ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Hetalia Fan Fiction]บันทึกของอียิปต์

    ลำดับตอนที่ #1 : เล่มที่๑ : บันทึกที่ถูกละเลย...

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 53




    "พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ..."

     




       เราไม่เคยคิดถึงวันนี้ เราไม่เคยคิดถึงช่วงเวลานี้ เราไม่เคยคิดถึงความโหดร้ายที่จะมา...

       ท่ามกลางควันไฟและคมดาบของสงครามศาสนา ผู้รุกรานจากตะวันตก หันความสนใจของเราไปที่ชายฝั่ง ที่นั่นธงประดับตรากางเขนเคลื่อนเข้ามาใกล้ เราพาธงจันทร์เสี้ยวเข้าปะทะ ทุกอย่างเป็นไปอย่างยืดเยื้อ และความสนใจของเราก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น...

       เราคือไคโร ที่มั่นแห่งศรัทธา ผู้พร้อมจะรับมือกับข้าศึกที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปผิดที่เขากระทำ... ดาบโค้งของเราจะตวัดเข้าหาศัตรูจากชายฝั่ง...

       เราเชื่อเช่นนั้น... จนหลงลืมไปว่าศัตรูไม่ได้มาแต่เพียงทางทะเล...

     

     

       ปีคริสตศักราชที่1259

       วันนั้นเราอยู่ที่วังของสุลต่าน...

       วังอันงดงาม ที่ประทับของสุลต่านแห่งมัมลูคิยะห์ จากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของทหารทาส ก้าวมาสู่ผู้นำสูงสุดของนักรบผู้ทรนงแห่งลุ่มน้ำไนล์

       สุลต่านได้รับข่าวร้าย ข่าวของผู้รุกราน... ไม่ใช่พวกชาวตะวันตกจากโพ้นทะเล แต่เป็นทหารม้าจากโพ้นทวีป...

       นักรบบนหลังม้าที่อาจหาญ ทุกย่างก้าวของเกือกที่ควบสะบัด คือซากปรักหักพังและเปลวไฟ จากเอเชียนครแล้วนครเล่าต้องศิโรราพเบื้องหน้าพวกเขา ปักกิ่งยอมศิโรราพ พวกเติร์กพินาจยับ ควอเรซเมียนกลายเป็นแค่อดีต เพียงชื่อของพวกเขาถูกเอ่ย ก็มากพอจะทำให้ผู้คนต้องขวัญผวา พวกยุโรปเรียกพวกเขาว่า "ตารตาร์" นักรบจากขุมนรกเบื้องล่างสุด ผู้มาเพื่อมอบหายนะแก่วันสุดท้ายของโลก... ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เราได้ยินเสียงร่ำลือในความโหดร้ายของพวกเขา

     

       เราอยู่ที่นั่น ในวันนั้น ในฐานะของประเทศ...

       เราอยู่ที่นั่น เมื่อชาวซีเรียและควอเรซมาถึงวังขององค์สุลต่านพร้อมน้ำตา...

       พวกเขาร้องไห้ ทึ้งดึงเสื้อผ้าตน เอ่ยวิงวอนทั้งน้ำตา ร้องขอถึงที่หลบภัยจากเพื่อนมุสลิม

        สุลต่านเเทบไม่เชื่อพระกรรณของพระองค์...

        "ใครกันที่ทำเรื่องร้ายกาจถึงเพียงนี้" พระองค์ว่า "จากคาเธย์ถึงซีเรีย มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นับสิบนับร้อยนั้นขวางกั้นอยู่"

        "บัดนี้นครเหล่านั้นพินาศสิ้นเเล้ว องค์ราชา" ผู้พลัดถิ่นว่าทั้งน้ำตา "ซามารคันด์กลายเป็นแต่เพียงซากแห่งอดีตไปแล้ว แบกแดด นครที่รุ่งโรจน์ของอิสลาม อาณาจักรของกาหลิบ ถูกอสูรกายแห่งทุ่งกว้างย่ำยีสิ้นแล้ว"

       "แม่น้ำไทกริสกลายเป็นสีดำ เพราะหมึกแห่งปัญญา หนังสือทุกเล่มถูกโยนลงในธาร ผู้คนถูกสังหารราวผักปลา แม้แต่สุนัขก็ไม่เว้น!"

       พระพักตร์ของสุลต่านยิ่งซีดเผือด เมื่อเหล่าผู้อพยพพูดถึงการล่มสลายของนครของเหล่านักรบแห่งอัยยูบิยะห์ เพื่อนบ้านชาวซีเรียของพระองค์ เล่าถึงชาวยุโรปและอาร์เมเนียที่พร้อมจะเข้าข้างทหารม้าเหล่านั้น พูดถึงความล้มเหลวทางการรบครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะต่อกรกับพวกคนเถื่อนจาก ตะวันออก เเละยิ่งเมื่อทราบข่าวว่าแขกที่พวกเขาพูดถึงกำลังมุ่งหน้ามายังกาซาหน้าด่าน ของอียิปต์ ผู้มาเยือนที่ถูกเรียกขานกันว่า "มองโกล"

       "โปรดคุ้มครองพวกเราด้วย!" เหล่าผู้อพยพชาวซีเรียร้องขอ

       สุลต่านผู้ทรงธรรม กษัตริย์ผู้เมตตา ทรงทราบดีถึงความเสี่ยงที่จะมอบที่พักให้แก่ผู้หลบหนี แต่พระองค์ก็ประทานที่ให้พวกเขาเหล่านั้น...

       ในคืนวันนั้น แสงไฟจากห้องสุลต่านไม่ได้ถูกดับ...

     

       มีนาคม ปี 1260


       ทูตที่ไม่พึงประสงค์ปรากฎตัวที่ไคโร...

       "เจ้าชายฮูเลกูต้องการให้อียิปต์ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข" ทูตตารตาร์พูดทะลุขึ้นกลางปล้องหลังส่งมอบราชสาน์ส ทั่วทั้งโถงประชุมนั้นคับคั่งด้วยผู้คน แต่กลับเงียบสนิทจนน่าอึดอัด

       "ให้เรายอมจำนนเช่นนั้นหรือ?" สุลต่านคูตุชแห่งอียิปต์ฝืนยิ้มมองคณะทูต "แล้วผู้ลี้ภัยชาวซีเรียแลควอเรซที่หนีมาพึ่งเราเล่า"

       "คนเหล่านั้นเป็นพลเมืองของจอมข่าน หากพระองค์ไม่ส่งตัวกลับ เกรงว่า... ไคโรจะอยู่ได้มิยั่งยืน"

       "สามหาว!" ขุนพลบัยบัร แม่ทัพคู่ใจของสุลต่านว่าขึ้นทันทีหลังสิ้นเสียง "จะให้พวกเรายอมจำนนต่อพวกคนเถื่อนผู้ย่ำยีนครของกาหลิบเช่นนั้นหรือ!?"

       เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งเสียงก่นด่าทูตมองโกลกันระงม แต่ผู้นำสารกลับยิ้มเยาะไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้นแม้อยู่ต่อหน้าสุลต่านก็ตาม

       "เจ้าหัวเราะอะไร?"

       "เคียฟ มัสโควี่ แบกแดด ควอเรซเมียนก็พูดเช่นนี้ เมื่อทูตของเราไป แล้วยามนี้เป็นอย่างไรเล่า? ทุกนครต่างยอมคุกเข่าให้จอมข่าน" ทูตว่าสำทับ เสียงที่แซงแซ่อยู่เงียบไปในบัดดล "ข้าพระองค์ขอเตือน กองทัพของเจ้าชายฮูเลกูเหยียบดามัสกัสจนราพณาสูรแล้ว ไม่นานจะถึงเยรูซาเล็ม และอียิปต์จะไม่รอดหากมิยอมจำนน ผู้คนของพระองค์จะกลายเป็นทาส ซากศพจะเกลือนเมืองทุกเมือง สุเหร่ามัสยิดอันงดงามจะกลายเป็นแค่ซากปรักหักพัง!"

       เสียงโห่ไล่ดังมาจากทั่วทุกมุมห้อง สุลต่านกุมพนักบัลลังก์แน่นขบพระทนต์อย่างขุ่นเคือง ครั้นสบตามองราชทูตได้ครู่หนึ่งก็คว้าเอาราชสาน์สจากมือสมุหราชมณเฑียร ฉีกกระชากจนขาดเป็นสองส่วนต่อหน้าที่ตะลึงงันของทูตมองโกล

       "พระองค์ทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการสบประมาทจอมข่าน!" ทูตว่า "หากจอมข่านทรงทราบ พระองค์จะถูกมัดลากกับม้าไปทั่วทุกมุมเมือง และจะถูกแขวนประจานไว้กลางจตุรัส!"

       "ข้าทำไปแล้ว!" สุลต่านว่า "และจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ!"

       พระหัตถ์โบกวูบ เราและทหารผู้ภักดีเข้ากุมตัวราชทูตตารตาร์ทันที เสียงร้องทักท้วงของทูตดังไปตลอดทาง แต่ไม่นานเมื่อเสียงชักดาบดังมาแต่ไกล เสียงของคณะราชทูตก็ขาดสิ้นไป...

       วันรุ่งขึ้น ศพของอดีตนักการทูตถูกเสียบประจานไว้กลางจตุรัสกรุงไคโร...

     

     

       เราอยู่กับแม่ทัพบัยบัร ท่านจัดทัพ และเตรียมตัวสำหรับการศึก...

       "สุลต่านทรงเสี่ยงที่จะเล่นเกมนี้" แม่ทัพบัยบัรพูดขณะลับดาบโค้งของตน "เดิมพันด้วยชีวิต..."

       เราไม่พูดอะไรนอกจากขัดดาบของตัวเอง ดาบด้ามขอบทองของราคาเเพง...

       "เจ้ากลัวหรือไม่?" แม่ทัพชาวมัมลุคถาม

       "ทุกคนล้วนมีความกลัว" เราตอบไป แม่ทัพหัวเราะ แต่หลังจากนั้น ก็มีแต่เสียงลับคมมีด

       "มีหนทางอื่นนอกจากการสู้ไหม?" เราพูดไป อีกฝ่ายชะงักมือ เลิกคิ้วมอง แล้วก้มหน้าขัดดาบต่อ... อย่างไรเสียเราก็ไม่ได้หวังคำตอบอยู่แล้ว...

       "ชีวิตล้วนต้องดิ้นรนต่ือสู้" ขุนพลใหญ่ตอบหลังจากนิ่งไปนาน

       "การรบครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อรุกราน แต่เป็นเพื่อการปกป้อง... ลูกหลานของเราจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อ บ้านเมืองที่งดงามของเราจะรอดจากหายนะ และสิ่งดีงามอันมีอยู่ ก็จะคงไว้ไม่ถูกย่ำยี"

       "แล้วพวกเราจะรอดหรือไม่?" เราแหงนหน้าถามอีกครั้ง บัยบัรยิ้มก่อนจะตอบ

       "รอดหรือไม่รอดไม่สำคัญ สำคัญแต่ว่าเราสู้ได้แค่ไหน...

       หากเราสู้จนตัวตาย ชื่อของเราก็จะยังคงอยู่ได้ แต่หากไม่ เราก็จักตายอย่างไร้ค่า!"

     

     

       3 กันยายน 1260

       เราอยู่ที่อัยน์ ญาลูต ชื่อเเปลว่าน้ำพุแห่งโกไลแอท...

       โกไลแอท ทหารยักษ์ที่ดาวิดน้อยเหวี่ยงหินโค่นลงได้

       หากเป็นไปได้เราก็อยากเป็นอย่างดาวิด เพราะด้านหน้าเราคือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก กองทัพที่บดขยี้มาแล้วตั้งแต่สุดขอบตะวันออกจรดตะวันตก...

       กองทหารข้างเราหากเทียบกำลังแล้วช่างน้อยนัก... แต่ดูฟ้าสวรรค์จะเข้าข้างเรา ฮูเลกูกลับไปยังซามารคันด์ เพื่อฟังข่าวการชิงบัลลังก์กันของจอมข่านที่ต้าตู้ เหลือเพียงนายพลคิตบูกาเฝ้ารักษาชายแดน แต่นั่นก็ไม่ได้ลบภาพอันน่ากลัวของพวกเขาลงเลย... กองทัพปีศาจก็ยังคงเป็นกองทัพปีศาจวันยังค่ำ...

       ที่ผ่านมาเรื่องทุกอย่างช่างง่ายดาย พวกเรายกทหารข้ามพรมแดนออกมาได้อย่างง่ายดาย พวกฟรอนญ์แห่งเยรูซาเล็มนั้นเอื้อประโยชน์ให้เรา พวกเขาเกรงกลัวนักรบจากเอเชียพอๆกับพวกเรา แม้ไม่ส่งกองทัพเข้าร่วมรบ แต่ก็เปิดทางให้เดินทัพโดยสะดวก เสบียงอาหารครบครัน และเราก็มาถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย เพื่อนชาวซีเรียเข้าร่วมกองทัพกับเราเพื่อต่อต้านผู้รุกรานจากตะวันออก ทำให้กำลังพลของเราเพิ่มมากขึ้น อีกเพียงไม่เท่าไหร่กองทัพก็พร้อมจะกอบกู้ดามัสกัส...

       แต่เรื่องราวด้านหน้าเรากลับดูไม่ราบรื่นเลย ลูกธนูสาดว่อนไปมา กองทัพทหารราบถูกตีจนแตกกระจายล่าถอย กองทัพเพื่อนบ้านซาราเซ็นหนีตายกันจ้าละหวั่น พลทหารทั้งนายทัพวิ่งแข่งกันเอาชีวิตรอด ทหารม้ามองโกลควบแกว่งดาบฟาดฟันเพื่อนเราดังร่อนขนแกะ ความหวังที่เคยพุ่งวูบขึ้นมานั้นดิ่งลบจนน่าใจหาย อีกเพียงไม่กี่อึดใจทหารม้ามองโกลก็จะปะทะกับทหารม้าตรงปีกทัพของเรา...

       เสียงหัวใจเต้นระรัว ลมหายใจหอบถี่... เรามองไปเบื้องหน้า กองทหารสีดำกำลังมุ่งใกล้เข้ามาทุกที

       "พวกเราจะชนะไหม?" เราถามบัยบัรอีกครั้ง เขายิ้มก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ

       "พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ"

       ดาบถูกชักออกมา ทหารม้ามัมลุคทุกนายกระชับโล่ดาบทั้งอาวุธเตรียมพร้อมกับสงครามนองเลือดเบื้องหน้า

       สัญญาณแตรดังลั่น ทหารม้าอียิปต์ของเราควบไปด้านหน้า สวนกับกองทหารราบที่แตกพ่ายกลับมา ทหารม้ามองโกลพุ่งตรงดิ่งเข้าหาฝ่ายเราเช่นกัน ดาบควงสะบัด ทวนแนบจ่อตรง อีกชั่วอึดใจทั้งสองกองก็จะปะทะกัน...

       ชัยชนะ...

       หรือความพ่ายแพ้...

     

     

     

     

     

       8 กันยายน 1260

        กองทหารม้ามัมลุคเดินเข้านครดามัสกัส พร้อมเสียงโห่ร้องยินดี และความปลื้มปิติของการมาในฐานะผู้ปลดปล่อย...

    +_+_+_+_+_+_+_+
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×