ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อโลกนี้โคจรตามเลข 68 (โน่ริท)

    ลำดับตอนที่ #6 : No.6 - 24 ชม.

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 53







    เนื่องจากฟิคนี้เป็นฟิคที่เรื่อยๆ เอื่อยๆ และเฉื่อยได้โล่..
     
    จึงขอความกรุณาให้ผู้อ่านทุกท่านโปรดกระทำตามการเหล่านี้ก่อนอ่าน (เพราะเราเชื่อว่าผู้อ่านจะหลับทันทีที่อ่านไปถึงกลางเรื่อง 555+)
     
    1. จิ้นถึงท้องฟ้าสีครามสดใส แบบที่มีแดดจ้าๆ และเมฆสีขาวลอยปุกปุย
     
    2. คิดถึงทะเลสีฟ้าส่องประกาย กับเมืองท่าเล็กๆในวันหยุด
     
    3. (สำคัญมาก) เปิดเพลงนี้ฟังคลอไปด้วยนะคะ ไม่ต้องคำนึงถึงเนื้อร้อง ขอแค่ฟังทำนองแล้วหลั่นล้าก็พอ
     
    เพลงนี้ค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=LYhrYHmUPn0
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    - ตื่นนอน -
     
    เปลือกตาที่เมื่อครู่ยังหลับพริ้มกำลังขยับขึ้นทีละน้อยเมื่อยามต้องแสงสว่างจ้าของดวงอาทิตย์ ณ เช้าวันใหม่
     
     
    จากภาพที่พร่ามัวและเลือนราง แปรเปลี่ยนเป็นภาพที่ชัดขึ้นละน้อย
     
     
    และภาพที่เขาจะเห็นเป็นภาพแรกเหมือนทุกวัน คือภาพของชายร่างเล็กที่หลับอุตุไม่รู้เรื่องราว
     
     
    ซึ่งทุกครั้งที่เห็นภาพนี้เขาจะต้องยิ้ม ก่อนยันกายลุกขึ้นบนเตียงอย่างไม่อยากจะลุก เพราะเมื่อคืนทำงานกลับมาดึก ความจริงแล้วอยากนอนอีกหน่อย
     
     
    แต่เมื่อสะบัดหัวไล่ความง่วง แล้วมองนาฬิกาที่เข็มยาวชี้ไปที่เลข 10 ถึงไม่อยากลุกไปไหนมันก็ต้องลุก เพราะอีกไม่นานจะถึงเวลาที่พี่ทีมงานจะมารับพวกเขาไปทำงาน
     
     
    ชายหนุ่มวัย 23 ที่หน้าตายังคงเค้าของความงัวเงีย (ตาตี่เล็กยังเหมือนจะปิด หน้าตาป่วยๆบวมๆอย่างคนเพิ่งตื่นนอน) มองไปที่เตียงเดี่ยวที่อยู่อีกฟากของห้อง พบเพียงความว่างเปล่ากับผ้าห่มและหมอนที่จัดเก็บเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นแบบนี้แทบทุกวัน เซนมักตื่นก่อนใครเสมอ ตามประสาคนเคยทำงานหาเช้ากินค่ำ เสียงน้ำกระทบพื้นที่ลอยมาในอากาศเป็นหลักฐานว่าตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังชำระล้างร่างกา
    ยอยู่ในห้องน้ำ
     
     
    เมื่อเอามือขยี้ตาเล็กน้อยจนตาหยีๆเบิกกว้างขึ้นมาเป็นตาตี่ ก็กลับไปมองอีกคนที่นอนข้างๆอีกครั้ง
     
     
    ร่างเล็กๆที่ตอนนี้ก็ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องซุกตัวอยู่กับผ้าห่มผืนบาง สีหน้าแลดูน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
     
     
    พี่ใหญ่ของบ้านยิ้มน้อยๆก่อนเอามือไปสะกิดคนนอนหลับเบาๆ ทั้งที่รู้ว่าสะกิดยังไงก็ไม่ตื่น
     
     
    แล้วก็เป็นเหมือนเช่นทุกวัน มีเพียงเสียงครางฮืออย่างไม่พอใจนัก กับการพลิกตัวไปอีกด้าน
     
     
    ที่จริงก็รู้ว่าปลุกยังไงไอ้เตี้ยตรงหน้านี้มันถึงจะตื่น
     
     
    แต่เห็นแก่คนทำงานหนักเมื่อคืน ไว้เขาอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยมาปลุกก็ยังทัน ยังไงเสียห้องน้ำที่นี่ก็มีแค่ห้องเดียว
     
     
    ภาคินคิดพลางหยัดกายยืนขึ้น ก่อนสาวเท้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดที่แขวนอยู่บนราวที่ระเบียง
     
     
     
    ................................................................................
     
     
     
    เสียงกระซิบแหบพร่าที่ข้างหู กับมืออุ่นที่สั่นตัวเขาน้อยๆ เป็นสิ่งแรกที่ทำให้รู้สึกตัวได้ในยามเช้าของทุกวัน ทั้งที่ก็รู้สึกดี แต่ร่างกายก็ไม่ยอมฟังคำสั่ง ตาไม่ยอมเปิด แถมพลิกตัวไปอีกข้างหนีด้วยซ้ำ
     
     
    เฮ้ย ริท... ตื่น
     
     
    ฮื้อ...ครางปัดไปอย่างงัวเงีย
     
     
    แต่มือใหญ่ที่เลื่อนมาสอดลึกเข้าไปในชุดนอนตัวบาง นิ้วอุ่นที่แตะโดนผิวเนื้อช้าๆ กับความร้อนจากบางสิ่งที่เขยิบมาชิดใกล้ ทำให้...
     
     
    กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่เอา! ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ยยยย!
     
     
    แล้วก็ต้องยอมตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยจากการชักดิ้นชักงอ ริทหอบหายใจ ก่อนยันตัวขึ้นมานั่งมองพี่ชายตัวดีที่นั่งอยู่ขอบเตียงแล้วมองเขายิ้มๆ
     
     
    บอกแล้วพี่โตโน่ว่าอย่าปลุกแบบนี้ ริทเหนื่อย
     
     
    ก็ปลุกแบบอื่นริทก็ไม่ตื่นนี่
     
     
    โหยยย งั้นถ้าปลุกแบบนี้ทุกวันริทตายแน่อ่ะ
     
     
    หรือจะให้จูบปลุก?”
     
     
    คำพูดชวนคิดอย่างทีเล่นทีจริงทำให้บุรุษตัวเล็กสุดในบ้าน (ที่มีสภาพเป็นห้องคอนโดรกๆที่เต็มไปด้วยของจากบรรดาแฟนคลับมากมายจนแทบไม่มีทางเดิน) ได้แต่หัวเราะงุดๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มรีบไล่คนตัวเล็กกว่าให้รีบไปอาบน้ำทันทีที่เข็มยาวของนาฬิกาชี้ไปที่เลข 3 ก่อนที่ตัวเองจะจัดแจงเตียงคู่ที่มีเพียงหมอนสองใบกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืนให้เขาที่เข้าทาง
     
     
     
    ................................................................................
    .
     
     
     
    - รถติด -
     
     
    เมืองใหญ่กับรถติดเป็นของคู่กัน
     
     
    ฉะนั้นจึงมีเวลาเหลือเฟือให้พวกเขาเอาอะไรๆที่ไม่กลิ่นแรงมากมาทานฆ่าเวลาบนรถ ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ทำบ่อยนักในแต่ละวันเพราะต้องดูแลเรื่องรูปร่างและน้ำหนัก แต่แต่ละคนก็จะเอาขนมนมเนยที่แฟนคลับให้มามาแบ่งกันกิน ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนถือถุงพลาสติกถุงใหญ่ที่ข้างในเต็มไปด้วยมันฝรั่งทอด คุกกี้ ขนมปัง ช็อคโกแลตต่างๆนานากันคนละถุง
     
     
    หลังจากแบ่งขนมส่งให้พี่ทีมงานไปส่วนหนึ่งแล้ว ก็ถึงเวลาที่ตัวเองจะทานบ้าง
     
     
    เอ้า!เซนยื่นห่อขนมปังถั่วแดงที่ตัวเองเพิ่งบิไปเล็กน้อยเมื่อครู่ส่งให้ผู้ร่วมชะตากรรมอีก 2 คน โตโน่บิไปซีกหนึ่งเพื่อทานกับกาแฟกระป๋อง ในขณะที่ริททานกับชาเขียวขวดใหญ่
     
     
    ฮื้อ นึกได้ริทอุทานแล้วล้วงมือเข้าไปในถุงพลาสติกข้างกายดังกรอบแกรบ ก่อนควักป๊อกกี้กล่องสีชมพูสวยขึ้นมา
     
     
    ป๊อกกี้สตรอเบอร์รี่ของโปรดของใครบางคน
     
     
    แน่นอนว่าเจ้าของป๊อกกี้ไม่ได้ทานคนแรก แต่เป็นชายหนุ่มที่นั่งซดกาแฟเมื่อครู่
     
     
    เพราะทันทีที่ชิ้นแรกถูกหยิบออกมาด้วยมือเล็ก ฟันขาวของโตโน่ก็ก้มลงกัดเข้าปากอย่างไม่ให้สัญญาณ ริทมองอึ้งๆแล้วหัวเราะก่อนปล่อยให้ขนมชิ้นนั้นเป็นของพี่โตโน่ไป
     
     
    เหตุการณ์หวานจ๋อยตรงหน้าชักทำให้เซนเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีมดไต่
     
     
    อย่างน้อยๆเพื่อความเท่าเทียม... ป้อนกูมั่งก็ยังดีนะเว้ยริท
     
     
     
    ................................................................................
     
     
     
    - ทำงาน -
     
     
    หลังลงจากรถมาได้พักใหญ่ๆ พบเจอกับกันที่ได้งานมาถ่ายแบบลงนิตยสารด้วยกัน สี่หนุ่มก็ขยันโพสท์ท่านู่นนี่นั่นเป็นว่าเล่นท่ามกลางไอแดดร้อนระอุ ดีหน่อยที่ชุดคราวนี้เป็นเสื้อยืดสีแขนสั้นเพ้นท์ลายกับกางเกงยีนส์ตัวเท่ ขืนเป็นชุดหนุ่มเกาหลี เสื้อแขนยาว ผ้าพันคอ ที่โคตรไม่เหมาะกับอากาศแล้ว ไม่คนตายเสื้อก็ต้องพัง
     
     
    แม้เสื้อจะโอ แต่อย่างอื่นไม่ใครจะโอเท่าใดนัก
     
     
    อย่างแรกคือแดดร้อนเมื่อตอนแรก อย่างที่สองคือผืนหญ้าที่ทั้งสูงและรกที่กำลังเหยียบอยู่ (ทั้งร้อนทั้งคัน) มีผลทำให้ร่างกายคายความร้อนตามหลักวิทยาศาสตร์ เหงื่อเม็ดเป้งจึงขยันไหลออกมาเปื้อนเมคอัพบนใบหน้า นอกจากเหนียวเพราะเหงื่อก็ต้องมาเคืองเครื่องสำอางหลุดอีก
     
     
    ทีมงานที่เห็นพ้องต้องกันว่าหน้าแต่ละคนแลดูแย่เกินจะทานทน สมควรได้รับการแต่งเพิ่มอย่างหนัก ทำให้กองถ่ายถึงคราวพัก
     
     
    ริทที่มีทีมงานผู้ฉิงเจ้าเก่าวิ่งรี่เอาทิชชู่มาซับหน้าให้ยิ้มรับอย่างเบิกบาน ผ้าเย็นในห่อเป็นสิ่งที่ได้รับในเวลาต่อมา
     
     
    แต่เมื่อหันไปข้างๆ พบพี่โตโน่กำลังเฝ้าคอยทีมงานที่กำลังเดินแบกทั้งทิชชู่ทั้งผ้าเย็นมาแต่ไกล เหงื่อไคลก็ไหลย้อยเต็มที่ ก็อดไม่ได้ที่จะเสียสละของตัวเองไปเช็ดให้คนข้างๆก่อน
     
     
    สัมผัสเย็นๆบวกกับความนุ่มของผ้าขนหนูที่จู่ๆก็เข้ามาทำให้ภาคินแปลกใจ แต่เมื่อเห็นแล้วว่าสาเหตุคือใครก็เดินเขยิบเข้าไปให้อีกฝ่ายเช็ดได้ง่ายๆ ริทบรรจงเช็ดให้ทั่วใบหน้าจนคนอายุมากกว่าจับเบาๆที่ลำแขนเป็นเชิงให้หยุด รอยยิ้มเท่ตามแบบฉบับหนุ่มขาร็อกเป็นสิ่งชี้ชัดว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว
     
     
    ริทยิ้มหวานตอบกลับ จังหวะพอดีกับที่ทีมงานเดินมาถึง ต่างคนต่างแยกย้ายไปแต่งหน้าเพิ่ม
     
     
    แต่ผ้าเย็นเมื่อครู่ก็ยังอยู่ในมือกว้าง จับไว้แน่นอย่างไม่อยากปล่อยไปไหน
     
     
     
    ................................................................................
     
     
    - พักเที่ยง -
     
     
    เสร็จจากการถ่ายแบบร้อนระอุเมื่อครู่ ก็เป็นการแวะทานข้าวที่ร้านอาหารหรู ซึ่งเป็นทางผ่านการไปถ่ายรายการต่อไป
     
     
    อากาศเย็นๆจากแอร์สุดประสิทธิภาพ อีกทั้งบรรยากาศร้านดีๆคลอด้วยเสียงเพลงเบาๆ เป็นสิ่งที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของทุกคนตั้งแต่ทีมงานยันดารา
     
     
    ริทเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นเพื่อรับอากาศให้ได้เต็มความเย็น สภาพไม่ต่างจากอีก 3 คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันเท่าไหร่นัก
     
     
    สบายไปหนึ่ง ความลำบากก็มาเพิ่มอีกหนึ่ง หลังจากพลังชีวิตพื้นคืนด้วยอากาศเย็น เสียงท้องร้องโครกครากก็ตามมาอย่างไม่บันยะบันยัง ดีที่สั่งเมนูไปก่อนแล้ว รออีกพักคงจะมา
     
     
    น้ำเปล่าอุณหภูมิปกติเป็นสิ่งที่มาก่อนใครเพื่อนเป็นอย่างแรก กันที่นั่งริมโต๊ะส่งแก้วให้เซนก่อนลงมือดื่มน้ำในแก้วของตนเอง สำหรับอาชีพนักร้องแล้วคงต้องรักษาเสียงไว้ก่อนเป็นอย่างแรก ดังนั้นเหนื่อยแค่ไหนก็ดื่มได้แค่น้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ ทั้งที่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ทั้งเขาและไอ้ตัวเล็กฝั่งตรงข้ามอยากจะกินน้ำอัดลมเย็นๆจนแทบบ้า
     
     
    เหนื่อยมั้ยวะริท?” เสียงทุ้มนุ่มตามแบบฉบับนักร้องเสียงดีเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
     
     
    ถามม้าๆน่าไอ้กัน อย่าว่าแต่กูเลย มึงเองก็เหนื่อยชัวร์ตอบเสร็จก็กระดกน้ำไปอีกอึก
     
     
    โหยยยแมร่ง มีคนสนใจกูมั่งป่ะวะเนี่ย?” เซนเริ่มตัดพ้อ ทำหน้ามู่ทู่พร้อมปากปลาหมึกอย่างที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ เรียกเสียงฮาจากคนทั้งโต๊ะได้ไม่ยาก คุยเพลินๆเรื่องโน้นเรื่องนี้ (ซึ่งไปเสียเวลาเอาโขกับเรื่องฟุตบอลโลก ระหว่างทีมอังกฤษสุดโปรดของโตโน่และอีกหนึ่งทีมโปรดของกันว่าทีมไหนจะเจ๋งกว่า) จนในที่สุดก๋วยเตี๋ยวรสชาติดั้งเดิมร้อนๆและส่งกลิ่นหอมฉุยที่ใส่ไว้ในหม้อดินเผาก็เสิร์ฟมาถึงที่ บทสนทนาทั้งหมดหยุดลง เหลือเพียงผีดิบในคราบหนุ่มหน้ามนที่โซ้ยก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
     
     
    เฮ้ย! ริท!โตโน่ท้วงหลังจากเพิ่งรู้สึกตัวว่าลูกชิ้นของตัวเองถูกคนข้างๆงาบไปหน้าตาเฉยเป็นรอบที่สาม ไอ้ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวหรอก มาตะหงิดๆตอนครั้งที่สองที่เห็นว่ามีเงาสีดำโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนครั้งนี้จึงจับได้อย่างคาหนาเขา ทว่าคนโดนท้วงไม่ยี่หระ กลับกันยังโยนลูกชิ้นจากชามคนอื่นเข้าปากหน้าตาเฉย
     
     
    พี่ใหญ่สุดได้แต่ยิ้มที่มุมปากอย่างแค้นใจ ก่อนจัดการแก้แค้นคืนง่ายๆอย่างไม่ต้องคิด
     
     
    มือใหญ่เอื้อมไปจับกรามของคนตัวเล็กข้างๆ ออกแรงบีบจนริมฝีปากอ้าเผยอ ภายในยังมีลูกชิ้นที่ยังเคี้ยวไม่เสร็จ ก่อนที่เขาจะจับผักสดของสุดเกลียดของคนตรงหน้ายัดเข้าปากไม่ยั้ง!
     
     
    อื้อ! อื้อ! อื้อ!
     
     
    พอแล้วๆพี่โตโน่ ไอ้ริทมันจะตายเอา
     
     
    ทันทีที่พันธนาการทั้งหมดหลุดออก เรืองฤทธิ์ก็กลืนผักทั้งหมดที่ถูกยัดลงคอไปด้วยความขื่นขม ก่อนที่จะเจ้าตัวจะยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นกระดกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เสียงก้นแก้วกระทบกับโต๊ะ ก็พบว่าหนุ่มนักศึกษาแพทย์มีใบหน้าแดงซ่านด้วยความอึดอัด น้ำตาปริ่มที่ขอบตาเล็กน้อย ริมฝีปากออกสีจัดตามเลือดที่สูบฉีดหอบหายใจถี่แรง
     
     
    ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้าสู่ชายหนุ่ม มือใหญ่ไม่รอช้าที่จะเข้าไปลูบหลังของอีกคนแผ่วเบา
     
     
    ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงพ่นล้มน้อยๆ กับรอยยิ้มยิงฟันที่บอกว่าไม่เป็นไร แม้ใบหน้ายังคงเค้าของความแดงซ่าน เห็นดังนั้นแล้วโตโน่ก็อดไม่ได้ที่จะเขย่าไหล่ริทแรงๆพลางยิ้มกว้างราวกับจะบอกว่าเมื่อกี้เพียงแกล้งเล่น กระนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็ยังมีแววขอโทษขอโพย
     
     
    หนุ่มหน้าแมวได้แต่กระซิบหนุ่มผิวเข้มข้างๆด้วยความเอือมระอา
     
     
    กูว่าเราย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นดีมั้ยวะกัน?”
     
     
     
    ................................................................................
     
     
     
    - ช่วงบ่าย -
     
     
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!เสียงกรีดร้องจากบรรดาแฟนคลับในห้องส่งดังขึ้นทันทีที่คำถามจี้จุดดังออกจากปากพิธีกรหนุ่มท่าทางขี้เล่น คนถูกถามทำหน้ากระอักกระอ่วน ในขณะที่คนตัวเล็กข้างๆ             นั่งขำปากกว้างราวกับจะงับหัวคนได้ ไม่ต้องถามถึงทั้งเซนและกันที่บัดนี้นั่งฮากร๊ากในใจไปเรียบร้อยทั้งที่ยังตีใบหน้ายิ้มหวานสงบเจี๋ยมเจี้ยมอย่างเทวดา
     
     
    เอ้า สรุปเป็นยังไงครับ? ขั้นแอดวานซ์ของคุณที่ริทดูไปแล้วหลายต่อหลายครั้งเนี่ย?” แน่นอน นอกจากรอยยิ้มขวยเขินแล้วไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา
     
     
    อืม...ในเมื่อคนโชว์ไม่อยากเล่าเราลองถามคนดูดีมั้ยคะ? ว่าไงคะน้องริท? แอดวานซ์ของพี่โตโน่?” เป็นอีกคำถามจากพิธีกรสาวที่ทำหน้าที่คู่กัน เรียกเสียงแหลมจากบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่ยืนดูอยู่อีกระลอก
     
     
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!
     
     
    กลายเป็นเรืองฤทธิ์เสียเองที่ตอนนี้ต้องมายิ้มเจื่อน ไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปยังไง
     
     
    แต่สัมผัสแผ่วเบาที่ต้นขาก็ทำให้เขาเบือนหน้าไปสบกับใบหน้าคนทะเล้น รอยยิ้มหวานพิมพ์ใจ กับสายตาอ้อนวอนปิ๊งๆ แบบที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อน พร้อมทั้งมือที่เคลื่อนเข้ามาโอบไหล่เขาหนักๆ... ชักทำให้ตัวเขาเองขนลุกเกรียว ดีที่ยังตั้งสติไว้ได้ หนุ่มหน้าใสจึงแกล้งเข้าไปสบกับดวงตาตี่เล็กใกล้ๆแล้วยิ้มหวานตอบกลับ
     
     
    จากยิ้มหวานแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะเบาๆ ก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้น พร้อมตบไหล่กันและกันดังป้าบๆ
     
     
    ไม่ต้องบอกคนอื่นก็เข้าใจ ว่าเรื่องนี้ขอรู้กันแค่สองคน
     
     
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
     
     
    เสียงกรีดร้องกึกก้องกัมปนาท จนคำถามนั้นไม่มีใครอยากสาวความอีกต่อไป
     
     
     
    ................................................................................
     
     
    - ยามเย็น -
     
     
    หลังจากแยกทางจากกันที่จะต้องไปให้สัมภาษณ์อีกรายการ สามหนุ่มก็ขึ้นรถตู้เพื่อไปทำงานชิ้นต่อไปเช่นกัน
     
     
    รถติดยามเย็นในเมืองใหญ่ ทำให้มีเวลามากพอที่จะพักเอาแรงไปสู้กับงานรอบค่ำ ดังนั้นทุกเย็นทั้งสามคนจะงีบหลับเอาแรงบนรถเสมอๆ วันนี้ก็เช่นกัน
     
     
    โตโน่หันไปมองเซนที่นั่งข้างหลัง พบว่าหนุ่มหน้ามนจากเมืองเหนือนอนหลับปุ๋ย หนุนด้วยหมอนอิงสีน้ำตาลใบกะทัดรัดจากแฟนคลับ
     
     
    ดูต้นทางด้านหลังแล้วก็มาดูทางข้างๆ
     
     
    สัมผัสหนักๆที่หัวไหล่จากหัวของเจ้าน้องชายตัวเล็กที่นอนซบเขาบนบ่า ตอนพักทำงานในรถประจำ
     
     
    ในเมื่อมันใช้เขาต่างหมอนแบบนี้ ก็คงไม่ผิดนักถ้าเขาจะ...
     
     
    เอนหัวไปพิงหัวอีกฝ่ายที่ซบไหล่เขาอยู่อีกทีต่างหมอนบ้าง ก่อนที่ดวงตาคมจะปิดลงด้วยความเหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน
     
     
     
    ................................................................................
     
     
    - ก่อนนอน -
     
     
    เป็นธรรมดาของผู้ชายที่เวลากลับจากงานมาเหนื่อยๆจะนอนเลยโดยไม่อาบน้ำ พวกเขาเองก็เช่นกัน
     
     
    เมื่อมาถึงห้องตอนตี 1 ต่างคนต่างกระโจนเข้าหาเตียงนุ่มที่ตัวเองนอนอยู่ทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่เซนหนุ่มหน้าใสใจซื่อ (?) ผู้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของแม่บ้าน
     
     
    การทำงานวันนี้เป็นอีกวันที่เหนื่อยไม่แพ้วันอื่นๆ เพราะต้องเผชิญกับแสงจ้า อากาศร้อน การถ่ายทำใหม่ และการนั่ง นั่ง แล้วก็นั่งบนรถจนตูดบาน
     
     
    ความเย็นจากแอร์ในห้องและความนุ่มของเตียง ทำให้โตโน่สบายจนแทบจะหลับอยู่รอมร่อ เพียงแต่รอให้กิจวัตรประจำวันของคนข้างๆมาเหมือนที่เคยก็เท่านั้น
     
     
    กิจวัตรที่คนตัวเล็กจะต้องเข้ามาคลอเคลียใกล้หู ก่อนสั่งด้วยน้ำเสียงัวเงียอย่างคนใกล้หลับ
     
     
    พี่โตโน่...
     
     
    หืม...?”
     
     
    พรุ่งนี้ปลุกริทด้วยนะ อย่าลืมนะ
     
     
    สิ้นเสียงขานรับอืออาของชายหนุ่ม คนสั่งเมื่อครู่ก็ยิ้มแหะๆแล้วหลับปุ๋ยไปหน้าตาเฉย
     
     
    ภาคินยิ้ม ดีใจกับคำพูดเมื่อครู่
     
     
    คำว่าฝันดี ยังไม่ดีเท่าคำสั่งให้มาปลุกให้ตื่น
     
     
    เพราะอย่างน้อยมันทำให้เขารู้ว่าอีกคนต้องการให้เจอหน้าเขาเป็นคนแรกทุกครั้งที่ลืมตารับวันใหม่
     
     
    ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนเกือบผล็อยหลับตามไป เพียงแค่ในใจยังคงคิด
     
     
    ว่าพรุ่งนี้จะจูบปลุกคนข้างๆเหมือนอย่างที่พูดไว้ตอนเช้าดีหรือไม่ เท่านั้นเอง........
     
     
     
     
     
    -เล็กน้อยถึงปานกลาง-
                    ฟิคนี้อิงถึงช่วงทีเดอะดาว 6 ออกจากบ้านมาใหม่ๆ ตอนนั้นงานชุกจนตามแทบไม่ทันเลยค่ะ (แต่ก็มีความสุขมากที่ได้ติดตามข่าวสารอยู่ตลอด) ที่เราติดตามบ่อยที่สุดก็เป็นนิตยสาร อดข้าวซื้อเลยทีเดียว 555+ จริงๆก็เกิดจากอารมณ์บลิ๊งบลั๊งชั่ววูบเพราะได้ฟังเพลงของอนิเมเรื่อง Junjou Romantica (Kimi= Hana) เพลงมันก็วิ้งวั้งอ่ะเน้ออออออ ฟังแล้วโลกสดใสมาก เลยอยากแต่งอะไรสบายๆไม่เครียดออกมามั่ง หวังว่าอ่านแล้วจะสนุกกันนะคะ
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×