คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : No.8 - ให้รักเจริญเติบโต (new)
คนเรามันอยู่ใกล้กัน ก็ต้องมีเหมือนฟันกระทบกับลิ้น
--------------------------------------------------------------------------
เหนื่อยชิบ...
ณ บัดนี้มีเพียงสองพยางค์ลอยล่องอยู่ในหัวของนาย
“เดี๋ยวไปที่คอนโดโน่เลยนะพี่” เสียงพี่เออาร์คนเก่งบอกคนขับรถก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นรถบ้างแล้วปิดประตูรถตู้ดังครืด จังหวะที่หย่อนตัวลงที่นั่งก็มองไปที่ร่างหมดอาลัยตายอยากที่คอพับกับเบาะอยู่ข้างหลัง ไอ้ครั้นจะเรียกมาคุยก็ใช่ที่ ในฐานะคนที่ทำงานคลุกคลีกับดาราหนุ่มเป็นอย่างดี รู้เลยว่าในแต่ละวันคนในความดูแลต้องทำงานหนักขนาดไหน ไหนจะตื่นแต่เช้า เดินสายไปนั่นไปนี่ เวลานี้ต้องมาถ่ายละคร เวลานั้นต้องไปถ่ายแบบ ว่างเมื่อไหร่ถ้าไม่ฝึกการร้องการแสดงก็เป็นต้องเข้าฟิตเนส กว่าจะเสร็จทั้งหมดในแต่ละวันก็ค่ำมืด เวลาจะนอนยังแทบไม่มี แถมเจ้าตัวยังเป็นพวกความตั้งใจสูง งานเล็กงานใหญ่ที่ไหนพ่อเอามันเต็มที่หมด อาจจะเพราะแบบนี้ก็ได้ ถึงได้รุ่งเปรี้ยงปร้างแล้วงานก็ชุกขึ้นทุกวี่ทุกวัน
รู้สึกตัวอีกที นายโตโน่ ภาคินก็หลับคาเบาะไปเสียแล้ว
เออาร์คนเก่งกลับมาเช็คตารางงานที่ตัวเองต้องจัดการ พรุ่งนี้ก็ยังคงมีงานอีกแน่นเอี้ยด แต่ดูสภาพของดาราหนุ่มในความดูแลที่คงทนไม่ไหวหลังจากทำงานหนักติดต่อกันมาเป็นเดือนๆแล้ว สมควรให้เวลาพักเพิ่มสักชั่วโมง ไม่ยังงั้นพรุ่งนี้คงได้ไปงานในสภาพผีตายซากเกินที่เครื่องสำอางจะเยียวยา
ใช้เวลาวางแผนสักพักหนึ่ง รถตู้ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโดสี่ชั้นหลังคุ้นเคย มองจากสภาพภายนอกที่ติดจะโทรมสักหน่อยแล้ว คงไม่มีใครนึกถึงว่าจะเป็นสถานที่ที่ดาราดังอย่างนายโตโน่จะอยู่ เออาร์คนเก่งตัดสินใจปลุกดาราหนุ่มจนตื่นแล้วชี้ทางให้ขึ้นไปบนห้อง
“เฮ้ยโน่! ตื่น! ถึงบ้านแล้ว” ส่งเสียงปลุกแล้วเขย่าตัวเบาๆ ใช้เวลาไม่นานนายโตโน่ก็ขยับ เหมือนสติสตังจะยังมีพอรับรู้ว่าควรจะออกจากรถแล้วเดินขึ้นห้องตัวเองได้แล้ว ร่างสูงยาวขยับเชื่องช้าอย่างคนงัวเงีย ตาตี่ๆยังไม่ลืมขึ้นดีเท่าไรนัก
“ให้ไปส่งมั้ย?”
“อือ...ไม่ครับ ผมกลับเองได้” จบประโยคเจ้าตัวก็หาวหวอดแล้วเปิดประตูรถตู้
“พรุ่งนี้พี่จะมารับหกโมงเช้านะโน่”
“ครับ หกโมงเช้านะครับ หวัดดีครับพี่” ไหว้เสร็จสรรพแล้วเจ้าตัวก็เดินจากไป จากที่เห็นว่ายังคุยโต้ตอบกันได้ก็ทำให้เออาร์วางใจในระดับหนึ่ง มองจนคนในความดูแลหายเข้าคอนโดไปแล้ว รถตู้จึงแล่นออกจากที่เดิมสู่ที่หมายต่อไป
---------------------------------------------------------------------
ความปวดหัวแล่นจี๊ดใส่เขาโดยพลัน นายโตโน่เดินเข้าตึกสี่ชั้นที่ภายนอกติดจะซอมซ่อแต่ภายในกลับหรูหราเกินคาด เขาหาวหวอด รู้สึกเลยว่าแม้ขาจะเดินอยู่แต่ตาก็จะปิดลงให้ได้ ยิ่งเมื่อต้องมาเห็นบันไดที่เขาต้องใช้เพื่อขึ้นไปที่ห้องของตนเองแล้ว ก็ขี้เกียจจนอยากจะนอนพื้นให้รู้แล้วรู้รอด เหนื่อยจะตายห่าขนาดนี้ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งนั้น
ยังไงก็ตาม เขาเลือกที่จะขึ้นบันไดกลับไปห้อง
ช่วงขายาวก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นๆ ช้าๆ แม้ผ่านไปชั้นแรกจะยังไม่เหนื่อยอะไรมาก แต่พอผ่านชั้นสองไปเขาเริ่มล้าอย่างรู้สึกได้ชัด พอคิดว่ายังเหลืออีกสองชั้น ความเหนื่อยก็เริ่มแปรมาเป็นความหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเริ่มออกเดิน ความล้าที่บังเกิดก็ยิ่งแปรมาอีกแบบยกกำลังสอง เขาพยายามข่มใจแล้วเดินจนในที่สุดก็ถึง ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทั้งหงุดหงิดจนจะทนไม่ไหว
แล้วก็ฝืนทนอีกนิดจนมายืนอยู่หน้าประตูห้อง
เขายืนนิ่งๆ ความเหนื่อยล้าในตอนนี้ทำให้เขาไม่อยากแม้จะพูด ฝ่ามือแข็งเคาะลงบนประตู หวังให้คนข้างในที่น่าจะกลับมาแล้วเปิดรับ ในทีแรก ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาและขาดช่วงไปนานจนชักจะโมโห
ไปไหนของแม่งวะ?
เขาข่มใจ ถอนหายใจยาวๆแล้วเกาหัวแกรกๆ ตัดสินใจเคาะอีกสองสามที ไม่นานก็ได้ยินเสียงแกร๊กๆแล้วแสงสว่างจากในห้องก็ทอดออกมา
ริทอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย ขอโทษพี่โน่ พอดีริทไม่ได้ยินเลยมาเปิดช้า รอนานมั้ย” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยถาม แต่แล้วใบหน้าสดใสก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นเพียงความอึนทะมึนลอยออกมาจากคนตรงหน้า ยิ่งเมื่อได้สบกับดวงตาตี่เล็กที่ทอดมองมาอย่างเฉยชาแต่ซ่อนความคุกรุ่นในใจไว้แล้ว ก็ชักจะรู้สึกหวั่นๆแปลกๆ
ยิ้มอยู่นั่นน่ะริท ดูหน้ากูหน่อยได้มั้ยว่ากูเป็นยังไง
“เอ้อ เข้ามาก่อนเนาะ” ไม่รอให้มากความ โตโน่ก็เดินเข้าห้องด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าซังกะตาย วางกระเป๋าทิ้งแล้วถอดแจ็คเกตที่ใส่อยู่อย่างไม่ใส่ใจแล้วโถมตัวลงที่โซฟา
หนุ่มนักศึกษาแพทย์ปิดประตูเสร็จก็มาจัดการเก็บของที่ถูกทิ้งไว้ให้พอเข้าที่เข้าทาง ท่าทางเหนื่อยๆของคนเป็นพี่ทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าแล้วก็เดินเข้าห้องครัวแล้วรินน้ำใส่แก้วใส เดินเอามาวางตรงโต๊ะหน้าโซฟาที่ชายหนุ่มนอนแผ่
“พี่โน่ น้ำนะ” เสียงตอบรับมีเพียงเสียงอืออาฟังไม่ได้ศัพท์ ความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศทันทีทันใดทำให้คนสดใสชักอึดอัด เป็นไม่กี่ครั้งที่กลับมาแล้วไม่ได้พูดคุยกัน และน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่อีกฝ่ายมีท่าทางอย่างนี้
“พี่โน่” ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา เรืองฤทธิ์จ้องมองร่างตรงหน้า ก็พอจะเข้าใจว่าเหนื่อย ได้แต่ข่มความต้องการที่อยากคุย อยากเล่นด้วยเอาไว้ หนุ่มร่างเล็กถอนหายใจ ก่อนเดินเข้าห้องอีกฝ่ายไปหยิบผ้าห่มบางๆมาคลุมให้
แต่ไม่กี่วิฯหลังจากนั้น คนนอนหลับก็เตะผ้าห่มออกด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ริทมองอย่างแปลกใจ หยิบผ้าห่มที่ถูกเตะกลับไปคลุมอีกครั้งเพราะคิดว่านอนดิ้น แต่ประโยคที่ตามมาเล่นเอาเขาหน้าชาไปไม่น้อย
“เอาออก! ร้อน!” เจ้าตัวว่า ก่อนพลิกกายแรงๆไปอีกข้าง คนอายุน้อยกว่าขมวดคิ้วแต่ก็ยอมเอาผ้าห่มกลับไปเก็บโดยดี
“งั้นพี่โน่น่าจะอาบน้ำก่อนนะ จะได้หลับสบาย เดี๋ยวริทเปิดแอร์ห้องพี่ไว้ให้”
...แล้วก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาอีก
ริททิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ มองคนหลับอยู่อย่างไม่เข้าใจ อันที่จริงโดนคำพูดกับการกระทำเมื่อกี้เขาก็ชักจะรู้สึกอะไรๆขึ้นมาบ้างอยู่ แต่เขาพอจะรู้ว่าคนตรงหน้าเหนื่อย
เหนื่อยถึงขั้นปฏิเสธความหวังดีที่มีให้กัน
ข่มความน้อยใจเอาไว้แล้วพยายามเข้าใจคนเป็นพี่ ดูท่าว่าคืนนี้เขาคงต้องกลับเข้าห้องตัวเองไปนอนคนเดียวเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา ก็ยอมรับว่าเหงา ก็ยอมรับว่าคิดถึง ก็ยอมรับว่าอยากเจอ อยากคุยด้วยเหมือนวันก่อนๆ แต่ทำไงได้ อีกคนอารมณ์ไม่ดีอยู่ แถมยังหลับไปแล้วเสียฉิบ
ริทลุกขึ้นเดินไปหยิบรีโมทแอร์แล้วลดอุณหภูมิลง พอคิดว่าน่าจะอยู่ในระดับที่เย็นสบายดีแล้วถึงเตรียมจะเดินเข้าห้อง แต่พอผ่านร่างสูงโปร่งที่นอนราบอยู่บนโซฟาแล้ว อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรด้วย ถึงจะรู้ว่าพี่โตโน่หลับแล้ว แต่เขาแค่อยากจะบอกให้พี่สู้ๆก็เท่านั้น
“พี่โน่ เหนื่อยมั้ย สะ...” ไม่ทันจะจบประโยค ชายหนุ่มก็เด้งตัวขึ้นมาจากโซฟามองหน้าคนเป็นน้องอย่างหงุดหงิดเป็นที่สุด ลมหายใจที่ถูกพ่นออกจมูกดังพรืด กับดวงตาแข็งกร้าวที่ส่งมาให้เล่นเอาคนหวังดีตื่นตกใจจนทำไม่ได้แม้แต่จะพูดประโยคที่ตั้งใจไว้ให้ครบ
“เรื่องของพี่ ริทไม่ต้องยุ่งไปทุกเรื่องก็ได้”
ดวงตากลมระริกไหว คำพูดของคนเป็นพี่แทงใจจนเขาทำอะไรไม่ถูก ความงุนงง สับสน น้อยใจ เริ่มก่อตัวเป็นก้อนจุกที่อก ไม่เข้าใจว่าการหวังดีกับใครสักคนถือเป็นการยุ่งเรื่องของใครคนนั้นจนต้องพูดแบบนี้ออกมาด้วย?
ที่จริงก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่จังหวะที่รู้ว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าวเขาก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
ไปที่ที่ไกลจากตรงนั้นมาก...
ชายหนุ่มผู้ถูกความหงุดหงิดครอบงำ มองร่างเล็กๆที่เดินออกนอกห้องไปด้วยความไม่เข้าใจเช่นกัน ก็เห็นว่าเขาเหนื่อย ทำไมถึงยังมายุ่ง ก็รู้ว่าเขาอยากพัก แต่ก็ยังมาพูดนั่นพูดนี่ ดูหน้าเขา ทำไมถึงยังไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร
มองไปที่ประตูห้องคอนโดสักพัก ไร้วี่แววของใครที่จะเปิดประตูเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สอง
หนุ่มหน้าตี๋ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม เริ่มรู้สึกผิดขึ้นทีละน้อย ทั้งที่ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าจะรู้สึกผิดไปทำไม ก็เขาเหนื่อย เขาก็พยายามแสดงออกให้รู้ว่าเขาอยากพัก มันผิดตรงไหน
คิดอยู่สักพัก เขาก็ล้มตัวลงนอน
ช่างแม่ง... เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละ
_____________________________________________
หนุ่มร่างเล็กเดินลงบันไดคอนโดด้วยจังหวะที่ค่อนข้างเร็ว มือน้อยพยายามปาดน้ำใสๆที่คลออยู่ที่ดวงตาออกลวกๆจนใต้ตาเป็นรอยแดง เจ็บเพราะคำพูดตะกี้ แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ว่าโดนพูดใส่แค่นี้ทำไมถึงต้องร้องไห้ เขารีบเดินออกจากคอนโดมาที่รถยนต์สีขาวสะอาดที่จอดไว้ด้านใต้ตึก ใช้กุญแจที่จำได้ว่ายังเอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงเปิดประตูรถออก โถมตัวเข้าไปข้างในแล้วปิดประตูไว้สนิท แม้รถจะจอดไว้ท่ามกลางพื้นที่เปลี่ยวปลอดคน แต่อารมณ์ตอนนี้ผีเผอที่ไหนก็ไม่กลัวทั้งนั้น ยิ่งไม่มีคนก็ยิ่งดี เพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็น
ณ ตอนนี้ น้ำตามากมายไหลพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เสียงนุ่มสะอึกสะอื้น หัวปั่นเพราะความไม่เข้าใจที่สับสน
ทำไม ทำไม ทำไม!?
ร้องไห้สักพัก จนน้ำตาล็อตแรกเริ่มแห้ง หนุ่มนักศึกษาแพทย์ก็ปาดน้ำตาส่วนอื่นให้แห้งสนิทอีกครั้ง พยายามกลั้นเสียงร้องตนเอง และหยุดคิดทุกสิ่งอย่างที่จะทำให้ไม่สบายใจ ...ตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่ก็ทำจริงได้ไม่เท่าไหร่ ริทตัดสินใจออกรถ บางทีการขับรถเล่นตระเวนดูวิวกรุงเทพฯตอนกลางคืนคงทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
และหวังว่าจะรู้สึกดีพอจนกลับมาสู้หน้าพี่โตโน่ที่ห้องได้
_________________________________________________
อีกไม่กี่นาทีจะตีสอง ยังคงไร้วี่แววของใครบางคน
โตโน่มองดูนาฬิกาด้วยทีท่าค่อนข้างกระสับกระส่าย ไอ้เมื่อกี้ที่ว่าจะนอน พอข่มตาหลับแล้วกลับไม่หลับไปเลยเสียฉิบ นอกจากจะไม่หลับแล้ว เหมือนสมองจะถูกกระตุ้นให้ตื่นแทนที่ เอาแต่คิดถึงภาพดวงตากลมๆที่สั่นระริก สีหน้าอึ้งๆ กับร่างเล็กๆที่ออกจากห้องไป
ถึงยังงั้น เขาก็ยังเข้าข้างตัวเองว่าเขาไม่ผิด
ดวงตาตี่จับจ้องที่นาฬิกาแล้วถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน พรุ่งนี้ก็มีงานแต่เช้าไม่ใช่รึไง แล้วกลับมาก่อนเขาแค่ไหนกัน ได้พักมั่งมั้ย แล้วไม่ใช่ว่าขับๆไปเกิดหลับในแล้วรถชนขึ้นมาล่ะ...จะโทรไป มือถือก็ทิ้งไว้นี่
ใจหนึ่งก็ชักจะเป็นห่วง ใจหนึ่งก็ยังค้านว่ายังไงเขาก็ไม่ผิด ตีกันยุ่งจนอดทนไม่ไหว
ในเวลาแบบนี้ เขาต้องการปรึกษาใครสักคน แต่ครั้นจะเป็นแม่ของเขา เวลานี้ก็เวลานอนท่านแล้ว...
ฉับพลันที่นึกได้ถึงเพื่อนที่น่าจะเข้าท่า ชายหนุ่มไม่รอช้ากดโทรออก ไม่นาน เสียงคุ้นเคยของเพื่อนก็รับสายอย่างติดจะงัวเงีย
“ฮัลโหลไอ้อาร์ม นอนยังวะ”
“โหย กำลังจะนอนเลยเนี่ยไอ้ดาราใหญ่ ฮ่ะๆ ไหงโทรมาหากูตอนนี้ได้วะเฮ้ย”
“เออๆ กูคุยแป๊บเดียวเดี๋ยวกูปล่อยมึงไปนอนเลย กูถามหน่อยมึง”
“ไรวะ?”
“คือสมมตินะมึง มึงเพิ่งเสร็จงาน กลับมาบ้าน เหนื่อยมาก เหนื่อยชิบหายอ่ะ มึงอยากนอนพักก็เรื่องธรรมดา ถูกมั้ย”
“เออ หาววววว”
“ทีนี้ คนในบ้านมึงอ่ะ แม่ น้อง แฟน สักคนน่ะ มายุ่งกับมึง ทั้งที่เขาน่าจะเห็นว่ามึงเหนื่อย จะโมโหใส่ก็ไม่แปลกใช่มั้ย”
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่
“น้องริทใช่มั้ย?”
“...เออ”
“น้องเขามายุ่งกับมึงตอนมึงเหนื่อย ยังไง”
“ก็กูกลับบ้านมา เดินไปนอนที่โซฟา น้องแม่งก็พูดนั่นพูดนี่ พี่โน่น้ำนะ พี่โน่ไปนอนในห้องมั้ย พี่โน่เหนื่อยมั้ย...”
“เออ แล้ว?”
“กูเลยบอกน้องไป ว่าเรื่องของกู น้องไม่ต้องมายุ่งไปทุกเรื่องก็ได้ แล้วแม่ง อารมณ์ไหนไม่รู้ แม่งเดิน ออกจากห้องไป จะตีสองแล้วแม่งยังไม่กลับมาเลย”
ปลายสายเงียบอีกครั้ง
“กูไม่เข้าใจ กูทำไรผิดวะ”
และอีกครั้ง
“...ไอ้เหี้ยเอ๊ย...” คู่สายด่าด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะปกติ...แต่เจ็บถึงใจ
“ไรวะมึง!”
“กูฟังยังไงน้องแม่งก็หวังดีกับมึงว่ะสัด มึงน่ะผิดเต็มๆ”
“...จะผิดยังไงวะเหี้ย ก็...” แต่ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยค คู่สายก็เร่งตัดบท
“มึงอยากรู้ว่ามึงทำไรผิด มึงนึกย้อนดู”
โตโน่พ่นลมหายใจพลางเกาหัวแรงๆอย่างหงุดหงิด “...ยังไง?”
“น้องริทนะเว้ย งานน้องแม่งไม่ใช่เบาๆนะมึง น้องแม่งก็ทำงานทุกวัน วันละหลายงาน เหมือนมึง”
“เออ”
“มึงมันควายถึก น้องแม่งคุณหนู”
“หลอกด่ากูมั้ยวะไอ้เหี้ย แล้วไงแม่ง...”
“ไอ้สัด อย่ามาทำไก๋ มึงก็รู้อยู่แล้วว่าน้องก็เหนื่อย มึงเหนื่อยเป็นคนเดียวดิไอ้ควาย”
“เออกูรู้ว่าเหนื่อย แต่”
“ไม่ต้องมาเถียงเลยเหี้ย มึงคิดดู มึงเหนื่อยมึงแม่งก็อยากพัก ไม่ได้พักก็หงุดหงิดใช่มั้ย แล้วน้องริทน่ะมึง โคตรคุณหนู ชีวิตแม่งไม่ได้ลำบากห่าเหวไรเลย คนแม่งไม่เคยลำบากต้องมาทำงานหนักๆ ไม่ใช่เขาจะเหนื่อยกว่ามึงเป็นร้อยเท้าเหรอวะ”
นายโตโน่เงียบ
“แล้วแม่งไม่ต้องมาทำไก๋ กูรู้ว่ามึงรู้ เหตุผลเดียวที่น้องเขาจะรอมึง ทั้งที่น้องก็เหนื่อย ไม่ได้น้อยกว่ามึง...แต่มึงง่ะไอ้สัด คนเหนื่อยๆ รออีกคนกลับมา แต่บักคนที่รอแม่งเจือกว่าเข้าให้ เป็นใครจะไม่หนีล่ะวะ”
“กูแค่อยากให้น้องเข้าใจกู”
“วิธีที่มันเวิร์คกว่าไอ้ที่มึงทำเนี่ย มีเป็นล้าน”
เสียงถอนหายใจดังลอดไปถึงคู่สาย แต่ประโยคที่ตามมาน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“เออ กูผิด แล้วไง ตีสองแล้วเนี่ย ยังไม่กลับบ้านเลย”
“โทรตามดิวะเหี้ยแม่ง”
“โทรตามพ่องมึงสิ น้องทิ้งมือถือไว้ที่ห้อง”
“โวะ แม่ง เรื่องของมึง แค่นี้ไม่มีปัญญาคิดก็บอกลาน้องมึงได้เลย หาวววววววว เฮ้ย กูไปแล้วนะเว้ย ง้อกันดีๆล่ะสัด”
“เฮ้ย! เดี๋ยวแม่ง! ไอ้อาร์ม! เหี้ย!” ชายหนุ่มโวยวายเมื่อปลายสายตัดไปดื้อๆ กระนั้น เขาก็ไม่คิดจะโทรต่อ ชายหนุ่มวางมือถือลงอย่างไม่ใส่ใจนัก ในใจเริ่มที่จะคิด
ที่จริงที่ไอ้อาร์มมันพูดมา มันก็เป็นเรื่องที่เขารู้ดีทุกอย่าง ทำไมจะไม่รู้ว่าริทก็เหนื่อย ทำไมจะไม่รู้ว่าริทหวังดี...
มึงผิดอย่างที่เขาว่าล่ะนะเชี่ยโน่...
หนุ่มหน้าตี๋ที่เพิ่งหลุดจากวังวนของความหงุดหงิดมองไปที่ประตูอย่างสำนึก ที่หวังที่สุดตอนนี้ก็คืออยากให้ใครบางคนกลับมาเร็วๆอย่างปลอดภัย ไม่รอให้เวลาเสียเปล่าไปมากกว่านั้น ร่างสูงๆก็ลุกพรวดเดินออกจากห้อง
หาแถวๆนี้ก่อนแล้วกัน...
__________________________________________________
นาฬิกาชี้บอกเวลาตี 4 กับอีก 18 นาที...
ร่างสูงโปร่งนั่งรออยู่ที่โซฟา ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้หลับสักงีบ ยิ่งออกไปตระเวนทั่วคอนโด ทุกซอกทุกหลืบ ออกมาหานอกคอนโดอีกไกลโขจนรู้สึกว่าหมดหวังจะเจอจนถึงเมื่อกี้ ถึงได้ลากสังขารกลับมาที่ห้องเผื่ออีกคนจะกลับมาแล้ว แต่ที่ไหนได้ กลับห้องมาแล้วก็ยังไม่มีคน ลงท้าย ชายหนุ่มเลยตัดสินใจรออยู่นี่
เขาถอนหายใจหนักๆ ดวงตาคมเพ่งมองที่ประตู ความเหนื่อยล้าเล่นเอาตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่ แต่ก็ยังฝืนเกร็งดวงตาเขม็งไม่ให้หลับไปเสียก่อนจนตาขาวเริ่มแดง
จังหวะนั้นที่ได้ยินเสียงประตูดังก๊อกแก๊ก พร้อมกับร่างเล็กๆของใครบางคนที่ไม่ได้เจอร่วมสามชั่วโมง
“ริท!” ชายหนุ่มเรียกเสียงดัง ขายาวๆสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายแบบไม่ต้องอารัมภบทให้เสียเวลา เขามองหน้าคนตรงหน้า ใบหน้าติดจะหวานยังมีเค้าบูดบึ้ง ดวงตากลมมีรอยแดงช้ำ
“ไปไหนมา ทำไมกลับเอาป่านนี้”
อีกฝ่ายไม่ตอบ พร้อมกันนั้นยังทำเมิน เดินหนีหน้าคนเป็นพี่เข้าห้องตัวเองหน้าตาเฉย ปิดประตูลงฉับเมื่อเห็นว่าอีกคนเดินตามมาอยู่หน้าห้อง
“ริท” ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ นายโตโน่เดินเข้ามาชิดประตูยิ่งขึ้นประหนึ่งว่าจะเดินผ่านมันไปได้ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ยืนอยู่กับที่เท่านั้น
“ริท พี่รู้นะว่ายังไม่นอน”
“...”
“ริท...พี่ขอโทษ”
“...”
“พี่รู้ว่าพี่พูดไม่ดีกับริท”
“...”
“พี่รู้ว่าริทห่วง พี่รู้ว่าริทหวังดี พี่รู้ว่าริทระ...”
จังหวะที่ประตูที่เคยเปิดอยู่เปิดขึ้นดื้อๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนหัวใจที่เคยห่อเหี่ยวจะกลับมาพองโตอีกครั้ง
“พี่โน่บอกไม่ให้ยุ่งก็ไม่ยุ่งแล้วไง จะเอาอะไรอีก”
เสียงบอกบุญไม่รับกลับน่าฟังสำหรับเขา ดวงตาตี่มองหน้าอีกฝ่ายแล้วอมยิ้มเบาๆ ใบหน้าของเด็กน้อยยังคงบูดบึ้งอยู่ดี
“ขอโทษ มันชั่ววูบ...”
ความเงียบที่ปกคลุมกับท่าทีของอีกฝ่ายเล่นเอาชายหนุ่มต้องเกาหัวแกรกๆ
“พี่เหนื่อย ก็เลยหงุดหงิด เลยคุมตัวเองไม่ค่อยได้...”
“...”
“ไอ้ประโยคที่ว่าเมื่อกี้ ไม่ได้ตั้งใจ”
“...”
“คือพี่อยากให้ริทเข้าใจ ว่าบางครั้งพี่ก็เป็นแบบนี้”
“...”
“แต่พี่เข้าใจแล้วนะว่าริทห่วง ริทหวังดี ริทระ...” ชั่วจังหวะที่คนหน้าบูดเอามือปิดปากเขาโดยพลันราวกับกลัวว่าคำพูดอะไรมันจะออกมา ใบหน้าที่เคยบึ้งตึง ตอนนี้กลับคลายลงไปมาก และติดจะแดงน้อยๆ
“ฮ่วยพี่โน่! เซาเลย!” ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่สำเนียงอีสานที่หลุดออกมาเล่นเอาคนโดนปิดปากยิ้มกริ่ม “ริทจะพยายามเข้าใจแล้วกันว่าบางครั้งพี่โน่ก็เป็นแบบนี้”
ฝ่ามือแกร่งแกะมือน้อยๆออกจากปากตัวเอง แล้วเลยไปโยกหัวอีกฝ่ายเล่นเบาๆ “งั้นพี่ก็ขอถอนคำพูด พี่อยากให้ริทยุ่งเรื่องพี่...หลายๆเรื่อง”
มองหน้ากันอยู่อีกแป๊บเท่านั้นแหละ เสียงหาวหวอดยาวๆจากคนหน้าตี๋ก็เล่นเอาที่ซึ้งๆที่พูดมาทั้งหมดฮาครืน ริทหัวเราะก๊าก พร้อมกันนั้นก็ดันตัวอีกฝ่ายให้ไปนอนที่ห้องตัวเอง
“นอนด้วยกันมั้ย?”
“ห้องสะอาดเมื่อไหร่ค่อยว่ากันนะพี่โน่ ฮ่าๆๆ”
หนุ่มร่างเล็กเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ล้มลงนอนทั้งที่ยังไม่อาบน้ำพลางยิ้มอารมณ์ดี
...เหมือน...มันโตไปอีกขั้นแล้ว?
สวัสดีค่า
ออกจะเฉพาะกิจไปหน่อย แต่นี่เป็นฟิคตอนล่าสุดที่แต่ง ลัดมาลงเพราะเกิดปัญหาขัดข้องเล็กน้อย(ขอให้บ้านโน่ริทแฟมซ่อมเสร็จเร็วไวเด้อ) ที่จริงคนเขียนคึกจนแต่งเพลงที่มีเนื้อหาคล้ายๆแบบนี้ไว้ด้วยล่ะ 555+ อ่านเสร็จแล้วอย่าลืมไปศึกษาวิธีอยู่ร่วมกับคนที่บ้านนะคะ เจอกันฟิคหน้าเด้อ
ความคิดเห็น