คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : เลือกข้างทางการเมือง
วันจันทร์ที่่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2545
โปสเตอร์ที่หลินกับไนท์ทำ แอนได้นำไปติดแทนที่อันเก่า และมีการพิมพ์เพิ่มเติมกว่า 30 แผ่นในวันอาทิตย์ ทำให้ในวันจันทร์โปสเตอร์สีเหลืองก็ถูกแปะไปทั่วโรงเรียน ด้วยความโดดเด่นของป้ายหาเสียง ทำให้แกนนำฝ่ายขวาอย่าง เอก นักเรียนชายชั้น ม. 5 สายวิทย์-คณิต ถูกกดดันจากครูที่สนับสนุน ขณะเดียวกันฝ่ายครูหัวเก่าก็ประชุมกันอย่างลับ ๆ
“โปสเตอร์ที่เด็กพวกนั้นทำมันใหญ่กว่า A4 เราน่าจะออกข้อบังคับใหม่ แล้วให้พวกเขาเอาออกซะ”
อาจารย์สมหมาย ครูฝ่ายปกครองเสนอ
“ดิฉันไม่คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีนะคะ กฏที่อยู่ ๆ ก็บัญญัติขึ้นมาหลังจากที่เขาทำไปแล้ว นอกจากจะไม่ศักดิ์สิทธิ ยังเป็นประเด็นให้เด็กใช้โจมตีเรื่องความชอบธรรมได้อีก เขาจะโจมตีว่าเรากลั่นแกล้งพวกเขาได้”
อาจารย์สมศรี ครูสอนภาษาไทยค้าน พร้อมกับมองลอดกรอบแว่นไปทางครูสมหมายด้วยสายตาดูแคลน
“งั้นทำไมไม่ให้ครูศิลปะ ออกแบบโปสเตอร์อันใหม่ไปสู้ล่ะ ?”
อาจารย์ทรงพล ครูวิทยาศาสตร์พูดพร้อมกับหันไปทาง อาจารย์สมาน ครูศิลปะวัยใกล้เกษียนที่นั่งกอดอกฟังเงียบ ๆ ตั้งแต่ต้น
“คุณเพิ่งมาเห็นหัวผมเอาตอนนี้เนี่ยนะ แล้วโปสเตอร์แบบแรกคุณให้ใครออกแบบ ?”
อาจารย์สมานพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“คุณอยากให้พวกเด็กนั้นได้อีกสมัยแล้วทำระบบกิจกรรมเละเทะเหมือนปีที่ผ่านมารึยังไง?”
อาจารย์สมหมายถามกลับ
“พวกคุณชนะไปก็ไม่ได้สนับสนุนชมรมของผมอยู่ดี พวกคุณเอาแต่สนับสนุนกีฬา สนับสนุนวิชาการ เพื่อเขียนรายงานส่งกระทรวงศึกษาฯ แค่นั้นแหละ เด็กผมที่เก่ง ๆ รุ่นแล้ว รุ่นเล่า จบไปได้แค่ทำงานที่นี่ ตายที่นี่ จนผมเลิกปั้นเด็กแล้วปล่อยให้มันตั้งชมรมกันเองแล้ว แล้วพอเด็กมันใช้ศิลปะแก้ปัญหาได้ พวกคุณก็ดันสติแตกขึ้นมา”
อาจารย์สมานอธิบายรัวเป็นชุด ใส่อารมณ์อย่างเร่าร้อน
“ก็ได้ ๆ หลังจากนี้เราจะพิจารณาเรื่องงบให้ภาควิชาจิตรกรรม ตกลงไหม ?”
อาจารย์สมหมายเสนอ พลางมองหน้าทุกคนในห้องประชุมเพื่อขอความเห็น และทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
“สายไปแล้วล่ะครับ หนึ่ง คือผมไม่ลดตัวไปแข่งกับเด็ก และสอง ในเรื่องการมุ้งการเมืองไร้สาระนี่ผมไม่เข้าข้างใครอีกแล้ว ผมไม่ได้จบเพาะช่างมาเพื่อดับความฝันเด็ก ผมเข้าข้างศิลปะ !”
เมื่ออาจารย์สมานพูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุม
“เดี๋ยวอาจารย์สมาน.. อาจารย์สมาน !”
อาจารย์สมหมายยังตะโกนตามหลัง จนประตูกระจกสีชาของห้องประชุมปิดลง
ขณะเดียวกันนั้น เอกนักเรียนชาย ม.5 หน้าตาหล่อเหลาก็มายืนเคาะประตูกระจกเพื่อขออนุญาตเข้าห้องประชุม อาจารย์สมหมายกวักมืออนุญาต
“มีอะไรว่ามา”
“ผมคิดว่าเราไม่ต้องไปสู้เรื่องโปสเตอร์ก็ได้ครับ มันไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด ผมขอความร่วมมืออาจารย์ทุกคนหาเวลาให้ผมได้เข้าไปหาเสียงในห้องเรียนที่พวกท่านเป็นที่ปรึกษาด้วยก็พอครับ ส่วนงานดีเบตครั้งสุดท้ายตอนสิ้นเดือน ซึ่งผมมั่นใจว่าแอนไม่มีทางชนะ ยัยมืดมนนั่นพูดไม่เก่งเท่าผมหรอกครับ”
เอกพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจแน่วแน่
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ฉันหวังว่าคงไม่เสียแรงหรอกนะที่ส่งเธอไปประกวดโต้วาทีทุกปี ๆ”
อาจารย์สมศรีเสริม ไม่ลืมที่จะมองลอดแว่นและยิ้มเยาะเย้ยอาจารย์คนอื่น
“อีกเรื่องคือมีเด็กนักเรียน ม. 4 สองคนที่ถ้าผมได้มาเป็นพวก เรามีสิทธิชนะสูง”
“ใครกัน ?”
ครูในห้องประชุมแทบจะถามประสานเสียงกัน
“เด็กนักเรียนหญิงที่ชื่อ รุ่งอรุณ กับ สนธยา”
…..
“นิ้นลาจะเลือกใครเป็นประธานนักเรียน ?”
รุ่งแอบคุยกับวานิลลาขณะที่เอกกำลังปราศัยอยู่หน้ากระดานในคาบโฮมรูม
“อาจจะเลือกเบอร์ 2 นะ เราเป็นนายทุนออกค่าป้ายให้เขาด้วยแหละ”
“อะไรนะ !? งั้นนิ้นลาก็รู้สิว่าใครเป็นคนออกแบบ”
“ไนท์ออกแบบ แล้วก็มีพี่หลินที่อยู่ ม. 5 ช่วยทำด้วยกัน”
สีหน้ารุ่งเปลี่ยนทันทีที่เอ่ยถึงชื่อไนท์
“ไม่ได้นะ นิ้นลาต้องเลือกจากนโยบายสิ จะเลือกเพียงเพราะได้ร่วมสังฆกรรมกับเขาไม่ได้”
“แต่พวกพี่แอนเขาก็เป็นคนดีนะ ไนท์เองก็เป็นคนใจดี ตลก แค่เขาชอบทำตัวรั่วต่อหน้าแม่เฉยๆ ถ้าแม่เปิดใจอาจจะชอบเขาก็ได้”
“ไม่! เราไม่มีทางชอบหมอนั่น !”
รุ่งพูดใส่อารมณ์จนลืมกระซิบ
“มีอะไรเหรอครับ ?”
เอกที่อยู่หน้าห้องถามรุ่งด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ม…ไม่มีอะไรค่ะ ขอโทษค่ะ”
วานิลลาป้องปากกระซิบ
“เราหมายถึงชอบแบบเพื่อน”
เมื่อการปราศัยของเอกจบลงเขาก็เดินออกประตูหน้าห้องไปพร้อมเสียงกรี๊ดกร๊าดของพวกผู้หญิง แล้วอาจารย์ประเสริฐก็เข้ามาแทนที่
“รุ่งอรุณ กับ สนธยา เอกชัยเขาขอคุยกับพวกเธอส่วนตัวที่หน้าห้องน่ะ”
อาจารย์ประเสริฐประกาศ รุ่งกับวานิลลาจึงได้แต่เดินออกประตูหลังไปแบบงง ๆ
“สวัสดีค่ะ”
สองสาวไหว้ทักทายเอก
“สวัสดีครับ นี่รุ่งอรุณ กับสนธยาใช่ไหม ?”
“ค่ะ”
“คือพี่อยากให้พวกเรามารับหน้าที่ช่วยงานกรรมการนักเรียนด้วยกันถ้าพี่ชนะ เผื่อจะสืบสานเจตนารมณ์พี่ในปีหน้า และพวกน้องก็ทำคะแนนสอบเข้าสูงสุดด้วย พรรคเราต้องการคนเก่ง ๆ มาทำงานน่ะ”
เอกอธิบายพร้อมกับสบตาทั้งสองคนไปด้วย
“ไม่รู้สิคะ คือหนูตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียวตั้งแต่ ม. ต้น แล้ว ถ้างานเอกสารอาจจะช่วยได้ แต่ออกไปพูดกับคนเยอะ ๆ หนูอาจจะไม่เก่งเท่าไหร่”
รุ่งพูดเขิน ๆ และไม่กล้าสบตาเอกตรง ๆ
เอกก้มมาอยู่ระดับเดียวกับสายตารุ่ง
“พี่ดูเราตั้งแต่ตอนประกาศหาคนเข้าชมรมห้องสมุดแล้ว น้องรุ่งทำได้แน่”
เอกพูดพร้อมกับมองตารุ่งอย่างแน่วแน่ในตำแหน่งที่เธอไม่สามารถหนีไปไหนได้ รุ่งเขินจนหน้าแดง
จากนั้นเอกจึงหันไปพูดกับวานิลลา
“ส่วนสนธยาน้องก็ทำข้อสอบแบบชิล ๆ ภายในไม่กี่นาทีด้วยไม่ใช่เหรอ แถมยังนั่งทำคนเดียวอีกต่างหาก”
“ฟลุคน่ะค่ะ”
วานิลลาตอบหน้าตาเฉย ในความคิดของเธอข้อสอบนั่นง่ายเสียจนเธอต้องจำใจกามั่วเพื่อเนิฟตัวเองไปบางข้อด้วยซ้ำ ไม่งั้นคงได้คะแนนเต็ม
“ทั้งสองคนลองเก็บไปคิดดูนะ พี่ไปก่อนครับ”
เอกบอกลา ขณะเดียวกันวานิลลาก็หันไปเห็นว่ารุ่งยังคงเหม่อมองตามเขาจนลับตา ใช้นิ้วชี้ม้วนปอยผมตัวเองเล่นวานิลลาเรียกรุ่งสามรอบเธอถึงจะสะดุ้งตื่นจากภวังค์
…..
เวลาพักเที่ยงรุ่งกับวานิลลาเลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยวเช่นเคย วานิลลายังกินเส้นหมี่ รุ่งกินเส้นเล็ก ซึ่งกลายเป็นเมนูสิ้นคิดของพวกเธอไปแล้ว
แอนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับหลินสังเกตุเห็นทั้งสองกำลังถือจานหาที่นั่งอยู่ก็โบกมือเรียกให้วานิลลาไปนั่งด้วย วานิลลาตอบรับอย่างร่าเริง
“สวัสดีค่ะพี่แอน นี่เพื่อนหนูชื่อรุ่ง.. รุ่งนี่พี่แอนกับพี่หลินอยู่ ม. 5”
รุ่งพนมมือไหว้แบบสงวนท่าที แล้วนั่งถัดจากวานิลลาเงียบ ๆ
“น…น่ารักจัง !”
หลินชม มองรุ่งด้วยตาที่เป็นประกาย รุ่งยิ้มตอบ แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามจ้องตาไม่กะพริบ เธอจึงเริ่มรู้สึกประหม่า
บรรยากาศในโรงอาหารเริ่มเปลี่ยนไป พวกผู้ชายเริ่มสะกิดกันดูโต๊ะของพวกแอน ซึ่งบัดนี้กลายเป็นโต๊ะรวมดาวโรงเรียนทั้ง 2 รุ่นไปแล้ว
“น้องสองคนเป็นพี่น้องกันรึเปล่า ทำไมหน้าคล้าย ๆ กัน”
แอนตั้งข้อสังเกต
“มีคนทักอยู่บ่อย ๆ เหมือนกันค่ะ”
วานิลลาตอบ ใบหน้าแดงเรื่อ เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกชมว่าสวยเหมือนแม่ แบบที่เคยถูกทักบ่อย ๆ ตอนยังเป็นเด็ก
“วานิลลาลองรวบผมดูสักแป๊บสิ”
แอนขอร้อง วานิลลาจึงหันไปยืมยางรัดผมของรุ่งมาลองรวบผม และลองจัดทรงแบบเดียวกับรุ่งดู แอนกับหลินตบเข้าฉาด
“เหมือนกันอย่างกับแกะ เชื่อแล้ว ๆ”
แอนพูด แล้วทั้งสามคนก็หัวเราะร่า รุ่งที่ยังไม่สนิทได้แต่ยิ้มเกร็ง ๆ แม้จะรู้สึกตะลึงตอนที่วานิลลารวบผมอยู่เหมือนกัน
หลังจากนั้นรุ่นพี่ทั้งสองก็หันไปคุยเรื่องธุระกันต่อ รุ่งจับใจความได้ว่าพวกเขาเริ่มหาเสียงในหมู่เด็ก ม. ต้น กันแล้ว
เมื่อนั่งกินกันไปสักพัก แอนก็เรียกเด็กผู้ชาย ม. ต้น อีกสองคนมาสมทบ เป็นไนท์กับเพื่อนของเขาอีกคน
“พี่แอนใช่ไหมครับ ผมฮอลล์นะครับ ปีนี้ผมเลือกพี่แน่นอนครับ ผมเป็นแฟนคลับพี่ตั้งแต่เข้า ม. 1 ปีที่แล้วที่พี่แต่งชุดไทยสวยมากเลยครับ”
ฮอลล์เข้ามาทักก่อนด้วยความคลั่งไคล้ ทำให้ไนท์ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวอะไรอีก
“ไนท์ขอบคุณสำหรับ เสาร์ อาทิตย์ ที่ผ่านมานะ”
แอนขอบคุณเขาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าง ๆ อยากโชว์ความสามารถอยู่พอดี”
ไนท์ตอบแบบเก๊กๆ นั่งลงและคนส่วนผสมในก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กน้ำใสของเขา ลืมสังเกตว่าเขากำลังนั่งตรงข้ามรุ่งอยู่พอดิบพอดี เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งตรงข้ามกินแบบเดียวกัน เขาจึงเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาเห็น
“อุ้ย !”
เขาโพร่งออกมาพร้อมกับทำช้อนในมือร่วง เพราะสบตาเข้ากับหน้าบูดบึ้งของรุ่ง หลังจากนั้นจึงพยักหน้าทักทายเธอ แต่เธอไม่พยักหน้าตอบ กลับก้มหน้าก้มตาลงไปกินก๋วยเตี๋ยวของเธอต่อ
“สองคนนั้นเขาไม่ถูกกันเหรอ ?”
แอนแอบกระซิบถามวานิลลา
“พอดีไนท์เขาชอบทำตัวเป็นอาหวังใส่รุ่งน่ะค่ะ รุ่งเขาเลยขยะแขยงตั้งแต่แรกเลย”
วานิลลาแกล้งพูดออกมาดัง ๆ
ไนท์สำลัก
“อะไรคืออาหวัง ?”
แอนสงสัย หลินที่รู้ความหมายเลยกระซิบบอกเธอ ทำให้เธอขำจนต้องเอามือกุมท้อง
ไนท์ทักวานิลลา เพื่อพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“เธอกินเส้นหมี่เหรอ ?”
“ก็รสชาติมันเข้มข้นกว่า”
“มันข้นเพราะแป้งในเส้นมันละลายต่างหาก อยากได้รสน้ำซุปแท้ ๆ ยังไงก็ต้องเส้นเล็ก จริงไหมครับพี่รุ่ง”
รุ่งทำเป็นหูทวนลม รู้สึกอยากเปลี่ยนเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นเส้นอื่นเสียเดี๋ยวนั้นถ้าทำได้
แอนที่ดูเหตุการณ์และเห็นความพยายามของไนท์ในการเข้าหารุ่งก็รู้สึกตลก
“เดี๋ยวเถอะ มีวานิลลาอยู่แล้วยังไปจีบผู้หญิงอื่นอีก”
“ไม่ใช่นะครับ(คะ)!”
ไนท์, วานิลลา, และรุ่ง พูดแทบจะประสานเสียงกัน จากนั้นบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียด
“ล้อเล่นจ้า กินข้าวกันต่อเถอะ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยเรื่องทั่วไป วานิลลาเข้ากับคนอื่นได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่รุ่งรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เริ่มรู้สึกว่าวานิลลาไม่ใช่คนขี้อายแบบเดียวกับเธอ และรู้สึกว่าเธอกำลังถูกพรากเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอไป
ฮอลล์มองดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ ด้วยความเพลิดเพลิน รู้สึกเหมือนดูเหล่านางฟ้ากำลังหยอกล้อกัน
…..
บ่าย 3 โมงครึ่ง
หลังจากรุ่งเดินไปส่งวานิลลาขึ้นรถ มีบางสิ่งรบกวนจิตใจเธอ เธอเริ่มรู้สึกไม่มั่นคง เธอเคยถูกเพื่อนสมัย ม. ต้น ทิ้งมาก่อน เคยโดดเดี่ยวมาตลอดจนไม่อยากเรียนต่อที่โรงเรียนเก่า ตั้งแต่นั้นเธอก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมยึดติดกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป
คิดได้ดังนั้นเธอจึงวิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียน มุ่งหน้าไปที่ห้องของนักเรียน ม. 6 ซึ่งเอกยังอยู่ที่นั่นกับพรรคพวกในพรรคฝ่ายขวาอยู่พอดี
รุ่งพูดทั้งที่ยังหอบ
“หนูคิดได้แล้วค่ะ หนูจะร่วมด้วย”
ความคิดเห็น