คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ | อัปครบ
**คำเตือน**
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม
ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์
ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
| บทนำ | |
โปรแกรมความรัก มักจะมาพร้อมกับไวรัสที่ชื่อว่า ‘ความเจ็บปวด’ หากคิดจะติดตั้งโปรแกรมนี้เข้ามาในหัวใจ นั่นแปลว่ายอมรับความเจ็บปวดโดยไร้ข้อกังขา
สำหรับผมความรักเป็นแบบนั้น
ผมมองความรักด้านเดียวมาตลอด
มันเป็นด้านที่มีแต่ความเจ็บปวด ด้านที่ทำให้คนมีรักนั้นอ่อนแอ … จนวันหนึ่งสถานการณ์รอบตัวเปลี่ยนไป
ผมมองรักในมุมที่กว้างขึ้น
กว้างขึ้นเพราะ ‘เจ้าเอย’ ผู้ชายหน้าตาน่ารัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น
แต่ใช่ว่าทุกคนจะสมหวังกับความรัก ตอนนี้เรากลายมาเป็นเพื่อนกัน
เจ้าเอยมีแฟนแล้ว
น่าขำตรงที่แฟนเขาดันเป็นคนที่ผมเกลียด
ช่างเถอะ…
เขาหยิบยื่นสถานะเพื่อนมาให้ แม้จะไม่เต็มใจ
แต่ในเมื่อไม่มีสถานะไหนที่เป็นได้ผมก็ต้องยืนอยู่จุดนี้ให้มั่นคง
เพื่อจะได้อยู่ใกล้ ๆ เขาต่อไป
ครืน…
เสียงคลื่นทะเลซัดฝั่ง
ผมนั่งมองเกลียวคลื่นพวกนั้นมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว มันรู้สึกดีนะ
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มาเที่ยวทะเล
บรรยากาศที่นี่ดีมาก
น่าเสียดาย … พรุ่งนี้ต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตที่วุ่นวายแล้ว
“ทำไมออกมานั่งคนเดียวล่ะ” เสียงโมโนโทนเอ่ยถาม
แม้จะไม่ได้หันไปมอง
ทว่าผมก็พอรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
ได้ยินเสียงนี้ไม่บ่อยครั้ง
แต่ก็จำได้ขึ้นใจ
ทริปทะเลครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับกลุ่มเพื่อน
แต่ยังมีกลุ่มของแฟนเพื่อนพ่วงมาด้วย มันวุ่นวาย และผมไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวายเลย
ทว่าก็อดยอดรับไม่ได้อยู่ดีว่าทริปนี้สนุกมาก
เจ้าของเสียงเมื่อครู่คือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของ ‘เหนือดาว’
แฟนเจ้าเอย
‘นะโม’
นั่นคือชื่อเจ้าของเสียงที่ทักผม
“…” แน่นอนว่ามีแค่ความเงียบเท่านั้นที่เขาได้รับจากผม
ร่างสูงเดินมาทิ้งตัวนั่งชันเขาข้าง ๆ หาดทรายนี้กว้างตั้งหลายลี้
แต่เขากลับเลือกที่จะนั่งใกล้ผมทั้ง ๆ ที่เราแทบจะไม่เคยคุยกันเลย
“ขอนั่งด้วยนะ”
“…”
“เบียร์หมด เดี๋ยวไป”
“…”
“เอามั้ย” เบียร์กระป๋องถูกยื่นมาตรงหน้า
แต่ผมไม่ได้รับไว้
แค่ปรายตามองมันครู่เดียวแล้วกลับมาชื่นชมวิวทะเลยามค่ำคืนอีกครั้ง “ไม่ดื่มเหรอ”
“…”
เบียร์กระป๋องถูกชักกลับไปง่าย ๆ
“พี่นึกว่าเธอไปเที่ยวตลาดนัดกับเพื่อนซะอีก”
“…”
เธอ?
แม้จะขัดใจกับสรรพนามที่เหมือนเรียกเพื่อหยอกล้อกัน
ทว่าผมก็ยังเงียบงันอยู่แบบเดิม
และเมื่อเห็นว่าผมไม่มีท่าทีจะตอบอะไรคนเป็นพี่ก็พาเปลี่ยนประเด็นไปดื้อ ๆ
“วันนี้ทะเลสวยจัง”
“…”
“…ว่ามั้ย?”
นะโมเป็นคนที่เงียบที่สุดในกลุ่มเพื่อน
เขาเป็นคนที่ชอบทำหน้านิ่งขรึม และดูมึนตึงอยู่ตลอด เขาไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยิ้ม
นั่นทำให้ผมสงสัยว่าทำไมวันนี้เขาพูดมากจัง
“เมาเหรอ?”
ผมถามพลางหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด
“หึ” ใบหน้าหล่อคมคายระบายยิ้ม รอยบุ๋มเล็ก ๆ
บนแก้มเขา … มันดูดี เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็น
เพิ่งรู้ว่ามีลักยิ้มด้วย “พี่ดูเหมือนคนเมาเหรอ”
ใช่ เขาดูเหมือน
“แล้วเมามั้ย”
“เปล่า”
“แล้วทำไมพูดมาก”
“ด่าเหรอ?”
“…”
ผมไม่ได้ตั้งใจจะด่า
แต่ในเมื่อเขาตีความไปแบบนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องอธิบาย
ผมไม่ได้สร้างพันธมิตรเก่ง ส่วนมากขยันสร้างแต่ศัตรูน่ะ
การแคร์คนอื่นมันทำให้ปวดหัว
แล้วผมจะไปหาเรื่องปวดหัวให้ตัวเองทำไมล่ะ
“พี่แค่กลัวเธอเหงา เลยชวนคุย”
“…”
“รำคาญเหรอ”
“อือ”
“ขวานผ่าซากดีแฮะ” นะโมเงียบไปครู่หนึ่ง
กระดกเบียร์ขึ้นจิบแล้วบอกเสริม “สีผมไม่แดงแล้วคิดว่าจะแสบน้อยลงซะอีก”
“…”
ก่อนหน้านี้ผมยอมผมสีแดง เป็นแดงทับทิมน่ะ
แต่นิสัยไม่เกี่ยวกับสีผม
“ผมเธอยาวขึ้นเยอะเลย”
“…”
“ทรงนี้ดูเหมาะกับเธอนะ”
“…”
“สวยดี”
“…”
พูดกันตามตรงผมไม่เข้าใจนะโม
มองไม่ออก
สายตาที่เขาใช้มองมามันปกติ
ไม่ได้ดูสนใจอะไรในตัวผมเป็นพิเศษ
คำชมงี่เง่านั่นผมไม่รู้เลยว่าเขาพูดมันออกมาเพื่ออะไร
ปกติผมมองคนออกเสมอว่าใครเข้าหารูปแบบไหน
แต่กับคน ๆ นี้
จนปัญญา
นะโมไม่ได้พล่ามอะไรอีก เขาค่อย ๆ
จิบเบียร์กระป๋องนั้นเรื่อย ๆ โดยไม่เร่งรีบเลยแม้แต่น้อย แค่เบียร์กระป๋องเดียว
เขาดื่มมันเกือบชั่วโมง
และใช่ … เราไม่คุยอะไรกันเลยเป็นชั่วโมง
ผมนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้ว และคาดว่ายังจะนั่งไปอีกนาน
วิวตรงหาดทรายบริเวณใกล้ ๆ กับบ้านพักมันสวย สวยเสียจนผมไม่อยากลุกไปไหน
การที่นะโมมานั่งด้วยไม่ได้มีผลอะไรมากหรอก แค่ไม่สนใจเขาก็ไร้ตัวตนแล้ว
กร็อบ!
มือใหญ่บีบกระป๋องเบียร์หลังจากดื่มมันจนหมด
“เบียร์หมด … พี่ต้องเข้าบ้านแล้วล่ะ”
คนตัวใหญ่ยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วสะบัดกางเกงโดยไม่ได้แยแสคนที่นั่งอยู่อย่างผมเลยว่าทรายจะกระเด็นมาโดนหรือเข้าตาไหม
“จิ๊!” ผมจิ๊จ๊ะแล้วกะพริบตาถี่ ๆ
เพื่อไล่อาการระคายเคือง
มันไม่หาย
ผมจำต้องหลับตาไว้อย่างนั้นเพราะรู้สึกปวด
“โทษที ๆ” นะโมยอบตัวลงนั่งยอง ๆ
แล้วเอื้อมมือมาปัดเศษทรายบนศีรษะออกให้ จากนั้นมือใหญ่เคลื่อนลงมาปัดบริเวณแก้ม
แล้วประคองใบหน้าผมไว้หลวม ๆ “เข้าตาเหรอ”
“เออ” ผมตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่ขอโทษ”
“…”
“ไปล้างหน้าในบ้านมั้ย เดี๋ยวพี่พาไป”
“…”
ผมยังเงียบอยู่แบบเดิม นะโมเลยถามย้ำ
“ไปเปล่า”
ผมคว้าแขนนะโมไว้ด้วยความจำใจ
นั่นเป็นการอนุญาตว่าให้เขาพาไปล้างหน้า
รุ่นพี่ฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังแค่ยืน
ไม่เดินสักทีจนผมต้องออกปากสั่ง
“นำไปดิ”
ผมได้ยินเขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบรับเสียงอ่อน
“ครับ ๆ”
☁☁☁
นะโมพาผมมาล้างหน้าล้างตาในบ้านพัก
เสร็จแล้วเราทั้งคู่ก็มานั่งจ๋องอยู่ตรงโซนนั่งเล่น มันน่าเบื่อมาก
ตอนนี้พวกที่ไปตลาดนัดยังไม่กลับมา
ทั้งบ้านเหลือแค่เรา
ผมไม่ได้อยากนั่งอยู่ตรงนี้ แต่จะให้ออกไปชมวิวอย่างเดิมก็รู้สึกขี้เกียจแล้ว
นะโมทำให้ผมหมดอารมณ์ ครั้นจะหนีไปนอนก็ยังไม่ง่วง
ตอนนี้ทุกอย่างดูน่าเบื่อไปหมด
รู้งี้ไปเที่ยวตลาดนัดกับเพื่อนเสียก็ดี
“แทงสนุ๊กเป็นมั้ย”
ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือไปมองนะโมก่อนจะตอบนิ่ง ๆ
“เป็น”
“เล่นเปล่า” ใบหน้าหล่อพยักพเยิดไปทางโต๊ะสนุ๊กที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
ผมเก็บโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอร้าวจนแทบจะเรียกว่าแหลกละเอียดเข้ากระเป๋ากางเกงขาสั้นตัวที่สวมอยู่ก่อนจะตอบง่าย
ๆ
“เล่น”
นะโมระบายยิ้มอ่อน ๆ ให้ก่อนจะยันตัวลุกไปยังโต๊ะสนุ๊ก
ซึ่งผมก็เดินตามเขาไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เราเลือกหยิบไม้คิวที่ถนัดมือมาถือไว้
“เธอเปิดเลย”
“…”
ผมไม่ได้ตอบ แค่จัดท่าแล้วโน้มลงไปแทงลูกคิวบอลแบบไม่ได้คิดอะไร ลูกเป้าทั้งหลายเลยกระจายไปทั่วโต๊ะ
มันเป็นแค่เกมเล่น ๆ
ถ้าจริงจังหรือมีเงินพนันผมคงเปิดเกมเพื่อให้นะโมเล่นยากไปแล้ว
รุ่นพี่ใช้สายตาประเมินลูกสนุ๊กบนโต๊ะก่อนจะจัดท่าแล้วโน้มลงไปแทงบ้าง
ลูกฟรีบอลลงหลุมไปง่าย ๆ นั่นแปลว่าเขาได้แทงลูกสีต่อ
“พี่ไม่ออมมือให้หรอกนะ”
เสียงโมโนโทนเอ่ยบอก
“…”
ปกติผมอคติกับรุ่นพี่แก๊งนี้มาก
ไม่รู้ทำไมถึงได้มาทำอะไรแบบนี้กับนะโม
นะโมแทงลูกสีไม่ลง ผมเลยได้แทงอีกรอบ
ในเมื่อเขาไม่ออมมือ ผมก็จะไม่ออมเหมือนกัน
ผมไม่ใช่แค่เล่นเป็นหรอกนะ อย่างผมเรียกได้ว่าเล่นเก่งเลยก็ได้
หลาย ๆ ครั้งจึงมีเงินใช้เพราะพนันแทงสนุ๊ก แต่ก็ไปเสียพนันบอลอยู่ดี
แต่ก็นะ … นั่นมันเมื่อก่อน
ผมเลิกสนุกกับอะไรโง่ ๆ แล้ว
ผมแทงลูกฟรีบอลลงหลุม
จากนั้นก็ตามด้วยลูกสีดำที่มีค่าคะแนนเยอะที่สุด
แล้วก็ตามด้วยลูกฟรีบอลอีกหนึ่งลูก มันเกือบจะไปได้สวย แต่ผมพลาดลูกสี
“เก่งใช้ได้เลยนี่”
ผมไม่ได้ใส่ใจกับคำชมนั่นมากนัก
คะแนนผมนำนะโมอยู่เยอะ
แต่คะแนนนำก็ใช่ว่าจะชนะ
นะโมแทงลูกฟรีบอลและลูกสีสลับกัน
มันเป็นอยู่อย่างนั้นจนลูกฟรีบอลแทบจะหมดโต๊ะ
เขาเก่ง
เก่งใช้ได้เลย
แป๊ก!
ลูกสีลูกสุดท้ายลงหลุมไปโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้แทงอีกเลยหลังจากแทงลงสามลูก
“เก่งนี่”
ผมเอ่ยชมระหว่างที่เรียงลูกเป้าทั้งหลายใหม่ ใช่ … เฟรมใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น
“อาจจะน้อยกว่าเธอ”
“…”
“พี่รู้ว่าฝีมือเธอไม่ได้มีแค่นี้หรอก”
“ไม่หรอก”
“…”
“มีแค่นั้น”
“เฟรมนี้พี่เปิดก่อนนะ” เขาบอก
มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ผมจึงผายมือเชิญ
เริ่มสนุกขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะ
นะโม … แก้เบื่อได้เยอะเลย
เฟรมนี้เราเล่นกันสบาย ๆ กว่าเดิม
ดูได้จากการที่นะโมไม่ได้พยายามแทงลูกยาก ๆ
“ทำไมถึงไม่ไปเที่ยวตลาด” ผมถามขึ้นระหว่างที่รุ่นพี่กำลังใช้สายตาประเมินว่าควรแทงลูกไหน
คำถามนี้มันคาใจผมมาเป็นชั่วโมงแล้ว
“พี่ไปมาแล้ว”
“…”
“คืนก่อนที่พวกเธอจะมา…”
“…”
“ไปเก็บภาพไว้หมดแล้วก็เลยไม่รู้จะไปทำไมอีกน่ะ”
“…”
รุ่นพี่แก๊งนี้มาที่บ้านพักก่อนกลุ่มผม บ้านนี้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัว
‘ยัยเตย’ เพื่อนผู้หญิงในกลุ่ม
และพี่ชายเธอก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับนะโม ซ้ำร้ายพี่ชายเตยยังเป็นแฟนกับ ‘อี้ผิง’ เพื่อนในกลุ่มของผมอีก
ผมไม่ได้คิดจะเข้ากลุ่มนี้แต่แรก
ทว่าก็โดนจับผลัดจับผลูมาอยู่เสียได้
“นี่…” รุ่นพี่ยืดตัวตรงแล้วหันมาสบตากับผมแทนที่จะโน้มลงไปแทงสนุ๊กต่อ
“จริง ๆ พี่หงุดหงิดมาสักพักแล้ว”
“…”
นะโมเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
ระยะห่างเพียงนิดทำให้ผมรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้สูงไปกว่าเขาเลย
แต่ก็ไม่ได้เตี้ยกว่ามากมายอะไร เพียงแค่ร่างกายเขามันหนาปึก ดูแข็งแกร่ง
ผิดกับผมที่ผอมและตัวบางกว่า
“ปิดมันไว้ได้มั้ย” มือใหญ่เอื้อมมาติดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ผมสวมอยู่
“โน้มทีพี่เห็นไปยันสะดือเลย”
ตอนแรกผมปลดกระดุมเชิ้ตไว้แค่สองเม็ด
แต่ตอนนี้นะโมติดมันให้หมดแล้ว
คนเป็นพี่ผละออกไปผมจึงวางไม้คิวไว้บนโต๊ะสนุ๊ก
จัดการปลดกระดุมตั้งแต่เม็ดแรกยันเม็ดสุดท้าย แล้วมองหน้านะโมอย่างท้าทาย
ใครแคร์ล่ะว่าเขาจะเห็นอะไร
ผมไม่ได้แคร์สักหน่อย
“พักพิง!!!!!!”
ก่อนที่ผมจะได้เล่นสงครามประสาทกับนะโมเสียงเรียกชื่อก็ดังขัดเสียก่อน
เสียงไอ้จ๋านำมาแต่ไกล ทั้ง ๆ
ที่ตัวมันยังอยู่ประตูหน้าบ้าน
‘จ๋า’ คือเพื่อนไอ้อี้ที่เพิ่งพามารู้จักกับเพื่อนในกลุ่มเมื่อวาน
แต่เราก็สนิทกันเร็วเพราะนิสัยแด๊ดแด๋ของมัน คุยเก่งชะมัด
เก่งจนบางครั้งผมนึกรำคาญเลยล่ะ
“เบาเสียงมึงลงหน่อยเหอะจ๋า” ไอ้อี้ปรามเพื่อน
แต่ก็ใช่ว่าไอ้จ๋าจะฟัง
“กูซื้อยางรัดผมมาฝากมึงแหละ” ยางรัดผมเส้นเล็ก ๆ
สีดำสนิทถูกยื่นมาให้ตอนที่เพื่อนหยุดเคลื่อนที่ลงตรงหน้า “ผมมึงยาวแล้ว
มีติดตัวไว้จะได้ไม่ต้องหายางรัดแกงมารัดบ่อย ๆ”
“…”
“ไม่ต้องขอบใจหรอกนะ”
“…”
“เส้นละห้าบาท”
“ไหนบอกซื้อมาฝาก”
“ก็ซื้อมาฝากไง แต่ห้าบาท”
“ขี้งก”
“ห้าบาท”
“ไอ้จ๋า”
“ห้าบาท”
“…”
“ห้าบาท”
ให้ตายเหอะ เชื่อแม่งเลย
แปะ!
ผมแปะมือเพื่อนแล้วบอกเสียงเรียบ
“ขอแปะไว้ก่อน”
“เค”
“…”
พอตกลงกันได้ผมก็เอื้อมไปหยิบยางเส้นเล็กมามัดรวบผมที่กำลังยาวได้ที่ไว้ลวก
ๆ
ผมกับไอ้จ๋าพักห้องเดียวกัน เราเลยสนิทกันรวดเร็ว
แค่วันเดียวก็คุยจ้อกันได้แทบทุกเรื่อง (หมายถึงมันนะที่คุยจ้อ ผมแค่รับฟัง) … อาจจะเป็นเพราะไอ้จ๋าเป็นคนไม่มพิษมีภัยด้วยล่ะมั้งผมเลยไม่ปิดกั้น
“แล้วมึงแหวกเสื้อทำไมอะ พี่นะโมไม่เมานมมึงแย่แล้วเหรอ” ปากก็ว่ามือก็เอื้อมมาเขี่ยหัวนมผมประกอบ
ซนฉิบหาย
จะว่าไป … พอมีคนอื่นอยู่ด้วยนะโมก็ดูจืดจางลงทันที
เขาแทบไม่พูดอะไรอีกเลย
ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของไอ้จ๋า
แต่กลับออกปากสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม
“หุบนิ้วป้อม ๆ ของมึงออกไปจากนมกูเดี๋ยวนี้”
“มึงเซ็กซี่อะ”
“…”
“หุ่นดีจังเลยค่ะพี่”
“…”
“ไม่ทราบว่ามีแฟนหรือยังเอ่ย”
เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าแม่งแด๊ดแด๋
จริง ๆ ไอ้จ๋ามันไม่ได้พิศวาสอะไรผมหรอก
ก็แค่พูดแซวเล่นไปเรื่อยตามประสา
ผมเหลือบไปมองนะโนก็พบว่าเขาเองก็มองผมอยู่เช่นเดียวกัน
สายตานั้นค่อนข้างเรียบนิ่ง ผมไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
คนเหี้ยอะไร … อ่านยากชะมัด
“พิง ฉันซื้อขนมมาฝาก มากินดิ” เตยถือถุงพะรุงพะรังเดินผ่านเราไปโซนครัว
คนอื่น ๆ
ก็ทยอยเดินเข้ามาในบ้านแล้วจับจ้องพื้นที่ในห้องนั่งเล่นกัน
ผมผลักศีรษะไอ้จ๋า ปรายตามองนะโมครู่หนึ่งแล้วปลีกตัวหนีความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยการเดินไปหาเตยในครัว
“ผลักซะแรงเลยนะไอ้ห่า”
“…”
“ที่บอกว่ามึงเหมือนคนโกรธตลอดเวลานี่กูไม่ได้พูดเกินจริงเลย” แน่นอนว่าไอ้จ๋าไม่ลืมที่จะตะโกนไล่หลังมา “อย่าลืมห้าบาทกูนะ”
☁☁☁
ถึงเวลาต้องกลับ
บอกตรง ๆ ว่าผมไม่อยากกลับเลย
อยู่ที่นี่แม้จะมีอะไรขัดใจอยู่บ้างแต่อย่างน้อยมันก็สบายใจกว่าอยู่บ้าน
“พิง มีไรให้ถือช่วยเปล่า” เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าเอยมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสเสมอเลย
“ไม่ล่ะ” ผมตอบเสียงอ่อน
เจ้าเอยเป็นคนเดียวที่ผมอยากพูดด้วยดี ๆ
ตั้งแต่ที่สำเหนียกได้ว่าเขาแสนดีขนาดไหน
ผมก็ปฏิบัติกับเจ้าเอยดีเสียจนผมเองยังงง
ตอนนี้เราทุกคนกำลังขนของขึ้นรถเพื่อกลับกรุงเทพฯ
กลับไปเรียน กลับไปใช้ชีวิตที่น่าเบื่อเหมือนอย่างที่ผ่านมา
เวลาความสุขมันก็น้อยแบบนี้แหละ
“พิงจะนั่งคันเดียวกับเราใช่เปล่า”
“เอยอยากให้เรานั่งด้วยเหรอ”
ตอนมาที่นี่คนขับรถบ้านยัยเตยขับมาให้ ส่วนพวกพี่ ๆ
มันขับรถส่วนตัวมาเอง
คนขับรถบ้านยัยเตยกลับไปแล้ววันนี้เราเลยต้องอาศัยรถรุ่นพี่กลับ
“แน่นอนสิ” เพื่อนตัวเล็กที่กำลังเดินขนาบข้างบอกอย่างหนักแน่น
“เตย จ๋า แล้วก็อี้ไปคันเดียวกับพี่เต้ยหมดเลย เราไม่มีเพื่อน”
“ที่แท้ก็ไม่มีเพื่อน”
“โถ่ เราก็อยากให้พิงมาด้วยกัน”
“แต่หอเอยอยู่คนละทางกับบ้านเราเลย เดี๋ยวเหนือดาวเหนื่อยนะ”
ผมไม่ได้ห่วงเหนือดาวหรอก แค่หาเรื่องไม่ให้เราไปด้วยกัน
บอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบเวลาเจ้าเอยอยู่กับแฟน
“แล้วพิงจะไปคันไหน”
คำถามนั้นสิ้นสุดตอนที่เราอยู่โรงรถรวมกับทุกคนแล้ว
ผมกวาดตามองความวุ่นวายตรงหน้า
สะดุดตารถยนต์คนงามสีขาวสะอาด
หลังรถที่เปิดกว้างนั่นมีผู้ชายตัวสูงกำลังเก็บภาพความวุ่นวายตรงนั้นอยู่
“คันเดียวกับนะโม”
ตอบเจ้าเอยจบผมก็เดินไปโยนเป้ใส่หลังรถไว้
แล้วเดินขึ้นรถไปโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร
ไม่ได้มีเหตุผลพิเศษอะไร
รถแฟนอี้ผิงคนเต็มแล้ว ผมไม่อยากไปเบียด
รถเหนือดาวปัญหาก็อยู่ที่หน้ามันนั่นแหละที่ผมไม่อยากมอง
ผมไปกับนะโมน่ะดีแล้ว
กึบ!
ประตูรถฝั่งคนขับถูกปิดลงหลังจากเจ้าของรถขึ้นมาประจำตำแหน่งแล้ว
“เธอจะนั่งตรงนั้นเหรอ”
นะโมหันมาถามผมที่นั่งเอนตัวอยู่เบาะหลัง
“อือ”
“ไม่อยากมานั่งข้างหน้าด้วยกันเหรอ ไอ้เข็มไปคันเดียวกับไอ้เหนือ
มันไม่มานั่งกับเราหรอก”
“ไม่อยาก” ผมเอนตัวลงนอนราบไปกับเบาะ คว้ามือถือขึ้นมาเลื่อนเล่นแก้เบื่อ
“ผ้าห่มพับอยู่ในกล่องใต้เบาะนะ ถ้าอยากได้”
“ไม่เอา”
ผมได้ยินเสียงเจ้าของรถถอนหายใจเบา ๆ
ก่อนจะพูดกับผมด้วยเสียงโมโนโทนตามสไตล์เขา
“เอาใจยากจังเลยนะเธอน่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมละสายตาจากหน้าจอไปมองหน้าเขาแบบไม่เข้าใจ
ใครใช้ให้มาเอาใจล่ะ
ผมแค่มาอาศัยรถเขากลับ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้สักหน่อย
จริง ๆ แล้วมีเรื่องที่ผมค่อนข้างคาใจ … นะโมเป็นคนพูดน้อยมากเวลาอยู่รวมกับกลุ่มเพื่อน
ทว่าเวลาอยู่กับผมเพียงลำพังทำไมเขาถึงได้พูดมากผิดปกติ
พิลึกคน
ความคิดเห็น