ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : No.4 - ปวดหัวตัวร้อน [พาราเซตตามอล]
ขึ้นชื่อว่ารายการเรียลลิตี้ ถ้าอยากให้กระแสดีมันต้องมีเซอร์วิสผู้ชมครับ
ซึ่งหมายความครับว่า บางฉากของคนในบ้านที่ดูแล้วขายดีก็จะได้ออกอากาศมากหน่อย
แต่บังเอิญว่าเรื่องขายดีในปีนี้ไม่หน่อยค่ะ
เพราะดันเป็นเรื่องของสองคนนี้ไงคะ
สองคนนี้เขาชอบมีลับลมคมในกันครับ
และบางทีก็ทำให้พวกผมที่อยู่ใกล้พวกเขาเหมือนมนุษย์ล่องหน!!
ปวดหัวตัวร้อนเพราะพวกเอ็งอ่ะรู้มั้ย!
..................................................................................................................................
-พาราเซตตามอล-
ผมคิดมาตลอดว่าคนจะเป็นหมอมันต้องเตรียมความพร้อมทุกสถานการณ์ ตั้งแต่นอนเมื่อไหร่ก็ได้ ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ ต้องพร้อมวินิจฉัยโรคทุกเมื่อเมื่อมีใครก็ตามต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าในสถานการณ์ไหน ต้องตั้งใจดูอาการคนไข้แม้จะเป็นโรคเล็กน้อยๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้น และพยายายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคตให้ได้อยู่ แม้จะเข้ามาทำตามความฝันอีกอย่างในบ้านหลังนี้ก็ตามที แต่ในเมื่อผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เรียนแพทย์ ผมช่วยสมาชิกในบ้านได้ถ้าเขาป่วย ถ้าใครไม่สบายตรงไหน บอกผมได้ ผมพร้อมที่จะช่วย
และผมเชื่อว่านักศึกษาแพทย์อีกคนหนึ่งที่มาเข้าแข่งรายการนี้เหมือนกันก็คงต้องคิดเช่นเดียวกันผม จนพักหลังๆนี่ผมชักเริ่มไม่แน่ใจ
ทำไมถึงไม่แน่ใจเหรอครับ?
มา ผมจะเล่าให้ฟัง
..................................................................................................................................
วันนั้นเป็นวันจันทร์ธรรมดาที่พวกเราก็กำลังซ้อมกันปกติ ผมพยายามจะบิ๊วตัวเองให้ร้องเพลงออกมาได้อารมณ์ ในขณะที่คนอื่นๆก็ซ้อมของตัวเองไปอย่างทุกวัน มีเสียงเจื้อยแจ้วของคุณหมอตัวเล็กแต่พูดมากดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของห้อง แต่ด้วยความที่ผมก็กำลังตั้งใจกับการซ้อมของตัวเองอยู่ เลยอยู่ในช่วงมีสมาธิ ไม่ได้สนใจอะไรเท่าใดนัก
“เฮีย เป็นไรอ่ะ หน้าบูดเป็นตูดหมึก” หนุ่มนักศึกษาแพทย์ร่างเล็กถามชายหนุ่มที่ยืนพิงกำแพงด้วยความฉงน
“เหมือนไม่สบายว่ะริท ดูให้พี่หน่อย เป็นเมื่อยๆว่ะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนนอกหนาวในแปลกๆ” ชายหนุ่มเองก็ได้โอกาสที่จะหายไวๆ เลยเล่าอาการของตัวเองให้ฟัง เผื่อเจ้าน้องชายว่าที่คุณหมอคนนี้จะช่วยเขาได้บ้าง
“พาราเลยพี่ เชื่อริท”
ผมเองพอได้ยินอะไรเกี่ยวกับอาการป่วยแล้วเป็นไม่ได้ครับ จากที่เคยสนใจอะไรอยู่ ถ้าเกิดรู้ว่ามีคนกำลังป่วยปั๊บ ก็อยากจะเข้าไปช่วย กรณีนี้ก็เหมือนกัน
“พี่โตโน่ไม่สบายเหรอริท?” ผมละจากการซ้อมแล้วเดินเข้าไปถาม คำตอบที่ได้คือการพยักหน้าหงกๆของเรืองฤทธิ์ ตามมาด้วยการเล่าอาการอีกครั้งของอาเฮียใหญ่แห่งบ้านเดอะสตาร์ 6
“เป็นเมื่อยๆน่ะ ครั่นเนื้อครั่วตัว แล้วก็ร้อนนอกหนาวใน” หนุ่มนักศึกษาแพทย์ศิริราชเลิกคิ้วก่อนวินิจฉัย
“วัดไข้ยังล่ะพี่?”
“ยัง”
“งั้นก็ไปวัดไว้ด้วยนะ ผมว่าพี่อ่ะเป็นไข้ธรรมดาๆน่ะแหละ กินพาราแล้วก็อย่าหักโหมมาก กลางคืนรีบนอนก็โอแล้ว” เก่งว่า พลางเอามือตบบ่าชายหนุ่มตรงหน้าแปะๆ ก่อนเดินไปซ้อมในส่วนของตัวเองต่อ
ภาคิณพอใจกับการวินิจฉัยเป็นฉากๆเมื่อครู่ นึกชื่นชมหนุ่มนักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเดินจากไป เพราะแม้จะยังเป็นนักศึกษาอยู่แต่เขาสัมผัสได้ว่าใจจะทำงานนี้น่ะมีเต็มร้อย
เหมือนจะผิดกับ...
ดวงตาเรียวเล็กหันไปมองเจ้าคนข้างๆที่กำลังส่งรอยยิ้มให้เขาแหะๆ
“ริทบอกแล้วว่าพารา”
..................................................................................................................................
หลังจากซ้อมเสร็จก็ถึงเวลาพักครับ พวกเราออกจากห้องซ้อมไปยังห้องทานอาหาร ไม่นานก็แบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยว่าใครจะทำอะไร และหน้าที่ของผมสำหรับมื้อเที่ยงวันนี้คือล้างผักล้างเนื้อไปให้เซนทำกับข้าว ผมล้างกะละมังให้สะอาดก่อนปล่อยให้น้ำจากก๊อกไหลลงจนได้ปริมาณที่ต้องการ จากนั้นก็เอาผักลงไปล้างในน้ำ ลูบๆให้มันสะอาดอย่างแผ่วเบา แล้วเอามาวางไว้ในจานใหญ่ เนื้อก็ทำเหมือนกัน แต่วางไว้ในอีกจาน แล้วผมก็ส่งต่อทั้งจานผักจานเนื้อให้เซนที่กำลังเจียวกระเทียมอยู่ในกระทะ
คนอื่นๆก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ริทกับไอซ์ก็ช่วยกันทำยำอยู่ เกตกับเกรซก็จัดการไก่ทอด กันกับพี่โตโน่กำลังช่วยกันจัดจานลงโต๊ะ ทุกอย่างเหมือนเรียบร้อยดี จนกระทั่งอาเฮียใหญ่ของบ้านเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรเย็นๆกินดับร้อนน่ะแหละ
“โหยยย...พี่โตโน่...กินแล้วแบ่งน้องมั่งสิ” เสียงริทครวญเมื่อเห็นพี่โตโน่กำลังกระดกน้ำส้มเข้าปาก สีหน้าของพี่เขาดูดีขึ้น อาจเป็นเพราะได้ทานยาและเดินไปโน่นมานี่แต่พอควร แต่พี่แกได้ยินเสียงน้องก็ไม่ยอมแบ่งครับ จนกระทั่งริทได้เดินเข้าไปหาหวังแย่งเจ้าขวดน้ำส้มนั่นมากินบ้าง แต่เพราะได้เดินเข้ามาใกล้ ถึงได้รู้อะไรบางอย่าง...
“เฮ้ยเฮีย... น้ำส้มนี่มันหมดอายุตั้งแต่เมื่อ 3 วันที่แล้วไม่ใช่เหรอ?” เจ้าตัวเล็กท้วงเมื่อเห็นวันที่บอกวันหมดอายุสีดำที่ระบุไว้ข้างขวด พี่โตโน่เลิกคิ้ว ก่อนกระดกต่อจนหมดอย่างไม่ใส่ใจ
“ 3 วันเองเว้ยริท อีกอย่างอยู่ในตู้เย็น จะเป็นอะไร”
บทสนทนานั้นจบไปด้วยเสียงของเกตที่เรียกให้ทุกคนมาทานอาหารครับ ก็ทานกันปกติเหมือนทุกวัน ทานไปคุยกันไป พวกเราเลือกที่จะคุยในเรื่องที่ไม่ทำให้ตัวเองจดจ่อเกี่ยวกับการซ้อมมากเกินไปเพราะเดี๋ยวจะเครียดจนทำให้ทุกอย่างแย่ลงครับ ตอนนี้ผมกำลังฟังน้องไอซ์เล่าเรื่องงี่เง่าที่ตัวเองเคยทำเมื่อสมัยก่อน ตลกดีพวกเราผลัดกันเล่า จนในที่สุดก็เริ่มถึงเวลาที่กำหนด ตอนนี้พวกเราเห็นพ้องตรงกันว่าควรจะเก็บโต๊ะและขึ้นไปซ้อมได้แล้ว แต่...
ว่ากันว่าความประมาทคือหนทางแห่งความตายครับ... หลังจากพวกเราเก็บโต๊ะเรียบร้อย กำลังจะไปซ้อมต่อนั่นเอง เสียงของคุณหมอตัวเล็กเจ้าเก่าก็เริ่มท้วงถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆผมก็เลยหันไปมอง
“พี่โตโน่... เป็นไรอ่ะ ทำหน้าเหมือนปวดขี้” หน้าพี่เขาเหมือนจริงๆครับ คิ้วเขาขมวดมุ่นเข้าหากัน หน้าเริ่มแดง หลับตาปี๋ ริมฝีปากเม้มเข้าอย่างคนเจ็บปวดทรมาน ในขณะที่ฝ่ามือเกร็งกุมท้องไว้แน่น
“ปวดท้องแปลกๆว่ะ ท่าจะท้องเสีย...”
“น้ำส้มเมื่อกี้แน่เลย ริทบอกแล้วว่ามันหมดอายุ”
“ไม่น้า ปกติพี่กินนมเปรี้ยวที่หมดอายุไปแล้วสัปดาห์นึงยังไม่เป็นไรเลย”
ผมได้ยินแล้วอยากจะคลั่งครับ! หมดอายุตั้งสัปดาห์นึง! กินเข้าไปได้ยัง!?
แต่คำพูดของคนตัวเล็กข้างๆกลับทำให้ผมตาถลนยิ่งกว่า!
“พาราเลยพี่ เชื่อผม”
เอ่อ...ไม่ใช่แล้วมั้งริท!?
..................................................................................................................................
หลังจากที่ผมเข้าไปดูอาการของอาเฮีย (หลังจากเกิดความคิดว่า ถ้าปล่อยริทดูไม่แน่ว่ามันอาจจับพี่โตโน่กินยาพาราตอนท้องเสียแทนที่จะเป็นยาธาตุหรือยาอื่นที่เข้าท่ากว่าเข้าจริงๆ...) ผมก็วินิจฉัยไปตามระเบียบ ว่าเฮียท้องเสียเพราะทานของหมดอายุ แล้วก็จัดแจงยาให้เฮียทานซะ ผมแนะนำว่าอาเฮียน่าจะขอตัวไปพักก่อน เพราะเมื่อเช้าเพิ่งเป็นไข้ เที่ยงมาก็ท้องเสีย หวั่นว่าเย็นๆจะเจออะไรไม่เข้าท่าอีกรึเปล่า ไปพักรักษาตัวเลยเวิร์คสุด
แต่ด้วยความมุ่งมั่นของพี่แกก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ครับ พักได้แป๊บเดียวก็กลับมาซ้อมใหม่เหมือนเดิม แม้ทุกคนจะถามอาการด้วยความเป็นห่วง ว่าไหวมั้ย? เป็นยังไง? แต่เขาก็ยังยืนกรานว่าจะซ้อมต่อ แม้กระทั่งริทก็อดที่จะบอกให้เขากลับไปพักไม่ได้
“มันเหตุสุดวิสัยน่าพี่ ไปพักเหอะ เดี๋ยวผมคุยกับครูให้”
“น่าริท พี่ไหว” พูดฝืนตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ทั้งที่ตามจริงสีหน้าของเจ้าตัวไมได้ดีขึ้นเท่าไหร่ คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจพรืด
“พี่ทำแบบนี้คนอื่นยิ่งเป็นห่วงรู้ไหม?”
“ไหวน่า ไหวจริงๆ”
คนฟังถอนหายใจอีกรอบ ก่อนเสนอ
“งั้นพาราหน่อยเหอะพี่ กันไว้”
ก็ไม่ใช่อยู่ดีอ่ะ...
..................................................................................................................................
ตกเย็น พวกเราคลายเครียดด้วยการเล่นกีฬากันครับ เพราะนอกจากจะสนุก คลายเครียดแล้ว ยังช่วยเสริมพละกำลังด้วย พวกผู้ชายอย่างเราตัดสินใจเล่นฟุตบอล (กติกาบ้านๆเพราะคนไม่ครบ) กันครับ ในขณะที่เกตกับเกรซบอกว่าขอดูเฉยๆดีกว่า
น่าแปลกที่พี่โตโน่ คนที่เป็นไข้เมื่อเช้า คนที่เพิ่งท้องเสียตอนเที่ยง ก็ขอเล่นด้วยท่ามกลางสายตาฉงนสงสัยของรุ่นน้องทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งผม
“ไหวเหรอพี่?” เซนถามพลางเลิกคิ้ว
“เมื่อกี้ยังหน้าซีดอยู่เลย” กันว่าบ้าง
“เผื่อปวดท้อง เป็นไข้ ช็อคขึ้นมากลางคันเงี้ย” ไอซ์ถามด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ
“ไปพักเท้อ...ริทขอล่ะ”
ได้ยินน้องๆว่าแบบนั้นพี่แกก็ปลงครับ ยอมกลับไปนั่งที่ม้าหินอ่อนดูพวกเราเล่นเฉยๆแต่โดยดี ตอนนี้บอลถูกส่งมาทางผมแล้วครับ ผมใช้หน้าอกรับลูกก่อนเตะไปพักหนึ่ง แล้วกันมันก็เบียดมาครับ ผมเลยส่งลูกให้น้องไอซ์ที่วิ่งมาข้างๆ น้องแกเลี้ยงไปได้แป๊บเดียวก็เตะลูก มันกำลังจะเข้าประตูครับ ถ้าไม่ติดว่าริทมันกระโจนออกมารับลูกเสียก่อน ถึงคนไม่ครบก็สนุกในระดับหนึ่ง ท่ามกลางสายตาอยากเล่นด้วยจะเป็นจะตายของเฮีย
เหมือนเฮียจะทนไม่ไหวแล้วครับ แกเริ่มลุกขึ้นมาวิ่งเหยาะๆอยู่กับที่ การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรที่แกขาดไม่ได้ในแต่ละวัน ริทมันเห็นก็มองเฮียด้วยความเป็นห่วงครับ ตอนนี้แหละโอกาสเหมาะ! ผมส่งบอลให้น้องไอซ์และส่งสัญญาณให้เขาเตะเข้าประตู...แน่นอน เข้าอย่างสวยงาม...
“ริท!” กันโวยครับ ตอนนั้นแหละริทมันถึงเบิกตากว้างแล้วมองไปที่ประตูที่ลูกเข้าไปเรียบร้อยแล้ว มันยิ้มแหะๆรับความผิดก่อนขอโทษขอโพย รับปากว่าครั้งต่อไปจะตั้งใจกว่านี้ ถ้าไม่ติดว่า...
“กรี๊ดดดดดดดด!! พี่โตโน่!!” เสียงเกรซกรีดร้องครับ พวกเราเบนสายตาไปทางเสียง ก่อนพบว่าเฮียโน่แกล้ม กิ่งไม้บาดขาเลือดไหล
วันอะไรของเฮียแกกันเนี่ย!?
แล้วก็เป็นริทครับที่วิ่งไปดูอาการของแกก่อนใคร คนตัวเล็กพยุงคนตัวสูงกว่าให้นั่ง ก่อนดูแผลให้เฮียแกอย่างที่ใครดูก็รู้ว่าเป็นห่วง
...บางทีผมอาจคิดผิด... ที่ริทเอาให้บอกให้เฮียแกกินยาพาราคงเป็นเพราะอยากกวนเล่นเฉยๆ แต่ตอนนี้เขาคงเอาจริงแล้ว
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ไปเล่นต่อเหอะ” เฮียแกยังฝืนบอก แต่มือเล็กนั่นก็ยังจับอยู่ที่ขาส่วนที่เป็นแผล แววตาของคนมาดูอาการมองอย่างเป็นห่วง “ก็บอกแล้วว่าให้พักเฮียป่วย ใครๆก็อยากให้หายเร็วๆ”
“...ขอโทษ”
ลมหายใจถูกพ่นดังพรืด
“พาราเถอะเฮีย เชื่อริท”
เอิ่ม...
..................................................................................................................................
แล้วเราก็เกลี้ยกล่อมเฮียให้ไปพักโดยไม่ต้องซ้อมรอบค่ำสำเร็จครับ พวกคุณครูเองก็เห็นด้วย บอกแต่ว่าให้พักจนอาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยกลับไปซ้อม ตอนนี้พวกเราทั้งหมดอยู่ในห้องของพวกพี่โตโน่ มีพี่แกนอนอยู่บนเตียง คนอื่นๆก็นั่งคุยกับพี่แกก่อนไปซ้อมรอบค่ำ จนเมื่อถึงเวลาทุกคนก็ทยอยออกไป ไม่ลืมอวยพรให้เฮียหายไวๆ คนออกสุดท้ายคือริท
“นอนพักนะพี่ หายไวๆ”
“เออ ไปได้แล้ว คนอื่นเขารอ”
บทสนทนาจบลงแค่นั้นพร้อมกับเสียงปิดประตูดังปังเบาๆ
..................................................................................................................................
ริทกลับมาที่ห้องอีกทีหลังซ้อมรอบค่ำเสร็จ คนอื่นเลือกที่จะไม่เข้าไปด้วยเพราะกลัวรบกวน มีแต่ผมและเซนที่นอนห้องเดียวกันตามเข้าไปด้วย ริทขอให้ผมช่วยเช็คอาการของเฮีย ถึงเราจะเป็นนักศึกษาแพทย์เหมือนกันทั้งคู่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะแข่งกันรักษาคนไข้ กลับกันนั้นเราอยากช่วยกันรักษาคนป่วยให้หายเร็วๆมากกว่า
สีหน้าของเฮียที่หลับอยู่ดีขึ้น ร่างกายก็เข้าสู่อุณหภูมิปกติ ทั้งผมทั้งริทวางใจ ผมจึงบอกเขาว่าจะกลับแล้ว พรุ่งนี้อยากตื่นแต่เช้ามาซ้อม ริทเองก็ยิ้มให้ผม พวกเราลากัน ณ ตรงนั้น
ผมอิ่มใจ ตอนแรกเอาแต่คิดว่ามาที่นี่ต้องพยายาม ต้องทำให้ได้ ต้องแข่งขัน แต่แท้จริงแล้วถึงได้รู้ว่ามีบางอย่างที่สำคัญกว่า...ผมว่าการที่เราช่วยกันโดยลืมเรื่องผลในแต่ละสัปดาห์ว่าใครที่จะออกนั้นสำคัญกว่า
มิตรภาพเล็กๆเริ่มได้จากการพูด
ผมอยากบอกพวกเขาว่าให้ดูแลตัวเองด้วย จะได้ไม่ป่วยง่าย
และทันทีที่หันกลับไป ก็เห็นภาพของนักศึกษาหนุ่มที่กำลังห่มผ้าให้คนป่วยอย่างตั้งใจทุกกิริยา ทั้งท่าทาง ทั้งสายตา รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นห่วง
ผมยิ้ม... เขาต้องเป็นหมอที่ดีในอนาคตได้แน่ ผมด้วย
ผมตัดสินใจบอกเขาก่อนล้มตัวลงนอน
“มีอะไรปลุกได้เลยนะเว้ย”
สิ่งที่ผมได้กลับมาจากคำพูดนั้นคือรอยยิ้มกว้างจนเห็นเหล็กดัด
..................................................................................................................................
คำขวัญวันนี้ : พารารักษาไม่ได้ทุกโรคนะจ๊ะ...
-เล็กน้อยถึงปานกลาง-
ฟิคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากที่เฮียโน่เผาว่าถ้าไปถามอาการป่วยกับพี่เก่ง พี่เก่งจะได้เป็นฉากๆ แต่ถ้าไปถามพี่ริท พี่ริทจะแนะนำให้กินพารา ฮ่ะๆๆ ก็เป็นอีกหนึ่งฟิครั่วๆฮาๆต่อไป
เจอกันตอนหน้านะเคอะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น