ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เล่มที่๒ : บันทึกที่ถูกหลงลืม...
“ใครกันเป็นผู้บัญญัติกฎของสงคราม?”
พระอาทิตย์หลบหลังเหลี่ยมเนินทราย สาดแสงฉาบท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงอันอาดูลย์ แม้ยังไม่ถึงเวลา แต่จันทร์ครึ่งดวงสีซีดก็เสนอตัวออกมากก่อนจะถึงฉากราตรี...
เราอยู่ที่หน้ากำแพงเมือง มองไปยังเหตุการณ์ที่เป็นไป...
เปลวไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากซากปรักหักพังด้านหน้า ร่างไร้ชีวิตของผู้คนล้มเกลื่อน แร้งกาบินอยู่สูงแม้จะเป็นในเขตเมือง สภาพที่น่าอเนจอนาถและความเงียบที่เปลี่ยวเปล่า ชักพาจิตใจให้จมดิ่งสู่ความเศร้า...
ที่ด้านหลัง เสียงฝีเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ และหยุดลง...
เราคือไคโร... เราคืออียิปต์...
เราคือผู้ถูกขนานนามว่าแสงจรัสแห่งอิสลาม...
ทีละน้อย ทีละนิด นับร้อยปีที่เราสั่งสมค่าเกียรติยศนี้ขึ้นมา เพื่อให้สมอ้างในนามของผู้พิทักษ์แห่งโลกอิสลาม ลบล้างคำสบประมาทที่บังอาจเหยียดพวกเราว่าเป็นเพียงทหารทาสปล้นราชบัลลังก์ ความกล้าเสริมสร้างเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเรา สมรภูมิได้แสดงให้ปวงประชาได้เห็นประจักษ์ชัด
กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว เราคือผู้พิทักษ์และปกปักดินแดนแห่งนี้ให้เป็นของชาวมุสลิม กองทหารแห่งมัมลูคิยะห์ที่นำชัยชนะจากพระผู้เป็นเจ้าต่อเหล่าคนนอกศาสนาทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนส่งเสียงเชิดชูถึงนามของเรา ต่างยกย่องถึงความสามรถของเรา เราคือผู้ปกครองปากทางสู่เอเชีย นาวานับร้อยนับพันมุ่งตรงมายังเมืองท่าของเรา เกียรติยศมาพร้อมคู่กับความมั่งคั่ง แม้แต่กาหลิบแห่งอับบาซิยะห์ก็ต้องมาพึ่งบารมีของสุลต่านแห่งอียิปต์...
ชื่อของเรายังคงยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงไร้ผู้ท้าทาย...
จนกระทั่งวันนั้น ที่ม้าเร็วมาถึง...
พฤษภาคม ปี 1453
“ข้าแต่องค์สุต่านผู้ทรงธรรม กษัตริย์ผู้ปรีชา ผู้ครองดาบแห่ง...”
“พูดมา...” สุลต่านอัล-อาชราฟ ตัดบทคำสรรเสริญของม้าเร็วที่เพิ่งมาถึง พระองค์ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ทองในโถงราชวังอันโอ่อ่า ถัดมานั้นคือกาหลิบผู้สิ้นอำนาจ อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสุลต่านทหารทาส เหล่าข้าราชการที่ปรึกษาทั้งนายทหารรายล้อมรอบสองฝั่งที่ประชุม
เราเองก็ยืนมองอยู่ที่โถงประชุมนั้น...
เป็นวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง แต่ลมกรรโชกมาจากทิศเหนือทำให้ผ้าม่านตีสะบัด ควันธูปหอมกำยานที่จุดไว้ปลิวหายจางไปจนน่าแปลกประหลาด สุลต่านถือแก้วทองคำจิบน้ำชามองไปยังม้าเร็ว
“ข่าวจากคอนสแตนติโนเปิลพระเจ้าข้า...” ม้าเร็วพูด
“ดีหรือร้าย?” สุลต่านถาม เอนตัวเข้ากับพนักบัลลังก์ทอง แต่ฝ่ายคนนำสาสน์กลับคุกเข่านั่งเงียบ จนสุลต่านบอกให้รีบพูดมาโดยไว
“สุลต่านเมห์เม็ดแห่งอุษมานียะห์ทรงยึดครองคอนสแตนติโนเปิลของไบแซนไทน์ได้แล้วพระเจ้าข้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ข่าวดี” สุลต่านแห่งอียิปต์แย้มสรวล “พระเป็นเจ้าอำนวยชัยชนะให้กับมุสลิมอีกคราแล้ว! ซ้ำยังเป็นนครคอนสแตนติโนเปิลไร้พ่ายเสียด้วย!”
สุลต่านมัมลูคสรวล ทั้งโถงห้องประชุมก็ยิ้มตาม เสียงแซงแซ่สรรเสริญพระนามพระเจ้าและสุลต่านเมห์เม็ดผู้พิชิต พูดถึงความรุ่งโรจน์ที่จะมาถึง ถึงห้วงเวลาอันจะเป็นยุคสมัยของพวกเรา ที่จะบดขยี้พวกนอกรีตและรวมโลกทั้งใบให้ป็นหนึ่งเดียว
ทุกคนหัวเราะ ยิ้ม และพูดคุย มีแต่เพียงม้าเร็วจากอนาโตเลียเท่านั้นที่นิ่งไม่พูดไม่จา ซ้ำยังก้มหน้าทำท่าลำบากใจจนผิดวิสัยในสายตาสุลต่าน พระองค์ยกหัตถ์ขึ้นให้ทุกคนเบาเสียง
“แล้วมีเหตุอันใดให้กลุ้มใจอีกเล่า?” เสียงพูดเจือแววขำขัน คู่สนทนาปั้นหน้าลำบากพูดเสียงค่อย
“ข้าแต่สุลต่านผู้ปรีชา... สุลต่านแห่งออตโตมันปรารถนาจะให้คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง ทรงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่...” ม้าเร็วว่า พยายามไม่สบตาเหนือหัวตน “เป็นอิสตันบูล... นครหลวงแห่งอิสลาม...”
เพียงเท่านี้ทั้งโถงที่คับคั่งก็สงัดไปโดยพลัน สุลต่านที่พระพักตร์ประทับรอยยิ้มค่อยแปรไปเป็นบูดบึ้งทีละน้อย ทรงเขวี้ยงจอกทองคำในมือทิ้งกับพื้นพาให้สะดุ้งผวากันไปทั้งหมด
“นี่มันสบประมาทที่สุด! เป็นการหยามเกียรติเราอย่างที่สุด!” สุลต่านพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะแรงโมหะ “พวกมันกล้าดีอย่างไร!? เรารึคิดว่าเป็นพันธมิตรที่ดี กลับมาลอบตลบหลังกันเสียได้! พวกมันกล้าเรียกตัวเองว่านครหลวงของอิสลามเช่นนั้นหรือ!”
เสียงตะคอกถามมายังผู้นำสาร ฝ่ายผู้น้อยก้มหน้ารับอย่างกริ่งเกรง สุลต่านฟาดพระหัตถ์เข้ากับพนักพระเพลาเสียงดัง
“นี่ควรจะเป็นชื่อของเรา! พวกเติร์กออสมานไปอยู่ที่ไหนกันเมื่อพวกมองโกลรุกรานอาหรับ? พวกมันอยู่ที่ใดกันเมื่อแบกแดดพินาศเพราะคนเถื่อนจากเอเชีย? พวกมันคิดว่าใครกันที่เป็นคนต้านทานทหารม้าจากบูรพทิศ ใครกันที่เป็นคนกอบกู้กาลิลีจากพวกนอกรีตตะวันตก?”
ว่าเสร็จมือก็ชี้ไปทางกาหลิบผู้อ่อนแอข้างพระองค์
“แล้วใครเล่าเป็นผู้พิทักษ์ผู้นำแห่งอิสลาม? พวกมันคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้าเรียกตัวเองอย่างนั้น!?” เสียงเน้นกระชากดังขึ้นทุกครั้งที่พูด เหล่าขุนนางที่ปรึกษาล้วนเงียบใบ้นิ่งฟังเจ้าของตนระบายอารมณ์ “เราจะต้องทักท้วงเรื่องนี้... ให้รู้เสียบ้างว่าเราเป็นใคร!”
“ข้าแต่องค์สุลต่าน” เสนาบดีเฒ่าแย้งขึ้นหลังสิ้นเสียงของพระองค์ สุลต่านตวัดพระพักตร์กลับไปมองทันที “หากทำเช่นนั้น พวกอุษมานียะห์อาจถือเป็นข้ออ้างในการบุกโจมตีเราได้พระเจ้าข้า”
“ก็ให้มันมา!” สุลต่านตะโกนตอบ ทั้งห้องประชุมสะดุ้งผวาจากแรงโกรธของพระองค์ “ข้านึกอยู่แล้วว่าไม่ช้าเร็วพวกมันก็ต้องยกข้ออ้างมารบกับเราจนได้ แต่ไม่นึกว่ามันจะน่ารังเกียจถึงเพียงนี้...”
การท้าทายมาจากพันธมิตรผู้ใกล้ชิดของเราเอง... พันธมิตรที่ครั้งหนึ่งเหล่าผู้นำต่างมอบความไว้วางใจให้ เป็นปราการต่อต้านติมูร์ซึ่งกันและกัน มาบัดนี้กลับต้องมาแย่งชิงเกียรติยศอันสูงส่งกัน...
ทหารม้าของเรานั้นขึ้นชื่อลือชา กองทหารของเราก็แกร่งที่สุดในคาบสมุทร สงครามครั้งแล้วครั้งเล่าพิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้ว เรามั่นใจในสงครามทุกครั้งที่สู้รบ...
ทว่า... ข่าวที่ส่งกลับมานั้นช่างน่าประหลาดใจ การรบที่ชายแดนแทนที่จะเป็นการตีผลักข้าศึกกลับไป กลับกลายเป็นว่าความที่ม้าเร็วนำมาคือการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของกองทัพเราเอง สุลต่านแทบไม่เชื่อพระกรรณและกำลังจะสั่งให้นำม้าเร็วคนนั้นไปตัดหัวฐานพูดปดต่อหน้าเสียแล้ว หากม้าเร็วอีกคนไม่มาแล้วบอกข่าวเรื่องการถูกยึดของเมืองอดานา
เปลวไฟแห่งหายนะอาจลามมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็เฉไปทางเปอร์เซีย เมื่อขึ้นศกใหม่สุลต่านแห่งออตโตมันหันไปจัดการกับปัญหาของเปอร์เซียเสียก่อน แต่ไม่นานก็เบนเข็มมายังเรา เซลิมที่1 สุลต่านผู้ห้าวหาญแห่งอุษมานียะห์ตั้งใจจะถอนรากถอนโคนพวกเรา และสร้างบรรทัดฐานขึ้นใหม่ในดินแดนอารบิกนี้...
ไม่มีใครในดินแดนของเราที่ครั่นคร้าม กองทัพของเรามุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที เพื่อปะทะกับกองกำลังออตโตมันกองทหารทาสที่ขึ้นมาเป็นเจ้า กำลังจะปะทะกับกองทหารเจ้าที่พึ่งกองกำลังทาส...
เราอยู่ริมกองไฟกับบรรดาทหารกล้า... เหล่าทหารม้าแห่งลุ่มน้ำไนล์...
เสียงกลองดนตรีของทหารที่ชุมนุมกันเร่งความคึกคักเข้าต่อสู้กับความหนาวยามราตรี เร่งเลือดให้สูบฉีดสำหรับวันรุ่งที่จะนองเลือด
ดาวบนฟ้านั้นมีมากมาย กองทหารของเราก็เช่นกัน กองทหารที่ขึ้นมาเพื่อปกป้องดินแดนอันชอบธรรมของพวกเขา
“มีคนเล่าว่า ที่กองทหารเราแพ้เมื่อครั้งกระโน้น เพราะกองทัพออตโตมันใช้ดินปืน” ขุนพลคนหนึ่งเดินมาคุยกับเราท่ามกลางเสียงอึกกะทึกนั้น
“ไม่น่าเป็นความจริง” เราตอบไป อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น” ขุนพลมัมลูคสวมเกราะถักทิ้งตัวนั่งลงกับพรมที่ปูบนพื้น “ดินปืนเป็นอาวุธของคนขลาด ทหารชาติอาชาไนยเช่นเราย่อมไม่มีทางแพ้เป็นแน่นอน”
เรานั่งลงไปพูดอะไร เพียงแต่ยื่นชามอบให้ พวกเรามองไปยังกองไฟของเหล่าทหารที่คึกคักนั้น...
“ท่านรังเกียจดินปืนหรือ?” เราพูดขึ้นขณะมองกองไฟที่แตกคุ ขุนพลคนนั้นพยักหน้า
“ดินปืนคืออาวุธของทหารราบ มิควรค่ากับเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพวกเราดอก พวกที่ใช้ดินปืน ก็เป็นแค่พวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าสู้รบเท่านั้น”
“ใครเป็นคนกำหนดกฎข้อนี้?” เรานึกสนุกถามขึ้น “ใครกันเป็นคนบัญญัติกฎของสงคราม?”
ขุนพลมุสลิมไม่ตอบ แต่ชูนิ้วโป้งมาที่อกซ้ายของตน...
เราเพียงแต่ยิ้มไม่ว่าอะไรอีก
“ร่ำลือกันว่ากองทหารของออตโตมันส่วนใหญ่เป็นแต่ทหารราบ”
“กองทหารม้าอันภาคภูมิของเราจะบดขยี้พวกมันพรุ่งนี้”
เราเชื่อเช่นนั้น...
24 สิงหาคม 1516
ทุ่งหญ้าแห่งดาบิก...
สนามรบใกล้นครฮาเล็ปแห่งซีเรีย...
กองทหารม้าของเราเดินทางมาประจันหน้ากับกองทัพออตโตมัน ต่อหน้าพวกเขา ภาพที่ออกมาคือทหารม้าในชุดเกราะอ่อน ตกแต่งเบาะอานและชุดรบด้วยผ้าหลากสี ทั้งองอาจ ทั้งสง่า ทั้งน่าเกรงขาม ส่วนอีกฝ่ายนั้นเล่า เป็นเพียงแค่กองทหารราบสวมหมวกประหลาดถือปืนไฟหอกปลายขวานแต่เพียงเท่านั้น คนนำทัพเป็นชายสวมหน้ากากโพกด้วยหมวกผ้าสีแดงสลับขาว มือถือดาบโค้งโบกไปมาสั่งการอยู่เบื้องหน้า
เราอดหัวเราะกับภาพเบื้องหน้าไม่ได้ ทหารม้านายเหนึ่งกระตุ้นม้าเข้ามากระซิบกับเรา
“จานิสซารี่ย์” ทหารม้าว่า “ทหารทาส”
“ก็เหมือนกับพวกเรา?” เราพูดมุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ประเดี๋ยวก็จะเห็นกัน”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เสียงคำรามสนั่นลั่นทุ่งราวกับฟ้ากัมปนาทก็ดังขึ้น เสียงระเบิดดังตามมาจากด้านหลังของเรา ทุกคนแถวหน้าหันไปมอง กองทหารแนวหลังถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิดล้มกันระเนระนาด ม้าบางตัวเกิดพยศสะบัดตัวยกหน้าจนนายรั้งไว้แทบไม่อยู่ ทุกคนต่างตื่นตะลึงกับการโจมตีที่ไม่ได้ตั้งตัว ซ้ำไม่ให้ได้เตรียมใจ เสียงปืนใหญ่กระบอกต่อๆมาก็ดังตามขึ้นมาอีก
“ทหารหาญ!” แม่ทัพทหารม้ามัมลูคชูดาบขึ้นเมื่อเห็นท่าว่าขืนยืนม้าอยู่เป็นเป้านิ่งต้องสังเวยชีวิตเป็นเป้าให้กระสุนปืนใหญ่กันทั้งหมดแน่ “ข้าศึกผู้ขลาดเขลาอยู่เบื้องหน้าของเรา!”
เสียงโห่ร้องของทหารม้าทุกนายดังตามมา มือกระชับหอกแนบเล็งไปด้านหน้า บ้างชักดาบวงพระจันทร์ขึ้นเตรียมพร้อม เสียงแตรดังเป็นสัญญาณ ทิวธงปลิวสะบัด ทหารทุกนายกระตุ้นม้าให้วิ่งห้อตะบึงไปด้านหน้า พร้อมจะสะบัดกีบเข้าบดขยี้กองทหารราบของอริราชศัตรู
คนนำทัพสวมชุดแดงผ้าโพกของออตโตมันขยับหน้ากากมองพวกเรา มือชูดาบโค้งของตนขึ้น พูดอะไรบางอย่างที่ได้ยินเฉพาะแต่พวกเขา หากว่าเรานั้นมิสนใจ อีกเพียงไม่กี่อึดใจ ดาบ หอก กระบอง และอาวุธต่างๆนานาของเราก็พร้อมจะปะทะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าแล้ว
“ฆ่า!”
“ยิง!”
เสียงสวนกันของเราและคนนำทัพสวมหน้ากาก พลันเสียงเกือกม้าที่ควบปะทะดินก็ถูกขัดด้วยเสียงแผดร้องของปืนคาบศิลา ทหารม้าของเราหล่นจากหลังร่วงราวใบไม้ เราหันไปมองอย่างตื่นตระหนัก แต่ไม่ทันสิ้นผวา ม้าที่ขี่ก็ดีดเหวี่ยงเราลงจากหลังของมัน อาชาผู้ภักดีที่น่าสงสารถูกลูกกระสุนเหล็กพุ่งเข้าเต็มตัว เราล้มลงกลิ้งคลุกกับดิน พยายามเงยหน้าขึ้นมอง...
ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่ดังที่คิด ไม่ใช่ภาพของกองทหารม้าที่บดขยี้ทหารราบ กลับกลายเป็นม้าที่ล้มกลิ้งสิ้นท่านับร้อยนับพัน และทหารทาสจานิสซารี่ย์ฝ่ายข้าศึกที่โห่ร้องถือหอกปลายขวานวิ่งเข้าสำเร็จโทษทหารม้าที่เหลืออยู่ กองกำลังของทัพหลังเล่าก็ถูกระเบิดจากลูกกระสุนปืนใหญ่และปืนไฟโจมตีกันจนอลหม่านแตกหนีกัน ชายผู้เป็นแม่ทัพสูงสุดของเราชักม้าหนีจากสมรภูมิ เราพยายามลุกขึ้นหยิบดาบอีกครั้ง แต่ต้องชะงักเมื่อใบมีดเย็นเฉียบทาบเข้าที่ต้นคอ...
กัดฟันกรอดอย่างคับแค้นใจ... ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือชายสวมหน้ากากที่ยิ้มอย่างมีชัย...
กองทหารม้าที่ภาคภูมิใจของเรา.... พ่ายแพ้ต่ออานุภาพดินปืนเสียแล้ว...
มกราคม 1517
พระอาทิตย์หลบหลังเหลี่ยมเนินทราย สาดแสงฉาบท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงอันอาดูลย์ แม้ยังไม่ถึงเวลา แต่จันทร์ครึ่งดวงสีซีดก็เสนอตัวออกมากก่อนจะถึงฉากราตรี...
เราอยู่ที่หน้ากำแพงเมือง มองไปยังเหตุการณ์ที่เป็นไป...
เปลวไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากซากปรักหักพังด้านหน้า ร่างไร้ชีวิตของผู้คนล้มเกลื่อน แร้งกาบินอยู่สูงแม้จะเป็นในเขตเมือง สภาพที่น่าอเนจอนาถและความเงียบที่เปลี่ยวเปล่า ชักพาจิตใจให้จมดิ่งสู่ความเศร้า...
ที่ด้านหลัง เสียงฝีเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ และหยุดลง...
“น่าเศร้าใจที่พ่ายแพ้” คำพูดแสดงความเสียใจแต่น้ำเสียงนั้นไม่ใช่ เราหันกลับไปมองผู้มาเยือน ไม่ใช่ใคร แต่เป็นออตโตมันผู้กำชัย
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผิดใบหน้าสวมหน้ากากซ่อนอารมณ์และแววตาไว้...
“รู้อะไรไหมอียิปต์...” ชาวเติร์กผู้กำชัยพูด “คนที่ทำให้เจ้าแพ้น่ะ ไม่ใช่ข้าหรอก”
“จะเป็นใครอีก...” เราพูดเสียงแผ่วไม่สบตา อีกฝ่ายกระตุกยิ้มแล้วชี้นิ้วมาทางตัวเรา แล้วย้ายมายังฝักดาบทหารม้า
ผู้รุกรานเดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความเงียบงัน...
เราปลดดาบมาไว้ในมือ หันขึ้นมองประตูเมืองอีกครั้ง ทหารออตโตมันกำลักชักดึงเอาร่างไร้วิญญาณของสุลต่านแห่งลุ่มน้ำไนล์ขึ้นไว้เหนือประตูเมือง ร่างของตุลาการแห่งอียิปต์จะถูกแขวนไว้เช่นนี้ ตามคำสั่งของสุลต่านองค์ใหม่...
ที่ไคโร... บัดนี้ธงสีเหลืองทองสัญลักษณ์แห่งมัมลูคิยะห์หักสะบั้นลง พระจันทร์ที่เปล่งรัศมีเหนือมหาปีระมิดมีใช่จันทร์เสี้ยวแห่งมัมลูคอีกต่อไป...
หากแต่เป็นจันทร์ครึ่งวงบนผืนธงแดงแห่งออตโตมัน...
จำสละเกียรติและศักดิ์ศรี กลายเป็นเพียงผู้รับใช้...
ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว...
+_+_+_+_+_+_+_+_+_+
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น