คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เปลี่ยนไป
“พี่ครับ...”
เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์นั่งมองพี่สาวของตนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงมาหนึ่งเดือน
อย่างอดห่วงไม่ได้ มือเรียวยาว กุมมือของเด็กสาวที่ไม่ได้สติเอาไว้ เขาบีบมันเบาๆ
ใบหน้าของเด็กหนุ่มค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง
น้ำสีใสหยดไหลลงมาอาบแก้มนั่นไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน
“ตื่นขึ้นมาเถอะครับ...ผมขอล่ะ...”
เด็กหนุ่มบีบมือพี่สาวตัวเองอย่างเบามือ ก้มหน้าลงพยายามหยุดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของตนเอง
แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้เลย
ร่างของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อจู่
ๆ รู้สึกได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นใกล้เธอ เสียงรบกวนอันแสนน่ารำคาญหูทำให้เธอค่อยๆ
ลืมตาขึ้นมาดู สายตาของเธอมองขึ้นไปบนเพดานที่มีลวดลายบางอย่างที่ถูกสลักอย่างสวยงามสีทองดูหรูหรา
“อ่า...นี่โรงพยาบาลเหรอ...ยังดีที่ยัยพวกนั้นรับผิดชอบพาฉันส่งโรงพยาบาลนะเนี่ย...”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา
เบิกตากว้างพร้อมกับลุกยืนขึ้นในทันทีที่เห็นพี่สาวของเขาฟื้นคืนสติขึ้นมา
ส่วนเด็กสาวเมื่อลืมตาตื่นขึ้นที่ก็ค่อยๆ
มองสำรวจห้องที่ตนเองนอนอยู่อย่างสนอกสนใจ
“พะ...พี่ครับ”
เขาตัดสินใจเรียกพี่สาวตรงหน้าและมองอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเองเมื่อเห็น
พี่สาวของตนเองที่จู่ ๆ ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา แถมยังดูเหมือนไม่มีอาการใดๆ
เหมือนกับหนึ่งเดือนที่ผ่านมาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแค่ความฝัน
“นายเป็นใครเนี่ย!?
แล้วเข้ามาในห้องของฉันได้ยังไงหา?!” เธอหันไปมองตามเสียงเรียกที่ดูไม่คุ้นหู
ก่อนที่จะรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับชี้หน้าเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์ตรงหน้าของเธอ
ใบหน้าที่เรียวเล็ก
ผิวขาวอมชมพู ดวงตาสีอำพันกลมโต ผมสีบลอนด์ทองและการแต่งตัวที่ดูมีฐานะเอามากๆ
ทำเอาเธอตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง หน้าตาของเขาหวานและน่ารักมาก
เท่าที่จำได้คนในครอบครัวและเครือญาติของเธอไม่มีใครหน้าตาดูดีแบบนี้สักคน
แถมการแต่งตัวที่ดูหรูหราหมาเห่านี่อีก
“ผมลูซไงครับ
พี่ควีน” เด็กหนุ่มชี้ไปที่ตัวเองพร้อมกับทำหน้าตาที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
ทำเอาเด็กหนุ่มทำหน้ากลืนไม่เข้าคายออกไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เด็กน้อยตรงหน้าพูด
ถึงจะไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่แต่หน้าตาแบบนี้จะพิจารณาเอาไว้เป็นพิเศษก็แล้วกัน
คิดได้เช่นนั้นเธอก็ถอนหายใจแล้วมองไปที่เด็กหนุ่มหน้าหวานคนนั้น ใบหน้าเรียวเล็กกับหน้าหวานๆ
นั่นทำให้เธอเองประทับใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้จริงๆ
ไม่อยากจะเชื่อ แต่เธอก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ
“ฉันว่านายจำผิดคนแล้วละนะ
ฉันชื่อเบล”
“....”
เด็กชายตรงหน้าไม่ได้พูดอะไร
แต่เขายังยืนรอเหมือนราวกับว่าต้องการฟังสิ่งที่เด็กสาวที่อยู่บนที่นอนนั่นพูดมันต่อ
“ฉันเป็นลูกคนเดียวแล้วจำไม่ได้ด้วยว่าญาติฝ่ายไหนของฉันจะมีลูกอายุน้อยกว่าฉัน”
เด็กสาวตอบไปด้วยสีหน้าที่มาดมั่นของตนเอง แล้วหันไปสำรวจห้องต่อด้วยความสนอกสนใจ
เพราะมันดูแตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไปที่เคยเห็นมา เหมือนกับโรงแรมสุดหรูหรืออย่างกับห้องนอนคุณหนูในละครหลังข่าวแบบนั้นเสียมากกว่าจะเป็นโรงพยาบาลซะอีก
เด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ
เขามีสีหน้าที่เคร่งเครียดเหมือนคิดอะไรสักอย่างแล้วเดินดุ่ม ๆ
ออกไปหน้าห้องอย่างร้อนรน
ปัง!!
เด็กสาวสะดุ้งโหยงตกใจกับเสียงประตูที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
นี่เราไปทำให้เด็กหนุ่มหน้ามนโกรธเข้ารึเปล่านะ
แต่มันไม่ใช่ความผิดของเธอนี่น่า..ก็เขาเข้ามาผิดห้องเอง ช่วยไม่ได้แหละนะ
“ว่าแต่นี่ไม่ใช่ฝันใช่มั้ยเนี่ย”
เด็กสาวจับไปที่แขนข้างขวาของตนเองก่อนที่จะหยิกมันแรงๆ
“อ่ะ!
เจ็บจริงแห๊ะ...”
“อืม...นอนในห้องหรูหราแบบนี้
ยัยพวกนั้นแสดงความรับผิดชอบได้ดีนะเนี่ย...” เธอค่อยๆ
เดินลุกออกจากเตียงไปดูนอกระเบียงหน้าต่าง
วิวทิวทัศน์ที่เห็นทำเอาเธอตกตะลึงถึงกับอ้าปากค้าง
ทางเดินขนาดกว้างล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา
มองไปข้างซ้ายก็เห็นลานซ้อมอะไรสักอย่างขนาดใหญ่ มองไปทางด้านขวาก็เห็นเป็นตึกที่ออกแบบสไตล์ยุโรปสีขาว
พอมองไปยังข้างล่างก็เห็นผู้คนที่แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำสนิทกำลังเดินกันเป็นกลุ่มๆ
อย่างกับกำลังตรวจตราอยู่ พอมองดูแล้วอย่างกับหนังมาเฟียที่เธอเคยดูมาก่อน
“นั่นมันคุณหนูควีนนิ!”
“คุณหนูฟะ...ฟื้นแล้วเหรอ!”
“คุณหนูควีนครับ!”
เด็กสาวมองไปที่บุรุษในชุดสูทสีดำที่โบกมือมาทางเธอด้วยความรู้สึกปลื้มปีติยินดี
ทำเอาเธอที่ยืนอยู่หน้าระเบียงห้อง ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
ด้วยความรู้สึกงงงวยกับสิ่งที่พวกเขาทำ
“อะ...โอ้!
ตั้งแต่ที่หัวกระแทกประตูฉันดังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
เธอได้แต่เก็บความสงสัยนั่นเอาไว้แล้วโบกมือกลับไปให้พวกหนุ่มๆ ในสูทสีดำ
ก่อนที่พวกเขาก้มหัวโค้งให้แล้วเดินจากไปได้แต่มอบคำถามไว้ในหัวของเด็กสาวที่ยืนงงอยู่ตรงระเบียงห้องนอนของเธอ
กลับมาทางด้านของเด็กชายที่เดินอย่างร้อนรนออกไปนอกห้องนอนด้วยความไม่สบายใจ
เขารีบหันไปสั่งพ่อบ้านที่กำลังเดินตรงมาหาเขา
“พ่อบ้านวิลไปตามหมอมาด่วนเลยนะ
ผมจะไปตามคุณพ่อกับคุณแม่เอง”
“ครับคุณหนู”
พ่อบ้านพยักหน้ารับคำสั่งแล้วรีบรุดเดินออกไป
ตามที่เขาได้รับคำสั่งมาจากคุณหนูของเขา
“คุณหนูควีนเป็นอะไรไปคะ
คุณหนูลูซ?” สาวรับใช้คนหนึ่ง
เดินมาด้วยสีหน้ากังวลใจแล้วเอ่ยถามเด็กหนุ่มออกไป
เมื่อสังเกตเห็นลูซที่เดินออกมานอกห้องด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล
“พี่ควีนฟื้นแล้วครับ
แต่...เหมือนที่จะจำอะไรไม่ได้...”
“คุณหนูควีนของป้า....”
“ผมฝากดูแลเธอหน่อยนะครับ
ผมจะไปตามคุณพ่อกับคุณแม่ก่อน”
เด็กหนุ่มพูดเช่นนั้นก็รีบวิ่งตรงออกไปยังบริเวณโถงทางเดินอย่างเร่งรีบ
ในใจของลูซตอนนี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
เขาร้อนรนไปหมด เมื่อเห็นการกระทำที่ดูแปลกประหลาด
และคำพูดที่ดูเหมือนไม่ใช่พี่สาวของเขามันเหมือนกับว่าเธอคนนี้ไม่ใช่พี่สาวที่เขาเคยรู้จัก
เขารู้สึกเจ็บใจเมื่อเห็นอาการของพี่สาวเป็นแบบนั้น
ลูซกำหมัดนั่นด้วยความแค้นอยู่เต็มอกที่ทำอะไรกับคนที่ทำกับเธอแบบนี้ไม่ได้เลยสักนิด
“รอก่อนนะครับพี่...”
สาวรับใช้รับคำสั่งเสร็จมือก็กุมไปที่อก
เพราะทั้งโล่งอกที่คุณหนูของเธอปลอดภัยและเริ่มกังวลใจเมื่อได้ยินคำพูดของลูซที่ดูร้อนรน
เธอมองไปที่ประตูไม้บานใหญ่ จัดการเคาะมันแล้วค่อยๆ เปิดเข้าไปอย่างเงียบๆ
“โรงพยาบาลที่นี่ดูแปลกชะมัด
แต่ก็ดูหรูไม่เบาค่ารักษาน่าจะแพงมากนะเนี่ย...”
สาวรับใช้ตรงหน้าถึงชะงักข้างกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เธอถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าเดินสำรวจห้อง
“คุณหนู...”
คุณหนูที่เธอรักและห่วงใยตรงหน้าที่นอนหลับใหลไม่ได้สติมาเป็นหนึ่งเดือนเต็ม
ไม่มีท่าทีที่จะฟื้น กลับตื่นขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเธอ
เหมือนว่าเรื่องก่อนหน้านี้ที่เธอป่วยนั้นไม่ใช่ความจริง
“เย้ยยยย!
...มาทำความสะอาดเหรอคะ?” เด็กสาวอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้หญิงอายุประมาณราว
ๆ สี่สิบกว่าปี เดินเข้ามาในห้องของเธอ
ก่อนจะตัดสินใจถามคำถามกับสาวรับใช้คนนั้นออกไปด้วยความสงสัย
เพราะการแต่งตัวนั้นเหมือนอย่างกับชุดแม่บ้านสไตล์อังกฤษ ชุดกระโปรงสีดำยาว
กับผ้ากันเปื้อนสีขาว
“ค่ะ!
ฉันมาทำความสะอาดค่ะคุณหนู” สาวรับใช้ตอบด้วยสีหน้าที่ดูดีใจเอาเสียมากๆ
จนน้ำตาของเธอไหลลงมาอาบบนแก้มของเธอเอง
เด็กสาวมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่
เพราะเธอเองก็จำไม่ได้ว่าไปมีสาวใช้ตอนไหน แถมยังมาเรียกเธอว่า คุณหนูอีก
“โรงพยาบาลนี้...มีแต่คนปะ...แปลก...”
ไม่ทันที่จะพูดจบประโยคเด็กสาวตรงหน้าก็สังเกตเห็นบางอย่างตรงมุมห้องที่ทำเอาเธอถึงกลับพูดไม่ออก
“มะ...ไม่จริง...นี่มัน...”
เด็กสาวค่อยก้าวเท้าเดินตรงไปที่เงาสะท้อนของตนเองตรงมุมห้อง
และแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นจากเงาในกระจก
“คุณหนู?” เธอเดินผ่านสาวรับใช้ไป เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกบานหนึ่งตรงมุมห้อง
มือเรียวเล็กค่อยๆ จับไปที่บนหน้าของตนเอง อย่างไม่เชื่อสายตาที่เห็นในกระจก
“นี่...ไม่ใช่ร่างของฉัน”
เธอพูดออกมาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง มือเล็กนั่นค่อยๆ กำมันอย่างสั่นๆ
เธอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็นไปในกระจกนั่น แต่สิ่งนี้บ่งบอกได้ว่า
ร่างของเบลนั้นได้ตายไปแล้ว ไม่สิ...เราอาจจะสลับร่างกับเด็กสาวคนนี้ก็ได้นี่นา
“คะ...ควีน...สินะ”
“คะ?
คุณหนู?” สาวรับใช้เอ่ยถามคุณหนูตรงหน้าอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ
มาจากคุณหนูของเธอ
ตอนแรกก็คิดว่าฝันที่ได้เข้ามารักษาตัวอยู่ในห้องหรูหราแบบนี้เสีย
แต่พอเห็นร่างที่ไม่ใช้ร่างตัวเองในกระจกแล้ว
คงต้องทำใจในเรื่องนั้นไปก่อน...เราอาจจะยังไม่ตายแต่แค่มาอยู่ในร่างนี้ก็ได้ใครจะไปรู้กันล่ะ
ตอนนี้คงต้องรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ก่อน
เธอก็สำรวจร่างกายตัวเองในกระจกอย่าเงียบๆ
สักพัก ส่วนสาวใช้ก็ได้แต่มองคุณหนูของตัวเองที่ดูทำตัวแปลกๆ ไปอย่างงงๆ
“แต่แหม่...ร่างนี้ก็เจ๋งดีนะเนี่ยสวยแบบไม่มีอะไรมากั้นซะจริง!”
เธอโพสท่าอยู่ตรงหน้ากระจกเหมือนตัวเองเป็นนางแบบ ก่อนจะหมุนตัวซ้ายขวา บิดไปบิดมาในชุดกระโปรงสีขาว
ผิวขาวอมชมพู
ดวงตาที่ดูราวกับอัญมณีสีแดง ปากที่ดูอวบอิ่มกับแก้มสีชมพูที่ดูมีเลือดฝานนี่อีก
ผมยาวตรงเงางามสีน้ำเงินเข้ม ดูไปอย่างกับพวกตัวเอกในนิยาย
“คุณป้าคะ...ตื่นมาแล้วฉันสวยขนาดนี้เลยเหรอคะ??”
เธอชี้ไปที่ตัวเองแล้วหันตัวไปถามคุณป้าสาวใช้ที่อยู่อยู่ข้างหลังเธอ
“คุณหนูของป้าก็สวยทุกวันอยู่แล้วนะคะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มให้
ถึงจะถามเพื่อความแน่ใจแต่พอโดนคนอื่นชมแบบนี้เธอเองก็รู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย
ปัง!!
“ควีนลูกพ่อ!!!”
ประตูถูกเปิดออกอย่าแรงก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะพุ่งตัวเข้ามากอดเธอ
จนเด็กสาวที่ยืนส่องกระจกอยู่นั้นไม่ได้ตั้งตัว
ควีนที่ถูกกอดให้กระชับแนบกับอ้อมอกทำเอาเธอหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที
ทำเอาเธอทำตัวไม่ถูกเมื่อได้อยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อที่พึ่งเคยเจอกันในครั้งแรก
“ฮึก...ฮือออ
ลูกรัก! ลูกจำน้องไม่งั้นเหรอ?”
“พ่อขอโทษที่ปกป้องลูกไม่ได้นะ...ฮึก...”
“ความทรงจำของลูกโถ่...ฮืออออ”
เป็นพ่อพูดทั้งน้ำตา ทั้ง ๆ
ที่ตัวเองก็สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำแต่ก็พ่นคำพูดที่อัดอั้นตันใจนั้นออกมาไม่หยุดเมื่อได้เห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเองฟื้นขึ้นมา
ควีนได้แต่ฟังคำพูดกลับไปกลับมาของคุณพ่อ
เธอควรจะตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะหรือฟังคุณพ่อคนนี้เงียบๆในอ้อมกอดแสนจะอบอุ่นนี้ก่อนดีนะ
ผู้เป็นแม่ที่ตามมาทีหลังก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอากับสามีของตนเองที่ขี้แยอย่างกับเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวของตนเอง
สายตาของผู้เป็นแม่ที่ได้เห็นลูกสาวตื่นขึ้นมาก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกแต่ ก็ไม่อาจทำกิริยาเหมือนดั่งสามีที่ทำอยู่นั้นได้
“คงจะรู้สึกแย่สักหน่อยที่ควีนจำอะไรไม่ได้...แต่ก็ดีแล้วนะที่พี่เค้าฟื้นขึ้นมา”
ผู้เป็นแม่หันไปพูดกับลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ
ก่อนที่มือของผู้เป็นแม่จะวางอยู่บนหัวของลูกชายแล้วลูบหัวของเขา เหมือนเป็นการปลอบประโลม
“จากนี้ไปผมจะดูแลพี่ให้ดีที่สุดครับ”
คุณนายโรสฮาร์ทที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ลูกชายของตัวเองพูด
หลังจากที่ลูซอายุได้ห้าขวบเธอและสามีนั้น
ได้อุปการะควีนมากะทันหันเพราะเหตุจำเป็นบางอย่าง
ลูซนั้นเขายอมรับได้ในเรื่องมีพี่สาว
แต่เขานั้นก็เย็นชาและดูไม่ได้สนใจควีนเลยสักนิด...จนเกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเขาก็เปลี่ยนไปจนเธอแปลกใจไม่น้อยเลยจริงๆ
“อ๊าก!!!
ปล่อยนะคะ!!”
โครม!
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาคุณนายโรสฮาร์ทและลูซหันไปมองเหตุการณ์ในห้องทันที
สิ่งที่เธอเห็นทำเอาเธอตกใจมือข้างหนึ่งกุมไปที่หน้าอก
ภาพที่เห็นคือสามีของตนนอนสลบกองอยู่กับพื้น
ส่วนลูกสาวของตนได้แต่มองไปที่มือของตัวเองที่มีแสงอะไรสักอย่างสักอย่างส่องสว่างไปที่มือ
ถึงจะหน้าตกใจที่จู่ ๆ ลูกสาวของตัวเองก็มีพลังผลักสามีให้กระเด็นไปไกลขนาดนั้นได้
แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมองอยู่เฉยๆ
พอคิดแบบนั้นคุณนายโรสฮาร์ทก็รีบวิ่งไปหาสามีของตนเองทันที
ลูซที่มองดูการณ์นั้นก็เข้าใจสถานการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที
ไม่แปลกใจที่พ่อจะโดนผลักกระเด็นแบบนั้นถ้าเขาโดนพ่อตัวเองกอดแบบนั้นก็คงทำแบบพี่สาวของตัวเองเช่นกัน
ลูซเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ พี่สาวก่อนจะมองไปที่คุณพ่อที่นอนสลบไสลอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหันไปมองควีนที่ดูทำหน้าอ้ำอึ้งกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป
“ตายแล้ว!”
“คุณท่านคะ!!”
“จริงๆ
แล้วพี่น่าจะปล่อยเวทใส่พ่อแบบนี้ตั้งนานแล้วนะ”
ควีนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งทำให้เธอผงะไปอีกหนึ่งวินาที
เธอควรจะตกใจที่ตัวเองมีพลังเวทหรือตกใจที่เผลอปล่อยพลังเวทใส่พ่อบุญธรรมของตัวเองก่อนดีนะ
“คุณหมอมาแล้วครับคุณหนู...”
“กะ...เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับเนี่ย?” พ่อบ้านที่ยืนอยู่ต้องหน้าห้องพร้อมกับคุณหมอที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นต่างทำสีหน้าตกใจกับภาพตรงหน้าที่เห็น
“พ่อทำตัวน่ารำคาญจนพี่ปล่อยพลังเวทใส่น่ะ
เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ” พ่อบ้านได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่สามารถตอบสิ่งที่ลูซพูดเมื่อครู่ได้
ถ้ายังไม่อยากได้งานใหม่ในตอนนี้ก็ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆแทนคำพูดแทน
“พ่อบ้านวิล
มาช่วยฉันพยุงคุณท่านที”
เสียงสาวใช้เอ่ยเรียกคุณพ่อบ้านวิลก่อนที่คุณพ่อบ้านจะเดินผ่านหน้าควีนและลูซไปช่วยกันพยุงคุณท่านที่สลบไสลออกจากห้องไป
“ลูกทั้งสองคนพักผ่อนที่ที่ห้องไปก่อนนะ
ถ้าหมอตรวจพ่อเสร็จเมื่อไหร่ เราจะได้ตรวจลูกกันว่าร่างกายเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
คุณนายโรสฮาร์ทพูดจบก็ลูบหัวเด็กๆ ทั้งสองคนแล้วเดินออกจากห้องนอนไป
ควีนเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าโลกนี้มีเวทมนตร์จริงๆ
ตั้งแต่เกิดมาเธอก็คิดว่ามันมีแค่ในนิยายซะอีกแต่มันมีจริงๆ โลกแห่งเวทมนตร์
มาอยู่ในร่างนี้ก็คงไม่ได้แย่อย่างที่คิดล่ะมั้งนะ อาจจะทำอะไรง่ายขึ้น
แล้วเราอาจจะหาสาเหตุที่มาอยู่ในร่างเจอก็ได้
ยังไงตอนนี้ตัวเธอเองก็ต้องรีบแก้สถานการณ์เสียก่อน
ในเมื่อรู้แล้วว่าหญิงสาวที่เดินออกไปนั้นคือคุณแม่ และคนขี้แยหน้าตาดีที่ดูติดลูกสาวนั้นคือพ่อของเธอแล้ว
ต่อจากนี้เธอเองคงต้องหาข้อมูลในหลายๆ
เรื่องเพื่อใช้ชีวิตในร่างโดยที่คนอื่นจะไม่สงสัยให้ได้!
เพราะเหตุการณ์หัวกระแทกขอบประตู
ทำให้เด็กสาวอายุสิบแปดปี ตื่นขึ้นมาก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในร่างของเด็กสาวอายุ 15 ปี ที่มีนามว่า ควีน โรสฮารท์
ลูกสาวบุญธรรมหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลสุดร่ำรวยอันดับต้นๆ ในอาณาจักรที่ใครๆ
ก็ต่างชื่นชมและเอ็นดู
แถมยังมีเวทมนตร์ที่ในชีวิตไม่อยากจะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงนั้น
มันเกิดมีขึ้นมาจริงๆ และนี่ก็คือเรื่องราวการใช้ชีวิตต่างโลก และชื่อใหม่ของฉันก็คือ
ควีน โรสฮารท์
หลังจากนั้นหลายวันต่อมา
ควีนจึงพยายามหาข้อมูลต่างๆ
แต่ก็แทบไม่อยากจะเชื่อกับข้อมูลในหนังสือที่เธอนั้นได้อ่านมัน
เพราะตั้งแต่ที่เธอเรียนมาและเติบโตมานั้นไม่เคยได้ยินชื่อประเทศ แอนนอทรีย์
อาณาจักรที่ปกครองโดย กษัตริย์ฟรีดราช่า คลาดิเบลล์ แอนนอทรีย์ เลยสักนิดเดียว
แถมยังมีเรื่องเวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตอีก
“เวทมนตร์งั้นเหรอ...ฉันเองจะมีเวทมนตร์แบบไหนกันนะ”
หญิงสาวมองไปยังทุ่งดอกไม้กว้างขนาดใหญ่ พลางวางหนังสือเล่มหนาปึกไว้ข้างกาย
แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ในตัวเราจะมีเวทมนตร์ประจำตัวของแต่ละคน...ซึ่งมันจะแตกต่างกัน
เวทมนตร์ประจำตัวนั้นจะเริ่มแสดงพลังออกมาก็ตอนอายุ10 ปีและช้าที่สุดที่อายุ 15
ปี
ซึ่งเราเองก็ลองเรียกเวทมนตร์ออกมาแล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะอะไรออกมาเลยสักนิด
“พลังเวทของพี่อ่อนเกินไปจนไม่สามารถรู้ความสามารถของเวทมนตร์ประจำตัวได้เลยครับ”
ควีนถึงกับสะดุ้งตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
พอหันกลับไปทางต้นเสียงก็พบกับลูซที่นั่งห้อยหัวจากไม้กวาดคู่ใจของเขาอยู่ข้างๆ
ตัวเธอ
“เย้ย!
ตกใจหมดลูซ! มาแบบให้สุ้มให้เสียงหน่อยเถอะ!” ควีนหันไปดุน้องชายของตน
ที่กำลังหัวเราะชอบใจก่อนจะกระโดดลงจากไม้กวาดแล้วเรียกให้มันกลับมาอยู่ในมือของเขาอย่างง่ายดาย
ควีนที่มองท่าทางที่ดูคล่องแคล่วนั้นก็รู้สึกหมั่นไส้น้องชายของเขาแปลกๆ
มันเท่เสียจนเธออยากลองทำแบบนั้นได้บ้างแต่พ่อกับแม่ไม่อนุญาตเพราะร่างกายของเธอนั้นพึ่งฟื้นตัว
“ได้แกล้งพี่สาวที่ไม่เคยแกล้งมันสนุกดีนะครับ
ผมดีใจนะที่พี่เปลี่ยนไปนะครับ” ควีนที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆ
กลับไปให้
ถ้าเกิดควีนตัวจริงมาได้ยินเข้าจะคิดยังไงเนี่ย...ที่น้องชายตัวเองพูดแบบนี้
เธอไม่ชอบที่ต้องมาโกหกแบบนี้เลยจริงๆ มันทำให้เธอรู้สึกแย่เอามากๆ
“ไม่รู้สิครับ
ตั้งแต่ที่โตด้วยกันมาพลังเวทพี่ก็โคตรอ่อนเลย”
ควีนที่ได้ยินแบบนั้นก็อยากจะกระโดดกัดหูน้องชายของเขาสักทีส่วนลูซที่เห็นสีหน้าควีนที่ดูหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์
แบบนั้นก็เดินมานั่งข้างพี่สาวของตนเอง
“นี่หลอกด่ารึไง”
ควีนจ้องเขม็งไปที่น้องชาย ก่อนที่เขาจะโบกมือปัดๆ เพื่อเป็นการปฏิเสธ
“เปล่าสักหน่อย...แต่พลังเวทของพี่อ่อนจริงๆ
นะ อ่อนจนขี่ไม้กวาดไม่ได้เลยด้วย แม้แต่ควบคุมใบไม้ใบเดียวก็ยังทำไม่ได้”
ควีนที่ได้ยินแบบนั้นก็เท่าเอาหมดหวังที่จะรู้ความสามารถของตนเอง
มาอยู่ในโลกที่มีเวทมนตร์แต่กลับมีพลังเวทอ่อนแบบนี้นี่นะ
มันต่างกับคนธรรมดาตรงไหนกันเนี่ย
ลูซที่สังเกตเห็นหน้าพี่สาวของตนที่ดูหงอยแบบนั้น
ก็อดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“แต่หลังจากที่พี่ฟื้นขึ้นมาผมว่าพี่ขี่ไม้กวาดได้นะ”
ลูซพูดเช่นนั้น ควีนก็หันขวับกลับมามองน้องชายของเขาอย่างสนอกสนใจ
เท่าเอาลูซเองอมยิ้มที่เห็นพี่สาวตนเองเปลี่ยนไป
เธอดูน่ารักขึ้นมากขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวกันนะ
ทั้งๆ ที่เขาก็อยู่กลับเธอมานานแท้ๆ
“จริงดิ?”
“ถึงกับผลักพ่อกระเด็นขนาดนั้นได้...ผมว่ามันก็ไม่แน่หรอกนะครับ”
“หยุดพูดจากวนประสาทจะได้มั้ยห้ะ? สรุปมันได้หรือไม่ได้กันแน่” ควีนทำหน้ามุ่ยอีกครั้งเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องชายของเธอพูด
มือเล็กๆ ก็ดึงไปที่หูของลูซอย่างหมั่นไส้
“โอ้ยๆ
เจ็บนะครับ!” ลูซรีบแกะมือขอพี่สาวตนเองที่ดึงหูของเขาอยู่
ก่อนที่ควีนจะพึงพอใจกับสีหน้าเหยเกของลูซแล้วปล่อยเจ้าหูเล็กๆ ของลูซให้เป็นอิสระ
“ได้ครับได้!...เจ็บชะมัด”
“ปกติคนพูดจากวนประสาทแค่ไหนพี่ไม่เห็นจะใช้กำลังเลยนิครับ”
ลูซพูดพลางลูบไปที่หูของตัวเองบรรเทาความเจ็บปวดจากสิ่งที่พี่สาวประทานให้มาเมื่อสักครู่
“ตื่นมาแล้วกลายเป็นคุณหนูสาวสวยสุดแซ่บน่ะ
จนกลายเป็นแบบนี้ไง?” พูดจบควีนก็ลุกขึ้นโพสท่าอย่างกับนางแบบ
ทำเอาลูซมองมาที่เธออย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่พี่สาวตัวเองทำ
สิ่งที่เคยเห็นเมื่อก่อนคือเขาแค่ฝันไปหรือยังไงกันนะ
พี่สาวเขาเมื่อก่อนน่ะเป็นคนที่อ่อนโยน สุภาพ เรียบร้อย ใจดีเป็นมิตรกับทุกคน
เชื่อฟังคุณพ่อกับคุณแม่แถมยังเรียนเก่งสุดๆ แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้านี้
มันราวกับคนล่ะคนอย่างนั้นแหละ...
“สาวสุดเตี้ยเถอะครับ
158 ไม่ใช่ส่วนสูงของนางแบบนะครับ 170 ต่างหากล่ะ”
ลูซส่ายหัวเอือมๆ กับสิ่งที่พี่สาวตัวเองทำ ก่อนที่เธอจะยืนเท้าเอวแล้วมองไปที่ลูซ
“ถ้าฉันควบคุมเวทมนตร์ได้ตอนนี้
นายจะได้ลงไปนอนกับพื้นอยู่ตรงนั้นแน่ ๆ” พูดจบเธอก็ชี้ไปตรงทุ่งดอกไม้ที่ห่างจากตรงนี้ไปสิบกว่าเมตรได้
ควีนคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินเรื่องส่วนสูงที่ลูซเปรียบเทียบขึ้น
ทำเอาเธออยากจะตะบันหน้าน้องชายคนนี้เสียจริง เรื่องอื่นมันพูดได้ยกเว้นเรื่องส่วนสูงและน้ำหนักของผู้หญิงนะ!
“ก่อนที่พี่จะตะบันหน้าผมด้วยเวท...พี่ต้องรู้เวทประจำตัวพี่ก่อนนะครับ”
ลูซพูดจบก็ลุกขึ้นยืนพลางจับไม้กวาดตัวเองวางไว้เป็นทางแนวราบ
ก่อนที่เขาจะขึ้นควบไม้กวาดของตนเองด้วยท่าทางคล่องตัว
จนควีนเห็นกี่ครั้งก็อดอิจฉาไม่ได้เลย
พอสังเกตลูซดูจริงจังแล้วเขาก็หน้าตาดีไม่น้อยเลยล่ะ
ร่างสูงโปร่ง ประมาณ 180 แถมกล้ามเนื้อใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตานั่นอีก
น้องชายคนนี้คงฮ็อตในหมู่สาวๆ ไม่น้อยเลยแน่ ๆ
“ขึ้นมาสิครับ”
ควีนที่กำลังมองน้องชายของตัวเองด้วยความรู้สึกปลื้มใจ
ก่อนต้องสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้น้องชายของตัวเอง
“แล้วเราจะไปไหนกันเหรอ?”
“วิหารเทพธิดาแห่งแสงครับ”
และด้วยเหตุนั้นลูซและควีน
พี่น้องของตระกูลโรสฮาร์ทจึงได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง วิหารเทพธิดาแห่งแสง
เพื่อคลายความสงสัยเรื่องเวทมนตร์ประจำตัวของควีนนั่นเอง
-To be continue
ความคิดเห็น