ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เล่มที่๔ : บันทึกที่ถูกหมางเมิน...
“ประวัติศาสตร์คือครูที่ดี แต่เสียที่ไม่มีใครจดจำคำสอนของเขาเลย”
เสียงรถขับผ่านบาซาร์ยังคงดังเหมือนปกติ แม้อากาศจะร้อนสักเท่าใดผู้คนร้านค้าก็ยังคงเนืองแน่น และเสียงเรียกเชิญชวนยังคงดังปนไปกับเสียงร้องต่อราคาที่ระงมไปทั่วทั้งคุ้งตลาดกลางเมือง
ควันกำยานธูปหอมลอยล่องตามลมออกมาจากร้านเครื่องหอม พ่อค้าเร่เดินไปตามทางเดินเพื่อเสนอถั่วชั้นดีของตนต่อผู้มาบาซาร์ โถถ้วยทั้งทองเหลืองเซรามิกวาววับจับตาวางเชื้อเชิญให้ลูกค้าแวะเวียนเข้าไปหา และที่หน้าร้านน้ำชากาแฟที่คนคับคั่ง เรากำลังนั่งบนพรมเช็ดไหสินค้าของเราอยู่...
ลูกค้าร้านกาแฟเดินเข้าออกกันขวักไขว่ แต่ที่ข้างพรมของเรามีเพียงเด็กคนเดียวที่นั่งจ้องมายังเราไม่วางตา
เด็กคนนี้เป็นใคร? มาจากไหน? แล้วอยู่ที่นี่ทำไม?
เราไม่สนใจที่จะตอบคำถามพวกนั้น เพราะเรามีงานของเราที่ต้องทำอยู่...
เสียงในบาซาร์นั้นอึกทึก เสียงคนพูดคุยคละปนไปกับเสียงตะโกน แต่ระหว่างเรากับเด็กคนนั้นกลับเงียบสนิท ไม่มีคำสนทนาใด
เด็กคนนั้นจ้องมาที่เรา ผู้กำลังจับจ้องไปยังไหเซรามิกใบเล็กสีจืดจางที่ขายไม่ออก...
“ประวัติศาสตร์คือครูที่ดี แต่เสียทีที่ไม่มีใครจดจำคำสอนของเขาเลย” ใครบางคนเคยกล่าวเช่นนี้เอาไว้ เหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์ว่ายวนย้อนกลับไปมา เหตุการณ์ที่ต่างก็ล้วนมีรากฐานคล้ายๆกัน มนุษย์ผ่านมหาสงครามมาแล้วสองหน หลายคนจดจำผลของมัน แต่ไม่เคยจดจำสาเหตุของมัน
ความหยิ่งยโสเป็นบาปของมนุษย์ และความแตกแยกที่เกิดจากมัน ก็ไม่มีที่สิ้นสุด...
กำแพงแห่งเชื้อชาติ กำแพงแห่งความเชื่อ กำแพงแห่งความคิด ก่อกั้นแบ่งแยกโลกออกเป็นส่วนๆ เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ ที่หมอคนหนึ่งพูดเอาไว้ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด เพื่อรับมือต่อพายุแห่งการเปลี่ยนแปลง และเมฆหมอกแห่งสงครามที่ตั้งเค้าขึ้น เหล่าประเทศที่รอดพ้นหายนะแห่งกาลสมัยมาถึงปัจจุบัน จึงตั้งหน้าตั้งตาเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับตน...
อะไรก็ได้ ที่ทำให้ดูเหนือกว่าศัตรู ไม่ว่าต้องจ่ายด้วยเงินเท่าใดก็ตาม...
“ของพวกนี้ไม่ต้องจ่ายหรอกครับ” เสียงพูดของชายผิวขาวแบบชาวตะวันตก นัยน์ตาสีม่วงนั้นสั่นระริกรับกับรอยยิ้มที่ไม่เคยคลายอย่างคนอารมณ์ดี แต่ใครจะรู้ว่าภายในความคิดของชายคนนี้มีอะไรอยู่
ลมร้อนอ้าวพัดเหรียญตรารูปดาวของเขาและผ้าคลุมหัวของเราให้ไหวไปตามแรง ขณะที่เดินตรวจสรรพาวุธที่ชายคนนี้ส่งมอบมาให้เป็นของกำนัล ตราอักขระUSSRกำลังถูกทำให้เลือนไป แทนที่ด้วยARE
“MIG-19 เครื่องนี้ดีนะครับ” ชายที่ควรถูกเรียกว่ารัสเซียพูดพร้อมรอยยิ้มตามฉบับของเขา “รถถัง เรือดำน้ำ ปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนต่อสู้รถถัง ขีปนาวุธ ของดีๆทั้งนั้น หวังว่าคงพอใจนะครับ?”
เรากวาดตามองไปยังสินค้าของกำนัลชั้นเยี่ยม ผลิตผลที่เกิดจากสงคราม... และมีไว้เพื่อสงคราม...
“ของดีก็ต้องจ่ายราคาแพงตาม” เราพูดหลังจากที่นิ่งไปนาน อีกฝ่ายหัวเราะเมื่อได้ยิน
“ตีค่าน้ำใจผมเป็นเงินทองแบบนี้ผมก็เสียใจแย่สิครับ”
รอยยิ้มที่มียิ่งยิ้มเหยียดกว้างขึ้นอีก เราลอบมองไปยังแววตาดูไร้เดียงสาของผู้มาเยือนที่ค่อยๆแปรไปเป็นแววตาเจ้าเล่ห์อย่างจิ้งจอกสงคราม
“ผมแค่หวังว่า เวลาประชุมครั้งหน้า คงมีเสียงสนับสนุนเห็นใจจากอียิปต์บ้าง ก็เท่านั้นละครับ...”
ไม่เคยมีใครได้อะไรโดยไม่เสียสิ่งตอบแทน... เมื่อได้อาวุธมา ก็ต้องตอบแทนผู้ให้ด้วยอาวุธอีกชนิดหนึ่งไป...
อาวุธทางการทูตราคาแพง...
“นะครับ?”
ผู้มาเยือนจากโลกสังคมนิยมยังคงยิ้มรอคำตอบ ไม่มีคำพูดอะไรจากปากของเรา ถึงอย่างนั้น เขาเองก็คงพอจะรู้...
เรามีทางเลือกอื่นที่ไหน...
ลมร้อนที่พัดวูบไปมาเริ่มกลายเป็นลมเย็นแทน พระอาทิตย์สีแดงสดค่อยๆตกสู่แม่น้ำไนล์ แสงสะท้อนแดงเรื่อจนดูเหมือนแม่น้ำกว้างนี้จะแปรเป็นนทีเลือดไป...
“เมื่อได้ปิดอ่าวอะกาบาแล้ว อิสราเอลก็มีทางเลือกอยู่เพียงสองทาง ซึ่งแต่ละทางล้วนจะทำลายอิสราเอลไปเอง...”
เสียงวิทยุกระจายเสียงดังออกมาให้ได้ยินแม้จะนอกร้านกาแฟ เป็นเพราะเจ้าของร้านผู้กระตือรือร้นปรับหมุนปุ่มเร่งเสียงคำประกาศของสถานีวิทยุกรุงไคโรหมายจะให้ได้ยินทั้งบาซาร์
และดูเหมือนความตั้งใจจะประสบผล สิ้นคำประกาศ เสียงผู้คนวิจารณ์สถานการณ์ก็ดังแซงแซ่ขึ้นมาทันที แต่ละคนจับกลุ่มคุยกันถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เลือดรักชาติของชาวบ้านร้านตลาดพุ่งขึ้นสูง เสียงสดุดีประธานาธิบดีนัสเซอร์และประเทศของเราดังระงม ตามมาด้วยเสียงอวยพรสันนิบาตอาหรับและสาปแช่งคู่อริทั้งหลาย
เรายังคงนั่งขัดไหสีน้ำตาลหม่นที่ขายไม่ออกอยู่ริมหน้าร้านกาแฟเหมือนเดิม ไม่สนใจต่อเสียงคำประกาศ หรือแม้จะเป็นเสียงสนทนาของผู้คนทั้งบาซาร์ แม้เสียงถามความคิดเห็นของคนที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับคำตอบจากเรา จนผู้คนที่ผ่านไปมาตีตัวออกไปจับกลุ่มคุยที่อื่นแทน...
จะมีเพียงเด็กน้อยคนเดิม... ที่นั่งอยู่ที่เดิม และจ้องมาที่เราเหมือนเดิม...
“จะไปแล้วละสิ?” เด็กน้อยมือเท้าคางจ้องมองมายังเรา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับออกมา
“จะไปแล้วสินะ ก็มีคำประกาสออกมาแล้วนี่ ไม่ช้าไม่เร็วคงต้องออกไปรบกับอิสราเอล ใช่ไหมล่ะ?”
เสียงคงเด็กน้อยยังคงดังออกมา แต่เรายังคงเงียบเฉย ก้มหน้าก้มตาขัดไหสีหม่นนั้นต่อไป
“เราสวดให้กับโลกทุกครั้งที่ไปทำพิธีไม่ว่าจะที่ไหน” เด็กคนนั้นพูด “สวดขอสันติให้กับโลก แต่ดูเหมือนเสียงของเราจะยังไปไม่ถึงบนนั้น เรื่องแบบนี้เลยยังเกิดขึ้นต่อ และผู้คนก็ดูเหมือนกระตือรือร้นที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอยู่...”
มือที่กุมผ้าของเราชะงักไป ตาค่อยๆหรี่เหลือบมองไปยังเด็กคนที่พูด เวลานี้เขาไม่ได้จ้องมาที่เราแล้ว แต่กลับเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าแทน
“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังอยู่ ว่าสักวันเรื่องแบบนี้จะหมดไป” พูดพลางเอนกายพิงกับกำแพง เด็กน้อยคนที่ว่าค่อยเหยียดขาที่ขัดสมาธิอยู่นานออกมา
เราไม่ได้ตอบคำพูดนั้น แต่ผ้าที่ทาบทับไหใบน้อยก็ไม่ได้เขยื้อนขัดต่อ...
ได้แต่เพียงนิ่งเงียบ ปล่อยให้เวลาผ่านไป...
5 มิถุนายน 1967
หลังจากประกาศสงครามต่อกัน ของสันนิบาตอาหรับและอิสราเอล...
ใครบางคนบอกว่า เครื่องบินไอพ่นของโซเวียตนั้น แข็งแกร่งเกินบรรยาย
แต่ถ้ามันบินไม่ขึ้น... ก็ไร้ความหมาย...
เสียงปีกแหวกอากาศของเครื่องบินดังมาแต่ไกล ปืนกลทั้งปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานระดมยิงอย่างไร้ความหวัง นักบินข้าศึกพุ่งดิ่งเข้าทิ้งระเบิดกองกำลังเหล่านั้นอย่างง่ายดายจนต้องแตกกระเจิงไปคนละด้าน
“ดาวดาวิด!” ทหารอาหรับตะโกนพลางชี้ให้เราดูเครื่องบินMirage III Gs ของกองทัพอากาศอิสราเอล เราหรี่ตามองอากาศยานข้าศึกอย่างไม่ไว้ใจ มือกวักสั่งเร่งให้พลขับขึ้นเครื่องบินรบที่เพิ่งได้รับมาอย่างเร่งรีบ
“ขึ้นบิ...”
เสียงเร่งของนายทัพต้องขาดห้วงด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียง หันไปมองยังกองเพลิง ที่ที่ครั้งหนึ่ง เป็นลานบินที่เครื่องบินรบนับร้อยวางเรียงรายอยู่...
ข้าศึกไม่เปิดโอกาสให้เราได้ขึ้นขับ ระเบิดระลอกแล้วระลอกเล่าโปรยปรายลงมายังเครื่องบินของกองทัพเราราวกับว่าเป็นฝน ไฟลุกลามท่วมไปตามเศษซากของอดีตอากาศยานทรงอานุภาพที่มาบัดนี้ ไม่มีโอกาสแม้ได้ขึ้นบินแสดงพลังให้เห็นประจักษ์แม้สักเที่ยวเดียว
“ท่านครับ!” ทหารชั้นผู้น้อยรีบวิ่งมายังผู้บัญชาการที่ยืนตะลึงงันอยู่ข้างเรา “มีรายงานครับ”
ผู้บัญชาการหน้าซีดเผือดเบือนหน้าออกจากเศษซากของหายนะมายังผู้ใต้บังคับบัญชาตน ปากก็สั่งให้พูดมา
“รถถังของอิสราเอล... มุ่งตัดมาที่ซีนายแล้วครับ” ทหารชั้นผู้น้อยละล่ำละลักพูดอย่างไม่สบายใจ ใบหน้าของนายพลใหญ่ยิ่งซีดหนักกว่าเดิม เราหันไปมองผู้บัญชาการ ทว่า เขาก็พยายามแสร้งยิ้มเหมือนไม่วิตกกังวลใดใด
“สงครามเพิ่งเริ่มต้น พวกนั้นจะทำได้ดีก็แค่วันนี้หรอก พันธมิตรอาหรับของเราก็กำลังมุ่งหน้าไปเทลวาอีฟอยู่... ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น...”
คำพูดบอกให้ไม่ต้องกังวล แต่น้ำเสียงนั้นสั่นพร่า จนเราหวั่นแทน...
8 มิถุนายน 1967
ของกำนัลของโซเวียตถูกทำลายจนย่อยยับ...
เรายอมแพ้ต่อกองกำลังอิสราเอลที่กำลังมุ่งหน้าสู่ไคโร...
สองวันต่อมา ทุกชาติพันธมิตรของเราตกลงเจรจาหยุดยิง หลังจากต้องพบกับความปราชัยในการรุกราน...
สงครามสิ้นสุดลงภายใน6วัน...
“กลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงทักทายของเด็กคนเดิม ที่หน้าร้านกาแฟเหมือนเดิม
เรากลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับรอยแผลแห่งความปราชัย ผ้าพันแผลแห่งความอัปยศ และความเจ็บปวดอันน่าอดสู
ประชาชนที่ผิดหวังนั่งเงียบเหงาซึมสร้อยอยู่ในร้านกาแฟ วิทยุโฆษกพยายามพูดปลุกแรงใจ แต่ไม่มีใครแม้กระทั่งเจ้าของร้านกาแฟที่จะมีใจทำอะไรสักอย่างเดียว
“เป็นอย่างไร?” เสียงน้อยๆของเด็กแสร้งถาม เมื่อเห็นสภาพที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของเรา เราหลบตาไม่ยอมตอบ ก้มหน้าก้มตาเช็ดไหที่เดิมซ้ำไปซ้ำมา อีกฝ่ายค่อยทรุดลงนั่งที่ข้างพรม
“มนุษย์ต่างลืมเลือนสันติภาพ” เด็กคนนั้นว่า เรียกให้เราหันไปดูอีกครั้ง มือน้อยของเด็กน้อยยกขึ้นบังแสงแดดที่แรงกล้า “และสงครามก็สอนเราให้รู้ค่าของสิ่งนั้น”
“สันติภาพ...” เราพูดขึ้น หลังจากปล่อยเงียบมานาน “ก็เป็นแค่ข้อตกลงของของคนใหญ่คนโต”
เด็กน้อยขมวดคิ้วหันมามองเราอย่างสงสัย ส่วนเราเองก็ละมือจากไหสีน้ำตาลใบหม่นนั้น หันกลับไปจ้องยังใบหน้าของคู่สนทนา
“ต่อให้เขียนกลอนรำลึกสักกี่บท โลกก็ยังมีสงครามเหมือนเดิม ยังคงวุ่นวาย สับสน และหมองหม่นเช่นเดิม...”
อีกฝ่ายนั่งนิ่ง แต่สิ้นเพียงชั่วครู่ก็ฉีกยิ้มหัวเราะ ปากขยับเอ่ยคำพูดที่เราไม่อาจลืมลง
“ถ้าสองตาดูโลกว่าไม่สวยงาม” เด็กน้อยว่า “ทำไมสองมือไม่ลองเปลี่ยนโลกให้มันสวยงามขึ้นมาล่ะ?”
มีนาคม 1979
โดยการผ่านตัวกลางอย่างอเมริกา
ประธานาธิบดีอียิปต์และอิสราเอลลงนามยุติความบาดหมางในข้อตกลงค่ายดาวิด...
เรามองไปยังไหใบสีน้ำตาลหมองหม่นใบนั้น...
มือค่อยขยับพู่กันแต้มสีลงไป...
+_+_+_+_+_+_+_+_+
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น