คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : No.16 - โกหก
จะเป็นแบบนี้ไปได้ตลอดจริงๆเหรอ?
-------------------------------------------------------
“ใช่...แล้วก็นะ” โตโน่ว่าค้างไว้พร้อมรอยยิ้มแล้วกระดกแก้วน้ำดื่มเข้าปากหนึ่งอึก “ครูแหม่มก็มาเห็นแล้วตกใจใหญ่เลย” เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นจากคนทั้งสองเมื่อเรื่องราวจากปากคนอายุมากกว่าจบลงไป ดวงตาหยีของชายหนุ่มจ้องมองคนข้างหน้าด้วยความเอ็นดู เวลาริทขำมักจะปล่อยออกมาหมดไม่มีกั๊กไว้เสมอ ปากนั้นอ้าออกกว้างจนแทบจะงับหัวคนได้ เสียงก็ดังจนแทบจะทะลุไปถึงห้องข้างๆ แถมยังขำจนไหล่น้อยๆสั่นไหว
คนขำหนักใช้เวลาสักพักกว่าจะหยุดขำได้ (ถึงจะบอกว่าหยุดขำ แต่พูดทีก็มีสะดุดหัวเราะเบาๆอยู่เป็นระยะ) เรืองฤทธิ์สูดหายใจแล้วนับหนึ่งถึงสิบช้าๆ ก่อนจะปั้นหน้าเคร่งขึ้นมาหน่อย แม้ว่าเส้นขำค้างจะยังกระตุกๆอยู่ภายในปากให้ยิ้มออกมาก็ตาม
“โหยพี่ แผนนี้เด็ดจริง”
อวยแถมท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มบ้าง ไม่แปลก เพราะคงคอแห้งมาจากหัวเราะเมื่อครู่ โตโน่รอให้อีกฝ่ายดื่มเสร็จแล้ววางแก้วน้ำลงกับโต๊ะก่อน ก่อนที่จะเริ่มพูดเรื่องถัดๆไปที่กะไว้ว่าจะเล่าให้ไอ้เตี้ยสักคนฟังในคืนนี้
เป็นเรื่องดีสำหรับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างนาย
นอกจากนั้น...ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยนี่ เขายังมีกำลังใจสำคัญเป็นเจ้าน้องชายอารมณ์ดีที่รออยู่ที่บ้าน (ห้องชุดห้องหนึ่งในคอนโดมิเนียมในเมืองหลวง)
ทุกครั้งที่กลับมาดึกๆ เขามักจะเจอริทรออยู่ เสร็จจากนั้นแทนที่จะพากันนอน สองพี่น้องต่างสายเลือดกลับชวนกันคุยถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แชร์ประสบการณ์โน่นนี่นั่นที่ได้พบเจอ ยิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ให้กำลังใจกัน โดยเฉพาะรอยยิ้มของริทนั้น ไม่ปฏิเสธเลยว่าทำให้ใครก็ตามอารมณ์ดีขึ้นได้เสมอ ปากห้อยๆสีแดงธรรมชาติที่แย้มออกจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ส่งความสดใสและอบอุ่นจนจากที่เหนื่อยๆก็เหมือนจะหายไปได้ในพริบตา ประกอบกับดวงตากลมๆสีดำขลับที่ทอประกายแวววาว แพขนตาหนา และสีหน้าตลกๆแล้ว เขามีความสุขจริงๆเวลาที่อยู่กับน้องชายคนนี้
เสียงแก้วน้ำวางกระทบลงกับโต๊ะ เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายพร้อมจะฟังเรื่องราวต่อไป
“เอ้อ แล้วก็...เดี๋ยวกูจะมีละคร” ปฏิกิริยาหลังประโยคนั้นคือคิ้วที่เลิกขึ้นบนใบหน้าที่เป็นเครื่องหมายคำถาม “เห็นว่าเป็นละครย้อนยุคน่ะ ชื่อเรื่องว่าเรือนแพร” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย(หลังจากที่ตื่นเต้นเอาการทันทีที่รู้ข่าว) ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสดใสตรงหน้าไม่ห่าง
“เห... งั้นนี่ถ้าพี่ต้องไปถ่ายที่ไหนไกลๆจนกลับบ้านไม่ได้ ผมไม่เหงาตายเลยเหรอ?”
“มึงอย่ามาเฟค หึๆ” นิ้วยาวๆเข้าดีดหน้าผากเหม่งเบาๆ “เวลามึงบ่นว่าเหงาๆ ก็มีคนมาอยู่ด้วยทุกที” เสียงทุ้มเอ่ยปนขำ เขากำลังพูดถึงเมื่อตอนริทไม่มีใครอยู่ด้วย อย่างตอนรอเขากลับมาบ้าน มือก็ส่งพินบีบีมาหาบอกว่าให้รีบกลับมา เหงา ผมอยู่บ้านคนเดียว ทั้งที่เอาพี่พีอาร์มาอยู่เฝ้าในห้องด้วยเพราะกลัวผี หรือจะให้ขยายความไปอีกหน่อย ถึงจะไม่ได้อยู่กับเขาตลอดก็ตาม แต่ริทก็ไม่เคยอยู่ที่ไหนคนเดียวเลยสักครั้ง เว้นเสียแต่บนที่นอนในห้องแยก แล้วปากจะบอกว่าเหงาก็ตอแหลไปหน่อย
“โหย มันแทนกันไม่ได้น่า” ไอ้แป้นแล้นรีบแก้ตัว “ไม่มีใครแทนพี่ได้หรอก พี่ชายที่รักของริท”
ครั้งนี้ไม่เพียงนิ้วที่ดีดเข้าที่หน้าผาก แต่ฝ่ามืออรหันต์กลับตบเข้ากลางกบาลจนคุ้มความรัก คนตัวเล็กกว่าลูบหัวป้อยๆพลางส่งสายตาไม่พอใจน้อยๆไปพร้อมกับปากยู่ๆ โตโน่ยิ้มแก้มปริ ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากการขำในการเฟคไม่เลิก หรือดีใจที่น้องชายบอกว่ารักกันแน่
“จริงใจหน่อยริท หึๆๆ”
เสียงหัวเราะเบาๆยังคลออยู่ระหว่างคนทั้งสอง โตโน่เลือกที่จะยกน้ำขึ้นดื่มอีกอึก โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของอีกคนที่...เปลี่ยนไป...เพียงครู่เดียว
“แต่เก่งจังนะ พี่ชายของริทเนี่ย” ดวงตาตี่อดเหลือบมองอีกฝ่ายไม่ได้ หูก็ฟังว่ามันจะพล่ามอะไรต่อไป “ทั้งเพลง ทั้งละครเวที ทั้งพรีเซนเตอร์ คราวนี้ก็ละครทีวีอีก ดังใหญ่แล้วพี่ชายริท”
มือที่เคยจับแก้วน้ำ บัดนี้เปลี่ยนมาจับหัวอีกฝ่ายโยกขึ้นโยกลงแรงๆแล้วค่อยๆผ่อนจนเบาลงเรื่อยๆ
“เออ อวยเข้าไปริท อวยเข้าไป” มืออุ่นๆของน้องชายตะปบเข้าที่มือเขาหวังจะให้ฝ่ามือที่โยกหัวคลายออก แต่นายภาคินคนโก้ยังไม่คิดจะหยุด “มึงเหอะ รางวัลโน้น รางวัลนี้ก็ได้ ดังกว่ากูอีกมั้ง”
“...มือเหม็นอ่ะ พี่โตโน่ซกมก” เรื่องคุยที่เปลี่ยนไปกะทันหันเล่นเอาคนเป็นพี่แทบผงะ “ไปอาบน้ำเลยไป เหม็นๆ” ดวงตาหยีจ้องมองไปที่น้องชายที่ยังพยายามแกะมือเขาออกอย่างจี๊ดๆ ริมฝีปากยังเม้มยิ้ม ก่อนที่จะตบหัวไอ้เตี้ยเข้าสักทีแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำตามคำสั่ง ไม่ลืมจะกล่าวอะไรทิ้งท้าย
“รออาบน้ำเสร็จก่อนนะเตี้ย เดี๋ยวเจอๆ”
ชั่วขณะที่รู้ว่าอีกคนออกจากห้องนั่งเล่นไป ใบหน้าสดใสของเรืองฤทธิ์ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นคนละด้าน เป็นใบหน้าที่แฝงทั้งความเครียด ความกังวล ความคิดสับสนตีกันยุ่งในหัวไปหมด แต่พยายามแทบตายที่จะยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็นจนถึงเมื่อครู่ เพราะรู้ดีว่าถ้าเกิดแสดงอะไรผิดปกติขึ้นมา พี่ชายคนดีจะต้องถาม และเขาต้องบอกออกไปหมด ทั้งที่ใจอยากจะเก็บไว้แค่กับตัวก็ตามที
เขากับพี่โตโน่ ออกมาจากบ้านเดอะสตาร์ด้วยกัน ด้วยอันดับที่ห่างเพียงหนึ่ง เขาได้ที่สอง พี่โตโน่ได้ที่สาม แต่ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ได้ตัดสินแล้วว่าไม่ใช่
เขาที่ได้ที่สอง มีแค่งานเพลงที่อันดับก็ไปไม่ได้สูงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเพลงของคนอื่นๆในชาร์ตเดียวกัน ขณะที่เพลงของกัน เซน แล้วก็พี่โตโน่ติดท็อปเทน แต่เขายังไม่เคยติดสูงกว่าท็อปสิบห้า ถ่ายนิตยสารก็มี แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนมีคิวไปถ่ายเดี่ยวเหมือนพี่ คิวถ่ายนัดกับนัดก็มี แต่พี่โตโน่ก็ได้คิวนี้เหมือนกัน แล้วพี่ชายคนเก่งคนนี้ก็ยิ่งทิ้งห่างออกไปอีก ด้วยละครเวทีหงส์เหนือมังกร งานคอนเสิร์ตบอยสตอรี่ที่พี่เขากับกันได้ไปแต่เขาไม่ได้ ทั้งโปสเตอร์เดอะสตาร์เจ็ดที่รูปของพี่โตโน่เด่นหราอยู่ข้างบน แต่รูปของเขากลับมีไว้ประดับประดาข้างล่างนิดหน่อย แล้วคราวนี้ยังมีละคร... ถึงเขาจะได้รางวัลดาวรุ่งจากนิตยสารไหนมา แต่ก็รู้ดีว่าแฟนคลับต้องทุ่มเงินไปตั้งเท่าไหร่สำหรับตำแหน่งที่เขาได้ เงินของแฟนคลับทั้งนั้น
...ทุกอย่างได้พิสูจน์ให้เห็น ว่าอันดับนั้นไม่น่าจะใช่ของเขา แต่ควรเป็นของใครอีกคนที่ดีกว่า
ความน้อยเนื้อต่ำใจได้ถาโถมเข้าใส่จิตใจอันอ่อนไหวจนอยากจะร้องไห้ ริทเงยหน้าขึ้นหาเพดาน หวังให้น้ำตาที่พาลจะไหลอย่างคนอ่อนแอกลับเข้าไปเสียให้หมด ความรู้สึกด้านลบพาให้ใจขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆนานาให้ตัวเองดำดิ่งไปกับความมืดมิดยิ่งกว่าเดิม
บอกตัวเองอยู่หลายครั้งว่ามันเป็นโอกาสของพี่เขา และพี่เขาก็ทำได้ดี ควรจะได้อะไรดีๆตอบแทน
บอกกับตัวเองด้วยเหมือนกันว่า ตัวเองยังพยายามไม่พอ ต้องพยายามมากขึ้น และมากขึ้น จนกว่าโอกาสนั้นจะมาบ้าง
บอก...ว่าอย่าเปรียบเทียบ เพราะไม่มีส่วนไหนของตัวเองที่จะเทียบกับพี่เขาได้เลยสักอย่างเดียว
บอก...ว่าอย่าอิจฉา...เพราะ...
ชั่วขณะที่หยดน้ำตาไหลลงฝ่ามือ จนเจ้าตัวต้องรีบเช็ดและเกร็งแน่นไม่ให้มันไหลออกมาอีก
ที่ใครๆว่านายริท เดอะสตาร์อารมณ์ดีนักหนา เป็นคนดี เป็นคนเก่ง ไม่ใช่เลยเสียทีเดียว
กี่ครั้งที่จะกลั่นออกมาแต่ละมุก ทั้งที่รู้ว่าเล่นยังไงก็แป้ก
กี่ครั้งต้องแกล้งทำเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทั้งที่เรื่องชั่วๆทั้งหลายทั้งปวงก็รู้อยู่เต็มอก
กี่ครั้งที่ต้องทำตัวเป็นผู้ชายน่ารัก ทั้งที่รู้ว่าปัญญาอ่อน
กี่ครั้งต้องหยอดลูกอ้อน ต้องทำเป็นอ่อนไหว ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
กี่ครั้งที่ต้องเฟคให้ใครๆรู้ว่า เขาคือนาย
ริท...โกหก...
อีกครั้งที่ความรู้สึกผิดกระหน่ำซัดจนชายหนุ่มวัยยี่สิบเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาอยากจะย้อนจากวัยบรรลุนิติภาวะ กลับสู่วัยเด็กที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรมากมายให้หนักหัว หยดน้ำตาที่กลั้นไว้พรั่งพรู จนต้องรีบป่ายเช็ดทั้งหมดให้หายไปก่อนที่ใครจะมาเห็น...โดยเฉพาะใครบางคนที่อาบน้ำอยู่ขณะนี้
ทว่ายิ่งกลั้น กลับยิ่งสะท้อนให้ความผิดนั้นชัดเจน จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ริทเลือกที่จะเดินออกจากห้องนั่งเล่นกลับเข้าห้องตัวเองให้ไวที่สุด รีบปิดประตูแล้วล็อกให้แน่น ก่อนโถมตัวเองเข้าใส่เตียงนุ่ม ร้องไห้จะเป็นจะตายทั้งที่กัดฟันกลั้นเสียงไม่ให้ออกมา สมองนึกทบทวนแต่เรื่องเก่าๆซ้ำๆ โดยเฉพาะเรื่องประเภทที่ว่าพี่โตโน่มีดีกว่าเขาตรงไหน พี่โตโน่ได้ดีกว่าเขายังไง เขามีอะไรดีกว่าพี่โตโน่บ้าง และความคิดที่ว่า...ทำไมถึงเลวจนมาคิดเรื่องแบบนี้กับคนเป็นพี่ที่หวังดีกับเขามาตลอดได้
...เหงา
ชั่วขณะ... ที่ภาพของพี่ชายที่กอดปลอบเขาและไม่ปล่อยไปไหนสมัยยังอยู่บ้านเดอะสตาร์ด้วยกันปรากฏแจ่มชัดในห้วงความคิด
ริทกอดตัวเองแน่น นอกจากหนาวใจ ยังหนาวกายด้วยอากาศเย็นเพราะลมมรสุมที่พัดผ่าน สะอื้นน้อยลงแล้ว ในขณะที่ดวงตากลับทอดมองออกไปไกล
บางทีนอกจากความอิจฉา เขาคงจะกลัว
กลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งจะไม่มีที่ให้โลดแล่นในวงการนี้ กลัวว่าสักวันหนึ่งทั้งแฟนคลับ ทั้งใครๆที่คอยค้ำชูจะตีจาก กลัวว่าต่อให้ทำอะไรก็จะไม่มีใครสนใจ กลัวว่าความรักที่ได้มาในความฝัน พอตื่นขึ้นมาก็จะไม่มีอยู่จริง เหมือนเป็นแค่นิยาย
“ริทๆ” เสียงอันคุ้นเคยเล่นเอาคนที่นอนร้องไห้บนเตียงสะดุ้ง โตโน่ที่กลับออกมาจากห้องน้ำไม่เห็นน้องชายนั่งรออยู่ที่เดิมมาตามถึงหน้าห้อง ออกจะแปลกใจอยู่หน่อยที่ริทเดินไปนอนไม่บอกไม่กล่าว ทั้งที่กว่าจะนอนได้ต้องลากเขามาด้วยเพราะกลัวผีอยู่ทุกคืน ชายหนุ่มเอามือตบประตูแล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ
สมองของหนุ่มนักศึกษาแพทย์ออกจะสับสนอยู่เล็กน้อยว่าจะทำยังไงดีกับเหตุการณ์ตรงหน้า ครั้นจะออกไปเปิดรับดื้อๆ อีกฝ่ายก็ต้องเห็นคราบน้ำตาของเขาจนพาลทำให้ต้องตอบคำถามอะไรที่ไม่อยากตอบ ครั้นจะเงียบไปไม่เปิดก็กลัวจะทำให้สงสัยจนพี่ชายต้องเปิดเข้ามาดูดื้อๆ
“ริท...”
“งือ...หา? พี่โตโน่” อีกครั้งที่โกหกด้วยการแสร้งทำเสียงงัวเงีย ในขณะที่มือยกขึ้นปาดน้ำตาพัลวัน เสียงเคาะประตูดังถี่ขึ้น เช่นเดียวกับเสียงเรียกที่เน้นหนักขึ้น
“ริทเปิดประตูให้พี่หน่อย”
“หา...ไม่เอา...จะนอน งืออออ”
“กูบอกให้เปิด”
เมื่อแน่ใจว่าน้ำตาค่อนข้างแห้งดีแล้ว เรืองฤทธิ์จึงได้แต่เดินก้าวช้าๆ แล้วเปิดประตูด้วยอาการแสร้งว่าเหนื่อยหน่าย ดวงตากลมโตที่บวมเล็กน้อยจากการร้องไห้แสร้งมองคนตรงหน้าอย่างคนงัวเงียตาใกล้ปิด สีหน้าป่วยๆแสร้งว่าง่วงนักง่วงหนาอย่างเนียนๆ และหวังว่าจะเนียนพอตบตาตี๋เล็กจากหงส์เหนือมังกรได้
“อ้าว นี่มึงหลับแล้วจริงๆ?”
“ไม่หลับแล้วจะทำหน้างี้เหรอพี่ ฮ้าว...”
“เปล่า ก็เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มึงเดินมานอนคนเดียวได้แล้ว ไม่ต้องให้มีใครมาส่ง แถมยังล็อกประตูซะแน่น ไม่กลัวผีแล้วรึไง”
บางที อาการน้อยใจบ้าๆของเขาอาจทำให้อีกคนเอะใจ
“หา ริทล็อกเหรอ?” แกล้งเฉไฉทั้งที่รู้ดี ว่าตัวเองเป็นคนกดล็อกเองกับมือ “ก็ริทง่วงเลยเข้ามานอน แต่ก็กลัวไงเลยกะเปิดประตูทิ้งไว้ แล้ว...อ้าว มันล็อกได้ยังไง”
“เอาแล้วไงมึง” คงไม่พ้นเรื่องสัมภเวสีที่พี่โตโน่จะพูดออกมาสำหรับอะไรสักอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในบ้าน “จะไปนอนกับกูมั้ย?”
ถ้าเป็นนายเรืองฤทธิ์ยามปกติคงทำหน้าขวัญผวาแล้วเกาะตามติดคนตรงหน้าแน่อย่างไม่ต้องคิด แต่ในตอนนี้ นายเรืองฤทธิ์ที่รู้เรื่องราวทุกอย่างดี จำเป็นจะต้องกลัวเพราะอะไรอีก
...ที่สำคัญ เขายังไม่มีหน้าจะไปอยู่ใกล้ๆใครบางคนที่แอบอิจฉาอยู่ลึกๆ
“ฮื้อออออ พี่อย่ามาแกล้งผมน่า” แสร้งทำหน้าหงุดหงิด แฝงความกลัวเป็นนัยๆ อย่างที่เรืองฤทธิ์จอมดื้อมันจะทำ และเหมือนจะเนียนพอตัวอยู่ เพราะโตโน่ก็ยิ้มมีเลศให้อย่างทุกที ราวกับไม่รับประกันในรอยยิ้มนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“ไม่ไปจริง?”
“...มะ...มันอาจจะล็อกเองก็ได้มั้ง”
“ระวังเจอ...”
“ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับพี่แล้ว!” จบการเสแสร้งเป็นน้องชายแสนงอนแล้วปิดประตูดังปัง เดาว่าตอนนี้พี่โตโน่ก็ยังยิ้มหึๆๆอยู่หน้าห้อง แล้วผ่านไปสักพักค่อยออกไปนอนห้องตัวเอง ช่วงขาสั้นเดินสั่นๆมาลงที่เตียงตัวเองช้าๆ นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
...โกหกอีกแล้ว
มันจะต่างกันก็ตรงนี้ไม่ใช่หรือไง พี่โตโน่เคยโกหกซะที่ไหน เขาเป็นยังไงเขาก็เป็นยังงั้น
...ก็เป็นคนดีซะขนาดนั้น
ความรักและชื่นชมที่เริ่มกลับเข้ามา ทำให้ใบหน้าคนโกหกบรรเทาความเครียดลงไปบ้าง
และหวังว่ามันจะกลบความรู้สึกไม่ดีๆจนมิด ชนิดที่ไม่ต้องโผล่ขึ้นมาอีกต่อไป
-----------------------------------------------------
เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนในห้างฯเอสพลานาดในเวลาสามทุ่มยี่สิบสาม ยังดังไม่ต่างกับเมื่อชั่วโมงก่อนที่เขาเพิ่งมารอใครบางคนเพื่อกลับบ้านพร้อมกันเหมือนอย่างปกติที่เคยทำ ริทก้มมองนาฬิกาข้อมือที่กันซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ไม่รู้ว่าอีกคนจะเลิกตอนไหน แต่ก็คงอีกนาน เขากลับไปมองผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาช้าๆ ด้วยจุดยืนที่เป็นมุมอับ บวกกับทั้งหมวกและแว่นตาสีชา ทำให้พรางตัวจากผู้คนว่าเขาเป็นดาราได้ไม่น้อย ที่จริง...สำหรับคนเมืองกรุง เรื่องเห็นดาราตามห้างฯก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
“ไฮ้...พี่ริทคะ พี่ริท” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ปรากฏร่างของสาวน้อยสองนางที่น่าจะอยู่วัยมัธยมต้นเดินมาหาเขาอย่างเคอะเขิน
“ครับ?” ทักตอบพร้อมยิ้มกว้างอย่างที่เคยทำ ได้ความว่าน้องทั้งสองคนจะมาขอถ่ายรูปและขอลายเซ็น ซึ่งมีหรือที่นายริทจะปฏิเสธ เขาทำหน้ากวนตีนเวลาถ่ายรูปกับสาวน้อยอย่างเอาฮา ซึ่งทั้งสองก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะลงมือเซ็นลายเซ็นของริท เดอะสตาร์ลงบนกระดาษด้วยลายมือบรรจงและด้วยความตั้งใจ ตั้งใจจนไม่รู้ว่าใครอีกคนได้เดินเข้ามาหา ซึ่งใครอีกคนนั้นได้ส่งสัญญาณให้สองสาวน้อยที่เตรียมจะกรี๊ดต้องปิดปากเงียบอย่างแทบจะปิดไม่ทัน
“ผมขอลายเซ็นด้วยคนได้มั้ย?”
ทันทีที่ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย ริทก็ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงนั้นด้วยความสงสัย ปรากฏร่างของชายหนุ่มสูงยาวเข่าดี ล่ำอย่างชายอกสามศอก พร้อมด้วยใบหน้าตี๋ๆหล่อเท่ เพียงปรายยิ้มก็เล่นเอาสาวๆใจละลายไปนักต่อนัก
“อ้าว...สน หวัดดีครับ” ใบหน้าหล่อยังคงยิ้ม จังหวะเดียวกับที่สาวน้อยทั้งสองยื่นมือมารับกระดาษลายเซ็นจากนักร้องที่พวกเธอกรี๊ดกร๊าดแล้ววิ่งหายไปด้วยความดีใจ (ก่อนจากไม่วายมองดาราหนุ่มอีกคนที่เข้ามาใหม่ ซึ่งสนก็ยักคิวให้อย่างอารมณ์ดี สองสาวน้อยก็กรี๊ดกร๊าดใส่กันอีก จึงจากไปจริงๆด้วยความเสียดาย)
“มารอพี่โตโน่เหรอครับ”
“อ้อ ใช่ครับ สนล่ะ?”
ดวงตาดำขลับจับจ้องร่างตรงหน้าแล้วยิ้มหล่อ “พอดีเพิ่งเสร็จนัดน่ะ แต่อยากกินไอติมต่อ กำลังหาคนไปด้วยอยู่ ริทไปด้วยกันมั้ย”
“หือ? กินของหวานไม่กลัวพุงออกแทนซิกแพ็คเหรอ?” พูดติดตลกตามด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนอย่างที่เคยทำ
“นานๆกินทีน่า ริทไปด้วยกันป่ะ” แต่แววตาของเรืองฤทธิ์ยังชั่งใจ “กินใกล้ๆนี่แหละ พี่โตโน่ยังไม่มาตอนนี้หรอก หรือถ้ามาเดี๋ยวริทก็เห็น”
“เอ่อ...”
“เหอะน่า ไปด้วยกัน เลี้ยง”
---------------------------------------------------------
ลงท้าย นายริทเดอะสตาร์ก็ต้องมานั่งกินไอติมกับศิลปินร่วมค่ายอย่างช่วยไม่ได้ โต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่นับว่าอยู่ในมุมดีพอควร นอกจากบรรยากาศร้านที่ตกแต่งด้วยผนังสีสวย ภาพถ่ายย้อนยุค โคมไฟแสงสีสวยงาม และเปิดเพลงฝรั่งคลอเบาๆแล้ว ทั้งยังเป็นบริเวณที่แม้จะไม่ได้อยู่ในหลืบผนัง แต่ถ้ามองเผินๆก็จะไม่มีใครสนใจ แถมบริเวณใกล้ๆก็ยังไม่มีใครนั่ง หนุ่มนักศึกษาแพทย์นั่งชะเง้อออกไปข้างนอกเผื่ออาจเห็นใครบางคนที่รออยู่ ในขณะที่รออีกฝ่ายเลือกไอศกรีมที่อยากทาน
“ตอนดูเดลี่เห็นริทกินไอติมสตรอเบอร์รี่ ชอบรึเปล่า?” คนตัวเล็กกว่าฟังแล้วย่นคิ้ว ก่อนจะนึกทวนไปว่าเขาไปกินไอติมสตรอเบอร์รี่ตอนไหน
“อ่อ...ที่ริบลี่น่ะเหรอ อันนั้นของพี่โตโน่เค้า ริทไปชิมเฉยๆ พี่โตโน่เขาชอบสตรอเบอร์รี่” คนฟังฟังยิ้มๆก่อนพยักหน้า แม้สนจะเลิกคิ้วหนาๆทำทีว่าแปลกใจ แต่สีหน้าของเจ้าตัวก็ไม่ได้หลุดอะไรนัก
“ริทล่ะ ชอบอะไร?”
“ไอติมเหรอ? กินได้หมดอ่ะ”
“งั้นเอาเหมือนกันแล้วกันนะ?” ไม่นานที่ดาราหนุ่มหน้าหล่อหุ่นล่ำ สั่งไอติมชนิดเดียวกันแก่บริกรไปสองหน่วย ดวงตาดำขลับแฝงเลศนัยจ้องมองอีกฝ่ายไม่กระพริบ จ้องจนคนโดนจ้องรู้สึกได้
“หือ...อะไร มองอะไร” สีหน้าเหวอๆทำให้สนหลุดขำ เสียงหัวเราะน้อยๆทำให้คนโดนหัวเราะรู้สึกประหม่าจนต้องสำรวจตัวเองว่ามีอะไรให้อีกฝ่ายขำนัก “เฮ้ย...หัวเราะอะไร”
“ทั้งที่ริทตลก แล้วก็...ขนาดนี้นะ” บางอย่างในบทสนทนาที่เปลี่ยนไปทำให้ริทที่ลุกลี้ลุกลนเมื่อครู่ต้องเงียบ “ทำไมผู้ใหญ่ไม่ให้ริทมาเล่นละครกันนะ แบบนี้รุ่ง”
“ก็มีแล้วไง นัดกับนัด?”
เสียงหัวเราะเบาๆของสน กลับทำให้คิ้วของหนุ่มตัวเล็กต้องขมวดมุ่น
“ก็เคยดูนะ เล่นได้สดใส สมเป็นริทดี เพลงริททุกเพลงก็สดใส สมเป็นริทดี” แน่ใจในบางอย่างที่แฝงนัยเอาไว้ แต่จะถามก็ไม่รู้จะถามอะไรออกไป บรรยากาศระหว่าคนสองคนยังเงียบ ก่อนที่คนตัวโตกว่าจะตัดสินใจลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“แต่ริทน่ะ จะเป็นแบบนั้นต่อไปเหรอ”
“แค่นั้น...ก็พอใจแล้วเหรอ”
“ตอนนี้น่ะ ดีที่สุดสำหรับริทแล้วเหรอ”
นัยแฝงที่พลิกไปมากะทันหันทำให้คนฟังยิ่งขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นปม เหมือนอีกฝ่ายจะตีออกว่าเขาไม่ได้ใสซื่อจนฟังเรื่องประเภทนี้ไม่ออก บางอย่างที่ตั้งมั่นว่าจะเก็บไว้ในใจเหมือนกับจะค่อยๆถูกรื้อขึ้นมาช้าๆ ทีละนิด
“ริท...ริท...” ทั้งความน้อยใจ ทั้งความอิจฉา ทั้งคำเปรียบเทียบ ทั้งคำว่าที่สองแพ้ที่สาม บัดนี้ตีกันยุ่งในหัวไปหมด ใบหน้าติดหวานหลุบลงต่ำ ฝ่ามือกำแน่นอย่างอดกลั้น อีกฝ่ายทอดมองอย่างห่วงใย ก่อนลูบหัวเขาเบาๆ
“ไม่เป็นไร มันจะดีขึ้น”
.
.
“ไม่เป็นไร สู้ด้วยกัน”
.
.
ประโยคคุ้นเคยของใครบางคนดังลั่นขึ้นในใจทำเอาความรวดร้าวถาโถมหนักจนกลั่นออกมาเป็นน้ำ แต่ก่อนที่มันจะหล่นออกมาให้ใครได้เห็น ฝ่ามือของริทก็ป้ายมันออกไปเสียก่อน เขาสูดลมหายใจลึกๆ มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแสร้งสดใส
“พูดอะไรเนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลย” เขาโกหก “เริ่มหิวแล้ว ไอติมมายัง” และอีกครั้งที่โกหก
สนยิ้ม ดวงตายังมองอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ จังหวะพอดีกับที่บริกรหนุ่มนำไอศกรีมช็อกโกแลตสองถ้วยมาเสิร์ฟ ซึ่งบุรุษร่างเล็กไม่รอช้า รีบคว้าถ้วยตรงหน้ามาตักกินเอาๆ ราวกับว่าถ้ากินมันเยอะๆแล้วจะหนีอะไรบางอย่างพ้นยังไงยังงั้น
“เปื้อนหมดแล้ว” คำกล่าวจากคนหน้าหล่อ เรียกให้คนที่ขะมักเขม้นกินอยู่ต้องเงยหน้าขึ้น เตรียมจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเพื่อเอามาเช็ด แต่ไม่ทันมืออุ่นและแกร่งที่ตรงเข้ามาปาดคราบของหวานบนใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา...ผ่านผิวแก้ม...ผ่านริมฝีปากนุ่ม...อ้อยอิ่ง เนิ่นนาน
“เอ้า เสร็จแล้ว”
“เอ่อ ป่านนี้พี่โตโน่คงมาแล้ว ไปแล้วนะ” ไม่รอช้าให้อะไรๆมันมากขั้นไปกว่านี้ ริทก็เดินสะพายกระเป๋าเร็วรี่เพื่อเตรียมออกด้านนอก เดินไปได้สามสี่ก้าวแล้วก็เดินกลับมาใหม่พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่วางแหมะลงบนโต๊ะตัวเดิม
“เงินค่าไอติม”
“ไม่เอา บอกแล้วว่าเลี้ยง” ดวงตาสดใสส่อประกายหงุดหงิด กระนั้นก็ยังไม่หยิบเงินออกจากโต๊ะแล้วเดินจากไปโดยไม่หันหลัง ไม่สนอีกคนที่มองเหลียวหลัง และอมยิ้มอยู่คนเดียว
“ริท” เสียงเรียกคุ้นเคยจากใครบางคน ทำให้คนร่างเล็กที่เพิ่งเดินจ้ำอ้าวออกมาจากร้านไอศกรีมชะเง้อมองได้ไม่ยาก พี่โตโน่คนโก้ยืนหล่อรออยู่ตรงนั้น ดูเหมือนขาสั้นๆของคนถูกเรียกจะเดินได้ไม่เร็วดังใจ ลงท้ายเลยเป็นคนพี่เสียเองที่ต้องเดินมาลากแขนน้องไปตาม
“หาตั้งนาน กลับบ้าน” น้ำเสียงติดห้วนทำให้รู้สึกได้อยู่นัยๆ
“อะไร รอผมนานขนาดนั้นเลยเหรอ” ไม่มีคำตอบ มีแต่คนลากที่เดินเอาๆ และคนถูกลากที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตาม
“ขอโทษ...”
“ขอโทษทำไม ริทรอนานกว่าตั้งเยอะ” เสียงของคนอายุมากกว่าชัดถ้อยชัดคำ กระนั้นคนฟังกลับไม่ค่อยเข้าใจ
“กลับบ้าน วันนี้มีเรื่องจะเล่าให้ฟังอีกเยอะแยะเลย”
----------------------------------------------------------
ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่หมาดๆ จ้องมองคนตัวเล็กที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยแววตาล้านความหมาย หลังจากที่ทั้งเขาทั้งน้องกลับบ้านมาก็หาเรื่องสัพเพเหระพูดคุยกันตามปกติเหมือนดังเช่นทุกๆวัน แต่วันนี้แปลกไปจากเมื่อวานตรงที่ วันนี้ที่เขาเดินไปอาบน้ำ ริทที่รออยู่กลับหลับคาโซฟา พอเขาออกมาเห็น เลยต้องอุ้มมาส่งถึงห้อง
ดวงตาคมจ้องมองใบหน้ายามหลับนั่นอย่างลึกซึ้ง ฝ่ามือเข้าเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าคนหลับเบาๆไม่ให้รู้สึก
เกือบจะหลุดไป ว่าเห็นอะไรบ้างตอนที่เดิมตามหาไอ้เตี้ยบางตัวที่ตอนนี้หลับอยู่ จนได้ไปเห็นสีหน้าที่แปลกไปยามอยู่กับคนอื่น ท่าทางของอีกคนที่มีให้อย่างลึกซึ้ง ทั้งลูบหัว หัวเราะ พูดคุย ทั้งยังเช็ดคราบไอศกรีมให้ถึงปาก
โกหกว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังเยอะแยะ ทั้งที่ความจริงอยากจะฟังคำอธิบายจากปากน้องชายแทบบ้า
โกหกว่าไม่เห็นอะไร ทั้งที่ก็เห็นๆอยู่ทนโท่
จมูกโด่งไล้มาตั้งแต่ขมับของผู้หลับใหล สูดดมความหอมเรื่อยลงมาถึงซอกคอ
โกหกว่าไม่ได้สนใจใคร โกหกว่าคิดกับอีกฝ่ายแค่น้องชาย
ริมฝีปากเม้มลงที่ซอกคอขาว ขบกัด เน้นหนักจนเกิดรอยแดง ทั้งยังดูดเม้ม อ้อยอิ่ง จนแดงมากขึ้นๆ
รอยแดงที่อยากแสดงความเป็นเจ้าของให้คนอื่นได้เห็น ว่าใครๆก็ห้ามยุ่ง
...เขาโกหก
แอร๊ยยยยยยยยยยย หวัดดีค่า ไม่เจอกันนานน้อ นานจนเราจำพาสเวิร์ดมายไอดีไม่ได้เลย (แต่เปลี่ยนแล้วนะ ไม่ต้องห่วง)
เรื่องโกหกนี่แต่งตั้งแต่ช่วงงานคอนบอยสตอรี่ กับช่วงที่ประกาศรับสมัครเดอะดาว 7 ใหม่ๆ นอยด์เรื่องโปสเตอร์มาก แล้วก็นอยด์ที่กันกับเฮียได้ไปแต่น้องไม่ได้ไปมาก (แต่สุดท้ายน้องก็ได้ไปนะงานคอนบอยเนี่ย) ใครที่เคยผ่านช่วงนั้นมาแล้วอาจจะยังพอจำความรู้สึกได้มั้งเนอะ (ฮา) แต่อย่างว่าแหละ เอามาให้อ่านช่วงที่เหตุการณ์มันผ่านไปนานแล้ว ไอ้ครั้นจะอยากให้คนอ่านแอบดราม่าด้วยก็คงไม่เท่าไหร่(ฮ่ะๆๆ)
สุดท้ายนี้ ไรท์เตอร์คงจะร้างไปเป็นพักๆนะคะ(โอ เอนท์ เอนท์ เอนท์) วันดีคืนดีก็มาเจอกันอีกนะเออ ฮริ้ววววว
ความคิดเห็น