนดูอยู่เงียบ ทำไมลูซถึงได้คัดค้านหัวชนฝาขนาดนั้นนะ
“ลูซ เอเกิลนายจะมาทะเลาะกันเพราะพี่แบบนี้ไม่ได้นะ รักกันไว้สิ!” ควีนที่เห็นบรรยากาศดูอึมครึม เธอจึงรีบห้ามปรามเด็กหนุ่มทั้งสองคนทันที
จะให้ทั้งสองมาทะเลาะกันแบบนี้เพราะเรื่องของเราไม่ได้เด็ดขาด! รักแรกแท้ๆ นะลูซ ทำไมปูดแบบนั้นได้ล่ะเนี่ย โถ่!
“ทำไมผมต้องไปญาติดีกับเจ้าบ้านี่ล่ะครับ!” ลูซเท้าเอวมองไปยังพี่สาวของตนที่ดูเหมือนจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
“หึหึ ผมกับท่านลูซไม่ถูกกันอยู่แล้วน่ะครับ” มือเรียวยาวปิดไปที่ปากของตนเองในขณะที่หัวเราะท่าทางของเอเกิลนั้นดูสำรวมเป็นอย่างมาก ทำเอาควีนเองเห็นแล้วก็รู้สึกว่าว่าเอเกิลนั้นดูเป็นกุลสตรีมากกว่าตัวเธอเสียอีก
“งั้นหรอกเหรอ?” ควีนมองทั้งสองคนสลับกันไปมา
ดูแตกต่างกันเหมือนน้ำกับไฟเลย พวกเขาจะโกหกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กันนะ ไม่สิเหมือนลูซจะรักเอเกิลข้างเดียวหรือเปล่านะ เอเกิลเองดูไม่ค่อยสนใจลูซเลย จะช่วยพวกเขายังไงดีนะ ความรักนี่เป็นอะไรที่เข้าใจเสียจริง!
“ท่านลูเซียนเป็นเจ้าชายนอกสมรสของกษัตริย์ฟรีดราช่าครับ” เอเกิลที่เห็นท่าทางของเด็กสาวที่ครุ่นคิดบางอย่างจึงเอ่ยเล่าเรื่องออกไปเพื่อให้เธอหันมาสนใจที่ตัวเขา ลูซจึงหันไปมองเอเกิลด้วยท่าทางหงุดหงิดทันที ท่าทางสำรวมจอมปลอมของเอเกิลนั้นทำให้ลูซหัวเสียอยู่ไม่น้อยเลย
“เขาเป็นคนที่น่ากลัวจนใครก็ไม่อยากจะเข้าใกล้เท่าไหร่ แต่ก็เป็นขวัญใจของสาวๆ ที่ได้เห็นเพราะเป็นคนที่รูปงามมากครับ” เอเกิลอธิบายให้เด็กสาว ฟังด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยนที่น่าฟังของเขา
“แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องนิสัยที่ทั้งเจ้าเล่ห์ แล้วความเอาแต่ใจ ที่อยากได้อะไรก็ต้องได้แล้วนั้นเลวร้ายไม่ต่างกับเจ้าหญิงสการ์เลทที่เป็นพันธมิตรของอาณาจักรเราเลยล่ะ” ลูซที่เห็นว่าเอเกิลจะพูดแค่นั้น จึงพูดเสริมบทต่อเพื่อให้เห็นถึงความเลวร้ายว่าไม่อยากให้พี่สาวของตัวเองไปยุ่งกับเจ้าชายลูเซียนคนนั้น ที่แท้ก็เพราะเป็นห่วงสินะ ถึงได้ไม่อยากให้เอเกิลเล่าเรื่องนี้
“ถึงหน้าตาของเจ้าชายลูเซียนจะรูปงามแค่ไหนก็ตาม แต่นิสัยแบบนั้นผมไม่ให้พี่ไปยุ่งด้วยหรอกนะครับมันอันตรายเกินไปทั้งต่อตัวพี่และตระกูลโรสฮาร์ทของเรา”
“ถ้าเกิดพี่ไม่ตามใจเขามากพอล่ะก็ ตระกูลขอเราจบสิ้นแล้วถูกเนรเทศออกไปเลยก็ได้นะครับ!” ควีนถึงกับตกใจเมื่อได้ยินเรื่องเนรเทศ ถ้าเป็นเธอคนเดียวถูกเนรเทศก็ว่าแย่แล้วแต่นี่ทั้งตระกูลเลยงั้นเหรอ เจ้าชายคนนี้อันตรายเกินไปสำหรับเธอแล้ว!
“เราควรรีบกลับกันได้แล้วล่ะครับ จวนได้เวลาที่แม่จะกลับมาที่บ้านแล้วด้วย” ลูซรีบพูดตัดบทสนทนาเรื่องเจ้าชายลูเซียนแล้วคว้ามือของพี่สาวเดินไปที่ประตูทางที่พวกเขาเดินเข้ามาในวิหารทันที
“เอ๊ะ!? แต่ว่าพี่ยังมีเรื่องอยากคุยกับเอเกิล...” ควีนที่ยังพูดไม่จบก็ถูกลูซพูดตัดบทเสียก่อน
“ไม่มีแต่ครับ ไม่งั้นเรื่องพี่ปีนต้นไม้ผมจะเอาไปพูดกับแม่นะครับ!” คีนสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าน้องชายตัวแสบขู่เธอ
“นี่นายกล้าขู่พี่เหรอลูซ!” ควีนรีบหันมาเอ็ดลูซด้วยท่าทีไม่ชอบใจในสิ่งที่ลูซพูดทันที ทำไมเขาต้องทำท่าทีหงุดหงิดอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเนี่ย ลูซไม่ได้พูดอะไรตอบกลับแบบนั้นทำเอาเธอได้แต่ถอนหายใจแล้วหันไปโบกมือลาเอเกิลที่ยืนส่งยิ้มให้เธอพลางโบกมือลากลับ
“ขอโทษแทนลูซด้วยนะเอเกิล!”
“ไว้เจอกันใหม่นะครับ” สิ้นสุดเสียงของเอเกิลประตูบานใหญ่ก็ปิดลงเสียงดังโครมไปทั่ววิหาร
“ให้ตายสิลูซ ทำไมทำแบบนั้นล่ะนั่นมันไม่ดีเลยนะ” ควีนหันมาถามลูซทันทีที่ทั้งสองเดินออกมานอกวิหาร ก่อนที่ลูซจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วมองไปที่พี่สาวด้วยสีหน้าหงอยเล็กน้อย
“ขอโทษครับ แต่ผมไม่ชอบที่พี่ไปสนิทกับหมอนั่น” เขาพูดด้วยท่าทีที่ดูหงอยลง ทำเอาอารมณ์หงุดหงิดของเธอนั้นจางหายไปในทันที ที่แท้เขาแค่ไม่ชอบให้ฉันเข้าใกล้เอเกิลสินะ
“นาย...นายคงหวงเอเกิลสินะ”
“หา!?” เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่สาวตัวเองพูดเขาจึงรีบเงยหน้ามามองพี่สาวตัวเองทันที ควีนมองไปที่น้องชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะตบไปที่บ่าของน้องชายเบาๆ
“คราวหน้าพี่จะระวังตัวนะ! เพราะงั้นรักแรกของนายพี่จะสนับสนุนเต็มที่!” ควีนส่งยิ้มที่ดูสดใสออกไปให้ลูซก่อนที่จะหมุนตัวเดินแยกออกไปอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับฮัมเพลงและดีดนิ้วเต้นไปมาอยู่แบบนั้น ลูซหันมองไปตามร่างเล็กที่ขยับร่างกายไปมา พลางคิดถึงสิ่งที่พี่สาวของตนพูดก่อนหน้านี้
“หวงเอเกิล...มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ!” เขาที่คิดได้ว่าสิ่งที่พี่สาวของตนหมายถึงอะไรนั้นก็รีบวิ่งตามพี่สาวตัวเองเพื่ออธิบายสิ่งที่พี่สาวเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเขาในทันทีทันใด
แต่นั่นก็สายเกินไปสำหรับคำอธิบายที่ควีนนั้นได้เชื่อสนิทใจไปเสียแล้วแล้วว่าลูซนั้นมีรักแรกคือเอเกิล และเธอคงสนับสนุนลูซเต็มที่ ถึงลูซจะปฏิเสธบอกปัดอย่างไรก็ตามที
-To be continued -
ความคิดเห็น