ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : No.5 - ปวดหัวตัวร้อน [ผ. สระอี]
ขึ้นชื่อว่ารายการเรียลลิตี้ ถ้าอยากให้กระแสดีมันต้องมีเซอร์วิสผู้ชมครับ
ซึ่งหมายความครับว่า บางฉากของคนในบ้านที่ดูแล้วขายดีก็จะได้ออกอากาศมากหน่อย
แต่บังเอิญว่าเรื่องขายดีในปีนี้ไม่หน่อยค่ะ
เพราะดันเป็นเรื่องของสองคนนี้ไงคะ
สองคนนี้เขาชอบมีลับลมคมในกันครับ
และบางทีก็ทำให้พวกผมที่อยู่ใกล้พวกเขาเหมือนมนุษย์ล่องหน!!
ปวดหัวตัวร้อนเพราะพวกเอ็งอ่ะรู้มั้ย!
..................................................................................................................................
- ผ.สระอี -
แย่ครับ แย่ นี่มันแย่
“กร๊ากกกกกกกกกก โอ๊ย! พอ! ฮ่ะๆ! ฮ่าๆๆๆ!!!”
แย่มาก แย่ที่สุด
“ฮ่ะๆ พอ...บอกให้...ฮ่ะ...กร๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!!”
แย่ แย่จริงๆ แย่กว่านี้มีอีกมั้ย...
“อึก....ฮ้า....หยุด...ฮ่ะ...กร๊ากกกกกกกกกก ฮ่าๆๆๆ!!!”
แย่ครับ! แย่มากๆ! แย่เพราะสนุกจนหยุดไม่ได้!
“หยุดโว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!”
.
.
.
.
.
สิ้นเสียงประกาศกร้าวของพี่ใหญ่แห่งบ้านเดอะสตาร์ 6 ทุกสิ่งก็เงียบลงตามคำบัญชา
เสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนปนกับเสียงหัวเราะเบาๆอย่างคนล้าของพี่นักศึกษาแพทย์ร่างเล็กที่อยู่ภายใต้การทาบทับของผม(?) เป็นสิ่งที่ทำลายความเงียบในไม่กี่วินาทีต่อมา ผมเห็นแล้วก็อดขำตามไม่ได้ ภาพที่พี่เขากำลังหัวเราะจะเป็นจะตายเพราะถูกจี้เอวเมื่อครู่นี้ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาก จากที่กำลังเครียดเรื่องซ้อมเพลงเมื่อรอบเย็นที่ผ่านมาซึ่งผมทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เป็นอันรู้กันดีตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ต้นๆที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้ว่า พี่ริท ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 8 หนุ่มนักศึกษาแพทย์จากมข. นอกจากนิสัยจอมกวน ขี้เล่น และชอบปล่อยมุกแป้กแล้ว พี่เขายังบ้าจี้ขั้นหนัก ถึงขั้นที่ว่าแค่มีคนเข้าไปสบตาใกล้ๆ พี่แกก็หัวเราะได้ราวกับโดนจี้ด้วยมือสิบมือ...
ไอ้ตอนแรกผมฟังพี่เขาเล่าก็คิดว่าเวอร์ครับ จนได้ลองมาสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเองนี่แหละ
ขณะที่พวกเรากำลังอยู่ในช่วงพักอยู่นั้นก็เปิดวงคุยกันตามประสา เล่ากันไปเรื่อย ฟังกันไปเรื่อย จนตอนที่พี่เกตเขยิบเข้าไปใกล้ๆพี่ริทเพราะต้องการจะเขยิบที่ให้พี่เกรซนั่ง อยู่ๆพี่หมอน้อยเขาก็สะดุ้งขึ้นมาเสียเฉยๆ เลยมีคนเริ่มจับไต๋ได้ว่าพี่เขาบ้าจี้ ไอ้ตอนแรกพี่เขาก็ไม่ยอมรับครับ จนพี่เกตเริ่มเอานิ้วไปจิ้มๆตรงเอวพี่เขา เท่านั้นแหละ สะดุ้งหนัก! พี่เซนที่นั่งอยู่ข้างๆก็เริ่มสนุกไปด้วยอีกคน เอานิ้วมาจี๋เบาๆพอจั๊กจี้ตรงเอว พี่ริทก็เริ่มทนไม่ไหวครับทีนี้ ทั้งสะดุ้ง ทั้งหัวเราะ ทั้งงอตัวชักดิ้นชักงอ ทุกคนในที่นั้นต่างพากันฮาครับ!
ไอ้ผมมันก็คนดีครับพี่น้อง เห็นพี่เขากำลังหัวเราะด้วยความมัน(?) ก็อดเข้าไปสานต่อไม่ได้ ผมตรงเข้าไปด้านหน้าแล้วเอามือตัวเองจี้เอวพี่เขาทั้งสองข้างซ้ายขวา พี่ริทไม่รอดครับงานนี้! เมื่อกี้หนักแล้ว คราวนี้หนักยิ่งกว่า คือพี่เขาหัวเราะแบบดัง ดังมาก ดังแบบควบคุมไม่ได้ แล้วตัวก็สะบัดโน่นสะบัดนี่ตลอด จนในที่สุดพี่เขาก็ตกจากเก้าอี้ลงมาบนพื้นครับ ตอนแรกเราก็ตกใจกัน แต่พอเห็นพี่เขาประคองตัวลุกขึ้น หัวเราะแบบเหนื่อยๆ ผมก็อดไม่ได้ กลับเข้าไปจี้เขาอีกรอบด้วยความสะใจ! สภาพในตอนนั้นคือแบบว่าหลุดโลกมาก พี่เขาอยู่ข้างล่าง ตัวผมอยู่ข้างบน ผมชันเข่าล็อกไว้ไม่ให้พี่เขาดิ้นไปไหนมากเกินไป ในขณะที่มือก็จี้ตรงโน้นตรงนี้จนพี่เขาหัวเราะจะเป็นจะตาย คือดูยังไงก็รู้ว่าเหนื่อยแล้ว ปากพี่เขาก็บอกให้หยุดให้พอ มือก็ยกขึ้นมาปรามเป็นระยะ แต่จริงๆครับ ต้องลองมาจี้เอวพี่เขาดูแล้วคุณจะรู้ว่ามันหยุดไม่ได้จริงๆ
จนอาเฮียใหญ่คงคิดว่าไม่ไหวแล้ว เลยร้องให้พวกผมพอซะดังลั่น ผมเองก็คิดว่าพอแล้วก็ดีเหมือนกันเลยยอมลุกออกไปจากตัวพี่ริทแต่โดยดี แล้วยื่นมือเข้าไปช่วยพี่เขาประคองตัวเองลุกขึ้นมา
“ไอ้ริทแม่ง...” พี่เซนว่าพลางหลุดขำครับ เพราะสภาพพี่ริทตอนนี้มันฮามาก ผมกระเซิง หน้าตาตื่นตกใจ กับเสียงหอบที่ออกมาเป็นจังหวะ พี่เขาหอบอยู่พักหนึ่งก็หันมาเล่นงานผม
“โหยยยย ไอซ์ เด็กอะไรวะแมร่ง แกล้งพี่จนสภาพเป็นงี้เนี่ย” ปากว่าแบบนั้นแต่หน้าพี่เขาเหมือนคนกำลังสนุกครับ ปากยิ้มกว้างจนเห็นเหล็กดัดฟัน ดวงตาสองชั้นหยีๆ
“แกเองก็น้าไอ้ริท เด็กมันแกล้งก็ปล่อยให้มันแกล้งอยู่นั่น” พี่โตโน่แกเริ่มเข้ามาดูครับ เอามือตบบ่าพี่ริทแปะๆ ผมเองก็นั่งหอบเพราะจั๊กจี้พี่ริทจนเหนื่อยเหมือนกันก็ไม่มาดู ลำเอียงมาก สองมาตรฐานชัดๆ
ชั่วขณะที่ดวงตาตี่เล็กนั่นเบือนมาสบผมโดยแฝงนัยอันลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ ทั้งที่เมื่อกี้ผมยังบ่นว่าเฮียลำเอียงอยู่ในใจหยกๆ จะทำไงได้ล่ะครับ ขืนพูดแบบนั้นออกไปตรงๆมีหวังซี้แหง ผมมันก็เด็กดี ทำตามมารยาทที่ดีของสังคม
แต่ถ้าจะให้นับเรื่องแกล้งพี่ริทเมื่อกี้ให้อยู่ในเรื่องของ ‘มารยาทที่ดีของสังคม’ แล้ว...
ผมคงจะต้องเว้นการทำตัวเป็นเด็กดีไว้สำหรับเรื่องแกล้งพี่เขาสักหน่อย เพราะมันสนุกเป็นบ้าจริงๆ!
ถามว่าสนุกตรงไหน! หลายตรงเลยครับ ตั้งแต่เสียงร้องโหวกเหวกโวยวาย สีหน้าท่าทางที่หัวเราะยังกับคนบ้า ตัวเล็กๆที่ดิ้นอะดุ๊กอะดิ๊กโน่นทีนี่ที ไม่ได้จะหยาบคายหรอกนะ แต่ผมว่าเวลาแกล้งพี่เขาแล้วสนุกเหมือนได้แกล้งน้องชายที่ตัวเล็กกว่า!
“ผมขอโทษน่าพี่ รักดอกจึงหยอกเล่น” สิ้นเสียง พี่ริทก็ทำหน้ายิ้มๆแล้วทำท่าทางมาเบิ๊ดกะโหลกผม เขาชงมาผมก็ชิมกลับครับ ทันทีที่ฝ่ามือนั่นสัมผัสโดนหัวเบาๆ ผมก็ทำหน้าเหมือนกับว่าพี่เขาตบแรงเสียแทบตาย คนอื่นๆหัวเราะกับละครจำอวดของพวกเรา ไม่เว้นแม้แต่เฮียโตโน่ที่เมื่อกี้ยังส่งซิกที่ผมแปลความหมายไม่ออกมาให้แหม่บๆ
“เฮ้ย จะทุ่มครึ่งแล้วว่ะ” เสียงเตือนจากพี่เก่งทำให้พวกเรารู้ตัวว่าหมดเวลาพักสำหรับเย็นนี้แล้วครับ ถึงเวลาที่พวกเราจะไปซ้อมต่อกันแล้ว
..................................................................................................................................
การซ้อมต่อมา...แอคติ้งรอบค่ำ...
หัวข้อ ณ ตอนนี้คือสยองขวัญ... คืออันที่จริงแล้วตอนแรกก็ไม่ใช่แบบนี้
ไม่มีอะไรนอกจากทันทีที่พวกเราเข้ามาเจอครูเต้ย ครูเขาก็จับพวกเรามาแสดงละครที่บทพูดมีแต่ตัวเลขเหมือนเติม จากที่ดูมาตอนแรก หัวข้อในวันนี้แต่เดิมคงเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆสักอย่าง เพราะตอนที่พี่เก่งได้จับคู่กับพี่เซน อยู่ๆพี่แกก็โน้มหน้าเข้าไปหาพี่เซนใหญ่ พี่เซนเองก็ได้แต่ฉีกยิ้มก่อนเอียงตัวหลบ แต่พี่เก่งก็ยังตามไม่เลิกรา ดูยังไงก็รู้ว่าทั้งสองคนกำลังเล่นบทพระนางกำลังเกี้ยวพาราศี เอิ่ม...ก็โอดีครับ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ เอาเหอะ ช่างมัน
เอาอีกสักตัวอย่าง คราวนี้เป็นพี่กัน พี่เกต แล้วก็พี่เกรซ ดูจากบทที่พี่กันกับพี่เกตเหมือนจะเถียงกันแทบตาย ทั้งที่พี่เกรซได้แต่ยืนทำหน้าเจื่อนไปไม่ถูก ก็คงพอสรุปได้ว่าคงเป็นเรื่องรักสามเศร้า ภรรยาที่สามีมีเมียน้อย ประมาณนั้นมั้ง...
แต่หัวข้อทั้งหมดจะเปลี่ยนไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพี่ว่าที่คุณหมอที่ผมแกล้งอย่างสนุกสนานเมื่อครู่นี้!!
คือ ให้ผมบรรยายเหตุการณ์ตอนแรกนะครับ
ในห้องกระจกที่เปิดไฟสีโทนเหลืองๆสว่างจ้า มีพวกผมนั่งบนพื้นรวมกันเป็นกลุ่มๆอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง ในขณะที่ครูเต้ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ด้านหน้าของพวกเราคือเวทีให้ออกมาแสดง
พี่โตโน่ยืนอยู่ที่ข้างหนึ่ง ทำท่าเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มสดใส ร่างสูงๆและเต็มไปด้วยมัดกล้ามแต่พองามทำท่ายืนและวางมือลงข้างกายอย่างมีจริต ปากที่พยายามจะยิ้มหวาน ดวงตาตี่ที่พยายามจะแอ๊บให้มันโต ตัวเลข 2 หลักอะไรบ้างก็ไม่รู้ที่พี่แกเอ่ยปากออกมาขณะที่กางแขนพร้อมหมุนตัวไปมาอย่างกับเจ้าหญิงในนิทานทำให้พวกผม...โคตรฮา...
“เฮี้ยยยย โอ๊ยยยย!!! กร๊ากกกกกก” เสียงผมและพี่ๆคนอื่นๆพากันหัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ ของเขาฮาจริงอะไรจริงครับ!
ไม่ต้องถามถึงครูเต้ยที่บัดนี้ก็กำลังแย้มยิ้มอย่างเปิดเผย ครูเขาคงพอใจที่คนแมนๆได้โล่อย่างพี่โตโน่ กล้าทำท่าสาวน้อยอ้อนแอ้นผู้อ่อนต่อโลกแบบนี้
“12...13...14...” เสียงแอ๊บหวานสุดฤทธิ์จบลงที่เลข 14 ในท่วงท่าที่พี่โตโน่เอามือกุมประสานกันไว้ที่หน้าอกแล้วเหม่อมองออกไปไกล อย่างเจ้าหญิงอินโนเซนส์บนหอคอยที่รอให้เจ้าชายมารับไปแต่งงาน
“5! 6! 7!” คราวนี้เสียงแอ๊บเข้มมาจากพี่ริทที่เดินเข้ามาจากอีกทางครับ ร่างเล็กๆ (แน่นอนว่าเล็กกว่าผมที่เด็กที่สุดในบ้านอีก) กำลังทำท่าเบ่งกล้ามอย่างชายงามยามประกวดเพาะกาย กางขาออกในท่านั่งเก้าอี้ลม ยกแขนซ้ายแล้วรูดแขนเสื้อขึ้นเบ่งกล้ามที แขนขวาอีกที ปิดท้ายด้วยยกแขนขึ้นสองข้างแล้วเบ่งกล้ามอย่างผู้ประกาศชัยชนะ คือ...หน้าตากับท่าทางมันเหมือนจะให้นะ แต่ผมไม่เห็นมีอะไรถูกเบ่งออกมาเลยนอกจาก...ก้อนไขมัน
การแสดงเหมือนจะไปได้ด้วยดีครับ เมื่อพี่ริทแกทำท่าเห็นพี่โตโน่ที่ยืนแอ๊บเจี๋ยมเจี้ยมอยู่แต่ไกล ทุบกำปั้นพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์อย่างหมาป่ากำลังวางแผนจะงาบลูกแกะ แต่พอพี่แกทำท่าย่องเข้าไป แล้วพี่โตโน่หันมาช้อนสายตาสบปิ๊งๆ...
“พรวด!!! กร๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!” กลับเป็นฝ่ายพี่ริทที่หลุดขำครับ!
“เดี๋ยวๆริท! เมื่อกี้อะไร! กลับไปยืนตรงโน้นแล้วเดินเข้ามาใหม่!” ครูเต้ยที่กำลังเคลิ้มถึงกับได้สติขึ้นมาทันทีครับ พี่ริทยกมือไหว้พี่โตโน่เป็นเชิงขอโทษ ก่อนกลับไปตั้งหลักใหม่
แต่ครั้งหนึ่งก็แล้ว...
“อุ๊บ!!! ฮ่าๆๆ!!”
สองครั้งก็แล้ว...
“อุ๊บ! ครึ..!”
สามครั้งก็แล้ว...
“พรวด!!!! เฮี้ย! กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ฮ่าๆๆ”
จนตอนนี้ครูเต้ยได้กุมขมับอย่างอ่อนใจ
“คือ...ริทขอโทษครับ แต่...แต่พอมองหน้าพี่โตโน่แบบนี้แล้ว...อุ๊..ฮ่าๆๆ!!!” ขอโทษไปขำไป
ครูเต้ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนหันมามองหน้าพี่ริทช้าๆ
“โอเคริท...งั้นเราคงต้องเปลี่ยนแผนกันใหม่เพื่อการแอคติ้งอย่างมีประสิทธิภาพ” ดวงตาวาวๆกับหน้าเหี้ยมๆทำให้ผมชักสังหรณ์ใจแปลกๆ เช่นเดียวกับพี่ริทที่หยุดขำทันใดแล้วทำหน้าเจื่อนลงเรื่อยๆ
“เอ้าๆ ล้อมวงๆ” คงไม่ต้องรอให้ครูเขาอารมณ์เสียอีกรอบ พวกผมก็มานั่งล้อมวงกันแปดคนด้านหน้าเก้าอี้ครูเต้ยอย่างรวดเร็ว
“อารมณ์อย่างหนึ่งที่คนเราแสดงออกมาได้ง่าย นั่นก็คือความกลัว... อย่างกลัวในเรื่องอนาคตที่ยังไม่เกิดกลัวเพราะความคิดที่คิดไปล่วงหน้า กลัวสิ่งของที่ไม่น่าดู ตั้งแต่เชื้อรายันแมลงสาบ...” เสียงแจ่มชัดเพียงหนึ่งเดียวของครูเต้ยทำให้พวกเรานิ่งฟังอย่างตั้งใจ แอร์เย็นๆในห้องกระจกเงาๆที่เราใช้เรียนแอคติ้งช่วยเพิ่มความขลังให้กับคำพูดนั้นได้มากโข
“และปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งหนึ่งที่คนเรากลัว คือสิ่งที่เรามองไม่เห็น อย่างเช่นพวกสัมภเวสี” ผมฟังไปพลางก็ลอบมองคนอื่นๆไปพลาง ทุกคนกำลังทำหน้าเคร่งเครียด โดยมีอยู่คนหนึ่งที่อาการออกจะหนักว่าใครเพื่อน...แบบเงียบๆ...พี่ริท
ดวงตาเหม่อมองไปที่พื้น ริมฝีปากเม้มแน่น หน้าเริ่มซีด...
ผมที่นั่งข้างๆก็ได้แต่เอามือไปลูบๆหลังพี่เขาเบาๆ อยากจะบอกว่าไม่มีอะไร แล้วก็เลิก
“เอาล่ะ! ตอนนี้ครูขอให้พวกเธอเล่าเรื่องผี! ทำยังไงก็ได้ให้เพื่อนๆรวมทั้งครูที่นั่งอยู่ตรงนี้กลัวจนขนหัวลุก! จะใช้แอคติ้ง ใช้น้ำเสียงอะไรก็ได้ให้มันอิน! เอ้า! เริ่มจากเก่งเลย! แล้วเวียนไปทางซ้าย!”
ลมหายใจที่เริ่มผิดจังหวะกับดวงตาที่เบิกโพลงน้อยๆของพี่ริทที่นั่งข้างๆทำให้ผมตัดสินใจเอามือตบบ่าพี่เขาแปะๆ แล้วก็ชักกลับ
ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงของความเงียบทันทีที่พี่เก่งเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา พี่เก่งทำน้ำเสียงเย็นประกอบการเล่า เล่าไปได้สักพักพี่แกก็ลุกขึ้นไปปิดไฟในห้องให้มืดสนิท ตอนแรกก็มีเสียงโวยวายว่าจะปิดทำไม แต่พอได้เหตุผลจากพี่เก่งว่าเพื่ออรรถรสที่มากยิ่งขึ้นมันก็จำเป็น แสงจากไฟฉายกระบอกเล็กๆที่พี่เก่งพกมาเหมือนรู้ว่าต้องใช้ เป็นเพียงแสงเดียวที่สว่างไสวในห้องอันมืดมิดแถมอากาศเย็นแห่งนี้ เรื่องราวของหญิงสาวมหาลัยกับผีในหอพักถูกบรรยายไปอย่างช้าๆและเนิบนาบ...
ฟังไปเพลินๆผมก็รู้สึกได้ว่ามีมือเกร็งๆมาจับผมไว้กลายๆอย่างคนหาที่พึ่งพิง
ผมหันไปทางขวา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร พี่ริท...
แสงไฟอันน้อยนิดจากกระบอกไฟฉายทำให้ผมเห็นสีหน้าพี่เขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ ลืมตาฟังอย่างตั้งใจ ไม่ปิดหู ไม่ปิดกั้นอะไร ดูตั้งใจมากจนผมนึกขำ อารามอยากแกล้งคนข้างๆเริ่มเข้ามาหาผมอีกระลอก...
เรื่องผีๆเนี่ย ของถนัดผมล่ะ ตอนเข้าค่ายลูกเสือกับเพื่อนที่โรงเรียนก็เคยทำเอาคนนอนไม่หลับเพราะกลัวเรื่องผีที่ผมเล่ามาแล้วนักต่อนัก
เรื่องของพี่เก่งจบลงด้วยปริศนาที่ค้างคาใจหญิงสาว ตามมาด้วยเรื่องของพี่เกรซ พี่เกต พี่เซน พี่กัน ไปเรื่อยๆ มีเสียงกรี๊ดบ้าง เสียงฮึ้ยบ้าง อะไรบ้างมาบ่อยๆเป็นระยะๆ จนแล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามือที่จับผมอยู่เกร็งหนักขึ้นทุกครั้ง แต่ผมมองไปกี่ทีก็ยังเห็นสีหน้าตั้งใจของคนข้างๆเหมือนเดิม...แม้มันจะซีดลงมากแล้วก็ตาม
“ชายคนนั้นได้แต่กรีดร้องหาเรื่องทะเลาะกับเสียงที่มองไม่เห็นนั่น... จนเริ่มรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเละๆเย็นๆมาจับที่หัวไหล่...ใจของเขาเต้นระรัว...” น้ำเสียงเคร่งเครียดของพี่กันเข้ากับดวงตาสีดำขลับโตๆที่จ้องมองมาอย่างจริงจัง สัมผัสที่มือผมเกร็งแน่นและหนัก
“เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จึงได้ตัดสินใจสะบัดอะไรก็ไม่รู้นั่นให้หลุด แล้วหันไปเผชิญกับมันพร้อมส่องไฟฉายแรงจ้าไปเต็มๆ แต่เมื่อส่องไฟดูก็พบว่า...”
ไม่ปฏิเสธเลยว่าทั้งห้องเงียบกริบด้วยความลุ้นระทึก ชายคนนั้นจะส่องเห็นอะไร?
“ก็พบว่า...เป็นอาแปะของเขาที่มือยังเปื้อนดินที่เอามาปั้นเครื่องปั้นดินเผา มันถึงได้ทั้งเละทั้งเย็นนั่นเอง!!”
“โว้วววววววววว!!!!” ผมและคนอื่นๆพร้อมใจกันส่งเสียงโห่ให้พี่กัน อุตส่าห์บิ๊วมาได้อารมณ์ดีๆ ดันมาแป้กเพราะมุก เสียดายครับ
และคงเพราะอารมณ์ที่ชะงักไปกะทันหันแบบนั้นล่ะมั้ง สัมผัสเกร็งๆที่จับมือผมอยู่ถึงได้หายไป หันไปมองอีกทีพี่ริทก็เอามือกุมหายใจตัวเองที่ผมเดาได้ว่ามันคงกำลังเต้นตึกตัก ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มจนเห็นเหล็กดัดอย่างคนโล่งใจ
เอ๋า... โล่งได้แค่ตอนนี้แหละ เจอเรื่องผีฉบับนายไอซ์แล้วจะหนาว...
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนของผม...ไอ้เบส...” ผมเริ่มเล่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ บรรยายถึงค่ำคืนอันมืดมิดกับการแวนซ์มอเตอร์ไซด์กลางดึก ท่ามกลางสนามแข่งใกล้ๆบ้านร้าง... ผมพยายามหยอดอะไรไว้เล็กๆน้อยๆให้กรี๊ดกันเล่น และก็ได้ผลตามคาดเสียด้วย เมื่อครู่นี้มีเสียงกรี๊ดเล็กๆจากพี่เกต และเสียงร้องเฮ้ยเบาๆจากพี่เก่ง... นี่แค่เริ่มต้น
เล่าไปก็เริ่มรู้สึกไดว่าลมหายใจของคนข้างๆไม่ปกติขึ้นทุกทีๆ
ผมยิ้มในใจ เล่าต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีสะดุด บรรยายถึงไอ้เจ้าเบสพระเอกของเรื่องที่มักเห็นอะไรแว้บๆขณะแวนซ์รถผ่านบ้านร้าง จนในที่สุด...
“ไอ้เบสก็ได้ลงแข่งแวนซ์กับรุ่นพี่ที่มันเกลียดนักเกลียดหนาหวังจะเอาชนะให้ได้... แต่ขณะที่มันขี่ๆอยู่นั่นเอง ก็รู้สึกเหมือนรถบังคับไม่ได้ ส่ายไปส่ายมาอย่างบ้าคลั่ง!” ทันทีทันใดผมก็ใช้เสียงดังอย่างที่ทำให้ทุกคนสะดุ้งเอ่ยปิดประโยคสุดท้ายพร้อมเอื้อมมือปิดไฟฉายที่เป็นเสมือนที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของทุกคนไปดื้อๆ!
“กรี๊ดดดดดดดดด!!!”
“แล้วตอนที่มันหันไปมองกระจกถึงได้เห็นว่า...มีคนอยู่ข้างหลัง!” ท่ามกลางความมืด ผมอาศัยจังหวะเอามือตบหลับพี่ริทที่นั่งข้างๆอย่างแรงและรวดเร็ว!
ผมรู้สึกได้ว่าได้ยินเสียงหอบหายใจชะงักงันดังเฮือก! แต่หน้าแปลก แทนที่จะได้ยินเสียงพี่ริทร้องโหวกเหวกตามคาด กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้น เกิดอะไรขึ้น
ผมตัดสินใจเปิดไฟฉายอีกทีโดยไม่ให้สัญญาณใคร...แสงสว่างวาบนั้นทำให้ผมเห็นบางอย่างชั่วขณะ
ภาพของพี่ริทที่เอาตัวไปเบียดพี่โตโน่พร้อมเกาะลำแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามแน่นอย่างคนที่หาที่พักพิงที่มั่นคงที่สุดเจอ ใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวซุกลงกับแผ่นอกแกร่ง กับอ้อมแขนอุ่นของพี่โตโน่ที่โอบพี่ริทไว้แน่น...ราวกับอยากดูแล
แล้วทั้งสองก็ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ไฟสว่างปุ๊บ พ่อก็หลุดปั๊บ
ผมกระตุกยิ้ม กลับมาเล่าเรื่องผีของตัวเองใหม่
ในใจคิดแต่ว่าคงมีเรื่องเอาไว้ล้อพี่ริทให้เขินเล่นในวันพรุ่งนี้ตอนพักเที่ยง
ก็บอกแล้วครับ ว่าผมมันเด็กดี...
-เล็กน้อยถึงปานกลาง-
เรื่องที่ 5 แล้ว (555+) ในส่วนนี้เป็นพาร์ทที่เล่าเรื่องโดยน้องไอซ์ แสบๆหน่อยเนาะ 555+
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น