ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักได้ไหมพ่อคนไฮโซ?

    ลำดับตอนที่ #2 : คนผ่านทาง

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 67


     

    เวธิกาและศิรดาไม่อยากรบกวนป้าจันทร์จนเกินไป เพราะแค่ได้พักอาศัยค้างคืนหนึ่งคืนพร้อมทั้งการดูแลต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พวกหล่อนก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว จึงแค่ถามรายละเอียดเส้นทางจนจำขึ้นใจ และตั้งใจจะหาทางออกมาจากไร่ให้ได้ด้วยตัวเอง ถือเป็นการท่องเที่ยวผจญภัยตามแบบที่ตั้งใจมาแต่แรกด้วย ไหนๆก็หลงทางกันมาครั้งหนึ่งแล้ว อย่างน้อยความกลัวมันก็ลดน้อยลง อีกเหตุผลคือความจริงแล้วพวกหล่อนก็ไม่ได้รีบจะไปไหนตามที่บอกไว้กับป้าจันทร์ ไม่ได้มีธุระเรื่องงานตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเพราะไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านมากไปกว่านี้ เวลานี้ยังเช้าอยู่มาก ยังมีเวลาสำหรับการเดินทางอีกมาก ถึงจะหลงทางไปอีกบ้างก็ไม่เป็นไร

    สองสาวเดินมาตามเส้นทางที่หญิงสูงวัยบอกไว้ เดินมาจนถึงทางแยกเดิมที่มีเส้นทางแยกไปสามสาย แล้วให้เลี้ยวขวาเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอกับเนินสูงซึ่งพวกหล่อนต้องไต่ข้ามเนินดินนี้ไป เมื่อขึ้นไปด้านบนได้ก็จะเจอกับเส้นทางสายใหญ่ทอดยาวเข้าสู่ตัวเมือง เส้นทางหลังจากนั้นก็ไม่ยากแล้ว นี่เป็นทางลัด จากคำบอกเล่าแล้วฟังดูก็ไม่น่าจะยาก แต่เอาเข้าจริงตลอดเส้นทางที่ผ่านมาไม่ได้เดินสะดวกสบายสักนิด สองสาวเดินกันมาอย่างทุลักทุเล เพราะเส้นทางต่างระดับและมีหญ้ารกขึ้นสูงจนถึงเข่า เกือบจะลื่นหกล้มไปก็หลายครั้ง ดีที่ช่วยพยุงกันมาจนถึงเนินสูงตรงหน้า

    “น่าจะเป็นเนินดินนี่ ถ้าเราข้ามขึ้นไปแล้วเดินต่อไปอีกหน่อยก็คงเจอเส้นทางเข้าไปในตัวเมืองแล้ว แต่สูงไม่ใช่เล่น” เวธิกาชี้ให้เพื่อนดูเนินดินต่างระดับเบื้องหน้า ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปมากมองจากตรงนี้ราวกับว่าพวกหล่อนกำลังยืนอยู่ภายในหลุมลึกและเนินดินนั่นก็เหมือนปากหลุมยังไงยังงั้น

    “แล้วเราจะขึ้นไปได้ยังไงล่ะ? สูงขนาดนั้น ป้าจันทร์ไม่เห็นบอกเลยว่าทางขึ้นมันจะชันขนาดนี้” ศิรดาเห็นเนินดินตรงหน้าพลันหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ มองไปรอบด้านไม่มีสิ่งใดให้ช่วยพยุงตัวเองขึ้นไป นอกจากต้องตะเกียกตะกายพาตัวเองขึ้นไปให้ได้ด้วยกำลังแขนและขาของตัวเองเท่านั้น เวธิกาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด มองต้นไม้ขนาดลำต้นเท่าต้นแขนขึ้นอยู่โดดเดี่ยวต้นหนึ่งอยู่บนเนินต่างระดับขึ้นไป สังเกตุจากร่องรอย เชือกเส้นหนึ่งที่ผูกมัดไว้ เดาว่าต้องมีคนใช้เชือกเส้นนั้นโหนตัวขึ้นไป แต่มันติดปัญหาตรงที่ว่า เชือกเส้นนั้นปลายเชือกมันดันขาดท่อนซะนี่

    “ลองดู! ฉันจะลองปีนขึ้นไปให้ได้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะหาทางช่วยดึงแกขึ้นไป แกรอตรงนี้ก่อน” หล่อนตัดสินใจรวดเร็วก่อนจะมองหาตำแหน่งที่สามารถเกาะยึดได้ หาไม้แข็งๆเท่าที่หาได้แถวน้ันมาขุดแซะดินแข็งๆให้เป็นช่องเพื่อจะได้ใช้เกาะยึดและพาตัวเองขึ้นไป เวธิกาใช้เท้าวางเข้าไปยังตำแหน่งด้านล่างที่ขุดไว้ใช้สองมือเกาะเกี่ยวไว้ข้างหนึ่ง อีกมือก็คอยเอาไม้มากระแซะดินที่อยู่สูงขึ้นไปออกด้วยความยากลำบาก เพียงไม่นานดินที่รับน้ำหนักหล่อนไว้ เพราะความอ่อนนุ่มหรืออาจเพราะน้ำหนักตัวหล่อนที่มีมากเกินไปจึงทำให้เลื่อนไถลลงมาตรงตำแหน่งเดิมอีก เวธิกากระโดดลงมาตามสัญชาตญาณ แต่หล่อนก็ไม่ยอมแพ้ ลองใหม่ ตรงตำแหน่งใหม่ใกล้กันนั้น แต่ผลก็เหมือนเดิม คือร่วงลงมาเหมือนเดิม เวธิกาปัดเศษดินตามใบหน้า เส้นผมและเสื้อผ้าอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แขนเริ่มรู้สึกล้าแล้ว

    สักพักเหมือนจะได้ยินเสียงกลุ่มคนจากทางด้านหลัง ก่อนที่จะปรากฎร่างชายสามคน

    คนแรกรูปร่างสันทัด มีมัดกล้ามดูแข็งแรง แต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป มีผ้าลายตารางหมากรุกผืนบางกลางเก่ากลางใหม่พันอยู่รอบลำคอ

    คนกลางที่ตามมาด้านหลังรูปร่างสูงโปร่งมากทีเดียว อาจเพราะความสูงจึงทำให้ดูผอม เขาสวมหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้า แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวคลุมทับด้วยเสื้อแขนยาวตัวหนาด้านนอกอีกชั้น สวมกางเกงยีนส์ขนาดเท่าลำตัว ดูยังไงก็ไม่เหมือนชาวบ้านแถวนี้ แต่งกายดูดีเกินไปด้วยซ้ำ ไม่เหมาะกับจะมาเดินท่องเที่ยวในป่าแบบนี้ น่าจะไปเดินบนแคทวอคมากกว่า

    คนที่สาม รูปร่างสูงไล่เลี่ยกับคนที่สอง สวมเพียงเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น กับกางเกงผ้าเนื้อหนาสีเข้ม เพราะเขาไม่สวมหมวก จึงทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาดูดี หน้าใสราวกับหนุ่มเกาหลี แถมยังดูเป็นคนอารมณ์ดี สังเกตุจากรอยยิ้มน้อยๆที่ระบายอยู่บนใบหน้า สองคนนี้อย่าว่าแต่เดินในป่า ต่อให้เดินอยู่ในเมืองผู้คนมากมาย ก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตาด้วยซ้ำ

    ชายสามคนเดินผ่านพวกหล่อนไป โดยไม่ได้สนใจเลยสักนิด อาจเพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวที่ใช้เส้นทางเดินป่า แถวนี้บ่อยจนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติกับการเห็นคนในเมืองเดินอยู่ในป่าแถบนี้ เวธิกาเห็นชายสามคนตะกายพาตัวเองขึ้นไปด้านบนอย่างง่ายดาย ท่ามกลางสายตางุนงงของหล่อนและเพื่อน ก่อนที่ทั้งสามจะหายไปจากสายตา ศิรดาก็รีบเรียกไว้อยากรวดเร็ว

    “เดี๋ยวค่ะ! รอก่อน!” ชายสามคนมองลงมา

    “ช่วยดึงเราขึ้นไปด้วยได้มั้ยคะ? คือ..มันสูงมาก พวกเราขึ้นไปไม่ไหว” ทั้งสามหันกลับมา แต่กลับยืนนิ่งสองคนเหมือนกำลังรอฟังคำสั่งของชายคนกลางร่างสูงที่สวมหมวกปิดบังใบหน้า ซึ่งชายคนนั้นก็แค่ยืนนิ่งๆ ราวกลับไม่รับรู้ถึงคำร้องขอของพวกหล่อน ท่าทางเย็นชานั่นทำให้สองสาวรู้สึกอึดอัด เวธิกาเห็นชายคนนั้นขยับปีกหมวกขึ้นจนเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยาก สองสาวถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ พระเจ้า! ยังมีคนหน้าตาดีขนาดนี้อยู่บนโลกความเป็นจริงด้วยหรือ? เขาหน้าตาดีเกินไปแล้ว! เวธิกายอมรับว่าไม่เคยพบเจอผู้ชายคนไหนที่ดูสมบูรณ์แบบชนาดนี้แบบตัวเป็นๆมาก่อน ถ้าบอกว่าเขาเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง หล่อนก็จะเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ดวงตาคมคู่นั้นมันดูทรงพลังดึงดูดอย่างลึกลับ แต่สายตาที่มองกลับลงมานั่น มันดูเดียดฉันท์กันเกินไปหน่อยรึเปล่า? เวธิการู้สึกได้ หล่อนแปลสายตาคู่นั้นออก เขาไม่อยากช่วย! เขาหันหลังกลับไป ทำเหมือนพวกหล่อนไม่มีตัวตน สองสาวมองหน้ากันเองอย่างคาดไม่ถึง ผู้ชายหน้าตาดีอย่างร้ายกาจคนนั้น เมินใส่พวกหล่อน เขาก็มีดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ!!

    “ไอ้…ไม่ช่วยแล้วยังทำหน้าดูถูกเราอีก แกดูสายตาที่เขาใช้มองแกกับฉันสิ อย่างกับเราเป็นกิ้งกือไส้เดือน” ศิรดาเดือดดาล หล่อนเองก็รู้สึกโมโหมากเหมือนกัน แต่ไม่ได้แสดงออก จะมีประโยชน์อะไร มันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาจะช่วยหรือไม่ มันก็สิทธิ์ของเขา หล่อนหาทางของหล่อนเองก็ได้ ก็แค่คนผ่านทางที่ไร้น้ำใจคนหนึ่ง จะต้องไปใส่ใจทำไม?

    เวธิกาและศิรดา คิดหาวิธีอยู่นานทั้งผลัดกันอุ้มร่างของอีกฝ่าย ทั้งย่อตัวเพื่อเป็นฐานให้อีกฝ่ายเหยียบขึ้นไป เพื่อส่งร่างของคนที่อยู่ด้านบนให้เอื้อมคว้าปลายเชือกขาดท่อนที่ห้อยลงมา แล้วดึงตัวเองขึ้นไปให้ได้ แต่พยายามอยู่นานก็ไม่เป็นผลสำเร็จจนพวกหล่อนหมดเรี่ยวแรงนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้นดินบริเวณนั้นเอง เสื้อผ้าเผ้าผมและเนื้อตัวต่างเต็มไปด้วยเศษดินสกปรก คิดมาถึงตอนนี้หล่อนไม่น่าทำเป็นอวดเก่งกับป้าจันทร์เลย น่าจะยอมรับความหวังดีของอีกฝ่ายให้หาทางพากลับไปในตัวเมือง ไม่งั้นก็คงไม่ต้องมาลำบากอยู่อย่างนี้ และไม่แน่ว่าป่านนี้พวกหล่อนอาจได้กลับไปนอนตีพุงสบายๆอยู่บนเตียงนุ่มๆในโรงแรมที่พักแล้วก็ได้

    “หรือเราต้องรอให้มีคนใจดีผ่านมาทางนี้ แล้วขอความช่วยเหลือจากเขา?” ศิรดาถามขึ้น

    “ความหวังลมๆแล้งๆน่ะสิ ถ้าเผื่อไม่มีคนใจดีคนนั้นผ่านมาเราไม่ต้องนั่งรอจนแห้งตายอยู่ที่นี่หรอกเหรอ?” เวธิกาไม่เห็นด้วยถึงยังไงหล่อนก็ไม่ยอมงอมืองอเท้ารออยู่เฉยๆอย่างเดียวแน่

    “ถ้างั้น แกคงไม่บอกให้ย้อนกลับไปขอความช่วยเหลือจากป้าจันทร์อีกหรอกนะ?”

    “ไม่ล่ะ เรามาไกลเกินไปแล้ว” เวธิกาคิดหาวิธี

    “เอางี้ แกรออยู่นี่ เดี๋ยวฉันจะลองไปเดินดูรอบๆแถวนี้ เผื่อเจออะไรที่ใช้ทำเป็นบันไดได้”

    ผ่านไปสักพัก เวธิกา ก็กลับมาพร้อมกับไม้ท่อนใหญ่ที่ยังมีกิ่งก้านหลงเหลืออยู่ หล่อนลากไม้ท่อนนั้นมาด้วยความยากลำบาก สังเกตจากเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มบริเวณหน้าผาก ศิรดาเห็นเพื่อนจึงรีบลุกขึ้นและวิ่งไปช่วยลากไม้ท่อนนั้นกลับมา น้ำหนักของมันหนักเอาการอยู่เหมือนกัน ศิรดาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพื่อนของหล่อนรูปร่างผอมบางขนาดนี้จะสามารถลากไม้ท่อนใหญ่ซึ่งดูมีขนาดใหญ่ขนาดนี้กลับมาจากระยะทางไกลได้อย่างไร สองสาวช่วยกันจัดวางตำแหน่งวางไม้ต้นนั้นพาดเข้ากับเนินดินเบื้องหน้าให้กระชับ เมื่อตรวจสอบว่ามั่นคงดีแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “มือของแกเจ็บนี่! ให้ฉันดูหน่อย!” ศิรดาสังเกตุเห็นตรงฝ่ามือเพื่อนมีเลือดไหลซึมออกมา เอื้อมมือจะคว้ามือเพื่อนมาดู แต่อีกฝ่ายเร็วกว่ารีบเอามือไปแอบไว้ด้านหลังแถมยังบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร

    “แกปีนขึ้นไปก่อนเดี๋ยวฉันจะคอยจับไม้ข้างล่างให้” เวธิกาออกคำสั่ง ศิรดาหันมองเพื่อนแว่บหนึ่ง รู้เลยว่า เพื่อนหัวดื้อของหล่อนไม่ยอมให้ดูมือดีๆแน่ หล่อนเองก็เห็นว่าบาดแผลคงไม่หนักหนามากจึงยอมมองข้ามไปก่อน ก่อนจะทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หญิงสาวปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเล ไม้ท่อนนั้นมันไม่ได้มีรูปทรงเรียบแบนเหมือนไม้กระดานสักหน่อย แถมยังต้องไต่ขึ้นไปตามระดับแนวลาดชัน ดีที่มีกิ่งทำให้สามารถยึดฝ่าเท้าให้ดันตัวและพาตัวเองขึ้นไป แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน ศิรดาพยายามใช้ความสามารถวิชาพละศึกษาที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองพาตัวเองชึ้นไปจนสำเร็จ แต่ก็เล่นเอาเหงื่อตกไปเหมือนกัน พอขึ้นไปได้หล่อนก็ใช้เชือกที่ขาดอยู่ครึ่งท่อนผูกเข้าที่เอวตัวเองอย่างแน่นหนาแล้วนอนราบลงกับพื้นส่งมือมาให้เพื่อนที่อยู่ด้านล่าง

    “ส่งมือแกมา!” เพราะเพื่อนอยู่สูงเกินมือจะเอี้อมถึง แม้เวธิกาจะกระโดดให้สูงแต่ก็ได้แค่แตะมือกันเท่านั้น หล่อนจึงปีนขึ้นไปตามท่อนไม้ที่พาดวางไว้อย่างระมัดระวัง แต่เพราะไร้คนจับจึงไม่มั่นคงนัก ไม้ท่อนนั้นสั่นคลอนไปตามการเคลื่อนไหวของหล่อน เวธิกาเองก็เริ่มขาสั่น แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!!

    “เป๊าะ!”

    “กรี๊ด!!” เสียงไม้ท่อนนั้นลั่นเสียงดัง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องประสานเสียงกันดังลั่นป่าของสองสาว ร่างหญิงสาวลอยละลิ่วลงมากระแทกกับพื้นโดยแรง ก้นจ้ำเบ้า เจ้าตัวถึงกับจุก ทั้งก้นทั้งสะโพกของหล่อนยังใช้การได้อีกหรือเปล่า? เวธิกายังไม่แน่ใจ

    “แกเป็นไงบ้างยัยเวย์!?” ศิรดาร้องถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง แทบอยากจะกระโดดตามลงไปดู แต่เพราะขึ้นไปได้ด้วยความยากลำบากของทั้งตัวเองและเพื่อน จึงรอหาวิธีช่วยอยู่ด้านบนก่อน

    “เจ็บสิ ถามได้” เวธิกาโอดครวญพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น หงุดหงิด หัวเสียไปหมด ช่วงนี้คงเป็นชีวิตขาลงของหล่อนจริงๆ ทำอะไรก็มีแต่เรื่องให้ปวดหัวรำคาญใจ หมู่บ้านนี้ก็เหมือนกัน ถ้ารู้แต่แรกว่าต้องมาหลงทาง จนหาทางกลับออกไปยากลำบากขนาดนี้ หล่อนไม่มาให้เสียเวลาหรอก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×