ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : No.7 - พระเอกชั่วคราว
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของเหล่าทีมงานที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวงานเดินแบบเสื้อกีฬาแบรนด์ดังอยู่นั้น สายตาของผมไม่ใครจะได้สนใจใคร นอกจากเขา...
“น้องกันคะ เดี๋ยวหันหน้ามาทางนี้หน่อยนะ” เสียงพี่ช่างแต่งหน้าเรียกพลางเอามือมาช่วยผมจับหันเบาๆ ผมยิ้มรับ ก่อนหลับตาลงให้เขาบรรจงทาอะไรต่อมิอะไรลงบนใบหน้าอย่างว่าง่าย ทว่าทันทีที่รู้ว่าเขาไม่ได้แต่งอะไรใกล้ๆตาผมแล้วนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะลืมขึ้นมาแล้วหันไปทางเดิมอีกครั้ง
ผมมองภาพของคนตัวเตี้ยที่กำลังมีพี่ทีมงานคนหนึ่งมาซับหน้าให้เป็นระยะๆ ก็สังเกตอยู่หรอกว่าพี่คนนี้ชอบมาซับหน้าให้ริทบ่อยๆ ทุกครั้งที่ได้ทำงานด้วยกัน พอเสร็จแล้วริทก็ชอบยิ้มให้
ดูเป็นรอยยิ้มที่สดใส... ทำให้มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหน แต่ผมชอบมองริท ทั้งระยะใกล้และไกล มีความสุขกับการแค่แอบมอง
สำหรับผมแล้วริทไม่ใช่ผู้ชายที่หน้าตาสวยหวานหมดจดอย่างดาราเกาหลีที่เพื่อนผมเขาชอบกัน ถ้าพิจารณาแต่ละอย่างบนใบหน้าของริท ดวงตาสองชั้นหนาๆ ปลายจมูกโตๆ ปากกว้างๆที่ชอบยิ้มโชว์ฟัน ตัวก็เตี้ยๆ กล้ามมันก็มี ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้น ไม่มีอะไรเหมือนผู้หญิงเลยสักอย่าง
แต่พอทุกอย่างมันมารวมกันแล้ว ผมกลับพบว่ามันเป็นความลงตัวที่สุดที่คนคนหนึ่งจะมี
เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่สะกดคนรอบข้างให้มองมันด้วยความเอ็นดูรักใคร่
...บางที อาจเป็นเพราะมันมาจากภายใน
“อ่ะ เสร็จแล้วค่ะน้องกัน” เกือบลืมไปแล้วว่ามีพี่ช่างแต่งหน้าอยู่ใกล้ๆ ผมยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ หยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ก่อนถือกระป๋องน้ำอัดลมสีแดงที่ผมฝากพี่ทีมงานซื้อเมื่อครู่ แล้วเดินตรงไปยังคนตัวเล็กตรงหน้าที่เป็นเป้าหมาย ผมรู้ดีว่าริทชอบดื่มน้ำอัดลม เขาบอกว่าดื่มแล้วสดชื่น
ทีแรกว่าจะแกล้งเอากระป๋องน้ำเย็นๆไปแนบแก้มให้ริทสะดุ้งเล่น แต่พอคิดได้ว่าเดี๋ยวจะลำบากช่างแต่งหน้าเอาอีก ผมเลยตัดสินใจเดินเอาไปให้แบบธรรมดาพอริทมันเห็นกระป๋องน้ำอัดลมของโปรดก็รีบคว้าหมับแล้วค่อยหันมามองผม ก่อนจัดการเปิดแล้วกระดกพรวดๆพลางยักคิ้ว ดูยังไงก็รู้ว่ามันกะจะกินยั่วชัดๆ
ผมได้แต่ส่ายหน้าเนือยๆอย่างคนอ่อนใจ ขัดกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ริทเห็นมันก็หัวเราะกร๊าก แล้วยื่นกระป๋องน้ำที่มันดื่มเมื่อครู่นี้ให้ผม
“อ่ะ...เหลืออยู่นิดหน่อย”
น้ำหนักกระป๋องที่พร่องลงไปมากทำให้รู้ว่ากว่า 60%โดนไอ้เตี้ยข้างหน้านี่กินไปแล้ว ยังไงก็ตาม ผมก็ยังยิ้มน้อยๆให้มันแล้วซดน้ำที่เหลือเข้าไปจนหมด ผมเดินถือกระป๋องเปล่าเอาไปหย่อนลงในถังขยะจึงค่อยเดินมาหาริทอีกที
“เฮ้ย พร้อมยังวะกัน” เสียงติดขี้เล่นและร่าเริงคุยกับผม มือเล็กๆตบปุๆลงที่เก้าอี้ข้างๆ บอกให้ผมนั่งตรงนั้น ผมยักคิ้ว ก่อนทำตามคำบัญชา
“พร้อมกว่ามึงอ่ะ” ปฏิกิริยาตอบกลับคือรอยยิ้มกวนๆ กับฝ่ามือที่ทำท่าจะเบิ๊ดกะโหลกผมที
“ไม่เอา เดี๋ยวผมเสียทรง”
“โหยยยยยยย”
บทสนทนาของเราจบลงทันทีที่มีพี่ทีมงานออกมาบอกว่าให้เตรียมพร้อมสำหรับการเดินแบบที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าได้แล้ว
ริทจัดแจงเสื้อของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง เป็นเสื้อโปโลแขนสั้นธรรมดา เจ้าตัวลองจัดท่าทางให้ตัวเองนิดหน่อย แล้วถามความเห็นผมที่ยืนอยู่ข้างๆ “มึงว่ากูโอยังวะ?”
“โออะไร? โปลิโอเรอะ?” ตอบไปกวนๆอย่างที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันก็จะยิ้มแล้วก็ทำท่าเบิ๊ดกะโหลก ผมได้แต่ยิ้ม บอกเขาว่าล้อเล่น ก่อนจัดเสื้อตรงช่วงไหล่ให้มันตึงๆ จับมันพลิกซ้ายทีขวาที
“อือ โอแล้ว”
“มา กูดูให้มึงมั่ง” ว่าเสร็จมันก็จัดแจงเสื้อให้ผมบ้าง ปัดเศษอะไรๆที่ติดตามเสื้อผ้าผม ก่อนจ้องผมนิ่งอย่างพินิจ สีหน้าเคร่งเครียดจริงจังจนผมอดยิ้มไม่ได้ ยอมรับว่าดีใจที่มันใส่ใจผม
บางที การที่เราทำดีกับใครสักคน มันก็มีหวังบ้างว่าจะได้อะไรตอบกลับ แต่แค่ไม่หวังว่าสิ่งนั้นจะคืนกลับมาตอนไหนเมื่อไหร่ก็เท่านั้น
รู้แค่ว่าอยากให้ แล้วก็อยากจะให้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้จริงๆ...
ที่ผมหวังให้ตัวเองได้ดูแลมันไปอีกนานๆแบบนี้...
...ต่อให้วันข้างหน้าจะมีที่เหลือให้ผมอีกหรือไม่ก็ตามที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เสียงกรีดร้องจากบรรดาแฟนคลับมากมายที่ยืนออกันอย่างเบียดเสียดดังกึกก้องทันทีที่ผมและริทเยื้องย่างออกมาเดินบนแคทวอล์ก ผมเดินออกมานำหน้าเพื่อโชว์เสื้อกีฬาตัวสวยแบรนด์ดังด้วยท่วงท่าที่แอบซุ่มซ้อมมากันแป้ก ขณะที่เดินไปตามทางเดินยาวก็ปราดสายตามองเห็นป้ายไฟที่มีชื่อผมอยู่เรียงราย ใครจะไม่ดีใจล่ะครับถ้าเห็นมีคนที่รักที่ชอบตัวเองมายืนให้กำลังใจเยอะแบบนี้
แต่เสียงตะโกนชื่อริททำให้ผมเริ่มคิดอะไรบางอย่าง
ผมเห็นป้ายไฟชื่อริทแค่ป้ายเดียว...
ชั่วขณะที่ผมยืนตรงปลายแคทวอล์กแล้วยืนนิ่งเพื่อโพสท์ท่าโชว์รายละเอียดของชุดยิ่งกว่า ผมเลือกที่จะหยุดอยู่ในท่าที่สามารถหันหน้าไปลอบมองคนตัวเล็กที่ตามมาข้างหลังได้โดยไม่ผิดสังเกต สีหน้าของริทก็ยังเหมือนเดิม ยิ้มแย้ม สดใส เห็นข้างนอกก็รู้ว่าเขายังโอเคดี แต่ไม่รู้ว่าข้างในจะโอมั้ย ริทมันขี้น้อยใจ ชอบคิดว่าไม่มีใครรัก
ทั้งที่ผมรักมันจะตาย แฟนคลับที่รักมันก็มีตั้งมากมาย
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด พี่กัน!!” เสียงร้องเรียกชื่อผมทำให้สติกลับมาอีกครั้ง ผมมองเหล่าแฟนคลับที่เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้แคทวอล์กมากขึ้น หลายคนที่พยายามยื่นมือมาจับกับผมบ้าง มาแตะตัวผมบ้าง ผมยิ้มให้ อันที่จริงก็อยากสนอง แต่ในเมื่อกำลังเดินแบบอยู่มันก็ไม่เหมาะด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ผมก้าวท้าว เดินกลับโดยไม่ปล่อยให้รอนาน สวนทางกับริทที่เดินมาบ้าง
แต่เสียงกรีดร้องที่ดันมากทำให้ผมที่เดินหันหลังอยู่อดไปมองไม่ได้
ภาพของริทที่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าแคทวอล์ก มีคนกลุ้มรุมเข้าหายังกับริทเป็นสินค้าลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล มือแล้วมือเล่าพยายามคว้าเข้ามาจับตัวริทบ้าง จับมือริทบ้าง มากมายจนริทที่ตั้งท่าจะเดินออกแล้วออกอีกก็เขยิบไปไหนไม่ได้ ผมดูท่าทีที่พยายามบอกปัดแล้วเขยิบตัวออกอย่างสังเวชใจ ตัวก็เล็กๆ คนรุมก็เยอะ การเดินแบบหยุดชะงักไปชั่วครู่ จนแล้วจนรอดพี่พิธีกรต้องให้ทีมงานมากันคนเหล่านั้นออกแล้วบอกให้ริทเดินกลับเข้ามาอย่างไว ผมรีบหันหลังกลับ เดินเข้าไปหลังเวทีท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ได้แต่รอคนตัวเล็กกลับมาด้วยใจอึ้งๆ
ที่จริงก็รู้สึกว่าช่วงหลังๆมานี้ หลังจากที่ริทถอดเหล็กดัดฟันและผมยาวขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าริทมีอะไรบางอย่างที่น่าดึงดูด หน้าตาที่แลดูหวานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เทียบกับเมื่อก่อนที่ยังเป็นไอ้ริทหน้าตาซื่อๆ บื้อๆ ป่วยๆ ตอนแรกก็นึกว่าคิดไปเอง แต่พอเห็นแบบนี้แล้วก็คงจะใช่...
คิดอะไรเพลินๆได้ไม่นานก็เห็นไอ้เตี้ยที่ผมเพิ่งนึกถึงเดินเข้ามา สีหน้ายังคงปกติ แต่แววตาเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างแปลกใจ
“ไงวะ โดนแฟนคลับรุม” ผมว่าพลางเอามือโอบไปตบไหล่มัน
“ก็อึ้งๆว่ะ ไม่เคยเจอแบบนี้” พูดพร้อมรอยยิ้มโชว์ฟันสวย ผมหัวเราะเบาๆ แต่เสียงของพี่ทีมงานที่ดูแลหลังเวทีก็ทำให้พวกเราสองคนต้องเบนความสนใจไปพร้อมกัน
“เฮ่ย...ไรนะ? คนเยอะมากจนเบียดสินค้าเสียหายไปแล้ว?” พี่เขาคุยกับวอในมือ น้ำเสียงแปลกใจเป็นที่สุดตามมาด้วยท่าทางกระวนกระวายแต่ยังใจเย็นควบคุมได้
“อ๋อ...แฟนคลับของน้องกันกับน้องริท?”
“เฮ่ย พวกนี้บ้าหนักแล้วแม่ง...ปล่อยไว้งี้งานล่มแน่ๆ”
“เออ เดี๋ยวกูพาพวกน้องๆกลับไปก่อน มึงคุมไป บอกพี่เบ็กด้วย เออๆ”
สิ้นบทสนทนานั้น พี่ทีมงานหันมามองพวกผมแล้วรีบบอกให้เตรียมตัวกลับโดยไว จะมีรถรออยู่ข้างหน้า ให้ใช้ทางเดินหลังเคาท์เตอร์ออก กันโดนรุม ผมไม่นึกจริงๆว่าจะหนักขนาดนี้ พวกเราออกรวมกันแล้วยังไม่เกินห้านาทีด้วยซ้ำ ทั้งที่ความจริงมีคิวให้พวกเราออกอีก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แค่ทำตามที่พี่เขาบอก
“ไปว่ะริท บอกไว้ก่อนว่าอย่านอยด์ ไม่ใช่ความผิดมึง” ผมตบบ่ามันอีกครั้งเบาๆ ได้ยินเสียงพ่นลมน้อยๆตามมาด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมจากคนใกล้ๆ
“เดินแบบครั้งแรกก็ทำงานเขาเกือบล่มแล้วว่ะ ท่าจะเจ๋งจริงว่ะพวกเราเนี่ย ฮ่าๆ” บทสนทนาติดตลกจบลง ผมกับริทเข้าไปเปลี่ยนชุดเตรียมกันอย่างว่องไว เวลาอีกนิดหน่อยเสียไปกับการยัดอะไรๆลงในกระเป๋า ไม่นานพวกเราก็เดินมาหาพี่ทีมงานที่รออยู่ตรงทางปากทางเดินเคาท์เตอร์ แปลกดีเหมือนกันที่พวกผมต้องมาออกทางนี้ ทั้งที่เมื่อกี้ยังเห็นพี่ๆที่มาเดินแบบด้วยคนอื่นๆใช้ทางเดินปกติกัน
แต่จากคิดว่าแปลกผมก็กลับคิดว่าใช่ เพราะทันทีที่เราเดินออกมาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นมาแต่ไกล มีคนพยายามเข้ามาหาริทกับผมอีกครั้ง แต่ดีที่มีเคาท์เตอร์กั้นระหว่างพวกเรากับแฟนคลับไว้ และยังมีพี่ทีมงานมาช่วยกันด้วยอีกแรง ริทกับผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงลิฟท์ เข้าไปยืนด้วยใจระทึก
แต่ระทึกได้ไม่นาน ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกก็ต้องระทึกอีกระลอก แฟนคลับมากมายตะโกนเรียกชื่อผมกับริทดังสนั่นอื้ออึง พี่ทีมงานทำสีหน้าหน่ายใจอยู่เพียงครู่ก็เดินนำฝ่าฝูงชนเพื่อให้พวกผมออกมาได้ มีพี่อีกกลุ่มเดินคุมตามด้านหลัง
แน่นอนว่าพวกเราไม่รอดพ้นจากเสียงและมือของเหล่าแฟนคลับ ไอ้ดีใจมันก็ดีใจ แต่หนักแบบนี้บางทีมันก็เหนื่อย มีหลายมือพยายามเข้ามาจับตัวผมบ้าง ขอจับมือบ้าง พยายามส่งของให้บ้าง ผมได้แต่ยิ้ม ทั้งรับของทั้งจับมือเท่าที่มือสองข้างจะทำได้ ปากก็พูดครับๆไปอะไรไป มันก็น่าตกใจอยู่ แต่ผมโอเค
แต่พอคิดว่าในสภาพนี้ริทจะเป็นยังไงผมก็ชักจะอยากให้พวกเราได้กลับไวๆเสียแล้ว
เพราะทันทีที่ผมนึกได้แล้วมองไปที่ริทที่กำลังเดินอยู่นำหน้า ก็พบว่าแทบจะมองไม่เห็น ตัวเล็กๆถูกบดบังไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมเข้ามาจับตัวจับมือ คือเยอะมาก เยอะจริงๆ เยอะจนผมนึกถึงภาพที่ผู้คนรุมทึ้งซื้อสินค้าลดราคาตามโฆษณา ผู้คนเบียดเสียดมากมายจนริทแทบจะเดินออกไปไหนไม่ได้ ผมเองที่ได้แต่มองก็ไม่เห็นอะไรไปมากกว่านั้นนอกจากเห็นริทโดนรุม
ในเวลาแบบนี้ ผมกลับนึกถึงคนคนหนึ่ง
พี่โตโน่...
คนคนหนึ่งที่คอยดูแลริทมันมาตลอด ตั้งแต่ตอนอยู่ในบ้าน ไม่ว่าตอนริทเศร้า ริทนอยด์ ริทกลัว หรือริทอะไรก็ตามแต่ พี่เขาจะคอยอยู่ข้างๆ คอยปลอบ คอยกอด คอยห่วง สิ่งที่ทั้งสองคนหยิบยื่นให้แก่กันทำให้ผมที่ได้แต่เฝ้ามองอิจฉาเล็กๆ หลายครั้งที่ผมคิดว่าถ้าคนที่ได้ทำหน้าที่นั้นเป็นตัวผมเองก็คงดี
ยอมรับว่าตัวเองคงเข้าไปแทรกไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เห็นริทเครียดๆแล้วอยู่กับพี่โตโน่ ตัวผมก็เหมือนจะกลายเป็นธาตุอากาศ ทั้งที่อยากจะปลอบ อยากจะกอดแทบตาย แต่ผมก็เหมือนคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ที่เต็มแล้ว ไม่มีที่ให้สักนิด ได้แต่รอวันที่ริทเข้ามาหาผมเอง เข้ามานั่งระบายอะไรให้ฟัง และผมทำอะไรไม่ได้นอกจากให้คำปรึกษา โอบ และตบบ่าให้กำลังใจ เคยมีโอกาสให้ผมได้ปลอบริทอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ประสบผล
เคยคิดว่าถ้าผมไม่พลังที่จะช่วยเยียวยาได้แล้ว งั้นขอแค่ทำให้ริทยิ้มได้ก็ยังดี
ทุกวันนี้ผมก็ยังทำแบบนั้น อยู่กับริทผมจะยิ้ม จะทำตัวเฮฮา ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมัน... แม้บ่อยครั้งที่ผมเห็นริทยิ้มได้กว้างกว่า เพียงแค่พี่โตโน่นั่งใกล้ๆและไม่ได้พูดอะไร
“พี่ริทคะ! พี่ริท!!!!” เสียงจากแฟนคลับตรงหน้ากับคนตัวเล็กๆที่โดนเบียดจนผมมองไม่เห็นยิ่งทำให้ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นจับใจเอาแต่คิดว่าถ้าเป็นพี่โตโน่เขาคงไม่ปล่อยให้ริทโดนรุมแบบนี้แน่ๆ
จริงอยู่ ผมอาจจะไม่ใช่พระเอกที่คอยดูแลและทำให้ริทยิ้มไปตลอดได้
แต่ผมขอแค่ให้ได้เป็นตัวประกอบหรืออะไรก็ตามที่ได้ดูแลเขาเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แค่นั้นก็พอ
ว่าแล้วผมก็พูดดังๆแข่งกับเสียงแฟนคลับที่ดังเซ็งแซ่ พลางเอามือสอดเข้าไปใกล้ๆริทกันคนที่เริ่มเบียดเสียดเข้ามา ตอนแรกก็มีเสียงไม่พอใจบ้าง แต่เห็นว่าผมเป็นใครเขาก็ได้แต่ยิ้มแล้วค่อยๆเขยิบทางให้บ้าง แน่นอนว่าก็ยังมีแฟนคลับเบียดกันเข้ามาอยู่ไม่ขาด
“ขอโทษครับ ขอทางหน่อย”
“กรี๊ดดดดดดด พี่กันนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!”
ใช้เวลาสักพักผมถึงเข้ามาถึงตัวริทได้ ณ จุดนี้ผมถึงเพิ่งได้เห็นริทชัดๆอีกครั้ง ริทมองผมด้วยแววตาแปลกใจ แก้มด้านซ้ายติดจะมีรอยแดงๆอย่างคนโดนรุมจับ แขนมีทั้งรอยแดงและรอยข่วนทั้งสองข้าง อีกทั้งยังมีมือยื่นเข้ามาจับทั้งหน้าทั้งอกทั้งหลังทั้งแขนทั้งอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด มีบางคนพยายามที่จะส่งของให้ริท แต่แรงเบียดก็ทำให้ยื่นมือไปรับไม่ได้ ผมเองที่กำลังยืนอยู่ก็เกือบโดนแรงผลักจากหลายด้านทำให้เกือบเซทับริทไป แต่ก็ยังตั้งสติได้ ไม่ให้นานเกินรอผมก็เอาตัวเข้าบังริททางด้านข้างด้านหนึ่ง แขนหนึ่งโอบไหล่เขาไว้ ในขณะที่มือได้แต่กันทางด้านหน้าให้ ถึงจะทำได้แค่นี้แต่ผมก็จะพยายามเต็มที่
“ขอโทษนะครับ ขอทางด้วยครับ เบาๆหน่อยนะครับ” สักพักจากที่มีเสียงผมคนเดียวก็เริ่มมีอีกเสียงช่วย
“ขอทางให้พวกผมหน่อยนะครับ...โอ้ย!” เสียงอุทานนั้นทำให้ผมต้องหันขวับไปมองอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าอีกด้านมีรอยแดงปรากฏเพิ่ม แขนอีกด้านที่ผมไม่ได้กันไว้ให้มีรอยข่วนจนเลือดซิบ
แต่ริทก็ยังพยายามยิ้ม ทั้งที่สีหน้าดูก็รู้ว่าแย่ ให้ตาย...
“ขอทางหน่อยครับ ขอโทษจริงๆนะ” กลายเป็นคนที่ผมคอยดูแลซะเองที่กลับมาขอทางอีกรอบ ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มปลงๆ แล้วกลับมาช่วยขอทางใหม่ มือผมกระชับให้โอบริทแน่นขึ้น เสียงที่ใช้ก็ดังขึ้น
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เห็นรถตู้คันคุ้นเคยจอดอยู่ตรงหน้าเสียที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“เหนื่อยมั้ย” เป็นริทที่ยิงคำถามใส่ผมทันทีที่พวกเราขึ้นรถอย่างทุลักทุเล พวกเราเหนื่อยจากการฝ่าผู้คนจำนวนมากทั้งคู่ ในสภาพริทที่แต่เดิมยังเป็นนักเรียนหมอหัวเรียบๆและใส่ชุดเรียบร้อย จนตอนนี้กลายเป็นเด็กศิลป์หัวยุ่งสุดเซอร์ที่ชุดโดนทึ้งจนยับเห็นแล้วก็ขำ
“นิดหน่อย แต่คงไม่เท่ามึง ไหนดูดิ๊” ไม่รอช้าผมก็จับหน้ามันพลิกไปซ้ายขวา มีรอยแดงปรากฏทั้งสองข้างซึ่งตอนนี้เริ่มจะหายหน่อยๆ แขนเองก็ยังมีรอยแดงที่เริ่มจาง แต่รอยข่วนเลือดซิบกลับขึ้นสีเสียนี่ เย็นนี้คงต้องหายามาทาให้มันหน่อย
คนโดนจับได้แต่ขำแล้วหยิบมือผมออกทีละน้อย ผมเองก็ตบบ่ามันแปะๆให้กำลังใจ
รถเริ่มออกตอนไหนผมก็ไม่ทราบได้ รู้แต่เราสองคนก็ยังคุยกันอยู่เหมือนเดิม
แต่บางสิ่งที่ผมไม่คาดหวังว่าจะมาเมื่อไหร่ก็มาเอาเสียดื้อๆ
ริทมองผมยิ้มๆ ก่อนเริ่มเอามือมาตบบ่าผมบ้าง
“กันเว้ย”
“หืม?”
“ขอบคุณว่ะ”
.
.
เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ณ ตรงนั้น คำขอบคุณเป็นสิ่งเดียวที่แจ่มชัดยามผมได้ยิน
แค่คำขอบคุณซื่อๆกับรอยยิ้มกว้างๆก็ทำให้บางอย่างรินรดไปทั้งหัวใจ มันพองโตและเต้นตึกตัก รู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ได้
ให้ตาย... จากเคยคิดว่าขอเป็นแค่ตัวประกอบ ผมก็ชักอยากจะเป็นพระเอกขึ้นมาจริงๆ
ความรู้สึกท่วมท้น...แทบจะหยุดไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไม
“อื้อ ไม่เป็นไร”
...ผมถึงตอบกลับไปได้แค่นั้น
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รถหยุด แต่ผมยิ้มไม่หุบ
ผมกับริทยังคุยกันเรื่อยๆตามประสา หัวข้อตอนนี้คือฟุตบอลโลก 2010 ที่กำลังมาแรง ผมคุยเรื่องทีมฟุตบอลสุดโปรดที่เชื่อว่าจะต้องได้เข้ารอบลึกๆ ในขณะที่ริทก็ไม่ยอมแพ้ อวยทีมที่มันชอบบ้าง
รถหยุดเมื่อไหร่ ที่ไหน เพื่ออะไรตอนแรกก็ไม่ได้สนใจ จนเหลือบไปเห็นกองถ่ายนิตยสารกับคนคนหนึ่งที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เสียงประตูรถตู้เปิด พร้อมกับร่างสูงๆคุ้นเคยยิ้มเข้ามา
“ไงวะไอ้น้องชาย” สิ้นเสียงทักกับรอยยิ้มกว้างๆนั่น โลกทั้งใบก็เหมือนหยุดหมุนอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ผมกลายเป็นแค่อากาศธาตุ
ลืมไปว่าต้องมารับพี่โตโน่ที่ถ่ายแบบอยู่อีกคน
ริทยิ้มหวาน สีหน้าดีใจเป็นที่สุด กลับกันกับพี่โตโน่ที่เห็นรอยแดงๆบนหน้าและแขนริทก็รีบดึงไปดูด้วยความเป็นห่วง
“โดนข่วนเลือดซิบอีกแล้ว หืม?” สีหน้าท่าทางที่ดูยังไงก็รู้ว่าพี่เขาถนอมริทมากแค่ไหน กับริทที่ยิ้มน้อยๆ มีแววเขินอาย
บางที...
ถ้าผมเลื่อนขั้นจากตัวประกอบ ผมอาจจะเป็นพระเอกได้ แต่ก็คงแค่ชั่วคราว
ต้องมีสักวันที่ต้องปล่อยให้ตัวจริงเขาทำหน้าที่ประจำไป...แบบนี้
ผมพ่นล้มน้อยๆพร้อมกับยิ้มอย่างปลงๆ ก่อนเขยิบไปที่นั่งข้างหลัง ปล่อยให้ที่ข้างๆริทว่างอย่างรู้หน้าที่
เอาวะ...แค่พระเอกชั่วคราวก็ยังดี
เพราะอย่างน้อยยังมีคำขอบคุณของเขาเต็มตื้นล้นปรี่อยู่ทั้งหัวใจ....
-เล็กน้อยถึงปานกลาง-
ห่างหายไปหลายวัน (ฮ่ะๆ...) สำหรับตอนนี่ดูจะกันริทมากกว่าโน่ริทเนาะ ไม่เป็นไร เพื่อนกัน น่ารักดี ก็หลายคนคงจะจำเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้วได้ ตอนที่พี่ริทและพี่กันไปเดินแบบคู่กัน ทีนี้ช่วงนั้น TS6 กำลังบูมมาก เลยมีคนแห่ไปดูเยอะแยะ แย่งกันจะเข้าถึงตัวนายแบบจนข้าวของเสียหายไปบางส่วนเลยทีเดียว แต่! ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ที่มาของฟิคเรื่องนี้ค่ะ (ฮา) จริงๆก็คือมีอยู่คอมเมนท์นึงที่เมนท์ไว้ในกระทู้เหตุการณ์นี้ว่าพี่กันพระเอ๊กพระเอกเนอะ กันพี่ริทไม่ให้โดนรุมด้วย (ข้อความอาจบิดเบือนไปบ้าง) เราอ่านก็..อะหืออออออ ใช่เลย เลยออกมาเป็นฟิคนี้เลย
ก็ขอบคุณสำหรับทุกวิวและคอมเมนท์ที่ผ่านมานะคะ ก็จะลงไปเรื่อยๆเนอะ เข้ามาอ่านกันได้เรื่อยๆเลยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น