คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 08 | อัปครบ
| บทที่ 08 | |
นะโม : วหง = หวง
นะโม : แต่พิมพ์ตรง ๆ ไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ์หวง
นะโม : ห่าเอ๊ย
นะโม : *unsent a message.
นะโมไม่เคยหยาบคายใส่ผม แต่ครั้งนี้มีหลุดมา
ทว่าเขาก็ยกเลิกข้อความไปแล้ว
แต่ก็นะ … ผมอ่านทัน
Me
: ต้องตอบว่าไร
นะโม : ไม่ต้องตอบอะไรก็ได้
นะโม : เธออึดอัดมั้ย
นะโม : พี่ขอโทษนะ
ตัวหนังสือไม่มีเสียง
ทว่าผมกลับรู้สึกได้ว่าข้อความนั้นมันหม่นใจแค่ไหน
ผมไม่ได้อึดอัดที่เขาบอกว่าหวง
แม้จะไม่ได้อยากให้เขามาชอบหรือสนใจ แต่ผมก็ไม่ได้อึดอัดที่เขารู้สึกแบบนั้นด้วย
มันแปลกดีที่พอเป็นนะโมผมกลับไม่ได้รู้สึกแบบเดียวเหมือนที่รู้สึกกับไอ้เจต
Me
: ช่างเถอะ
ผมเลือกตอบปัด
นะโมอ่าน
แต่เขาไม่ได้ตอบกลับมาในทันที
และแม้จะผ่านไปหลายนาทีแล้วเขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้
ทุกทีการสนทนาของเราจะสิ้นสุดที่ข้อความของเขาเสมอ
หวังว่าคงไม่ได้นั่งหงอยอยู่หรอกนะ
“มึง … กูง่วงแล้วอะ”
ไอ้เดย์ที่เพิ่งเดินกลับมายังโต๊ะพูดเสียงอ่อย
เปลือกตาบางค่อย ๆ ปรือลงช้า ๆ
ท่าทางมันคงไม่ไหวแล้วแหละ
ผมเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหยัดตัวลุกขึ้นยืน
“ง่วงก็กลับ”
“…”
ไอ้เดย์พยักหน้ารับง่าย ๆ
“ให้กูไปส่งมั้ย” เจ้าของวันเกิดที่นั่งอยู่เสนอตัว “กูไม่ได้ดื่มเยอะ”
“…”
“ไม่ต้องมองแบบนั้น กูดื่มน้อยกว่ามึงมาก ๆ ไม่เมาเลย”
เมื่อเห็นว่าผมมองอย่างไม่ไว้ใจไอ้เจตเลยออกตัวแบบนั้น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่”
“กูไปส่งได้จริง ๆ”
“พวกกูกลับเองได้”
“แต่…”
“กูจะกลับเอง” ผมบอกอย่างหนักแน่น
เจตมองผมตาไม่กะพริบ เพียงแค่ชั่วครู่มันก็ยอมจำนน
“งั้น … กลับดี ๆ แล้วกัน”
“อือ”
“เจอกันวันจันทร์นะ”
ผมไม่ได้ตอบรับอะไร
แต่ดันหลังให้ไอ้เดย์เดินนำออกไปนอกร้าน
โชคดีที่เพื่อนเมาแต่ก็ยังไม่ถึงกับเหมือนหมา
สติสตังยังอยู่ดี พอพูดคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ก็ทรงตัวให้เดินตรง ๆ
ไม่ได้แหละ
ไอ้เดย์ขับไปรับผมจากบ้าน
แต่ตอนนี้เราคงขับรถกลับไม่ได้เพราะไอ้เดย์มันเมา
และผมเองก็ดื่ม
ดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่ควรขับนั่นแหละถูกต้องแล้ว … เรื่องง่าย
ๆ ที่ใคร ๆ ก็ควรรู้
มันอันตราย
และกฎหมายเมาแล้วขับก็มี
ผมกับไอ้เดย์โบกแท็กซี่กลับหอพัก เป็นหอพักไอ้เดย์
มันพักอยู่หอเดียวกับเจ้าเอย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไนต์คลับมากนัก ระหว่างนั่งรถกลับผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนทวิตเตอร์ฆ่าเวลา
ไม่มีข้อความจากนะโมส่งเข้ามาเลยตั้งแต่ตอนนั้น
คำว่า ‘ช่างเถอะ’ มันเป็นคำตอบที่น้อยไปสำหรับคำถามนั้นเหรอ
☁☁☁
@หอพัก D
ครืด! ครืด!
เสียงแจ้งเตือนปลุกให้ผมตื่นจากห้วงนิทราแล้วเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่โต๊ะหัวเตียงมาดู
ตาปรือ ๆ ที่ยังไม่ตื่นดีหรี่ลงอีกเมื่อโดนแสงจากหน้าจอสาดใส่
แต่ในที่สุดผมก็ต้องตื่นเต็มตาเพราะเห็นว่าเป็นนะโมที่ส่งข้อความมาหา
นะโม : ตื่นยัง
นะโม : เช้าแล้วนะ
เมื่อคืนหลังจากเหวี่ยงไอ้เดย์ลงเตียงได้ผมก็นอนมองหน้าจออยู่สักพักเพราะเห็นว่านะโมยังไม่ตอบกลับมา
… ปกติเขาเป็นข้อความสุดท้าย
พอเขาไม่ตอบกลับมาแบบนั้นมันก็ไม่ชิน
แต่สุดท้ายผมก็หลับไปทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ตอบกลับมาอยู่ดี … มันง่วงน่ะ
Me
: เช้าแล้วทำไมอะ
Me
: ให้ตื่นมาสังเคราะห์แสงเหรอ
นะโม : ตลกนะ
นะโม : ตื่นนานยัง
Me
: เพิ่งตื่น
ผมควรตอบกลับไปแค่นั้น … แต่ความว้าวุ่นในใจมันกลับสั่งให้พิมพ์อีกประโยคตามไปด้วย
Me
: ที่ถามเมื่อคืน
Me
: ไม่ได้อึดอัดนะ
ผมคิดมาทั้งคืนว่าคำตอบตอนนั้นน้อยไปหรือเปล่า
ครืดดดด! ครืดดดด!
โทรศัพท์ในมือสั่นครืด ๆ
และบนหน้าจอโชว์ว่ามีสายเข้าจากนะโม
แม้จะแปลกใจแต่ผมก็กดรับแล้วแนบโทรศัพท์ลงกับหู
[อยากได้ยินจากปาก]
“ได้ยินอะไร”
[ที่พิมพ์มาเมื่อกี้]
“…”
[การที่พี่หวง … มันทำให้เธออึดอัดมั้ย]
แค่พิมพ์ไปมันไม่พอหรือไงนะ
ช่างเถอะ
ในเมื่อเขาอยากได้ยิน
ผมก็แค่ตอบไปตามความรู้สึกเท่านั้นแหละ
“ไม่”
[แบบนี้แปลว่าหวงได้ใช่มั้ย]
เรื่องความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้หรอก
“อือ หวงได้”
[…]
“แต่ก็ก้าวก่ายไม่ได้อยู่ดี” นะโมไม่มีสิทธิ์ตรงนั้น
เขาเองก็น่าจะรู้ตัวดี
[อือ … พี่ไม่มีสิทธิ์นี่เนอะ]
“อือ”
[…]
นะโมเงียบไปเลย
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“โทรมาแค่นี้เหรอ”
[ก็คงแค่นี้แหละ] เสียงของเขาแผ่วเบามาก
“กินข้าวยัง” และเมื่อเราเริ่มจะเดธแอร์ใส่กันก็เป็นผมที่ถามเปลี่ยนประเด็น
[ยังครับ เธอล่ะ กินอะไรยัง]
“ยัง”
[พี่อยากไปกินข้าวกับเธอนะ แต่โดนปฏิเสธจนไม่กล้าชวนแล้ว]
ทั้ง ๆ ที่ควรดีใจที่ความพยายามของนะโมกำลังจะหมด
ทว่ามันกลับไม่เป็นแบบนั้นเลย
“ลองก่อนสิ”
[หื้ม?]
“ลองชวนก่อน”
[งั้น … ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย]
ผมผละโทรศัพท์ออกจากหู
กดส่งโลเคชั่นไปให้นะโมในไลน์แล้วตอบเขาด้วยน้ำเสียงปกติ
“มารับ”
[จริงเหรอ]
“…”
[เธอจะไปกับพี่จริงเหรอ]
“โกหก”
[ไม่ได้ พูดแล้วต้องเป็นพูดสิ]
“แล้วจะมาถามย้ำทำไมล่ะ รีบมารับสิ”
[ครับ ๆ … จะไปเดี๋ยวนี้แหละ]
“อือ”
เมื่อตกลงกันได้ผมก็กดตัดสายแล้วหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเพื่อพิจารณาว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกหรือเปล่า
… การที่ยอมไปกับเขาแบบนั้นมันคือการให้ความหวังชัด ๆ
แต่ก็ไม่ชอบเลย
ไม่ชอบที่เขาดูหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดแบบนั้น
“ใครโทรมาอะ” ไอ้เดย์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ
ปรือตาขึ้นมาถามเสียงเนือย
“คนไม่คุย”
เดย์มันเคยถามไปแล้วว่าผมแชตกับใครบ่อย ๆ
มันยัดเยียดนะโมให้เป็น ‘คนคุย’ ของผม ทว่าผมก็ตอบกลับไปแล้วว่าเขาคือ ‘คนไม่คุย’
ไม่ได้อยากคุย
แต่ก็คุยน่ะ
“จะไปไหนกัน”
“กินข้าว”
“อีกหน่อยคนไม่คุยก็พัฒนาเป็น ‘คนไม่ชอบ’ และ ‘คนไม่รัก’ แหละกูว่า”
จะว่าไปเพื่อนผมก็ประชดประชันเก่งเหมือนกันนะ
“แล้วมึงจะทำไม” ผมเลิกคิ้วถามอย่างหาเรื่อง
“เปล๊า”
“…”
“แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมมึงต้องปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนคุย”
“ก็กูไม่ได้อยากคุย”
“แต่ก็คุย”
“…”
“ทำไมอะ … แพ้ทางเขาเหรอ”
“เปล่า”
แม้จะไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วผมแพ้ทางนะโมหรือเปล่าแต่ก็ปฏิเสธไปก่อน
“แล้วคุยด้วยทำไมถ้าไม่อยากคุย”
“…”
“กับไอ้เจตกูก็เห็นมึงมีท่าทีปฏิเสธแม่งแบบชัดเจนตลอด”
“ไอ้เจต?” ผมเลิกคิ้วสูงใส่เพื่อน
แม้จะคิดว่าไอ้เจตชอบ แต่ผมไม่เคยบอกไอ้เดย์เลยสักครั้ง
“ขอร้องเหอะ” เพื่อนทำหน้าเหยเกใส่ผม “กูรู้ว่ามึงรู้”
“…”
“ขนาดกูยังมองออกเลยว่าแม่งชอบมึง งานสายตาแม่งชัดขนาดนั้น”
“แล้วไอ้เจตเกี่ยวไร”
“ก็มันชอบมึง แต่มึงไม่ชอบมึงก็มีท่าทีปฏิเสธชัดเจน” ไอ้เดย์อธิบายง่าย
ๆ สลับกับหาววอด ๆ “แต่กับคนไม่คุยมึงเนี่ย
ปากบอกไม่อยากคุยแต่ก็ตอบเขา นี่ยังจะไปกินข้าวกันอีก”
“…”
“ไม่เห็นชัดเจนเหมือนที่ปฏิบัติกับไอ้เจตเลย”
“…”
“มึงเวลาปกติน่ะนะ ไม่อยากคุยคือไม่คุยไม่ใช่เหรอ แต่นี่มันย้อนแย้งอะ”
จี้จุดเกินไปแล้ว
“ก็จริง”
ผมเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ ซึ่งดูเหมือนว่าไอ้เดย์จะรอฟังอยู่
“โหไอ้สัส กูพูดยาวเป็นกิโลมึงตอบได้แค่ ‘ก็จริง’
เหรอ”
“…”
“ดอกพิกุลล่วงจากปากมั้ย ห่า”
“จะไปอาบน้ำแล้ว”
ผมตัดบทดื้อ ๆ เพราะไม่อยากให้เพื่อนตื๊อถามมากกว่านี้
ไม่มีคำตอบดี ๆ ให้มันหรอก
เพราะหลาย ๆ อย่างผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
“เอ๋า”
“…”
“เอ๋า ๆ ๆ”
ผมยันตัวลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหนีเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้แยแสเสียงบ่นแง้ว
ๆ ของไอ้เดย์ที่ไล่หลังมาเลยแม้แต่น้อย
☁☁☁
“เธอมาทำอะไรที่หอน้องเอย”
หลังจากขึ้นรถยนต์คันงามของนะโมมาแล้วคนเป็นพี่ก็ยิงคำถามใส่ทันที
“หอเพื่อน”
“เพื่อนคนไหน … เพื่อนสาขาคนนั้นเหรอ” ดวงตาคมสวยผินมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปจับจ้องเส้นทางข้างหน้าอย่างเดิม
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“…”
นะโมไม่ได้ตอบ
แต่สีหน้าเขาบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ
อาการกระฟัดกระเฟียดนั่นตลกชะมัด
“หอไอ้เดย์”
เพราะนะโมเอาแต่เงียบผมเลยต้องเฉลยให้ฟัง
“เล่นกับใจคนมันไม่เจริญนะ”
“แต่มันสนุก”
“ใจร้ายอะ”
“…”
“รู้ทั้งรู้ว่าพี่หวง”
“…”
เป็นผมบ้างที่เงียบไป
“ถ้าพี่หน้ามืดไปต่อยมันทำไง”
“พี่ไม่ทำหรอก”
อย่างนะโมน่ะ … ยังไงก็ไม่กล้า
อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาไม่ค่อยแสดงความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่
ไม่มีใครมองออกว่าเขาเป็นคนยังไง
“ก็ใช่”
“…”
“แต่เพื่อนพี่ทำนะ”
“ก็อย่าเหี้ยขนาดนั้นเลยนะโม”
“หึ” คนเป็นพี่ยิ้มขำใส่ก่อนจะพาเปลี่ยนประเด็นไปดื้อ
ๆ “กินข้าวเสร็จเราไปดูหนังกันต่อได้มั้ย”
“…”
ผมรู้ว่าในหัวเขาคิดอะไร
นะโมเคยพูดว่าอยากให้เราไปเดตกันจริงจัง
และตอนนี้เขากำลังปูทางให้เป็นแบบนั้น
“วันนี้ … เธออยู่กับพี่ทั้งวันเลยได้มั้ย”
ทันทีที่รถจอดติดไฟแดงใบหน้าหล่อก็หันมาทำสายตาออเซาะใส่ นั่นทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น
อยู่ ๆ คำถามจากไอ้เดย์ผุดขึ้นมาในหัว
‘แพ้ทางเขาเหรอ’
แม้จะแย้งอยู่ในใจแต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าจริง ๆ
แล้วผมแพ้ทางนะโม
แบบนี้ไม่ดีแน่
“ไม่ได้หรอก”
ผมปฏิเสธโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคนเป็นพี่เลย
“ทำไมครับ”
“…”
“ทำไมไม่ได้”
“เพราะเราไม่ได้อยากไปดูหนัง”
“งั้นทำอะไรก็ได้ … เธออยากไปไหน พี่จะพาไป”
“…”
“ให้พี่ได้อยู่กับเธอเถอะนะ”
ทำยังไงดีล่ะ
สมองกับหัวใจมันตีกันไม่หยุดเลย
☁☁☁
“เธอกินน้อยไปมั้ยเนี่ย”
คนเป็นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้น
สีหน้าเขาดูไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่อาหารตรงหน้าผมพร่องไปแค่นิดเดียว
“อิ่มแล้ว”
“กินน้อยแบบนี้ไงเธอถึงได้ผอมขนาดนี้”
“แล้วมันมีปัญหาตรงไหน” ผมเลิกคิ้วถามอย่างหาเรื่อง
จริงอยู่ที่ผมสูงมากเมื่อเทียบกับอี้ผิงหรือเจ้าเอย
แต่ก็ไม่ได้ตัวใหญ่หรือสูงไปกว่านะโม ซ้ำผมยังผอมแห้งไม่ได้ตัวใหญ่
หนาแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อที่สวยงามเหมือนอย่างเขา
“ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับ พี่แค่ห่วง”
“ห่วงตัวเองเหอะ” ผมประชดอย่างไม่จริงจังก่อนจะยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม
ตอนอยู่บนรถผมไม่ได้ตอบอะไรเลยเมื่อเจอลูกอ้อนของนะโมแบบนั้น
‘ให้พี่ได้อยู่กับเธอเถอะนะ’
ในเมื่อตอบไม่ได้และปฏิเสธไม่ลงผมเลยเลือกที่จะเงียบ
เงียบจนเรามาถึงร้านอาหารและนั่งทานมันด้วยกันจนอิ่มนั่นแหละ
“ถ้าพี่จะห่วงเธอ…” นะโมเลิกคิ้วสูงใส่ก่อนจะพูดเสริม
“แล้วมันมีปัญหาตรงไหน”
“…”
หางคิ้วผมกระตุกทันทีที่โดนยอกย้อน
“หึ” คนเป็นพี่ยิ้มขำใส่ “อย่าทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าพี่ให้ตายแบบนั้นสิ”
“…”
ก็เขามันน่าหงุดหงิดนี่
“อ้าว พิง”
ก่อนที่ผมกับนะโมจะได้คุยอะไรกันต่อเสียงทักแสนคุ้นเคยก็เอ่ยเรียกความสนใจให้หันไปมอง
ร่างสูงสมส่วนยืนยิ้มร่าให้ผมอยู่
“ว่า” ผมตอบไอ้เจตไปห้วน ๆ
จะไม่ถามโง่ ๆ หรอกว่ามันมานี่ได้ยังไง
คอนโดมันอยู่ใกล้ร้านอาหารนี้แค่สองช่วงตึกนี่เอง
คงลงมาหาอะไรกินตามประสามันนั่นแหละ
ผมเคยแวะมาทำงานกลุ่มที่ห้องมันหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
บางครั้งก็มีงานกลุ่มที่รวมคนค่อนข้างเยอะน่ะ
ผมกับไอ้เดย์เลยต้องอาศัยชาวบ้านอยู่ด้วย
“มาทำไรอะ”
“ทำฟัน” ผมประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด
ก็นี่มันร้านอาหาร
ไม่บอกก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามากินข้าว
“เหรอ” ไอ้เจตถามยิ้ม ๆ แม้จะรู้ว่าผมประชด
ทว่ามันก็ไม่ได้โกรธ “แล้วทำเสร็จยัง”
“เสร็จแล้ว”
“…”
เจตพยักหน้ารับรู้
“แล้วมึงซื้อไปเลี้ยงคนทั้งคอนโดเลยมั้ยน่ะ” ผมพยักพเยิดหน้าไปยังถุงอาหารที่มันถืออยู่
“เปล่าหรอก กูซื้อไปให้พวกไอ้โจอะ เมื่อคืนมันค้างห้องกู กลัวพวกแม่งตื่นมาละโวยวายถามหาข้าว”
“…”
ประเสริฐมาก
ก็ปกติของมันแหละนะ
แม้ผมจะไม่ชอบหน้าไอ้เจตเท่าไหร่แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดูแลเพื่อนดีมาก
มันเป็นคนที่ให้ใจกับเพื่อนเต็มร้อยน่ะ ไม่มีใครไปห้องมันแล้วอดตาย
กับเพื่อนมันนิสัยดี
“เมื่อคืนมึงกับไอ้เดย์น่าจะไปต่อกับพวกกู โคตรสนุกเลย”
เคล้ง!
เสียงช้อนกระทบจานดังขัดบทสนทนาของผมกับเจตทำให้เราทั้งคู่เบนสายตาไปมองคนอายุมากกว่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม
นะโมปรับสีหน้าบึ้งตึงให้มีรอยยิ้มประดับประดาก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติ
“พี่อิ่มแล้วล่ะ”
แม้หน้าเขาจะปั้นยิ้ม
แต่สายตาเขาบอกชัดว่าไม่พอใจ
ผมเบนสายตาไปมองไอ้เจต
ซึ่งเพื่อนก็ทำสีหน้าเหมือนอยากถามว่านะโมมากับผมได้ยังไงเหมือนกัน
ทว่ามันก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร แค่บอกลาง่าย ๆ
“งั้น … กูกลับล่ะนะ”
“อือ”
“เจอกัน”
“…”
ผมพยักหน้าให้แกน ๆ แล้วมองตามแผ่นหลังไอ้เจตจนมันเดินออกไปนอกร้าน
“เธอมองออกใช่มั้ยว่าหมอนั่นชอบ”
ผมหันกลับมาสบตากับนะโมตรง ๆ
อีกครั้งก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา
“อือ มองออก”
“ก็นะ … งานสายตาชัดขนาดนั้น”
“…”
ก็แปลกดีที่นะโมเจอไอ้เจตแค่ครั้งเดียวก็มองออกแล้ว
คนเป็นพี่เท้าคางพลางจับจ้องผมไม่ละสายตาไปไหน
ใบหน้านะโมไม่ได้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย
สายตาที่เขาใช้มองมามันไม่ใช่สายตาแสนอ่อนโยน
“พี่หวงเธอว่ะ”
แม้คำพูดและสายตาแบบนั้นจะทำให้กลางอกรู้สึกวูบไหวทว่าผมก็รักษาท่าทีเอาไว้ได้ดี
ไม่มีหลบตา
ไม่มีอ้ำอึ้ง
ผมเท้าคางมองนะโมกลับบ้าง
ระยะห่างระหว่างโต๊ะที่ไม่ได้มากมายผลักให้ใบหน้าเราใกล้ชิดกันกว่าที่เคย
“ความรู้สึกตัวเอง ก็จัดการเองสิ”
“เธอช่วยหน่อยได้มั้ย”
“ช่วยอะไร”
“ช่วยอย่าน่ารักกับคนอื่น”
“หึ” ผมหลุดขำออกมาง่าย ๆ เพียงเพราะคำว่า ‘น่ารัก’ จากนะโม
“พี่จริงจังนะพักพิง”
นะโมมองผมด้วยสายตาที่มีความหมายมาก ทว่า…
“เราไม่เคยน่ารักกับใครอยู่แล้ว … กับพี่ก็ไม่เคย”
ผมจำได้ว่าไม่เคยทำแบบนั้น
“เหรอ” นะโมถามเหมือนไม่อยากได้คำตอบ
เขาจุดยิ้มมุมปากก่อนจะบอกเสริมด้วยน้ำเสียงธรรมดา ทว่าแฝงไปด้วยความพิสมัย “แต่ในสายตาพี่เธอน่ารักตลอดเลยนะ”
ความคิดเห็น