ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Hetalia Fan Fiction]บันทึกของอียิปต์

    ลำดับตอนที่ #3 : เล่มที่๓ : บันทึกที่ถูกทิ้งไว้...

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 53




    “ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่เรา!”




      
       กาลเวลา... เป็นคนดำเนินเรื่องราว

       เราเป็นเพียงแค่หนึ่งตัวละคร...


       21 กรกฎาคม 1798

       สมรภูมิที่มหาพีระมิด...

       สงครามของนักปฏิวัติปลุกให้เราตื่นขึ้นอีกครั้ง...

       แสงทองของตะวันปรากฏที่ริมขอบเนินทราย สิ่งต่างๆกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เรากำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

       คนฝรั่งเศสเดินไปทั่วดินแดนของซีซาร์ เขาเข้ามาและจากไป หากสิ่งที่เขาทิ้งไว้นั้นสำคัญยิ่ง

       วิทยาการ ความรู้ การทหาร การปกครอง และเสรีภาพ...

       พายุแห่งการปฏิวัติ โหมกระหน่ำทั่วทั้งยุโรป... ผู้คนจับอาวุธขึ้นต่อสู้เพื่ออิสรภาพ...
      




       เกาะครีต ปี 1822

       เสียงย่ำเท้าหนักของกองทหารนับร้อยนับพันดังเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียง กองทหารของเราที่ผ่านการฝึกมาอย่างชาวตะวันตก ได้รับการร้องขอบางประการจากสุลต่านแห่งออตโตมันให้มาที่นี่

       ธงสีเขียวประทับตราเสี้ยวจันทร์ของปาชาแห่งอียิปต์สะบัดพลิ้วควบคู่ไปกับธงแดงของออตโตมันนายเหนือของตน กองทหารแบกปืนนกสับปลายดาบเดินขบวนเรียงหน้ากระดานเข้าประจันหน้ากับศัตรู

       ศัตรูผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชายคากัน...

       “ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอกับนาย” เบื้องหน้าคือกองทหารสวมชุดโซลิแอสสีฟ้าติดหมวกทรงกระบอกที่เรียงรายกัน ชายหนุ่งที่ดูจะเป็นคนนำทัพมาก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมคันธงกางเขนสีฟ้าบนผ้าขาว เราหรี่ตามองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคย

       “กรีซ...”

       “หมอนั่นคงปวกเปียกเต็มที ถึงต้องขอให้นายออกหน้าแทนแบบนี้” ชายหนุ่มในชุดโซลิแอสยังพูดต่อ ตากวาดมองกองทหารของเรา

       “เจ้านายสั่งมาจะให้ทำอย่างไรได้” เราตอบพร้อมยกรอยยิ้มจางๆ อีกฝ่ายยิ้มตอบพลางส่ายหัว “ใจจริงก็ไม่อยากหรอก แต่จักรวรรดิก็ยังคงต้องเป็นจักรวรรดิ และกบฏก็ต้องถูกกำราบอย่างกบฏ”

       “เราคือกรีซและนายก็คืออียิปต์”

       “ไม่มีประเทศพวกนั้นหรอก... พูดไปก็รังแต่จะเป็นขบถเท่านั้น”

       กรีซขมวดคิ้ว  มองมายังเราด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเคย ครั้นแล้วก็เบือนหน้าไปยังกางเขนสีฟ้าบนธงของตน...

       มีแต่ความเงียบงันท่ามกลางสนามรบ... สายลมพัดให้ธงของทั้งสองฝั่งปลิวสะบัดไปมา

       “พวกเขาเป็นแค่พลเรือน พ่อค้า และทหารอาสา” เราพูดโน้มน้าวอีกครั้ง แม้ในใจจะรู้ดีว่าอีกฝั่งคงไม่ฟัง

       “ไม่มีกำแพงชนชั้นสำหรับความกล้า ทางเลือกมีเพียงอิสรภาพ ไม่เช่นนั้นก็ความตาย” อีกฝ่ายตอบ ชูดาบโค้งของตนขึ้น เราพยักหน้าเข้าใจ มือขวาชูดาบเปลือยฝักของตนขึ้นบ้าง

       “ยิง!”

       เสียงแผดร้องของดินปืนดังขรมทั้งสนามรบ ผู้กล้าที่เรียงหน้ากระดานต่างล้มร่วงกราวราวใบไม้แห้ง ควันจากเขม่าดินปืนลอยตลบคลุ้งไปทั่ว ชีวิตล่องลอยปลิดปลงไปกับลูกกระสุน ครั้นยิงได้ไม่กี่ชุด เสียงร้องบุกประจัญบานก็ดังตามต่อมาอีก ดาบโค้งต่อดาบโค้ง ดาบปลายปืนต่อดาบปลายปืน แทนที่ด้วยเสียงคำรามของดินดำ คือเสียงโอดร้องของผู้บาดเจ็บ และเสียงสัพประยุทธ์ของสารพัดอาวุธที่แต่ละฝ่ายมี

       เรายืนมองไปยังกองทหารที่เข้าฟาดฟันกัน ธงของสุลต่านปลิวไสว ขณะที่ธงของผู้ปฏิวัตินั้นโอนเอน หรี่มองไปยังกลางยุทธภูมิ คนรู้จักที่คุ้นตากำลังกัดฟันเหวี่ยงดาบปัดป้องอาวุธเพื่อเพื่อนร่วมชาติตน แต่กองทหารแบบเก่านี้ไฉนเลยจะทานอำนาจกองทหารของเราที่ได้รับการฝึกอย่างดีนี้ได้ เสียงร้องตะโกนบอกให้ถอยดังออกมา กองทหารชุดโซลิแอสเผ่นหนีออกจากสนามรบไม่เป็นกระบวน ทหารจากลุ่มน้ำไนล์ยิงปืนไปอีกชุดแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงเฮร้องอย่างผู้มีชัย...

       เรามองไปยังธงกางเขนฟ้าของกรีซที่ลู่เอนท่ามกลางศพของวีรบุรุษสงคราม...

       เรามองไปยังราคาอันแสนแพงของอิสรภาพ...






       วันนี้เราคือผู้มีชัย แต่ใครจะรู้ ในโลกที่เปลี่ยนแปลง การทหารไม่ใช่สิ่งเดียวที่ตัดสินทุกอย่าง...

       คริสตศักราช 1829 ด้วยการแทรกแซงจากมือที่สาม กรีซได้อิสรภาพตามที่เขาต้องการ...

       ตุรกีโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง...





       “เรื่องบ้าบอที่สุดตั้งแต่เคยพบ!” มือสวมถุงมือขาวปาจอกทองเหลืองลงกับพื้น ใบหน้าสวมหน้ากากปิดบังแววตา แต่ใครก็รู้ว่าตอนนี้อารมณ์เขาเป็นอย่างไร

       “คิดดูซิ... คิดดูซิ! เรากำลังจะชนะอยู่แล้ว จู่ๆพวกนั้นก็เข้ามา!” ตุรกีคำรามเกรี้ยวกราด ตะคอกเสียงมายังเราที่กำลังทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี “ไอ้พวก... ตะวันตกนอกรีตไร้สัจจะ!”

       “โรมาเนีย บัลกาเรีย เซอร์เบีย  ก็ยังเป็นของนาย... ใจเย็นๆ”

       เราพูดหวังจะดับอารมณ์ที่คุคั่ง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเบ้ปากตวัดใบหน้าขุ่นเคืองมาแทน

       “พวกนั้นมันนับถือแต่รัสเซีย!” ตุรกีกระชากเสียง “กรีซไปแล้ว หมอนั่นละตัวตั้งตัวตี ไม่นานพวกนั้นก็จะไปอีก!”

       เราหลับตานิ่งฟังตุรกีระบายอารมณ์ต่อไป ในใจนึกสงสัยคลางแคลง ว่าสิ่งที่กรีซได้ไปมันคุ้มค่าหรือไม่กับเลือดเนื้อที่แลกไป พวกเขาได้อิสระ แต่เรื่องต่อจากนั้นเล่า?

       เราพึมพำเสียงแผ่วเบา

       “เลือกที่จะเป็นเสรีชนผู้อดอยาก หรือทาสผู้อ้วนพี...”







       “ขอเป็น เสรีชนผู้อ้วนพี ไม่ได้หรือ?”

       ผู้พูดเป็นชายชราร่างท้วมท่าทางใจดี ในวังโออ่าที่ประดับประดาด้วยผ้าหลากสี เสาตกแต่งลวดลายแบบตะวันออก สลับกับเครื่องเรือนอย่างตะวันตก เรานั่งอยู่บนเบาะนวมราคาแพง ขณะที่ชายคนนั้นเอนกายอยู่บนตั่ง

       ผู้ที่กุมอำนาจเหนืออียิปต์และซูดาน มูฮัมหมัด อาลี ปาชา...

       “เสรีภาพมีค่าควรจะแลกหรือ?”

       “ใครๆก็ปรารถนาอิสรภาพ” ปาชาผู้เฒ่าตอบคำถามเราทั้งรอยยิ้ม “เจ้าคงอยู่ใต้การปกครองมานาน จนหลงลืมความเป็นตนเองแล้วสิท่า?”

       ปาชาหัวเราะน้อยๆ เราหลับตานิ่งคิดตาม

       “ไม่ต้องมีใครมากะเกณฑ์ ไม่ต้องมีใครมากำหนด เป็นนายของตัวเอง มีอิสระที่จะทำอย่างใจตนเองอยก แค่นี้ควรค่าพอหรือยัง?” ผู้ปกครองเอ่ย คาบกล้องยาสูบเข้ากับปาก เรายิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ

       “มันคงหอมหวานนัก ผู้คนจึงฝันใฝ่ปอง” เราพูด

       “มีคนสองประเภทที่อยากได้เอกราช หนึ่งคือผู้หิวโหยสุดทนกับชีวิตที่เป็นอยู่ อีกหนึ่งคือผู้อิ่มเอมที่ว่างพอจะเพ้อคิดเรื่องความเป็นไปได้ของการปลดแอกตนเอง” ปาชาเปรยขึ้น พ่นควันเอื่อยๆออกมา

       สายลมแผ่วเบาพัดเข้ามาในห้อง เครื่องหอมที่จุดอยู่ตีตลบคลุ้งกำจายกลบกลิ่นยาสูบเสียสิ้น

       “เจ้าเล่า อยากได้อิสรภาพของตนหรือไม่ อียิปต์?” เราแหงนหน้าขึ้นมองผู้ปกครองของตน อีกฝ่ายยิ้มมีเลศนัย แกว่งกล้องยาสูบไปมา

       “สุลต่านแห่งออตโตมันติดหนี้ค่าเรือที่ถูกจมระหว่างสงครามของเราอยู่... ถ้าหากว่า..”

       ปาชาเคาะนิ้วไปยังดาบหุ้มฝักทองคำ เราเข้าใจความหมายนั้นทันที รอยยิ้มผุดขึ้นมา บางที เราอาจจะลองเสพย์ความหอมหวานของอิสรภาพนี้ดูสักครั้ง... มันคงน่าลิ้มลองไม่ใช่น้อย...






       เสียงปืนแผดร้องลั่นไปบนแผ่นดินซีเรีย ทหารถือคันธงละธงชัยของตน ปล่อยให้ผืนผ้าสีแดงประดับจันทร์เสี้ยวฟุบลงกับพื้น ด้านหนึ่งคือกองทหารชูธงสีเขียวเสี้ยวพระจันทร์ที่เดินหน้าอย่างพร้อมเพรียง อีกด้านหนึ่งคือกองทหารที่วิ่งหนีตายอลหม่านอยู่เบื้องหลังชายสวมหน้ากากในชุดสีเขียว

       ตุรกียืนร่างสั่นเทาด้วยความโกรธ มือกุมแน่นเพ่งสายตามองมายังหน้าของเรา เมื่อเราสาวเท้าเข้าหา อีกฝ่ายก็พูดออกมาอย่างยากเย็น

       “จากกรีซ... ในที่สุดก็เป็นนาย...”

       เราเลิกคิ้วมองชายเบื้องหน้า สั่งทหารให้ลดอาวุธลง

       “...เร็วกว่าที่คิดอย่างนั้นหรือ?” เราพูดอย่างแปลกใจ อีกฝ่ายกลับกุมหน้ากากของตน ในใจคงคิดแค้นเคืองอยู่ไม่น้อย “ต้องขออภัย ดูเหมือนเราจะทนความเย้ายวนของการปฏิวัติไม่ได้”

       ตุรกีสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กุมหน้ากากขยับปากพูดอะไรบางอย่างที่เบาจนไม่ได้ยิน ทว่า จู่ๆนายทัพอตตโตมันก็ระเบิดหัวเราะลั่นจนน่าประหลาดใจ

       “คิดว่าจะจบเช่นนี้หรือ อียิปต์?” ตุรกีว่าเหยียดยิ้มอย่างมุ่งร้าย “ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่เรา!”

       คิ้วของเราขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ทว่าไม่นานข้อสงสัยก็คลาย ที่ด้านหลังเสียงสลุตปืนใหญ่ดังขึ้นจนทหารแทบทั้งหองหันไปมอง ธงยูเนี่ยนแจ็คสะบัดพลิ้วไปพร้อมกับกองทหารชุดแดงที่ย่ำพื้นลงมาอย่างพร้อมเพรียง คนนำทัพผมสีเหลืองทองถือดาบเรียวก้าวเดินนำทั้งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบเจ้าอาณานิคม

       กลายเป็นเราที่ต้องกุมหมัดแน่นทั้งขมขื่น สะบัดหน้าหันหลังนำทัพกลับไปยังที่ที่จากมา ความฝันอันหอมหวานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เปล่งประกายประหนึ่งพลุไฟ ทว่าก็ดับแสงไปไวเช่นเดียวกัน...

       เรากลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ มิใช่เพียงในสนามรบ แต่เป็นสนามการทูตด้วย...
     
       วันนี้ไม่มีเสียงกลองศึกที่ไคโรอีกต่อไป...








       เราค้อมหัวก้มอย่างยอมรับต่อหน้าอาลี ปาชา ค้อมลงยอมรับการลงทัณฑ์ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดจากความพ่ายแพ้ของเรา...

       ปาชามองอย่างเข้าใจ พยุงให้เราลุกขึ้น

       “อย่าโทษตนเองเลย... เป็นความผิดของข้าเอง” ปาชาพูด มองไปยังพระจันทร์สีเหลืองบนฉากของรัตติกาล “ข้าเผลอคิดไปว่าทุกสิ่งคงง่ายดายในเวลานี้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่...”

       “กระดานหมากรุก... ไม่ได้มีเพียงเรากับสุลต่าน” เราก้มหน้าพูด “ดูเหมือนเราคงเป็นได้เพียงแค่ผู้ใต้บัญชาของสุลต่านต่อไป...”

       อาลีปาชาถอนหายใจพลางส่ายหัว

       “ไม่ใช่แล้ว อียิปต์เอ๋ย...” มือหยาบกร้านของชายชราจับมายังไหล่ของเรา

       “ผู้ที่จะมีอำนาจในเขตนี้จะมิใช่ออตโตมันอีกต่อไป... แต่จะเป็นนายทัพจากตะวันตกต่างหากเล่า เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ ว่าใครเป็นคนบีบให้เจ้าต้องถอยลงมา”

       เรายังคงก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร อีกฝ่ายส่ายหัวน้อยๆกลับไปยังตั่งของตน

       “ข้าคงเป็นผู้ปกครองที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม?” ชายชราเอนกายพูดอย่างอ่อนแรง

       “ท่านเป็นปาชาที่ดีที่สุดของเรา อาลี” เราเร่งพูดขัดทันที “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน เป็นเพียงเพราะยังไม่ถึงเวลาที่พระเป็นเจ้ากำหนดต่างหาก... เราทนสนธยามาแล้วกว่า300ปี รออรุณอีกหน่อยจะเป็นไรไป...”

       ปาชายิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเรา มือคลึงกล้องยาสูบไปมาอย่างเลื่อนลอย

       “แล้วระหว่างนี้... พวกเราควรทำอย่างไรดีเล่า นักพูดผู้เก่งกาจ?” สายตาตวัดมามองจนน่าอึดอัดใจ เรากวาดมองไปรอบห้องสะดุดตากับคนโทโถน้ำ มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูด

       “เราอาจจะ... ขายไหไปพลางระหว่างรอ...”

       ปาชาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน เรายังคงนิ่งเหมือนยืนยันคำพูดตน ครั้นแล้วปาชาก็หัวเราะออกมา...

       เราเองก็หัวเราะ...

       ค่ำนี้ที่วังของปาชา แม้จะมีข่าวของการพ่ายแพ้ แต่ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมา...










       28 กุมภาพันธ์ 1922

       ธงยูเนี่ยนแจ็คถูกลดลงจากไคโร เหลือเพียงธงสีเขียวประทับจันทร์เสี้ยวตัวแทนราชวงศ์ของอาลี...

       ใครบางคนส่งเสียงตะโกนดังลั่น

       “ถึงเวลาของรุ่งอรุณแล้ว!”


    +_+_+_+_+_+_+_+_+
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×