คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ | อัปครบ
**คำเตือน**
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม
ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์
ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
| บทนำ |
[กูฝากน้องไว้กับมึงได้ปะ มันหาหอไม่ทันแล้วอะ
ที่พอจะหาได้ตอนนี้ก็มีแต่หอไม่ดี แถมอยู่ไกลจากมหา’ลัยด้วย
กูกลัวมันเดินทางลำบาก]
เสียงจากปลายสายทำให้นึกอยากเบะปากพร้อมกับกลอกตาเป็นเลขแปด
“กูว่าแล้ว อย่างพวกมึงน่ะไม่โทรมาเพราะคิดถึงกูจริง ๆ
หรอก”
[อย่ามาทำน้อยอกน้อยใจไปหน่อยเลยเข็ม
มึงก็ไม่ได้คิดถึงพวกกูนักหรอก]
ก็จริง…
เถียงไม่ได้
แค่ทำงานกับเรียนก็จะตายห่าแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงไอ้แฝดสองตัวนี้
ปลายสายที่สนทนาอยู่ด้วยตอนนี้คือ ‘หวานเจี๊ยบ’
กับ ‘หวานเย็น’ พวกมันเป็นคู่แฝดผู้ชายที่เพื่อนตอนมัธยมหลาย
ๆ คนลงมติว่าคือ ‘แฝดนรก’
อาจารย์หลาย ๆ ท่านก็ยังปวดหัวกับพฤติกรรมของคนทั้งคู่
แม้แต่ผมที่เป็นเพื่อนสนิทกับพวกแม่งมาตั้งแต่มัธยมหนึ่งก็เห็นด้วยว่าควรให้ฉายาแบบนั้น
เพราะวีรกรรมของพวกมันให้เล่าสามวันก็ไม่จบ แต่ละวีรกรรมน่ะมีแต่เรื่องดี ๆ
ทั้งนั้น
บอกเลยว่าตอนนั้นผมปวดหัวไม่เว้นวัน
หากถามว่านิสัยกวนส้นตีนที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ติดมาจากใคร ก็ตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่ามาจากพวกมันสองคนเนี่ยแหละ
แต่เชื่อเถอะว่านิสัยกวนส้นตีนพรรค์นั้นผมยังแผงฤทธิ์ได้ไม่ถึงครึ่งของพวกมันเลยด้วยซ้ำ
หวานเจี๊ยบกับหวานเย็นเป็นคนต่างจังหวัด หากแต่พ่อแม่พวกมันส่งให้มาเรียนโรงเรียนที่อันดับดี
ๆ ในกรุงเทพฯ เราเลยได้รู้จักกัน
ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเพื่อนกับพวกมันหรอกนะ แต่นอกจากผีจะผลักแล้วนิสัยใจคอพวกเรายังเสือกเหมือนกันมาก
เลยจูนติดง่าย แล้วเราก็กลายมาเป็นเพื่อนกันโดยปริยาย
ผมกับพวกแฝดเรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมหนึ่งจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
เป็นผมเองที่เลือกเรียนตามเพื่อน สมัครมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซ้ำยังเลือกเข้านิเทศศาสตร์สาขาวารสารตามพวกมันอย่างไม่ลังเลเพราะไม่ได้มีอาชีพในฝันหรืออะไรพรรค์นั้น
แค่อยากมีที่เรียน อยากเรียนให้จบ มีงาน มีเงิน แค่นั้น…
แต่พวกมันดันเทผมดื้อ ๆ
เรียนได้แค่สามอาทิตย์ก็บอกว่าจะดรอป และพวกมันก็ดรอปจริง ๆ
พวกเปรต!
ผมสาปส่งพวกมันจนถึงทุกวันนี้
ด้วยความที่ผมเรียนไหว และขี้เกียจจะไปสอบนั่นนี่หรือสมัครเข้าที่ใหม่เลยยังอยู่ที่เดิม
แม้ว่าจะมองไม่ค่อยเห็นลู่ทางการทำงานจากสิ่งที่เรียนแต่ก็ไม่ได้คิดมาก
ผมมีงานอดิเรกที่พอสร้างรายได้อยู่บ้าง แม้จะไม่มั่นคงแต่มันสนุกเลยกะว่าจะลองเอาดีด้านนี้ดู
แล้วอีกอย่าง … พ่อแม่ผมไม่เคร่งเรื่องเรียนสักเท่าไหร่
“ก็จริง” สะบัดหัวไล่ความคิดต่าง
ๆ ที่ถาโถมเข้ามาแล้วตอบปลายสายไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเฉกเช่นปกติ “จะให้เอาเวลาไหนไปคิดถึง”
[เห็นมั้ยล่ะ]
“…”
[ชั่วจริง ๆ]
“อ้าว ไอ้สัสนี่”
[สรุปให้มันไปอยู่กับมึงได้ปะ สักเทอมก็ยังดี
ให้มันคุ้นที่คุ้นทางแล้วหาหอดี ๆ ได้ก่อนมึงค่อยถีบหัวมันส่ง]
“เออ ๆ มาเหอะ ห้องกูกว้าง ให้น้องมึงมาวิ่งเล่นอีกสักคนคงไม่เป็นไร”
ผมไม่ใช่คนใจจืดใจดำหรอก กับเพื่อนกับฝูงน่ะ ช่วยได้ก็ต้องช่วยอยู่แล้วแหละ
[จริงนะ กูจะได้บอกแม่ รายนั้นเครียดจนประสาทจะแดกแล้ว]
“อือ … แต่ดื้อมั้ยน้องมึงน่ะ
กูชอบทำงานอยู่ห้อง น้องมันคงไม่รบกวนกูหรอกใช่มั้ย”
[มึงไม่ต้องห่วง น้องกูเรียบร้อยมาก เป็นเด็กพูดน้อย
กิริยามารยาทน่ะนะเหมือนผ้าพับไว้อะ งานบ้านยิ่งไม่ต้องห่วงทำเป็นทุกอย่าง
กับขงกับข้าวงี้ ครบ! จบในคนเดียว!]
“เออ งั้นก็อยู่กันได้ กูไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายตอนทำงานเท่าไหร่”
[ไว้ใจได้เลยเพื่อน หวานใจมันน่ารัก]
“…”
[กูขอคุยกับมันบ้างดิ๊] อีกเสียงแทรกขึ้น
[มึง ๆ หวานเย็นจะคุยด้วย]
“อ่า”
[มึง] โทนเสียงที่ทุ้มกว่าเอ่ยเรียก
แม้จะเป็นแฝด ทว่าหน้าตาและน้ำเสียงของหวานเจี๊ยบกับหวานเย็นไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะผมอยู่กับพวกมันจนคุ้นเคยกันดีเลยแยกออกได้ง่าย ๆ มั้ง
“ว่า” ขานตอบรับเฉื่อย ๆ
[รับปากกู ว่ามึงจะไม่คิดอะไรกับน้องกู]
“จะให้กูคิดอะไร”
[ไม่รู้ กูไม่ไว้ใจ]
“คิดว่ากูจะจีบน้องมึงหรือไง”
[เออ]
“น้องเพื่อนก็เหมือนน้องเราน่ะ กูไม่นิยม” ไม่ได้พูดปัดเพื่อให้เพื่อนสบายใจเฉย ๆ หรอกนะ คนใกล้ตัวผมไม่เคยยุ่งอยู่แล้ว
แม้จะมีแซวเล่นบ้าง อย่างน้องสาว ‘ไอ้เต้ย’ เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันตอนนี้ผมก็แซวเล่นไปเรื่อย แต่ไม่ได้คิดอะไรเลย
แค่คุยเล่นไปตามประสาคนอัธยาศัยดีน่ะ
[เออ ... จำคำมึงไว้นะ]
“จ้า ๆ” ผมรับปากอย่างประชดประชัน
ไว้ให้น้องพวกมันหน้าเหมือนคุณไอรีน red velvet ก่อนเหอะผมถึงจะกลับคำ
☽☽☽
สองวันต่อมา
“น้าน้ำหวานหวัดดีครับ” ยกมือไหว้แม่เพื่อนอย่างมีมารยาท
ซึ่งคุณน้าก็รีบถอดแว่นกันแดดแบรนด์ดังแล้วรับไหว้ทันควัน
“หวัดดีลูก เป็นไงสบายดีมั้ยพี่เข็ม”
น้าน้ำหวานคือแม่ของไอ้สองแฝด เราค่อนข้างสนิทกันในระดับหนึ่งเพราะผมเคยไปเที่ยวบ้านที่ต่างจังหวัดของเพื่อนทั้งสอง
อีกทั้งเวลาน้าน้ำหวานมาบ้านที่กรุงเทพฯ ไอ้แฝดก็ชอบชวนผมไปกินขนมที่บ้านเราเลยได้เจอกันบ้าง
ที่คุณน้าเรียกผมว่า ‘พี่เข็ม’ เพราะไอ้สองแสบก็โดนเรียกว่าพี่แบบนี้
น่ารักดีนะ
มันดูสนิทกันดี
“ดีครับ” ตอบอย่างเป็นกันเองก่อนจะย้อนถาม
“คุณน้าล่ะครับสบายดีมั้ย”
“เรื่อย ๆ เลยจ้ะ บางวันก็ดี บางวันก็ไม่ค่อยดี
เสี่ยงดวงเอาน่ะ” คุณน้าตอบกลั้วหัวเราะ “แล้วนี่ไม่เห็นไปหาเจ้าแฝดเลยนึกว่าเลิกคบกันแล้วเสียอีก”
“ก็อยากเลิกอยู่แหละครับ” ผมพูดทีเล่นทีจริง
“ฮ่า ๆ ๆ” ผู้หญิงวัยกลางคนหัวเราะร่าก่อนจะหันไปหาเด็กตัวเล็กที่สะพายเป้หนึ่งใบ
ในมือหนึ่งข้างถือกีต้าร์โปร่ง ส่วนอีกข้างถือกระถางต้นแคคตัสเล็ก ๆ “น้องใจมานี่ลูก มารู้จักพี่เข็มเร็ว”
“…” เด็กตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้ทำให้ผมได้เห็นหน้าเขาชัดขึ้น
น่ารัก
ตัวเล็ก
ผิวก็ขาวสว่างอย่างกับหลอดไฟ
ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตอนเด็ก ๆ
น้าน้ำหวานเลี้ยงน้องด้วยนมผงหรือกลูต้า
แต่ว่า … เป็นเพื่อนกับไอ้แฝดมาตั้งนานผมไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาน้องมันสักครั้งเลยแฮะ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้เจอกัน
“อันนี้พี่เข็มนะลูก เพื่อนพี่หวานเย็นกับพี่หวานเจี๊ยบ”
คุณน้าแนะนำผมให้น้องรู้จัก สลับกับแนะนำน้องให้ผมรู้จัก “อันนี้น้องหวานใจนะ ลูกชายคนเล็กของน้าเอง รบกวนพี่เข็มดูแลให้สักเทอมหน่อยนะลูก”
“ได้ครับ ไม่ได้รบกวนเลยครับคุณน้า”
ผมไม่ได้พูดให้อีกฝ่ายสบายใจเฉย ๆ หรอกนะ
มันไม่ได้รบกวนอะไรมากมายขนาดนั้น
น้องก็ตัวแค่นี้
“ขอบคุณนะลูก”
“ครับ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ของใช้จำเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ของน้องใจจะตามมานะ
วันนี้น้าแค่มาส่งเจ้าตัวเขาเฉย ๆ เห็นว่าวันมะรืนจะต้องไปรับน้องก่อนเลยอยากให้มาอยู่กับพี่เข็มจะปรับตัวได้ก่อนน่ะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมดูแลให้ครับ คุณน้าไม่ต้องห่วงนะ”
“ขอบใจมากเลยนะลูก”
น้าน้ำหวานทำหน้าซึ้งน้ำใจก่อนจะหันไปคุยกับลูกชายตัวเล็ก “อย่าดื้อกับพี่เขานะรู้มั้ย”
“…” หวานใจพยักหน้ารับเนือย ๆ
“งั้นน้ากลับแล้วนะจ๊ะ
ต้องรีบกลับไปให้ทันวันเกิดหลานที่ต่างจังหวัดน่ะ”
“ครับ ขับรถดี ๆ นะครับ”
“จ้า” คุณน้าระบายยิ้มใจดีส่งมาให้ก่อนจะเดินเข้าไปกอดร่ำลาลูกชายตัวเล็กที่ยืนไม่หือไม่อืออยู่ใกล้
ๆ
สงสัยที่ไอ้หวานเจี๊ยบบอกว่าน้องมันพูดน้อยและเรียบร้อยนี่น่าจะจริงแท้แน่นอน
หลังจากที่น้าน้ำหวานกลับขึ้นรถยนต์คันหรูและขับออกไปแล้วผมจึงถามไถ่คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ ด้วยความห่วงใย
“ให้พี่ถือช่วยมั้ย”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่หนักเหรอ”
“…” น้องส่ายหน้า
“งั้น … ตามมาครับ”
“…” ครั้งนี้เขาพยักหน้ารับเบา ๆ
ผมไม่รู้เลยว่าน้องแค่เหนื่อยจากการเดินทางหรือปกติเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
แต่ก็ช่างเถอะ ไม่หือไม่อือและไม่ดื้อก็ดีแล้ว
ผมเดินนำน้องไปเปิดประตูตึก กดลิฟต์ให้ ใช้เวลาไม่นานเราทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ในห้องโดยสารด้วยกัน
บรรยากาศยังเงียบงันอยู่แบบเดิม ผมจำต้องชวนน้องคุยเพื่อละลายพฤติกรรม
“ดีดกีต้าร์เป็นด้วยเหรอเราน่ะ”
“เปล่า…” เด็กตัวเล็กผินมองกีต้าร์โปร่งในมือก่อนจะว่าเสริม
“เราเอามาเคาะน่ะ”
แล้วคนบ้าอะไรซื้อกีต้าร์มาเคาะ
มุกปะวะ
“ฮ่า ๆ ๆ”
ขำใส่แม่ง
“ชื่ออะไรนะ” ครั้งนี้เป็นคนอายุน้อยกว่าที่ถามขึ้นมาก่อน
“เข็มไง”
“ชื่อจริงน่ะ”
“ศศิธร” แม้จะยังไม่เข้าใจว่าน้องถามชื่อจริงไปทำไมทว่าก็ตอบไปตามความจริง
ผมมีชื่อจริงว่า ‘ศศิธร’ ที่แปลว่าพระจันทร์
“นามสกุลล่ะ”
“หื้ม?” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
น้องถามไปทำไมวะ?
“นามสกุลนายน่ะศศิธร”
เลยเหรอ
ศศิธรเลยเหรอ เพิ่งเจอกันเมื่อกี้ก็เรียกชื่อทื่อ ๆ งี้เลย?
“ปัตตา” แม้จะแอบประท้วงอยู่ในใจแต่ผมก็ตอบออกไปอย่างซื่อตรง
นั่นคือนามสกุลผมจริง ๆ
“อือ…” น้องพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยื่นกระถางแคคตัสต้นเล็ก
ๆ ในมือมาตรงหน้าผม “นี่วัลภา”
“แคคตัสชื่อวัลภาเหรอ” ถามอย่างนึกสนใจ
“อือ วัลภา”
นี่น้องเลี้ยงวัลภามาตั้งแต่ 2499 เลยปะเนี่ย
“น่ารักดี”
แม้จะดูเหมือนชมไปงั้น แต่ความจริงแล้วผมก็ชมไปงั้นจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ได้พิศวาสอะไรต้นแคคตัสของน้องหรอก
แต่การที่หวานใจเลี้ยงแคคตัสแล้วตั้งชื่อให้มันด้วยนี่ก็น่ารักดี
ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรน่ารัก ๆ แบบนี้หรอก
น้องต้องอ่อนโยนมากในระดับหนึ่งแหละถึงได้ตั้งชื่อให้ต้นไม้แบบนั้น
“เรากับวัลภาฝากตัวด้วยนะ”
แม้ว่าจะดูไม่ค่อยหือค่อยอืออะไรแต่ก็ยังมีความเกรงใจผมอยู่
มีความน่ารักอยู่แหละเด็กคนนี้
“ครับ” ผมตอบพลางส่งยิ้มหวาน ๆ ไป
“…”
แต่น้องทำหน้านิ่งกลับมา
แบบนี้คืออะไรเอ่ย?
น้องอยากอยู่กับผมจริงไหมเนี่ย
“อย่าว่างั้นงี้เลยนะ”
ผมพยายามชวนคุยเพื่อให้เราได้กระชับความสัมพันธ์กันเพิ่มอีกสักนิด “พวกไอ้แฝดตัวสูงอย่างกับยักษ์ ไหงเราตัวนิดเดียวล่ะ”
“อ๋อ…” เสียงเนือย ๆ อธิบายขณะที่ใบหน้าถูกฉาบไปด้วยความเรียบเฉย
“ชาติที่แล้วเราไม่ได้ตีพ่อตีแม่เหมือนพวกมันน่ะ”
เลยเหรอหวานใจ
ล่าสุดว่าพี่ตัวเองเป็นเปรตเลยเหรอ
คำพูดฟังดูติดตลกอยู่หรอก ทว่าหน้านิ่งฉิบหาย
แยกไม่ออกแล้วเนี่ยว่าน้องเล่นมุกหรืออะไร
ใครจะว่ายังไงไม่รู้หรอกนะ … แต่ผมว่าน้องเขาแปลก
☽☽☽
หลังจากที่เราทั้งคู่เข้ามาในห้องผมก็ปล่อยให้หวานใจจัดของโดยไม่รบกวน
ซึ่งไอ้ของที่ว่ามันก็ไม่ได้มากมาย มีแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับกีต้าร์ และวัลภาที่เป็นต้นแคคตัส
“ห้องพี่มีแค่เตียงเดี่ยวนะ นอนด้วยกันได้ใช่มั้ย”
พูดกับเด็กตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมานอกห้องนอน
“อือ … ได้”
“อยากได้อะไรเพิ่มบอกพี่ได้นะ”
“อยาก…” น้องเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจก่อนจะกล่าวต่อนิ่ง
ๆ “ไปกินข้าว หิวแล้ว…”
“…”
“แถวนี้มีตามสั่งมั้ย”
“แถวนี้มี แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ให้พี่พาเดินไปกินแถวตีนสะพานปะ
มีร้านหนึ่งอร่อยมาก ชื่อร้านป้าพร”
“เอาดิ”
เมื่ออีกฝ่ายตกลงง่าย ๆ ผมเลยไม่รีรออีกต่อไป รีบยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้าโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ทันที
หอพักที่อยู่ตอนนี้มันใกล้สะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเลย
ข้ามสะพานไปแค่ป้ายรถเมล์เดียวก็ถึงมหา’ลัยแล้ว … ทว่าก็ไปเรียนสายประจำ
ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งลีลาท่าเยอะ
กว่าจะเสด็จออกจากห้องได้ก็เป็นเวลาที่ชาวบ้านเขาเริ่มเรียนแล้ว ซ้ำแต่ละวันยังต้องฝ่ามรสุมรถติดบานตะไทอีก
จะบ้าตายรายวันเลยล่ะ
“จะกินไร” ผมถามคนตัวเล็กที่นั่งห่อไหล่เงยหน้ามองใบเมนูของร้านที่แปะอยู่บนผนังอย่างใช้ความคิด
เราทั้งคู่ใช้เวลาเดินมาที่นี่ไม่นานเพราะร้านมันไม่อยู่ได้ไกล
วันไหนไม่ขี้เกียจผมเองก็มักจะเดินมาหาอะไรกินแถวตีนสะพานนี้ประจำ ของกินเยอะมาก
“แล้วกินไร” น้องหันมาย้อนถามนิ่ง
ๆ
“พี่กินกะเพราหมูสับไข่ดาว”
“เมนูสิ้นคิด”
“…” เถียงไม่ได้ด้วยนะ
เพราะว่าเลือกเมนูนี้แบบไม่ใช้ความคิดจริง ๆ
“เราเอาเหมือนกัน”
อ้าว…
“สิ้นคิดพอกันเลยนี่” ผมพึมพำ
ขณะเดียวกันก็จรดปลายปากกาเขียนเมนูลงใบกระดาษ “แล้วจะกินน้ำไร”
“เอาน้ำเขียวกับน้ำแดง”
“สองขวดเลยเหรอ” ถามพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“…” อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
อือ ... ในเมื่อน้องยืนยันผมก็ไม่ค้านหรอก
หลังจากสั่งข้าวเสร็จเราทั้งคู่ต่างก็นั่งเงียบใส่กัน
ระหว่างนั้นลูกสาวเจ้าของร้านก็ยกน้ำมาเสิร์ฟ เด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมจึงจัดการเทน้ำเขียวและน้ำแดงผสมกันในแก้วเดียว
นั่นทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งทันทีว่าทำไมน้องถึงสั่งมาสองขวด
ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำแบบนี้หรอกนะ แต่พูดก็พูดเถอะ
ผมทำแบบนี้ครั้งล่าสุดตอนอยู่ประถมอะ เลยมองว่าน้องค่อนข้างแปลกที่อุตส่าห์สั่งน้ำอัดลมสองขวดเพื่อกินผสมกัน
“พี่เคยไปเที่ยวบ้านที่ต่างจังหวัดของหวานใจนะ แต่ทำไมพี่ไม่เคยเห็นเราเลยล่ะ”
“เราอยู่กับบัวคลี่ที่อีกอำเภอ”
“บัวคลี่?” ทวนคำพูดน้องอย่างุนงง
“ยายน่ะ ชื่อบัวคลี่”
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ “แล้วไหงเราไม่เข้ามาเรียนมัธยมในกรุงเทพฯเหมือนพวกไอ้แฝดอะ”
ดูเหมือนน้าน้ำหวานจะเคร่งเรื่องนี้พอสมควรเลยนะ เพราะคุณน้าถึงกับส่งไอ้แฝดมาเรียนไกลบ้านแบบนี้
แต่ก็ไม่ใช่เคร่งว่าต้องเรียนดีเรียนเก่งเกินหน้าเกินตาใครหรอก คุณน้าแค่ใส่ใจเลือกสังคมให้ลูกน่ะ
ใครบอกว่าอันดับโรงเรียนไม่มีผลกับการสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย หรืออันดับมหาวิทยาลัยไม่มีผลกับการสัมภาษณ์เข้าทำงานผมจะไล่ไปคุยกับรากมะม่วงให้หมด
ประเทศเรามันให้ค่ากับการจัดอันดับสถานศึกษามาก
มาจากโรงเรียนดี ๆ คนก็จะมองเราดีไว้ก่อน
“เรากลัวบัวคลี่เหงา”
“เหรอ … เป็นเด็กดีจังเลยนะ” ไม่ได้ชมไปเรื่อยหรอกนะ รู้สึกได้เลยว่าน้องกับคุณยายต้องสนิทกันมาก
“อือ”
“แล้วตอนนี้มาเรียนไกลบัวคลี่ไม่เหงาแล้วเหรอ”
“คนเราต้องเติบโต”
“…”
“บัวคลี่ต้องโตได้แล้ว”
นั่นยายไงหวานใจ โตอีกนิดก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วนะ
“แล้วคิดไงถึงเข้ามอนี้ล่ะ”
มหาวิทยาลัยผมมันไม่ได้ดีเด่ขนาดนั้น ไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับดี
ไม่มีเหี้ยอะไรโดดเด่นเลยนอกจากตำนานเรื่องผี มีเรื่องเล่าพรรค์นี้แม่งทุกคณะ
“เราหลับตาจิ้ม”
“ถามจริง”
“ตอบจริง” น้องตอบหน้านิ่งมาก “แม่บอกจะให้ไปเรียนที่เดียวกับสองหวาน
แต่เราไม่อยากไปเลยหลับตาจิ้มแล้วโมเมว่าตั้งใจจะเข้ามอนี้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่”
“แม่เชื่อเหรอ”
“เชื่อก็โง่แล้วมั้ย”
“ฮ่า ๆ ๆ” ผมหลุดขำออกมาจนได้ “แล้วไหงได้เข้าล่ะ”
“แม่คงไม่อยากฝืนใจเรามั้ง”
“ก็ดีแล้วนี่”
“อือ … แต่จริง ๆ
เราไม่อยากเรียนที่นี่หรอก”
“…”
“เราอยากเรียนที่โรงเรียนพ่อมดแม่มดเวทมนต์ศาสตร์ฮอกวอตส์”
เอาล่ะ
เจอคนเพ้อเจ้อหนึ่งอัตรา
“หึ” และแม้จะแอบด่าว่าน้องเพ้อเจ้ออยู่ในใจ
แต่ผมก็อดไม่ได้จึงหลุดขำออกมาอย่างนึกเอ็นดู
“รับน้องคณะสนุกมั้ย” เด็กตัวเล็กเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง
ใบหน้ารูปไข่ยังคงฉาบไปด้วยความนิ่งเฉย หวานใจดูดน้ำในแก้วอย่างเอร็ดอร่อย
ขณะเดียวกันก็มองมายังผมเพื่อรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
“ก็ไม่เท่าไหร่นะ ปีนี้รับแค่สามวันใช่ปะ”
“อือ เห็นในไลน์กลุ่มสาขาบอกว่ารับสามวัน”
“ปีพี่รับสิบวันอะ บรรยากาศคงต่างกันลิบลับ”
“รับสิบวันเลยเหรอ”
“อือ”
“เสียเวลาชีวิตดีแฮะ” น้องกล่าวนิ่ง
ๆ
ณ ตอนนั้นมันก็สนุกอยู่หรอก
แต่พอมองย้อนกลับไปแล้วผมก็คิดเหมือนหวานใจ นอกจากได้หน่วยกิจบังคับแล้วผมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเข้ารับน้องตรงนั้นเลยสักนิด
ปีล่าสุดกิจกรรมรับน้องคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยทำงามหน้าเอาไว้จนเป็นข่าวที่ผู้ปกครองให้ความสนใจและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางไม่ดีผู้ใหญ่ในมหา’ลัยเลยมีมติว่าต้องลดกิจกรรมรับน้องลงมาเหลือมากสุดแค่สามวัน
แต่จริง ๆ มันยกเลิกไปเลยก็ได้นะ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครอินกับระบบเก่าคร่ําครึนี้หรอก
รุ่นพี่รุ่นน้อง ระบบอาวุโสบ้าบอคอแตก เสียเวลาชีวิตฟรี ๆ อย่างที่หวานใจว่าแหละ
“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ” ผมเสนอ
“เขาให้ทำอะไรบ้าง”
“ก็เต้นบ้า ๆ บอ ๆ แล้วก็ซ้อมบูมเพื่อไปบูมกับคณะอื่น ๆ
วันบูมใหญ่อะ”
“แล้วได้ประโยชน์อะไรจากการบูม”
“…” คำถามยากจัง
ตอนนั้นรุ่นพี่สั่งให้ทำอะไรผมก็ทำตาม แม้ว่าในใจจะด่า
และแม้ว่าจะตะโกนบูมจนคอแตกแต่ก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไรเลยเพราะอยากทำให้มันเสร็จ ๆ
ไป
ลองมาสั่งกูบูมตอนนี้สิ พ่อจะกรี๊ดอัดให้เลือดไหลออกหูเลย
“คิดนานแปลว่าไม่มี” หวานใจเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย
ๆ “แต่มันเป็นหน่วยกิจบังคับ…”
“…”
“คงไปแหละ ขี้เกียจไปตามแก้”
หน้าน้องดูเซ็งมาก
ซึ่งผมก็เข้าใจ ใครมันจะอยากไปเหนื่อย หรือไปเต้นบ้า ๆ บอ ๆ ให้คนไม่รู้จักดูวะ
แต่คงติดที่ว่ามันเป็นกิจกรรมบังคับนั่นแหละหลายคนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการรับน้องจึงยอมเข้าร่วมให้มันจบ
ๆ ไปเพราะไม่อยากไปตามแก้
“อือ เอาที่ชอบ พอใจจะไปก็ไป”
“…”
“ลองไปดูก่อน”
“…”
“ถ้าโดนใครข่มหรือรู้สึกไม่ดีสองวันที่เหลือก็ไม่ต้องไปอีก”
“ไม่ต้องห่วงหรอก” คนตัวเล็กยืดอย่างมั่นใจ
“ใครกล้ามาเจ๊าะแจ๊ะเราจะจัดการด้วยท่าสลาตันโคโนฮะ[1]”
เหรอ?
เจอกันวันเดียวน้องมึงเบียวใส่กูขนาดนี้เลยเหรอ
tbc.
#ใจฟังพี่
[1] ท่าต่อสู้ของร็อก ลี ตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง Naruto เป็นท่าต่อสู้ด้วยการเตะแล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ใช้แท็ก #ใจฟังพี่ นะคับ
ฝากคอมเม้นและสกรีมแท็กเป็นกลจ.ให้ป๋มด้วยน้าาาา ;-;
(ยังไม่ตรวจคำผิดนะคับบบบบ ,_,)
ความคิดเห็น