คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : No.11 - Don't...
บางทีผมก็อยากจดจำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เราเริ่มใช้ชีวิตด้วยกันแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ชีวิตธรรมดาที่ผมตื่นขึ้นมาก็จะเจอริทนอนหลับอุตุไม่รู้สึกตัวอยู่ข้างๆทุกเช้า พยายามปลุกเขาทุกเช้า ไปอาบน้ำก่อนเขาทุกเช้า แล้วก็มากระชากไอ้เตี้ยบนเตียงลุกไปอาบน้ำตามเพื่อให้ทันเวลางานที่พี่เขานัดเอาไว้ ไปนอนต่อกันในรถ กินข้าวกินขนม ทำงานทั้งวัน เรียนเสริมบ้างเป็นบางครั้ง กลับมาดึกๆ ต่อด้วยริทที่เล่นเกมและผมที่เข้าบอร์ดหมูโตโน่เพื่ออ่านกระทู้และคุยกับแฟนคลับ มีเซนดูทีวีไม่ก็โทรคุยกับกันอยู่บนโซฟาข้างๆ
เรียกได้ว่าผมอยู่กับริทและเซนแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกๆวัน
โดยเฉพาะ...ไอ้เตี้ยหมาตื่น พวกเราตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร ไม่มีงานไหนที่ผมจะไม่ยืนอยู่ข้างริท ไม่มีครั้งไหนที่ผมไม่อยู่ใกล้ๆเขา สนิทกันจนชักงงๆว่ามันเป็นแค่น้องหรืออะไร แต่สุดท้าย ผมก็เพิ่งรู้ว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ แค่อยู่กันไปเรื่อยๆแบบนี้ก็ดี เล่นกันทุกวัน แกล้งกันทุกวัน ดูแลกันทุกวัน (อ้อ... เราเล่นเกมแข่งกันทุกวันด้วย)
...แม้ผมจะรู้ดี ว่าวันหนึ่งความสัมพันธ์ไม่แน่นอนจนหาที่ลงไม่ได้ของพวกเราจะต้องสั่นคลอน
“โฮ้ยยย พี่โตโน่อ่ะ ชอบแซวริททุกที จริงใจหน่อยดิ” เสียงไอ้เตี้ยโวยวายทันทีที่ผมได้ยินเสียงมันฝึกร้องเพลงในห้องน้ำ เพลงอะไรผมก็ไม่รู้หรอก รู้แค่เนื้อหาหวานเลี่ยนใช้ได้ ‘ขอเป็นคนรักของคุณๆ’ ก็เข้ากับหน้ามันดี ส่วนผมน่ะเหรอ รู้จักแต่เพลงพวกอัสนีย์วสันต์ ไมโคร พี่หนุ่ย อะไรงี้
“เอ๋า ก็จริงใจนะ นี่มันเสียงซุปเปอร์สตาร์ พลังเสียงอันน่าทึ่ง!” ผมพูดติดเวอร์พลางดัดเสียงเข้มๆเหมือนเฉินหลง อย่างที่รู้ดีว่าพอแซวแบบนี้ริทจะทั้งเขินทั้งอายจนเลิกร้องเพลง แต่ก็นะ ผมก็ว่าน้องผมร้องเพราะจริงๆ อยากให้ร้องต่อจนจบ
“ก็อย่างนี้ทุกทีอ่ะ จริงใจมากกกกกกก” สิ้นประโยคเสียงนั้นก็เงียบหายไป มีเสียงน้ำไหลจากก๊อกตามมาติดๆ ต่อด้วยประตูที่เปิดออกมาเป็นริทตัวน้อยๆมองผมด้วยสีหน้าปั้นยิ้มอย่างที่มันจะทำทุกครั้งที่โดนล้อ โดนแซว หรือโดนดุด่า
“อุว้าวๆๆ วันนี้คุณริทแต่งตัวไปไหนทำไมหล่อจังครับ” ไม่ใช่ผม แต่เป็นกัน ที่เมื่อวานทำงานด้วยกันดึกเลยมานอนที่นี่หนึ่งคืน
“แน่ะมึง ติดเชื้อพี่โตโน่อีกคนแล้วเหรอวะไอ้กัน”
“โหยยย คุณ
“ถามกูแล้วจะรู้มั้ยหืม? เสร็จยัง พี่เขาโทรตามแล้ว”
ผมรอให้น้องๆเดินออกไปก่อนจนผมเป็นคนออกคนสุดท้ายเพื่อล็อกห้อง พอได้มองพวกมันจากข้างหลังแล้วถึงได้รู้สึกว่าพวกมันโตขึ้น ไม่ใช่เด็กๆอย่างสมัยที่อยู่ในบ้านด้วยกัน เห็นแล้วน่าดีใจ
...เออ รู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นด้วย ไม่รู้ทำไม
“เครียดไรเนี่ยพี่โตโน่ รู้มั้ยว่ารอยย่นบนหน้าผากพี่มันชัดขึ้นทุกวัน” จะเสียงใครอีกล่ะครับถ้าไม่ใช่เสียงของน้องชายคนสำคัญของผม ว่าแล้วมันก็เดินมาใกล้แล้วเอามือถูๆตรงหน้าผากผมเบาๆ ไอ้ผมก็ยิ้มสิครับ เล่นอะไรของมัน
“เนี่ย! ชัดเลย! ยิ่งตอนยิ้มนะชัดมากๆ” นิ้วมือนั่นละออกจากหน้าผาก แล้วตบแปะๆเข้าที่หัวไหล่ผมเหมือนต้องการให้กำลังใจ “เดี๋ยวซื้อครีมลดรอยเหี่ยวย่นให้เอามั้ย”
“ไม่ต้องหรอกครับน้องริท แค่ได้ความห่วงใยและกำลังใจจากน้องริททุกวัน พี่โตโน่ก็หน้าบานจนเต่งตึงแล้วครับ”
ชั่วขณะนั้นเองที่ผมกับริทพร้อมใจกันหันหน้าไปมองต้นเสียงอย่างไม่ได้นัดหมาย...ไอ้กัน มีเซนยืนกลั้นขำอยู่ข้างๆ ...อะไรว้า?
“พี่โตโน่ครับ เห็นอะไรดำๆมั้ยครับ?”
“เห็นสิครับ กระสอบทรายแน่เลย ว่าแล้วก็อยากชกสักหมัด” ผมเดินดุ่มๆเข้าไปหาแล้วเงื้อหมัดขึ้นสูง ไอ้กันมันก็แกล้งทำท่าโดนชกไปก่อนครับ ฮาเว้ย! แฟนคลับกันครับ มาอยู่กับพวกผมแล้วจะรู้ว่ามันรั่วมาก ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนในทีวีสักนิด
พวกเราหัวเราะร่วนกันอยู่อีกหน่อยก่อนที่เสียงโทรศัพท์ไอ้เซนจะดังขึ้นอีกครั้ง รู้กันดีว่าคงเป็นสายจากพี่ทีมงาน เลยไม่มีใครโลเลเล่นกันอยู่ต่อไป ตอนนี้เซนกับกันเดินนำหน้าไปก่อน มีผมกับริทเดินข้างๆกันอยู่ตามหลัง ผมยกแขนโอบไหล่ริทเหมือนปกติที่เคยทำ (จริงๆแล้วติดนิสัยหาอะไรมาวางแขนครับ สบายดี) ริทก็มองผมยิ้มๆ (ซึ่งผมชักคิดว่ามันหวานขึ้นทุกที) พวกเราไม่พูดอะไร แค่ยิ้มให้กันแล้วเดินต่อไปแค่นั้น
แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจริงๆ แต่ผมก็ชักหวั่นใจ
ชีวิตของเราที่เป็นอยู่ไม่รู้จะไปได้นานแค่ไหน?
แค่คิด.. มือผมก็บีบไหล่เขาไว้แน่น
---------------------------------------------------------
แล้ว...ผมก็เริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนน้อยๆที่เบาบาง
ผมนั่งมองตารางงานตัวเอง ช่วงเดือนสิงหางานอีเวนท์จะไม่ค่อยได้ออกแล้ว กลับกันชั่วโมงเรียนแอคติ้ง เรียนร้องเพลง เรียนโน่นเรียนนี่เพื่อให้ทำอะไรได้ๆหลายอย่างในวงการบันเทิงกลับเพิ่มขึ้น
ไม่ได้ไม่ชอบ ผมเองก็รู้สึกดีที่ผู้ใหญ่เขาให้โอกาสผมให้ไปได้หลายๆด้าน
...แต่มันก็ตะหงิดๆในใจ
“โหยยยย ดีอ่ะ คนมีตารางงาน” ริทแซวผมหลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาเห็นผมนั่งจ้องตารางงานอยู่ในห้อง “ริทนะไม่รู้ตารางงานตัวเองเลย เขาพาไปไหนก็ไป” ผมรู้สึกว่าพื้นที่เตียงที่ตัวเองนั่งอยู่ยวบๆลงไป “หือ ? โคตรยุ่งเลยอ่ะพี่ เรียนโคตรเยอะ แถมไม่ค่อยได้ออกงานอีก อะไรเนี่ย?” ผมหันไปมองริทที่กำลังเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมไปพลาง จ้องตารางงานผมไปพลาง ก็อดจะเอามือไปขยี้หัวมันแรงๆไม่ได้
“เฮ้ย! หยุดเลย! น้ำกระเด็นใส่ตารางงานพี่โตโน่หมดแล้วรู้มั้ย! อื้อออ!” ริทพยายามปัดป่ายมือผมออก แต่ผมจะแกล้งน้องซะอย่าง ใครจะหยุดได้?
ผมละมือจากหัวก่อนเอาไปจี้เอวมันเข้าไปเต็มสตรีม เสียงหัวเราะก๊ากดังลั่นของริทตามมาทันที มันดิ้นพราดๆขาขยับไปมาจนผมต้องนั่งทับขามันไว้กันพลาดมาโดนตัวเอง มือยังคงจี้เอวมันอย่างไม่ลดละ จะให้หยุดได้ยังไงครับ มาดูหน้ามันตอนนี้สิ โคตรฮา
ใบหน้าของไอ้ลูกหมาที่หัวเราะปากกว้างจนจะงับหัวผมได้ มีเสียงหอบปนมาเป็นระยะคล้ายคนจะขาดใจ ดวงตาปรือๆฉ่ำๆแบบปกติของมันจ้องมองผม...ซึ่งผมเองก็แปลความไม่ได้ว่ามองแบบไหน เอาเป็นว่ามันมอง
เฮ้อ...ก็น้องชายผมมันน่ารักแบบนี้ จะไม่ให้รักได้ยังไง
“มาๆ ลุก” ผมลุกออกจากขามันที่ตัวเองนั่งทับอยู่เมื่อครู่ แล้วยื่นมือให้มันจับ มันก็จับครับ แล้วค่อยดันตัวเองขึ้นมานั่ง ผมของมันที่ยังไม่แห้งยุ่งกว่าเดิม “เล่นแบบนี้ทุกทีอ่ะพี่โตโน่ ถ้าริทขาดใจตายขึ้นมาจะว่าไงเนี่ย”
“จะขาดใจได้ยังไง? ก็พี่มีใจเติมให้ริททุกวัน” ผมพยายามเล่นมุกเสี่ยวเลียนแบบริท (หลังจากที่ศึกษามานานเป็นเดือนจนรู้ทาง) แล้วตบไหล่มันเบาๆ ไอ้เตี้ยมันก็หันหน้าขวับมามองผมอึ้งๆครับ
“เอ๊อ...มุกนี้ดีอ่ะพี่โตโน่ งานหน้าเอาไปเล่นด้วยกันมั้ย?”
ชั่วขณะนั้นผมนิ่ง...
งานหน้า...ที่จะได้ออกด้วยกัน...งานไหน?
พูดตามตรง ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าคิวออกงานตัวเองน้อยลงมากๆ ทั้งรายการทีวี ทั้งอีเวนท์ ทั้งมินิคอนฯ จะมีก็แต่เรียนเสริมนี่แหละที่เพิ่มเอาๆ
“งานไหนล่ะหืม?”
ริทหยิบใบตารางงานของผมขึ้นมาไล่ๆนิ้วหา ก่อนเอาให้ดู
“เนี่ยๆ วันที่ 6 สิงหา อ่ะพี่โตโน่ งานคอนฯอยู่ขอนแก่น เซ็นทรัลอ่ะ”
“เออะ แฟนคลับได้กรี๊ดกันตาย”
ริทหัวเราะน้อยๆแล้วเดินเอาผ้าขนหนูไปตากที่ราวตรงระเบียงเหมือนเดิม ผมมองไล่หลังริทพลางขบคิดอะไรหลายๆอย่าง
ผม...ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ ถึงผมจะไม่ได้มีคิวงานออกกับน้องมากขึ้นยังไง ตอนนี้พวกเราก็ยังอยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันทุกวัน เล่นกันทุกวัน
แค่รู้สึกว่าเวลานี้มันมีค่ามากกว่าเดิมแค่นั้น
------------------------------------------------------------------
จากรู้สึกว่าตัวเองคงไม่ว่าง มาตอนนี้คือแทบไม่ว่างจริงๆ
เดี๋ยวนี้ผมไม่มีออกคิวงานที่ไหนแล้ว งานสุดท้ายที่จะได้ออกพร้อมน้องๆในช่วงนี้เหลือแต่งานที่ขอนแก่นวันที่ 6 สิงหาเท่านั้น ผมเรียนมากขึ้นทุกวัน เน้นไปทางเรียนแอคติ้งและร้องเพลง ก็ดี ผมเองก็อยากเก่งขึ้น
แต่รู้สึกว่าตัวเองมีเวลาให้น้องน้อยลงยังไงไม่รู้ โดยเฉพาะริท
ทุกวันที่ผมเคยตัวติดกันกับมันมาตลอด เหลือแค่เวลาตอนเช้าที่เพิ่งตื่นนอนกับตอนดึกๆที่ผมกลับมาจากเรียน ตอนดึกๆบางทีริทก็เข้านอนไปแล้ว ตอนเช้าๆยิ่งแล้วใหญ่ ริทตื่นยาก เวลาก็มีไม่ค่อยมาก ผมคิดว่าตัวเองได้คุยกับน้องน้อยลง
ทำไมถึงรู้สึกว่ามีอะไรสั่นคลอน... มากขึ้นทุกที?
“อือ... พี่โตโน่ จะไปแล้วเหรอ?” เสียงงัวเงียของริทที่ผมใช้แรงมหาศาลกว่าจะฉุดกระชากลากถูมันขึ้นมาจากเตียงได้ ถามผมที่เตรียมตัวออกไปเรียนที่วันนี้เรียนเช้ากว่าเดิม
“อือ เดี๋ยวจะไปแล้ว รีบอาบน้ำนะ ริทเองก็มีงานเหมือนกัน”
“พี่โตโน่”
“หือ?”
“วันนี้ว่างไหม?”
ผมหยุดทุกสิ่งที่ทำ แล้วเบือนหน้าไปมองริทบนเตียง
“คือแค่ช่วงไม่ดึกมากอย่างสี่ทุ่มห้าทุ่มก็ได้ ว่างไหม?” น้ำเสียงนั้นเบากว่าปกติ ริทมองผมลุ้นๆ เหมือนเด็กน้อยจะขออะไรสักอย่างจากพ่อแม่แบบที่ปกติไม่เคยได้
อะไรที่ผมไม่เคยให้ริท?
“ทำไมเหรอ?” ผมไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“คือ...ริทอยากชวนพี่โตโน่ไปดูทอยสตอรี่สาม มันเข้าแล้วอ่ะ แล้วริทว่างวันนี้พอดี ว่างไหม?” เสียงสั่นพร่ากว่าเดิม แววตาที่ลุ้นกว่าเดิม ผมอดอมยิ้มไม่ได้แล้วหยิบตารางงานขึ้นมาดู
“พี่เลิกเรียนสามทุ่ม อือ งั้นสี่ทุ่มก็โอ ที่เดิมใช่ไหม?”
ริทยิ้มกว้าง ผมยิ้มกลับก่อนแบกกระเป๋าขึ้นหลังเตรียมไปเรียน ไม่ลืมบอกมันให้รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวเซนมันจะบ่นเอาเรื่องเวลาอีก
ถึงจะไม่ค่อยได้ตัวติดกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถ้ายังพอมีเวลาให้คุยกันบ้าง เจอหน้ากันบ้าง ไปเที่ยวกันบ้าง
แค่นี้ก็ยังดี...
-------------------------------------------------------------
“ไม่โตโน่! เอาจริงกว่านี้! แข็งเกินไป ครูไม่รู้สึกถึงฟีลของตัวละครจากตัวโน่เลย”
ผมมองครูที่สอนผมด้วยแววตาติดจะขุ่นมัว มันไม่ดีหรอกครับ แต่เคยไหมที่ตัวเองพยายามเต็มที่แล้วแต่ก็ยังได้ไม่ดีแถมมีคนมาติอีก มันก็ต้องมีโมโหบ้างเป็นธรรมดา ดีหน่อยที่ผมยังคุมสติไว้ได้ เลยมองเฉยๆแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
“ขอโทษครับ”
ครูจ้องหน้าผมแล้วพยักหน้าน้อยๆเหมือนเข้าใจอีกครั้ง ที่จริงคนที่เหนื่อยคงไม่ใช่ผมคนเดียวแต่เป็นครูด้วย ครูเขาเองก็ต้องอดทน ยิ่งมาสอนไอ้คนแอคติ้งไม่ได้เรื่องอย่างผมเนี่ย แค่คิดก็รักขึ้นมาจับใจ
“โอเค ลองใหม่นะ การวางท่าทางช่วยเสริมอารมณ์ได้ ลองดู เอ้า!” สิ้นสัญญาณ ผมก็เริ่มเล่นบทอารมณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง เป็นบทของวัยรุ่นใจร้อนคนหนึ่งที่เห็นแก่ตัว ก็ไม่ใช่ผมไม่เคยเห็นแก่ตัวหรอก แต่ความคิดของตัวละครกับผมต่างกันเกินไป
ทันทีที่ผมเล่นจบ ครูก็ได้ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“มันยังขัดแย้งกันเองน่ะโตโน่ โน่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครเลย” ผมมองนิ่ง ครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมต้องเล่นเป็นวัยรุ่นคนนี้ ทั้งที่บทอื่นผมก็พยายามจนผ่านมันมาได้ทุกครั้ง
“ผมว่าความคิดของเขากับผมต่างกันเกินไป”
“ไม่ได้...ชีวิตจริงเราคงจะเจอบทที่ถูกใจเราไปหมดไม่ได้หรอกนะโตโน่”
ผมเงียบ... ก็จริงของครูเขา เลยได้แต่พยักหน้าแล้วเริ่มซ้อมใหม่ด้วยใจที่เป็นกลางกว่าเดิม
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้จนครูบอกผมว่าโอเค เลยเหมือนนึกๆอะไรได้
ตอนนี้กี่โมงแล้ว?
ผมหันรีหันขวางเพื่อมองหานาฬิกาในห้อง เกือบลืมสนิทไปแล้วถึงนัดที่ให้ไว้กับริทวันนี้สี่ทุ่ม
แล้วผม...ก็ต้องอึ้งกว่าเก่า
เวลาในนาฬิกาตอนนี้ สี่ทุ่มยี่สิบห้านาที... ถ้าให้ผมไปหาเขาจากที่นี่ก็กินเวลาอีก คงเลยไปเป็นสี่ทุ่มสี่สิบ
แต่ไปช้าคงดีกว่าไม่ไป
“เอ่อ ครูครับ คือ...”
“เดี๋ยวครูให้เวลาพักสักสิบนาที แล้วมาเรียนกันต่อนะ”
ทั้งที่ผมอยากจะบอกครูว่ามันเลยเวลามานานแล้ว แต่ก็พูดไม่ออก รู้สึกถึงใจตัวเองที่ร้อนรนเหมือนลนไฟ ใจผมตอนนี้อยากจะไปตามนัด แต่ความรู้สึกเกรงใจครูที่อยู่สอนผมจนค่ำมืดทุกวันก็รั้งไว้จนไปไม่ถูก
“เอ้อ ผมจำได้ว่าคราวที่แล้วครูบอกว่ามีนัดตอนสามทุ่ม วันนี้ไม่แล้วเหรอครับเนี่ย?” ผมถามอ้อมๆ หวังให้ครูนึกได้แล้วรีบไปตามนัดอย่างที่ผมเป็น
“อ้าว ก็วันนี้ต้องสอนโน่จนดึกไง? ครูเลยเลื่อนนัดไปวันอื่นแล้ว ทำไมเหรอ?” ผมมองอึ้งๆ ไม่ใช่แค่ไปไม่ได้ตอนนี้ แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกเมื่อไหร่จะได้เลิกเรียนไปหาริท ครูเขาเองก็อุตส่าห์เลื่อนนัดมาสอนผม ไอ้ครั้นจะหนีไปดูหนังดื้อๆผมก็ทำไม่ลง
ผมรู้ว่ารอยี่สิบห้านาทีไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับริท แต่ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าเขาต้องรออีกนานแค่ไหน ไม่นับเวลาก่อนหน้านี้ที่เขามารอผมล่วงหน้า
แต่แค่นึกถึงเสียงสั่นพร่า แววตาลุ้นๆที่ชวนผมไปดูหนังเมื่อเช้า เขาอยากให้ผมไปด้วยจริงๆ
ผมจะผิดนัดน้องลงได้ยังไง?
“เอ่อ คือครูครับ...”
“วันนี้ครูสอนโน่ดึกเท่าไหร่ก็ได้เลยนะ เต็มที่นะลูก อยู่วงการนี้มันต้องพยายาม” รอยยิ้มจากครูที่ส่งมาให้ผม รู้ทันทีเลยว่าเขาตั้งใจจะสอนผมเต็มที่
ผม...พูดไม่ลง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่ผมอยากให้มันหยุดอยู่ตรงนี้ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว มันจะผ่านไปเรื่อยๆถ้าผมยังไม่ตัดสินใจทำอะไรกับสถานการณ์นี้สักที
ผมคงหาใครมาเรียนแอคติ้งแทนไม่ได้ แต่คงหาใครสักคนไปดูหนังกับริทแทนผมได้
ว่าแล้วก็เดินหยิบบีบี ไล่รายชื่อหาคนที่พอจะเข้าข่าย ถ้าไม่ใช่ผม เป็นคนอื่นในเดอะสตาร์ 6 ก็ยังดี
กัน...ทำงานจนถึงตีหนึ่ง
เซน...เหมือนกับกัน
ไอซ์กับเกรซ...เรียนอยู่เชียงใหม่
เกตก็มีนัดแล้ว ออกไปไม่ได้
เหลือ...เก่ง
ความหวังสุดท้ายของเฮียแล้วนะเว้ยไอ้น้องชาย!
ผมกดโทรไปด้วยใจตุ้มต่อม พอมีคนรับสายก็รีบกรอกเสียงลงไปด้วยความร้อนรน
“เก่ง! ว่างไหม!”
“หา? พี่โตโน่?”
“ไปดูหนังกับริทให้พี่หน่อย”
“ฮ้า? อะไรนะ?”
“ไปดูหนังกับริทให้พี่หน่อย”
“ผมไม่ว่างอ่ะ วันนี้ขึ้นเวรถึงดึกเลย วันอื่นได้มั้ย?”
จะเป็นวันอื่นได้ยังไง ก็เขานัดไว้วันนี้
“เออๆ ไม่เป็นไร ไม่กวนแล้ว โชคดี”
ผมกดวางสาย มองเวลาในบีบี สี่ทุ่มสามสิบห้า...คงต้องโทรไปขอโทษ
แต่แค่คิดว่าริทอาจจะไม่รอผมแล้วดูหนังอยู่ในโรง จากที่โทรก็เหลือแค่พิน
จากเหตุผลประกอบมากมาย ตอนนี้ที่ผมจะพินส่งเขาไปเหลือเพียงสองพยางค์ ถึงจะมีเหตุผลยังไงสุดท้ายผมก็ผิดนัดเขาอยู่ดี ผมไม่อยากแก้ตัว
ผมกดพินไปด้วยใจตุ้มต่อมอย่างรู้สึกผิด
‘ขอโทษ’
-----------------------------------------------------------
ไม่มีพินตอบกลับหรือสายเรียกเข้าจากริทจวบจนผมย่างเท้าเข้ามาในบ้าน
แต่เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยยิ่งกว่าเสียงไหนๆที่ได้ยินทันทีที่เปิดประตู คือเสียงเกมที่ใครบางคนมักจะหยิบขึ้นมากดเล่นตลอดเวลาที่ว่าง
ผมไม่รอช้า สาวเท้าเข้าไปหาใครบางคนที่ผมก็รู้ว่าใครด้วยหัวใจที่เต้นระรัว คิดเหมือนกันว่าจะได้เจอคำขอโทษของผมรึเปล่า จะโกรธรึเปล่าที่ผิดสัญญา
“ริท”
ไอ้เตี้ยน้อยที่นอนแอ้งแม้งเล่นเกมอยู่บนโซฟาชะงักนิ้ว ก่อนลดเครื่องเกมนินเทนโด DS ลงจากใบหน้า ผิดคาด ตอนแรกผมคิดว่าริทจะต้องโกรธ จะต้องนอยด์ จะต้องเสียใจ น้อยใจ หรืออะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่สีหน้าปกติแบบนี้
...สีหน้าปกติที่เหมือนไม่มีอะไรทำให้ไม่พอใจ
“อ้าว? กลับมาแล้วเหรอพี่โตโน่? กลับดึกนะวันนี้อ่ะ?” เจ้าของคำพูดเด้งตัวดึ๋งขึ้นมาแย้มรอยยิ้มให้ผมเหมือนเวลาปกติที่อยู่ด้วยกัน “เป็นไง? เรียนหนักมั้ย? กินอะไรมารึยัง?”
คำพูดจากปากริทชักทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นทุกที
“เอ้อ วันนี้ริทผ่านไปที่ร้านโปรดพี่โตโน่ด้วย เลยซื้อยำปลาดุกฟูมาฝาก แต่นานแล้วอ่ะ ไม่รู้อร่อยอยู่มั้ย”
ไม่โกรธ ไม่น้อยใจ ไม่นอยด์ ยิ้มให้เหมือนทุกที แถมซื้อข้าวกลับมาฝากอีก...
...ไอ้เตี้ยเอ๊ย...
ผมพ่นลมหายใจหนักๆก่อนทิ้งกระเป๋าสะพายของตัวเองลงพื้นอย่างไม่ใยดี แล้วก้าวเท้ายาวๆเข้าไปหาคนที่นั่งจุ้มปุ๊กบนโซฟา เอามือโยกหัวมันไปมาช้าๆ
“อะไรเนี่ย อยู่ๆก็มา...”
“ริท”
สิ้นเสียงเรียกชื่อของผม ชั่ววินาทีนั้นไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร แต่ผมรู้ ว่าทั้งริททั้งผมรู้ดี ว่าความเงียบนี้มันเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกไหนและสาเหตุอะไร
“ขอโทษ...”
ทุกอย่างยังคงเงียบ เงียบจนผมชักรู้สึกไม่ดี ต้องเอามือโยกหัวมันเบาๆช้าๆอีกครั้ง แค่อยากทำอะไรสักอย่างให้มันพูดอะไรขึ้นมาบ้าง
“...อื้อ”
“ได้ดูหนังไหม?”
คำตอบมีเพียงศีรษะที่ส่ายไปมาภายใต้มือของผม
ผมพ่นลมพรืดอีกครั้ง รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ
“โกรธก็ได้นะ เดี๋ยวง้อ”
“พูดยังงี้ใครมันจะไปโกรธลงล่ะคร้าบ?”
กลายเป็นว่าตอนนี้ริทยิ้มกว้างแล้วค่อยๆยกมือผมออกจากหัวตัวเองช้าๆ สายตาที่มองผมทำให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดหวัง แต่ผ่านการทำใจมาแล้วจนหายดี
“โกรธเหอะ ขอร้องล่ะ”
“ไม่เอา ไม่มีเวลาโกรธ”
เหมือนจะพูดธรรมดา แต่คำว่า ‘ไม่มีเวลา’ ของริทกระแทกใจผมเข้าอย่างจัง มันชักรู้สึกตะหงิดๆบอกไม่ถูก
“อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ”
ผมอดเอามือไปขยี้หัวไอ้คนดีตรงหน้าไม่ได้ ให้ตาย อย่าบอกนะว่ามันกำลังวางแผนให้ผมรู้สึกผิดจนไม่กล้าผิดนัดมันอีกแทน
“เฮ้อ...เอ็งนี่น้า...”
---------------------------------------------------------
ริทหลับไปแล้ว แต่ผมยังไม่หลับ
พูดตามตรง ยังติดใจกับคำว่า ‘ไม่มีเวลา’ ของมันไม่หาย อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั้นเน้นหนักเกินปกติ
นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจนผมขี้เกียจนึก เลยหยิบตารางงานขึ้นมาดูเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้แทน
แต่ไม่กี่คำในตารางนั้นกลับทำให้ผมเข้าใจอะไรแจ่มแจ้ง
วันที่ 6 สิงหา ขอนแก่น
ขอนแก่น... เวลา...ริท....?
เอี้ยเอ๊ย... ทำไมไม่เอะใจมาก่อนวะ...?
มึงทำกับน้องลงได้ไงวะเชี่ยโน่!?
จังหวะนั้นผมทิ้งกระดาษตารางงานลงที่ไหนสักแห่งอย่างไม่คิดจะสนใจ เดินดุ่มๆเข้าห้องนอนไปด้วยหัวใจระรัวอย่างคนเพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดมหันต์ เพื่อไปหาน้องชายตัวเล็กที่นอนอุตุอยู่บนเตียง...คนเดียว
เวลาของริท... ทำไมผมไม่เคยนึกมาก่อน
น้องผมดรอปหมอมาหนึ่งปี เพื่อมาอยู่ที่นี่...
หนึ่งปีที่เจ้าตัวจะได้ทำงานในวงการอย่างเต็มที่ที่สุด
หนึ่งปีที่เจ้าตัวทุ่มเท คงเพราะรู้ดีว่าต่อไปจะทำไม่ได้แบบนี้
หนึ่งปี...ที่ริทจะอยู่กับผมแบบนี้ทุกวัน?
แล้วผมก็ทำลาย 1 ใน 365 วันที่จะได้อยู่ด้วยกัน โดยการไม่ไปตามนัด?
ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ มือผมก็เอื้อมไปลูบหัวริทเบาๆ ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาจ้องมองริทด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งรู้สึกผิด ทั้งโกรธ...โกรธริทที่ไม่คะยั้นคะยอโทรตามผมให้ไป
“ทำไมไม่บอก...หืม” ผมก้มลงกระซิบข้างๆหูริท อย่างที่รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ยิน
ริทยังคงหลับไม่รู้เรื่องราว ทั้งที่ผมร้อนรน มือผมคาไว้ที่หน้าผากเขา
...พวกเราเหลือเวลาแบบนี้อีกนานแค่ไหน?
คิดไป ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีอะไรตอบได้ สุดท้าย ผมก็ได้แต่หันไปกระซิบข้างหูเขาอีกครั้ง
“ฝันดี...เดี๋ยวพรุ่งนี้มาปลุก”
...ไม่มีอะไร แค่อยากรักษาเวลา
เวลา...ที่ผมจะทำให้ริทรู้ว่า ‘เขาเป็นคนสำคัญ’
...ของผม
ฟิคนี้แต่งไว้นานแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เฮียยังซ้อมหงษ์เหนือมังกร เกิดอารมณ์หวั่นไหวถ้าวันหนึ่งน้องเตี้ยต้องจากอกพี่ไปไกลเพื่อไปเรียนต่อจะเป็นยังไง เลยออกมาเป็นฟิคนี้ (ตอนแต่งนี่คนแต่งอึนมาก) อย่างไรก็ตาม เหมือนเหตุการณ์ ณ ปัจจุบันจะยังเป็นไปได้ด้วยดีอยู่ อยากให้สองพี่น้องเป็นแบบนี้ไปนานๆจังเลยค่ะ (ฮา) อ่านจบแล้วก็เจอกันตอนหน้านะค้า
ความคิดเห็น