ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อโลกนี้โคจรตามเลข 68 (โน่ริท)

    ลำดับตอนที่ #20 : No.16 - โกหก

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 54







    จะเป็นแบบนี้ไปได้ตลอดจริงๆเหรอ?

     

    -------------------------------------------------------

     

     

              ใช่...แล้วก็นะ โตโน่ว่าค้างไว้พร้อมรอยยิ้มแล้วกระดกแก้วน้ำดื่มเข้าปากหนึ่งอึก ครูแหม่มก็มาเห็นแล้วตกใจใหญ่เลย เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นจากคนทั้งสองเมื่อเรื่องราวจากปากคนอายุมากกว่าจบลงไป ดวงตาหยีของชายหนุ่มจ้องมองคนข้างหน้าด้วยความเอ็นดู เวลาริทขำมักจะปล่อยออกมาหมดไม่มีกั๊กไว้เสมอ ปากนั้นอ้าออกกว้างจนแทบจะงับหัวคนได้ เสียงก็ดังจนแทบจะทะลุไปถึงห้องข้างๆ แถมยังขำจนไหล่น้อยๆสั่นไหว

     

     

                    คนขำหนักใช้เวลาสักพักกว่าจะหยุดขำได้ (ถึงจะบอกว่าหยุดขำ แต่พูดทีก็มีสะดุดหัวเราะเบาๆอยู่เป็นระยะ) เรืองฤทธิ์สูดหายใจแล้วนับหนึ่งถึงสิบช้าๆ ก่อนจะปั้นหน้าเคร่งขึ้นมาหน่อย แม้ว่าเส้นขำค้างจะยังกระตุกๆอยู่ภายในปากให้ยิ้มออกมาก็ตาม

     

     

                    โหยพี่ แผนนี้เด็ดจริง

     

     

                    อวยแถมท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มบ้าง ไม่แปลก เพราะคงคอแห้งมาจากหัวเราะเมื่อครู่ โตโน่รอให้อีกฝ่ายดื่มเสร็จแล้ววางแก้วน้ำลงกับโต๊ะก่อน ก่อนที่จะเริ่มพูดเรื่องถัดๆไปที่กะไว้ว่าจะเล่าให้ไอ้เตี้ยสักคนฟังในคืนนี้

     

     

                    เป็นเรื่องดีสำหรับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างนายโตโน่ เดอะสตาร์ (หรือที่ตอนนี้ใครๆก็ยกดีกรีให้เขาเป็นโตโน่ ภาคิน) ซึ่งมีงานมากมายทั้งละครเวทีหงส์เหนือมังกรที่กำลังไปได้สวย รายการโปรโมทประปราย รายการทีวีที่เชิญเขาไปเป็นแขกรับเชิญ ซ้ำยังได้รับเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าหลายแบบหลากยี่ห้อ  แถมเพลงประกอบละครที่เพิ่งออกไปก็ฮิตติดชาร์ตเข้าเสียอีก ชีวิตในเวลานี้ของเขานับว่ารุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และถือว่ายังอยู่ในขั้นต้นของความเฮงเท่านั้น เพราะยังมีคิวงานให้เคลียร์อีกยาวเป็นหางว่าวจนถึงปีหน้า และมีทีท่าจะยาวมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าแต่ละวันเขานั้นต้องทำงานหนักจนแทบไม่ได้หายใจหายคอ กลับบ้านไม่เคยต่ำกว่าเที่ยงคืน และต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปทำงานอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเช่นนี้เป็นเดือนๆ แต่เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่เขาได้รับ ทั้งโอกาส ชื่อเสียง เงินทอง และความรักจากแฟนๆและเหล่าผู้สนับสนุน มันก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นแรงผลักดันให้เขาทำมันต่อไปเรื่อยๆ และพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ทำให้ใครก็ตามที่หวังกับเขาต้องผิดหวัง

     

     

                    นอกจากนั้น...ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยนี่ เขายังมีกำลังใจสำคัญเป็นเจ้าน้องชายอารมณ์ดีที่รออยู่ที่บ้าน (ห้องชุดห้องหนึ่งในคอนโดมิเนียมในเมืองหลวง)

     

     

                    ทุกครั้งที่กลับมาดึกๆ เขามักจะเจอริทรออยู่ เสร็จจากนั้นแทนที่จะพากันนอน สองพี่น้องต่างสายเลือดกลับชวนกันคุยถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แชร์ประสบการณ์โน่นนี่นั่นที่ได้พบเจอ ยิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ให้กำลังใจกัน โดยเฉพาะรอยยิ้มของริทนั้น ไม่ปฏิเสธเลยว่าทำให้ใครก็ตามอารมณ์ดีขึ้นได้เสมอ ปากห้อยๆสีแดงธรรมชาติที่แย้มออกจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ส่งความสดใสและอบอุ่นจนจากที่เหนื่อยๆก็เหมือนจะหายไปได้ในพริบตา ประกอบกับดวงตากลมๆสีดำขลับที่ทอประกายแวววาว แพขนตาหนา และสีหน้าตลกๆแล้ว เขามีความสุขจริงๆเวลาที่อยู่กับน้องชายคนนี้

     

     

                    เสียงแก้วน้ำวางกระทบลงกับโต๊ะ เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายพร้อมจะฟังเรื่องราวต่อไป

     

     

                    เอ้อ แล้วก็...เดี๋ยวกูจะมีละคร ปฏิกิริยาหลังประโยคนั้นคือคิ้วที่เลิกขึ้นบนใบหน้าที่เป็นเครื่องหมายคำถาม เห็นว่าเป็นละครย้อนยุคน่ะ ชื่อเรื่องว่าเรือนแพร ชายหนุ่มกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย(หลังจากที่ตื่นเต้นเอาการทันทีที่รู้ข่าว) ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสดใสตรงหน้าไม่ห่าง

     

     

                    เห... งั้นนี่ถ้าพี่ต้องไปถ่ายที่ไหนไกลๆจนกลับบ้านไม่ได้ ผมไม่เหงาตายเลยเหรอ?

     

     

                    มึงอย่ามาเฟค หึๆ นิ้วยาวๆเข้าดีดหน้าผากเหม่งเบาๆ เวลามึงบ่นว่าเหงาๆ ก็มีคนมาอยู่ด้วยทุกที เสียงทุ้มเอ่ยปนขำ เขากำลังพูดถึงเมื่อตอนริทไม่มีใครอยู่ด้วย อย่างตอนรอเขากลับมาบ้าน มือก็ส่งพินบีบีมาหาบอกว่าให้รีบกลับมา เหงา ผมอยู่บ้านคนเดียว ทั้งที่เอาพี่พีอาร์มาอยู่เฝ้าในห้องด้วยเพราะกลัวผี หรือจะให้ขยายความไปอีกหน่อย ถึงจะไม่ได้อยู่กับเขาตลอดก็ตาม แต่ริทก็ไม่เคยอยู่ที่ไหนคนเดียวเลยสักครั้ง เว้นเสียแต่บนที่นอนในห้องแยก แล้วปากจะบอกว่าเหงาก็ตอแหลไปหน่อย

     

     

                    โหย มันแทนกันไม่ได้น่า ไอ้แป้นแล้นรีบแก้ตัว ไม่มีใครแทนพี่ได้หรอก พี่ชายที่รักของริท

     

     

                    ครั้งนี้ไม่เพียงนิ้วที่ดีดเข้าที่หน้าผาก แต่ฝ่ามืออรหันต์กลับตบเข้ากลางกบาลจนคุ้มความรัก คนตัวเล็กกว่าลูบหัวป้อยๆพลางส่งสายตาไม่พอใจน้อยๆไปพร้อมกับปากยู่ๆ โตโน่ยิ้มแก้มปริ ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากการขำในการเฟคไม่เลิก หรือดีใจที่น้องชายบอกว่ารักกันแน่

     

     

                    จริงใจหน่อยริท หึๆๆ

     

     

                    เสียงหัวเราะเบาๆยังคลออยู่ระหว่างคนทั้งสอง โตโน่เลือกที่จะยกน้ำขึ้นดื่มอีกอึก โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของอีกคนที่...เปลี่ยนไป...เพียงครู่เดียว

     

     

                    แต่เก่งจังนะ พี่ชายของริทเนี่ย ดวงตาตี่อดเหลือบมองอีกฝ่ายไม่ได้ หูก็ฟังว่ามันจะพล่ามอะไรต่อไป ทั้งเพลง ทั้งละครเวที ทั้งพรีเซนเตอร์ คราวนี้ก็ละครทีวีอีก ดังใหญ่แล้วพี่ชายริท

     

     

                    มือที่เคยจับแก้วน้ำ บัดนี้เปลี่ยนมาจับหัวอีกฝ่ายโยกขึ้นโยกลงแรงๆแล้วค่อยๆผ่อนจนเบาลงเรื่อยๆ

     

     

                    เออ อวยเข้าไปริท อวยเข้าไป มืออุ่นๆของน้องชายตะปบเข้าที่มือเขาหวังจะให้ฝ่ามือที่โยกหัวคลายออก แต่นายภาคินคนโก้ยังไม่คิดจะหยุด มึงเหอะ รางวัลโน้น รางวัลนี้ก็ได้ ดังกว่ากูอีกมั้ง

     

     

                    ...มือเหม็นอ่ะ พี่โตโน่ซกมก เรื่องคุยที่เปลี่ยนไปกะทันหันเล่นเอาคนเป็นพี่แทบผงะ ไปอาบน้ำเลยไป เหม็นๆ ดวงตาหยีจ้องมองไปที่น้องชายที่ยังพยายามแกะมือเขาออกอย่างจี๊ดๆ ริมฝีปากยังเม้มยิ้ม ก่อนที่จะตบหัวไอ้เตี้ยเข้าสักทีแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำตามคำสั่ง ไม่ลืมจะกล่าวอะไรทิ้งท้าย

     

     

                    รออาบน้ำเสร็จก่อนนะเตี้ย เดี๋ยวเจอๆ

     

     

                    ชั่วขณะที่รู้ว่าอีกคนออกจากห้องนั่งเล่นไป ใบหน้าสดใสของเรืองฤทธิ์ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นคนละด้าน เป็นใบหน้าที่แฝงทั้งความเครียด ความกังวล ความคิดสับสนตีกันยุ่งในหัวไปหมด แต่พยายามแทบตายที่จะยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็นจนถึงเมื่อครู่ เพราะรู้ดีว่าถ้าเกิดแสดงอะไรผิดปกติขึ้นมา พี่ชายคนดีจะต้องถาม และเขาต้องบอกออกไปหมด ทั้งที่ใจอยากจะเก็บไว้แค่กับตัวก็ตามที

     

     

                    เขากับพี่โตโน่ ออกมาจากบ้านเดอะสตาร์ด้วยกัน ด้วยอันดับที่ห่างเพียงหนึ่ง เขาได้ที่สอง พี่โตโน่ได้ที่สาม แต่ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ได้ตัดสินแล้วว่าไม่ใช่

     

     

                    เขาที่ได้ที่สอง มีแค่งานเพลงที่อันดับก็ไปไม่ได้สูงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเพลงของคนอื่นๆในชาร์ตเดียวกัน ขณะที่เพลงของกัน เซน แล้วก็พี่โตโน่ติดท็อปเทน แต่เขายังไม่เคยติดสูงกว่าท็อปสิบห้า ถ่ายนิตยสารก็มี แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนมีคิวไปถ่ายเดี่ยวเหมือนพี่ คิวถ่ายนัดกับนัดก็มี แต่พี่โตโน่ก็ได้คิวนี้เหมือนกัน แล้วพี่ชายคนเก่งคนนี้ก็ยิ่งทิ้งห่างออกไปอีก ด้วยละครเวทีหงส์เหนือมังกร งานคอนเสิร์ตบอยสตอรี่ที่พี่เขากับกันได้ไปแต่เขาไม่ได้ ทั้งโปสเตอร์เดอะสตาร์เจ็ดที่รูปของพี่โตโน่เด่นหราอยู่ข้างบน แต่รูปของเขากลับมีไว้ประดับประดาข้างล่างนิดหน่อย แล้วคราวนี้ยังมีละคร... ถึงเขาจะได้รางวัลดาวรุ่งจากนิตยสารไหนมา แต่ก็รู้ดีว่าแฟนคลับต้องทุ่มเงินไปตั้งเท่าไหร่สำหรับตำแหน่งที่เขาได้ เงินของแฟนคลับทั้งนั้น

     

     

                    ...ทุกอย่างได้พิสูจน์ให้เห็น ว่าอันดับนั้นไม่น่าจะใช่ของเขา แต่ควรเป็นของใครอีกคนที่ดีกว่า

     

     

                    ความน้อยเนื้อต่ำใจได้ถาโถมเข้าใส่จิตใจอันอ่อนไหวจนอยากจะร้องไห้ ริทเงยหน้าขึ้นหาเพดาน หวังให้น้ำตาที่พาลจะไหลอย่างคนอ่อนแอกลับเข้าไปเสียให้หมด ความรู้สึกด้านลบพาให้ใจขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆนานาให้ตัวเองดำดิ่งไปกับความมืดมิดยิ่งกว่าเดิม

     

     

                    บอกตัวเองอยู่หลายครั้งว่ามันเป็นโอกาสของพี่เขา และพี่เขาก็ทำได้ดี ควรจะได้อะไรดีๆตอบแทน

     

     

                    บอกกับตัวเองด้วยเหมือนกันว่า ตัวเองยังพยายามไม่พอ ต้องพยายามมากขึ้น และมากขึ้น จนกว่าโอกาสนั้นจะมาบ้าง

     

     

                    บอก...ว่าอย่าเปรียบเทียบ เพราะไม่มีส่วนไหนของตัวเองที่จะเทียบกับพี่เขาได้เลยสักอย่างเดียว

     

     

                    บอก...ว่าอย่าอิจฉา...เพราะ...

     

     

                    ชั่วขณะที่หยดน้ำตาไหลลงฝ่ามือ จนเจ้าตัวต้องรีบเช็ดและเกร็งแน่นไม่ให้มันไหลออกมาอีก

     

     

                    ที่ใครๆว่านายริท เดอะสตาร์อารมณ์ดีนักหนา เป็นคนดี เป็นคนเก่ง ไม่ใช่เลยเสียทีเดียว

     

     

                    กี่ครั้งที่จะกลั่นออกมาแต่ละมุก ทั้งที่รู้ว่าเล่นยังไงก็แป้ก

     

     

              กี่ครั้งต้องแกล้งทำเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทั้งที่เรื่องชั่วๆทั้งหลายทั้งปวงก็รู้อยู่เต็มอก

     

     

                    กี่ครั้งที่ต้องทำตัวเป็นผู้ชายน่ารัก ทั้งที่รู้ว่าปัญญาอ่อน

     

     

                    กี่ครั้งต้องหยอดลูกอ้อน ต้องทำเป็นอ่อนไหว ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

     

     

                    กี่ครั้งที่ต้องเฟคให้ใครๆรู้ว่า เขาคือนายเรืองฤทธิ์ ศิริพานิช ที่ขี้เล่น ขี้อ้อน ขี้นอยด์ ขี้น้อยใจ แต่ใส่ใจคนอื่นเป็นที่สุด ทั้งที่ใจจริง...เขามัวแต่คิดเรื่องของตัวเอง โกรธเวลาโดนแย่งของรักของหวง อิจฉา...เวลาคนใกล้ตัวได้ดีกว่า สร้างภาพให้ตัวเองดูดีเป็นที่หนึ่ง

     

     

                    ริท...โกหก...

     

     

                    อีกครั้งที่ความรู้สึกผิดกระหน่ำซัดจนชายหนุ่มวัยยี่สิบเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาอยากจะย้อนจากวัยบรรลุนิติภาวะ กลับสู่วัยเด็กที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรมากมายให้หนักหัว หยดน้ำตาที่กลั้นไว้พรั่งพรู จนต้องรีบป่ายเช็ดทั้งหมดให้หายไปก่อนที่ใครจะมาเห็น...โดยเฉพาะใครบางคนที่อาบน้ำอยู่ขณะนี้

     

     

                    ทว่ายิ่งกลั้น กลับยิ่งสะท้อนให้ความผิดนั้นชัดเจน จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

     

     

                    ริทเลือกที่จะเดินออกจากห้องนั่งเล่นกลับเข้าห้องตัวเองให้ไวที่สุด รีบปิดประตูแล้วล็อกให้แน่น ก่อนโถมตัวเองเข้าใส่เตียงนุ่ม ร้องไห้จะเป็นจะตายทั้งที่กัดฟันกลั้นเสียงไม่ให้ออกมา สมองนึกทบทวนแต่เรื่องเก่าๆซ้ำๆ โดยเฉพาะเรื่องประเภทที่ว่าพี่โตโน่มีดีกว่าเขาตรงไหน พี่โตโน่ได้ดีกว่าเขายังไง เขามีอะไรดีกว่าพี่โตโน่บ้าง และความคิดที่ว่า...ทำไมถึงเลวจนมาคิดเรื่องแบบนี้กับคนเป็นพี่ที่หวังดีกับเขามาตลอดได้

     

     

                    ...เหงา

     

     

                    ชั่วขณะ... ที่ภาพของพี่ชายที่กอดปลอบเขาและไม่ปล่อยไปไหนสมัยยังอยู่บ้านเดอะสตาร์ด้วยกันปรากฏแจ่มชัดในห้วงความคิด

     

     

                    ริทกอดตัวเองแน่น นอกจากหนาวใจ ยังหนาวกายด้วยอากาศเย็นเพราะลมมรสุมที่พัดผ่าน  สะอื้นน้อยลงแล้ว ในขณะที่ดวงตากลับทอดมองออกไปไกล

     

     

                    บางทีนอกจากความอิจฉา เขาคงจะกลัว

     

     

                    กลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งจะไม่มีที่ให้โลดแล่นในวงการนี้ กลัวว่าสักวันหนึ่งทั้งแฟนคลับ ทั้งใครๆที่คอยค้ำชูจะตีจาก กลัวว่าต่อให้ทำอะไรก็จะไม่มีใครสนใจ กลัวว่าความรักที่ได้มาในความฝัน พอตื่นขึ้นมาก็จะไม่มีอยู่จริง เหมือนเป็นแค่นิยาย

     

     

                    ริทๆ เสียงอันคุ้นเคยเล่นเอาคนที่นอนร้องไห้บนเตียงสะดุ้ง โตโน่ที่กลับออกมาจากห้องน้ำไม่เห็นน้องชายนั่งรออยู่ที่เดิมมาตามถึงหน้าห้อง ออกจะแปลกใจอยู่หน่อยที่ริทเดินไปนอนไม่บอกไม่กล่าว ทั้งที่กว่าจะนอนได้ต้องลากเขามาด้วยเพราะกลัวผีอยู่ทุกคืน ชายหนุ่มเอามือตบประตูแล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ

     

     

                    สมองของหนุ่มนักศึกษาแพทย์ออกจะสับสนอยู่เล็กน้อยว่าจะทำยังไงดีกับเหตุการณ์ตรงหน้า ครั้นจะออกไปเปิดรับดื้อๆ อีกฝ่ายก็ต้องเห็นคราบน้ำตาของเขาจนพาลทำให้ต้องตอบคำถามอะไรที่ไม่อยากตอบ ครั้นจะเงียบไปไม่เปิดก็กลัวจะทำให้สงสัยจนพี่ชายต้องเปิดเข้ามาดูดื้อๆ

     

     

                    ริท...

     

     

                    งือ...หา? พี่โตโน่ อีกครั้งที่โกหกด้วยการแสร้งทำเสียงงัวเงีย ในขณะที่มือยกขึ้นปาดน้ำตาพัลวัน เสียงเคาะประตูดังถี่ขึ้น เช่นเดียวกับเสียงเรียกที่เน้นหนักขึ้น

     

     

                    ริทเปิดประตูให้พี่หน่อย

     

     

                    หา...ไม่เอา...จะนอน งืออออ

     

     

                    กูบอกให้เปิด

     

     

                    เมื่อแน่ใจว่าน้ำตาค่อนข้างแห้งดีแล้ว เรืองฤทธิ์จึงได้แต่เดินก้าวช้าๆ แล้วเปิดประตูด้วยอาการแสร้งว่าเหนื่อยหน่าย ดวงตากลมโตที่บวมเล็กน้อยจากการร้องไห้แสร้งมองคนตรงหน้าอย่างคนงัวเงียตาใกล้ปิด สีหน้าป่วยๆแสร้งว่าง่วงนักง่วงหนาอย่างเนียนๆ และหวังว่าจะเนียนพอตบตาตี๋เล็กจากหงส์เหนือมังกรได้

     

     

                    อ้าว นี่มึงหลับแล้วจริงๆ?

     

     

                    ไม่หลับแล้วจะทำหน้างี้เหรอพี่ ฮ้าว...

     

     

                    เปล่า ก็เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มึงเดินมานอนคนเดียวได้แล้ว ไม่ต้องให้มีใครมาส่ง แถมยังล็อกประตูซะแน่น ไม่กลัวผีแล้วรึไง

     

     

              บางที อาการน้อยใจบ้าๆของเขาอาจทำให้อีกคนเอะใจ

     

     

                    หา ริทล็อกเหรอ? แกล้งเฉไฉทั้งที่รู้ดี ว่าตัวเองเป็นคนกดล็อกเองกับมือ ก็ริทง่วงเลยเข้ามานอน แต่ก็กลัวไงเลยกะเปิดประตูทิ้งไว้ แล้ว...อ้าว มันล็อกได้ยังไง

     

     

                    เอาแล้วไงมึง คงไม่พ้นเรื่องสัมภเวสีที่พี่โตโน่จะพูดออกมาสำหรับอะไรสักอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในบ้าน จะไปนอนกับกูมั้ย?

     

     

                    ถ้าเป็นนายเรืองฤทธิ์ยามปกติคงทำหน้าขวัญผวาแล้วเกาะตามติดคนตรงหน้าแน่อย่างไม่ต้องคิด แต่ในตอนนี้ นายเรืองฤทธิ์ที่รู้เรื่องราวทุกอย่างดี จำเป็นจะต้องกลัวเพราะอะไรอีก

     

     

                    ...ที่สำคัญ เขายังไม่มีหน้าจะไปอยู่ใกล้ๆใครบางคนที่แอบอิจฉาอยู่ลึกๆ

     

     

                    ฮื้อออออ พี่อย่ามาแกล้งผมน่า  แสร้งทำหน้าหงุดหงิด แฝงความกลัวเป็นนัยๆ อย่างที่เรืองฤทธิ์จอมดื้อมันจะทำ และเหมือนจะเนียนพอตัวอยู่ เพราะโตโน่ก็ยิ้มมีเลศให้อย่างทุกที ราวกับไม่รับประกันในรอยยิ้มนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

     

     

                    ไม่ไปจริง?

     

     

                    ...มะ...มันอาจจะล็อกเองก็ได้มั้ง

     

     

                    ระวังเจอ...

     

     

                    ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับพี่แล้ว!” จบการเสแสร้งเป็นน้องชายแสนงอนแล้วปิดประตูดังปัง เดาว่าตอนนี้พี่โตโน่ก็ยังยิ้มหึๆๆอยู่หน้าห้อง แล้วผ่านไปสักพักค่อยออกไปนอนห้องตัวเอง ช่วงขาสั้นเดินสั่นๆมาลงที่เตียงตัวเองช้าๆ นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

     

                    ...โกหกอีกแล้ว

     

     

                    มันจะต่างกันก็ตรงนี้ไม่ใช่หรือไง พี่โตโน่เคยโกหกซะที่ไหน เขาเป็นยังไงเขาก็เป็นยังงั้น

     

     

                    ...ก็เป็นคนดีซะขนาดนั้น

     

     

                    ความรักและชื่นชมที่เริ่มกลับเข้ามา ทำให้ใบหน้าคนโกหกบรรเทาความเครียดลงไปบ้าง

     

     

                    และหวังว่ามันจะกลบความรู้สึกไม่ดีๆจนมิด ชนิดที่ไม่ต้องโผล่ขึ้นมาอีกต่อไป

     

     

    -----------------------------------------------------

     

     

              เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนในห้างฯเอสพลานาดในเวลาสามทุ่มยี่สิบสาม ยังดังไม่ต่างกับเมื่อชั่วโมงก่อนที่เขาเพิ่งมารอใครบางคนเพื่อกลับบ้านพร้อมกันเหมือนอย่างปกติที่เคยทำ ริทก้มมองนาฬิกาข้อมือที่กันซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ไม่รู้ว่าอีกคนจะเลิกตอนไหน แต่ก็คงอีกนาน  เขากลับไปมองผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาช้าๆ ด้วยจุดยืนที่เป็นมุมอับ บวกกับทั้งหมวกและแว่นตาสีชา ทำให้พรางตัวจากผู้คนว่าเขาเป็นดาราได้ไม่น้อย ที่จริง...สำหรับคนเมืองกรุง เรื่องเห็นดาราตามห้างฯก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

     

     

                    ไฮ้...พี่ริทคะ พี่ริท เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ปรากฏร่างของสาวน้อยสองนางที่น่าจะอยู่วัยมัธยมต้นเดินมาหาเขาอย่างเคอะเขิน

     

     

                    ครับ? ทักตอบพร้อมยิ้มกว้างอย่างที่เคยทำ ได้ความว่าน้องทั้งสองคนจะมาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็น ซึ่งมีหรือที่นายริทจะปฏิเสธ เขาทำหน้ากวนตีนเวลาถ่ายรูปกับสาวน้อยอย่างเอาฮา ซึ่งทั้งสองก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะลงมือเซ็นลายเซ็นของริท เดอะสตาร์ลงบนกระดาษด้วยลายมือบรรจงและด้วยความตั้งใจ ตั้งใจจนไม่รู้ว่าใครอีกคนได้เดินเข้ามาหา ซึ่งใครอีกคนนั้นได้ส่งสัญญาณให้สองสาวน้อยที่เตรียมจะกรี๊ดต้องปิดปากเงียบอย่างแทบจะปิดไม่ทัน

     

     

                    ผมขอลายเซ็นด้วยคนได้มั้ย?

     

     

                    ทันทีที่ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย ริทก็ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความสงสัย ปรากฏร่างของชายหนุ่มสูงยาวเข่าดี ล่ำอย่างชายอกสามศอก พร้อมด้วยใบหน้าตี๋ๆหล่อเท่ เพียงปรายยิ้มก็เล่นเอาสาวๆใจละลายไปนักต่อนัก

     

     

                    อ้าว...สน หวัดดีครับ ใบหน้าหล่อยังคงยิ้ม จังหวะเดียวกับที่สาวน้อยทั้งสองยื่นมือมารับกระดาษลายเซ็นจากนักร้องที่พวกเธอกรี๊ดกร๊าดแล้ววิ่งหายไปด้วยความดีใจ (ก่อนจากไม่วายมองดาราหนุ่มอีกคนที่เข้ามาใหม่ ซึ่งสนก็ยักคิวให้อย่างอารมณ์ดี สองสาวน้อยก็กรี๊ดกร๊าดใส่กันอีก จึงจากไปจริงๆด้วยความเสียดาย)

     

     

                    มารอพี่โตโน่เหรอครับ

     

     

                    อ้อ ใช่ครับ สนล่ะ?

     

     

                    ดวงตาดำขลับจับจ้องร่างตรงหน้าแล้วยิ้มหล่อ พอดีเพิ่งเสร็จนัดน่ะ แต่อยากกินไอติมต่อ กำลังหาคนไปด้วยอยู่ ริทไปด้วยกันมั้ย

     

     

                    หือ? กินของหวานไม่กลัวพุงออกแทนซิกแพ็คเหรอ? พูดติดตลกตามด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนอย่างที่เคยทำ

     

     

                    นานๆกินทีน่า ริทไปด้วยกันป่ะ แต่แววตาของเรืองฤทธิ์ยังชั่งใจ กินใกล้ๆนี่แหละ พี่โตโน่ยังไม่มาตอนนี้หรอก หรือถ้ามาเดี๋ยวริทก็เห็น

     

     

                    เอ่อ...

     

     

                    เหอะน่า ไปด้วยกัน เลี้ยง                                                                  

     

     

    ---------------------------------------------------------

     

     

              ลงท้าย นายริทเดอะสตาร์ก็ต้องมานั่งกินไอติมกับศิลปินร่วมค่ายอย่างช่วยไม่ได้ โต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่นับว่าอยู่ในมุมดีพอควร นอกจากบรรยากาศร้านที่ตกแต่งด้วยผนังสีสวย ภาพถ่ายย้อนยุค โคมไฟแสงสีสวยงาม และเปิดเพลงฝรั่งคลอเบาๆแล้ว ทั้งยังเป็นบริเวณที่แม้จะไม่ได้อยู่ในหลืบผนัง แต่ถ้ามองเผินๆก็จะไม่มีใครสนใจ แถมบริเวณใกล้ๆก็ยังไม่มีใครนั่ง หนุ่มนักศึกษาแพทย์นั่งชะเง้อออกไปข้างนอกเผื่ออาจเห็นใครบางคนที่รออยู่ ในขณะที่รออีกฝ่ายเลือกไอศกรีมที่อยากทาน

     

     

                    ตอนดูเดลี่เห็นริทกินไอติมสตรอเบอร์รี่ ชอบรึเปล่า? คนตัวเล็กกว่าฟังแล้วย่นคิ้ว ก่อนจะนึกทวนไปว่าเขาไปกินไอติมสตรอเบอร์รี่ตอนไหน

     

     

                    อ่อ...ที่ริบลี่น่ะเหรอ อันนั้นของพี่โตโน่เค้า ริทไปชิมเฉยๆ พี่โตโน่เขาชอบสตรอเบอร์รี่คนฟังฟังยิ้มๆก่อนพยักหน้า แม้สนจะเลิกคิ้วหนาๆทำทีว่าแปลกใจ แต่สีหน้าของเจ้าตัวก็ไม่ได้หลุดอะไรนัก

     

     

                    ริทล่ะ ชอบอะไร?

     

     

                    ไอติมเหรอ? กินได้หมดอ่ะ

     

     

                    งั้นเอาเหมือนกันแล้วกันนะ? ไม่นานที่ดาราหนุ่มหน้าหล่อหุ่นล่ำ สั่งไอติมชนิดเดียวกันแก่บริกรไปสองหน่วย ดวงตาดำขลับแฝงเลศนัยจ้องมองอีกฝ่ายไม่กระพริบ จ้องจนคนโดนจ้องรู้สึกได้

     

     

                    หือ...อะไร มองอะไร สีหน้าเหวอๆทำให้สนหลุดขำ เสียงหัวเราะน้อยๆทำให้คนโดนหัวเราะรู้สึกประหม่าจนต้องสำรวจตัวเองว่ามีอะไรให้อีกฝ่ายขำนัก เฮ้ย...หัวเราะอะไร

     

     

                    ทั้งที่ริทตลก แล้วก็...ขนาดนี้นะ บางอย่างในบทสนทนาที่เปลี่ยนไปทำให้ริทที่ลุกลี้ลุกลนเมื่อครู่ต้องเงียบ ทำไมผู้ใหญ่ไม่ให้ริทมาเล่นละครกันนะ แบบนี้รุ่ง

     

     

                    ก็มีแล้วไง นัดกับนัด?

     

     

                    เสียงหัวเราะเบาๆของสน กลับทำให้คิ้วของหนุ่มตัวเล็กต้องขมวดมุ่น

     

     

                    ก็เคยดูนะ เล่นได้สดใส สมเป็นริทดี เพลงริททุกเพลงก็สดใส สมเป็นริทดี แน่ใจในบางอย่างที่แฝงนัยเอาไว้ แต่จะถามก็ไม่รู้จะถามอะไรออกไป บรรยากาศระหว่าคนสองคนยังเงียบ ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะตัดสินใจลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

     

     

                    แต่ริทน่ะ จะเป็นแบบนั้นต่อไปเหรอ

     

     

              แค่นั้น...ก็พอใจแล้วเหรอ

     

     

                    ตอนนี้น่ะ ดีที่สุดสำหรับริทแล้วเหรอ

     

     

                    นัยแฝงที่พลิกไปมากะทันหันทำให้คนฟังยิ่งขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นปม เหมือนอีกฝ่ายจะตีออกว่าเขาไม่ได้ใสซื่อจนฟังเรื่องประเภทนี้ไม่ออก บางอย่างที่ตั้งมั่นว่าจะเก็บไว้ในใจเหมือนกับจะค่อยๆถูกรื้อขึ้นมาช้าๆ ทีละนิด

     

     

                    ริท...ริท... ทั้งความน้อยใจ ทั้งความอิจฉา ทั้งคำเปรียบเทียบ ทั้งคำว่าที่สองแพ้ที่สาม บัดนี้ตีกันยุ่งในหัวไปหมด ใบหน้าติดหวานหลุบลงต่ำ ฝ่ามือกำแน่นอย่างอดกลั้น อีกฝ่ายทอดมองอย่างห่วงใย ก่อนลูบหัวเขาเบาๆ

     

     

                    ไม่เป็นไร มันจะดีขึ้น

     

     

                    .

                   

     

    .

     

     

                    ไม่เป็นไร สู้ด้วยกัน

     

     

                    .

     

     

                    .

     

     

                    ประโยคคุ้นเคยของใครบางคนดังลั่นขึ้นในใจทำเอาความรวดร้าวถาโถมหนักจนกลั่นออกมาเป็นน้ำ แต่ก่อนที่มันจะหล่นออกมาให้ใครได้เห็น ฝ่ามือของริทก็ป้ายมันออกไปเสียก่อน เขาสูดลมหายใจลึกๆ มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแสร้งสดใส

     

     

                    พูดอะไรเนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลย เขาโกหก เริ่มหิวแล้ว ไอติมมายัง และอีกครั้งที่โกหก

     

     

                    สนยิ้ม ดวงตายังมองอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ จังหวะพอดีกับที่บริกรหนุ่มนำไอศกรีมช็อกโกแลตสองถ้วยมาเสิร์ฟ ซึ่งบุรุษร่างเล็กไม่รอช้า รีบคว้าถ้วยตรงหน้ามาตักกินเอาๆ ราวกับว่าถ้ากินมันเยอะๆแล้วจะหนีอะไรบางอย่างพ้นยังไงยังงั้น

     

     

                    เปื้อนหมดแล้ว คำกล่าวจากคนหน้าหล่อ เรียกให้คนที่ขะมักเขม้นกินอยู่ต้องเงยหน้าขึ้น เตรียมจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเพื่อเอามาเช็ด แต่ไม่ทันมืออุ่นและแกร่งที่ตรงเข้ามาปาดคราบของหวานบนใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา...ผ่านผิวแก้ม...ผ่านริมฝีปากนุ่ม...อ้อยอิ่ง เนิ่นนาน

     

     

                    เอ้า เสร็จแล้ว

     

     

                    เอ่อ ป่านนี้พี่โตโน่คงมาแล้ว ไปแล้วนะ ไม่รอช้าให้อะไรๆมันมากขั้นไปกว่านี้ ริทก็เดินสะพายกระเป๋าเร็วรี่เพื่อเตรียมออกด้านนอก เดินไปได้สามสี่ก้าวแล้วก็เดินกลับมาใหม่พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่วางแหมะลงบนโต๊ะตัวเดิม

     

     

                    เงินค่าไอติม

     

     

                    ไม่เอา บอกแล้วว่าเลี้ยง ดวงตาสดใสส่อประกายหงุดหงิด กระนั้นก็ยังไม่หยิบเงินออกจากโต๊ะแล้วเดินจากไปโดยไม่หันหลัง ไม่สนอีกคนที่มองเหลียวหลัง และอมยิ้มอยู่คนเดียว

     

     

                    ริท เสียงเรียกคุ้นเคยจากใครบางคน ทำให้คนร่างเล็กที่เพิ่งเดินจ้ำอ้าวออกมาจากร้านไอศกรีมชะเง้อมองได้ไม่ยาก พี่โตโน่คนโก้ยืนหล่อรออยู่ตรงนั้น  ดูเหมือนขาสั้นๆของคนถูกเรียกจะเดินได้ไม่เร็วดังใจ ลงท้ายเลยเป็นคนพี่เสียเองที่ต้องเดินมาลากแขนน้องไปตาม

     

     

              หาตั้งนาน กลับบ้าน น้ำเสียงติดห้วนทำให้รู้สึกได้อยู่นัยๆ

     

     

                    อะไร รอผมนานขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่มีคำตอบ มีแต่คนลากที่เดินเอาๆ และคนถูกลากที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตาม

     

     

                    ขอโทษ...

     

     

                    ขอโทษทำไม ริทรอนานกว่าตั้งเยอะ เสียงของคนอายุมากกว่าชัดถ้อยชัดคำ กระนั้นคนฟังกลับไม่ค่อยเข้าใจ

     

     

                    กลับบ้าน วันนี้มีเรื่องจะเล่าให้ฟังอีกเยอะแยะเลย

     

     

    ----------------------------------------------------------

     

     

              ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่หมาดๆ จ้องมองคนตัวเล็กที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยแววตาล้านความหมาย หลังจากที่ทั้งเขาทั้งน้องกลับบ้านมาก็หาเรื่องสัพเพเหระพูดคุยกันตามปกติเหมือนดังเช่นทุกๆวัน แต่วันนี้แปลกไปจากเมื่อวานตรงที่ วันนี้ที่เขาเดินไปอาบน้ำ ริทที่รออยู่กลับหลับคาโซฟา พอเขาออกมาเห็น เลยต้องอุ้มมาส่งถึงห้อง

     

     

                    ดวงตาคมจ้องมองใบหน้ายามหลับนั่นอย่างลึกซึ้ง ฝ่ามือเข้าเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าคนหลับเบาๆไม่ให้รู้สึก

     

     

                    เกือบจะหลุดไป ว่าเห็นอะไรบ้างตอนที่เดิมตามหาไอ้เตี้ยบางตัวที่ตอนนี้หลับอยู่ จนได้ไปเห็นสีหน้าที่แปลกไปยามอยู่กับคนอื่น ท่าทางของอีกคนที่มีให้อย่างลึกซึ้ง ทั้งลูบหัว หัวเราะ พูดคุย ทั้งยังเช็ดคราบไอศกรีมให้ถึงปาก

     

     

                    โกหกว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังเยอะแยะ ทั้งที่ความจริงอยากจะฟังคำอธิบายจากปากน้องชายแทบบ้า

     

     

                    โกหกว่าไม่เห็นอะไร ทั้งที่ก็เห็นๆอยู่ทนโท่

     

     

                    จมูกโด่งไล้มาตั้งแต่ขมับของผู้หลับใหล สูดดมความหอมเรื่อยลงมาถึงซอกคอ

     

     

                    โกหกว่าไม่ได้สนใจใคร โกหกว่าคิดกับอีกฝ่ายแค่น้องชาย

     

     

                    ริมฝีปากเม้มลงที่ซอกคอขาว ขบกัด เน้นหนักจนเกิดรอยแดง ทั้งยังดูดเม้ม อ้อยอิ่ง จนแดงมากขึ้นๆ

     

     

                    รอยแดงที่อยากแสดงความเป็นเจ้าของให้คนอื่นได้เห็น ว่าใครๆก็ห้ามยุ่ง

     

     

     

     

     

                    ...เขาโกหก

     

                   
















    แอร๊ยยยยยยยยยยย หวัดดีค่า ไม่เจอกันนานน้อ นานจนเราจำพาสเวิร์ดมายไอดีไม่ได้เลย (แต่เปลี่ยนแล้วนะ ไม่ต้องห่วง)
    เรื่องโกหกนี่แต่งตั้งแต่ช่วงงานคอนบอยสตอรี่ กับช่วงที่ประกาศรับสมัครเดอะดาว 7 ใหม่ๆ นอยด์เรื่องโปสเตอร์มาก แล้วก็นอยด์ที่กันกับเฮียได้ไปแต่น้องไม่ได้ไปมาก (แต่สุดท้ายน้องก็ได้ไปนะงานคอนบอยเนี่ย) ใครที่เคยผ่านช่วงนั้นมาแล้วอาจจะยังพอจำความรู้สึกได้มั้งเนอะ (ฮา) แต่อย่างว่าแหละ เอามาให้อ่านช่วงที่เหตุการณ์มันผ่านไปนานแล้ว ไอ้ครั้นจะอยากให้คนอ่านแอบดราม่าด้วยก็คงไม่เท่าไหร่(ฮ่ะๆๆ)

    สุดท้ายนี้ ไรท์เตอร์คงจะร้างไปเป็นพักๆนะคะ(โอ เอนท์ เอนท์ เอนท์) วันดีคืนดีก็มาเจอกันอีกนะเออ ฮริ้ววววว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×