คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จับตามอง
"วันนี้พ่อไปที่ทำงาน แล้วพ่อเจอกับชิ้นส่วนแปลกๆชิ้นหนึ่งวางอยู่ในห้องปฏิบัติการของพ่อ ที่ทางการส่งมาให้พ่อทำการตรวจสอบ พ่อใช้เวลานานมากกับกระดูกพวกนั้น แต่ไม่รู้ซิพ่อยังสรุปไม่ได้เลยว่ามันคือสัตว์อะไร มันแปลกมากจริงๆ ชิ้นส่วนต่างๆดูเหมือนกับพึ่งตายมาเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน แต่ว่า...ผลการตรวจสอบมันบอกว่ามีอายุตั้งหกร้อยปีมาแล้วเชียวนะ เป็นพวกมี 6 รยางค์ ก็คือพวกสัตว์ที่มีสี่ขา สองปีกน่ะนะ มันมีขนาดใหญ่มาก อันที่จริงสัตว์ประเภทนี้ในไทยหายากมากๆ ชิ้นส่วนทุกส่วนของมันต่อเข้ากันได้หมด แต่นั่น--ไม่รู้ซิ รูปร่างมันแปลกมากจริงๆ พ่อนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เลยเครียดกลับมาอย่างที่เห็นนี่"
"พ่อ...แม่ว่าพ่อน่าจะนอนพักสักหน่อยนะแล้วค่อยตื่นมากินอาหารเย็น จะได้ผ่อนคลายได้หน่อย" หล่อนบอกสามี "ตกลง พ่อจะไปนอนเดี๋ยวนี้เลย เครียดเต็มทีแล้วตอนนี้" พ่อของกับแม่ เขาลุกขึ้นจากโซฟา แล้วก็เดินจากไปสู่ห้องชั้นบน
----------------------------
เช้าวันต่อมา อากาศเย็นสบายของวันเสาร์ ทำให้หลายๆคนไม่อยากตื่นนอน แต่หนึ่งในนั้นที่ไม่สามารถนอนต่อไปได้คือ นิพิฐพนธ์ ที่วันนี้ต้องออกไปทำงานอันที่จริงวันเสาร์คือวันหยุด แต่ในเมื่องานวิจัยเรื่องสัตว์ที่พ่อได้เล่าเมื่อคืนวานมันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้เวลาว่างของพ่อทั้งอาทิตย์แทบจะไม่มีเหลือให้พักผ่อน พ่อกลับจากที่ทำงานดึกมากช่วงนี้ ทำให้แม่และศุวิลเป็นห่วง แต่จะทำไงได้ในเมื่อมันคือหน้าที่ที่ต้องทำ
วันนี้ศุวิลไปที่ห้องสมุดอีกครั้ง เพื่อนำสมุดที่ยืมมาจากห้องสมุดไปคืน และหาหนังสือเล่มใหม่มาอ่านที่บ้าน
"ผมไปห้องสมุดนะครับ เดี๋ยวจะรีบกลับ"
"จ้า!ลูกรัก ไปเถอะ...รีบกลับด้วยนะ แม่ทำอาหารรอไว้"
ศุวิลมาถึงห้องสมุด ทักทายกับบรรณารักษ์คนเดิม แล้วนำหนังสือที่ยืมส่งคืนให้ จากนั้นก็เดินไปตามชั้นหนังสือหมวดต่างๆ แล้วเขาก็มาสะดุดอยู่ที่ หนังสือสารานุกรม สำหรับเยาวชน เขาหยิบมันขึ้นมาอ่านตามหน้าสารบัญแต่ก็ไม่พบสิ่งที่เขาต้องการ เขาเปลี่ยนไปอ่านสารานุกรม เล่มอื่นอีกหลายต่อหลายเล่ม แล้วก็มาเจอกับเล่ม สารานุกรม สำหรับเยาวชน เล่มที่ 5 เขาค้นพบเจอสิ่งที่เขาต้องการเรื่องของการจัดกลุ่มสัตว์แต่ละประเภท เขาเหน็บมันไว้กับสีข้าง แล้วเดินต่อไปตามชั้นหนังสือชั้นต่อไป แล้วก็เจอกับหนังสือ สัตว์มหัศจรรย์ที่มีอยู่จริง (อดีต-ปัจจุบัน) : วิลเลียม เบตสัน เขารีบเปิดมันออกอ่านอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิ้มกว้างแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะของบรรณารักษ์เพื่อยืมหนังสือทั้งสองเล่ม
เวลาเที่ยงตรงศุวิลกลับมาถึงที่บ้านของเขาแล้ว พร้อมกับกล่าวทักทายผู้เป็นแม่ แล้วรีบเร่งขึ้นไปบนห้องแล้วจัดการวางหนังสือทั้งสองเล่มลงบนหัวเตียง แล้วลงไปทานอาหารกลางวันกับแม่ พวกเขาทั้งสองคนสนทนากันระหว่างทานอาหารเรื่องต่างๆนานา โดยเฉพาะเรื่องโครงกระดูกสัตว์ที่พ่อต้องวิจัย
"แม่ครับ ผมว่า -- เออ...ผมว่า -- ผมคิดว่าโครงกระดูกที่พ่อวิจัยต้องมีอะไรแปลกๆแน่นอนครับ" ศุวิลพูดเปิดหัวข้อสนทนา
"แม่คิดว่า...ไม่หรอกจ้ะ มันอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยมีชีวิตมาเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อนก็ได้นะลูก จำพวกไดโนเสาร์ประมาณนั้น" แม่บอกกับเขา
"ผมว่าไม่หรอกนะครับ มันไม่ใช่แน่ๆ ดูจากรูปที่พ่อให้แม่ดูเมื่อวานซิครับ นี่ไง...เห็นมั้ย มันแปลกจริงๆนะครับ" ศุวิลคัดค้าน "ผมอ่านเจอในหนังสือห้องสมุดจำพวกซากดึกดำบรรพ์ แต่ไม่มีส่วนไหนของโครงกระดูกสัตว์ ที่เข้าค่ายในสัตว์เหล่านั้นเลยครับแม่" ศุวิลบอก
"ไม่รู้สินะลูก แม่คิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ว่า โครงกระดูกนั่นมันอาจจะพึ่งมีการค้นพบครั้งแรก แต่ความคิดของลูก และของแม่อาจจะผิดก็ได้นะ อย่างไงเราคงต้องรอผลสรุปจากปากพ่อหละนะ" หล่อนบอกลูก "แม่ว่าเรื่องนี้ พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะจ้ะลูก" เขาและแม่ช่วยกันเก็บกวาดโต๊ะ แล้วเขาก็กลับขึ้นไปบนห้อง
เขาลืมไปแล้วว่ากองของขวัญในห้องยังไม่ได้แกะ ทั้งๆที่มันวางตั้งไว้ในห้องแท้ๆ จนกระทั่งเมื่อแม่ทักเขาเรื่องกล่องของขวัญเขาจึงนึกขึ้นได้ เขารีบแกะกล่องของขวัญที่กองอยู่มากมายออกทีละใบๆ ใบที่สี่...ห้า...หก...และ กล่องที่เจ็ดข้างในกล่องมีของชิ้นสวยวางอยู่ มันเป็นนาฬิกาเรือนสีดำ จาก น้าจุรีย์ (เพื่อนบ้านข้างๆเขา) และเมื่อมาถึงที่สิบห้า มันมีการ์ดเล็กๆติดไว้ กล่องของขวัญนี้มาจากใครไม่ทราบแน่ เนื่องจากมันไม่มีชื่อติดไว้ มีแต่เพียงประโยคที่เขียนบอกไว้ว่า
"อย่าสงสัยว่าใครส่งมา
แล้วจะรู้เองถ้าเปิดมันออกอย่างสมบูรณ์"
ข้างในกล่องกระดาษลัง มีวัตถุหนักๆชิ้นหนึ่งสีเงินแวววาว เป็นเหมือนวัตถุโบราณแต่ยังใหม่เอี่ยม ไม่มีที่ติ มันมีลักษณะโค้งเว้าด้านข้าง มีหูจับสองข้าง ยอดด้านบนเป็นเหมือนปากยื่นสูงออกมา คล้ายผลน้ำเต้า ลายสลักที่รายรอบวัตถุนี้สวยงามแลสะดุดตา มันมีขนาดใหญ่พอที่จะให้มือทั้งสองข้างของศุวิลสามารถโอบไว้ได้จนรอบ เขานำมันออกจากกล่องแล้วนำไปวางไว้ที่ตัวเตียงทางซ้าย
หลังจากที่วุ่นอยู่กับกล่องของขวัญมากมาย แล้วจัดการวางของขวัญไว้ตามจุดต่างๆในห้อง พร้อมทั้งจัดห้องจนเรียบร้อย เขาจึงเปิดประตูออกไปตามทางลงสู่บันได แล้วเขาก็ต้องหยุดกึกทันที เมื่อบริเวณด้านล่างเงียบสงบผิดปกติ แตกต่างไปจากครั้งที่เป็นวันเกิดของเขา ทุกอย่างทั้งในและนอกบ้านดูจะเงียบไปหมด แม่แต่ต้นไม้ยังหยุดนิ่งไม่ไหวติง เขาก้าวไปตามขึ้นบันไดอย่างช้าๆ พร้อมกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มีเพียงตัวเขาหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เคลื่อนไหว บรรยากาศเริ่มไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ความเงียบชวนหดหู่...แล้วเสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้นมา มันส่งเสียงร้องแหลม มันดังมาจากชั้นด้านบน ศุวิลเหลียวหลังไปมองในทันที ขาทั้งสองข้างของเขาเหมือนแข็งตัวชั่วขณะ เขาหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วก้าวไปตามเสียงที่ได้ยิน เมื่อเดินไปถึงจุดๆหนึ่งบนพื้นทางเดิน แสงสีขาวสว่างจ้าบาดตาก็วาบขึ้นผ่านมาจากด้านในห้องของเขาเอง เสียงหวีดยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆจนแก้วหูของเขาแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ และทันใดนั้นเองประตูห้องก็เหวี่ยงเปิดออก เสียงหวีดหวิวค่อยๆจางหายไป เผยให้เห็นอะไรบางอย่างที่ส่องแสงแวววาว "แสงที่เห็นเมื่อสักครู่นี้มาจากสิ่งนี้นี่เอง" ศุวิล ครุ่นคิด ตอนนี้ใจของเขาและร่างกายของเขาเริ่มทำงานไม่พร้อมกัน เมื่อใจของเขาอยากรู้เต็มทีว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ร่างกายของเขาตรึงแน่นอยู่กับที่เหมือนไม่ต้องการให้เข้าไป
"เข้าไปซิ เข้าไปเลย รอช้าให้ยืดยาดอยู่ทำไม เข้าไปซิ...!"
"ไม่นะ นายต้องไม่เข้าไป มันอาจเป็นอันตรายก็ได้"
"อย่าไปเชื่อ เข้าไปเลยมีของดีรอแกอยู่นะ!"
"ได้โปรดถอยหลังออกห่างมัน มันมีอันตรายแน่ๆ เชื่อฉันซิ"
"ถ้าแกเชื่อ ของมีค่ามหาศาลจะหลุดลอยไป เจ้าโง่...! เดินเข้าไปซิ!"
"ไม่...ม่...ม่....ฉันไม่ฟังใครทั้งนั้น" เขาต่อสู้ขัดขืนความคิดของตนเอง "โอ๊ย...! เจ็บจัง"
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนศีรษะตัวเองกระแทกกับอะไรบางอย่าง แล้วสะดุ้งตื่นขึ้น "ฉันมานอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่!" ศุวิลพูดกับตนเองหลังจากได้สติ เขานั่งงงอยู่บนพื้นหน้าห้องของเขา สักประเดี๋ยวแม่ของเขาก็รีบโผเข้ามาหาเขา ถามเขาเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตัวเขาเองงงไปหมด มันเหมือนเป็นความจริง แต่มันคงไม่ใช่ "มันเป็นความฝัน"เขานึกกับตนเอง
--------------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันจันทร์วันแรกของการเรียน ในชั้นมัธยมปีที่สี่ หลายคนอาจตั้งหน้าตั้งตารอกับวันที่จะได้พบกับเพื่อนใหม่ แต่วันนี้เป็นวันจันทร์ การไปโรงเรียนหลังจากที่หยุดพักมาเป็นเวลานานเกือบสามเดือน จึงเป็นวันที่น่าเบื่อสำหรับนักเรียนทุกคน เป็นเพราะมันได้พลัดพรากวันหยุดสุดสัปดาห์ไปโดยไม่แยแสกลุ่มคนที่น่าสงสารที่ไม่อยากให้วันหยุดสุดแสนวิเศษนี้จากไป หนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งที่เกลียดวันจันทร์มากที่สุด มันเป็นวันที่สุดแสนจะเลวร้าย เลวร้ายเกินกว่าที่ใครอื่นจะรู้ได้ เขาก็คือศุวิลเด็กหนุ่มผู้ต้องทนทุกข์กับการที่ขาดเพื่อนสหาย เป็นเพราะเพื่อนๆทุกคนมองเห็นว่าตัวเขาเป็นคนอ่อนแอ เขาจึงไม่มีใครคนไหนคิดจะคบเป็นเพื่อน เด็กหนุ่มจึงต้องจำใจแบกรับความทรมานนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว ปล่อยวางจากมิตรสหายให้เหลือแต่เพียงตัวเขาคนเดียวกับใบหน้าทุกข์ระทม
วันจันทร์ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อหนึ่งในตารางเรียนวันแรกวันนี้มีวิชาที่เขาเกลียดปะปนอยู่ด้วย นั่นก็คือวิชาภาษาต่างประเทศ อาจจะไม่เพียงแต่เขาก็ได้ที่เกลียดวิชานี้เมื่อเขามองเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวถัดไปทางขวามือเขากำลังนั่งก้มหน้าพึมพำอะไรบางอย่างในระหว่างที่อาจารย์วอซาน อาจารย์ประจำวิชากำลังสอนอยู่
ท่าทางของหญิงสาวดูราวกับท่องมนตร์สาปแช่งอย่างไงอย่างงั้น ดูจากอาการที่เธอทำแล้วมันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังเกลียดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ว่าคงไม่ใช่อะไรอื่น เมื่อศุวิลสังเกตเห็นริมฝีปากที่ขมุบขมิบของเธอ มันเหมือนเธอกำลังสาปแช่งอาจารย์วอซานอยู่
“ชาตินี้ทั้งชาติฉันคงต้องตายแน่ หากยังต้องเรียนอยู่กับอาจารย์บ้านี่”
“ออกไปซะที หมดชั่วโมงสักทีซิ โอ๊ย!....เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” เด็กสาวเน้นเสียง
“หากนรกมีจริง ช่วยพาไอ้อาจารย์โรคจิตนี้ไปทีเถอะ”
“ไอ้เลว นึกว่าตัวเองเก่งนักรึไงกัน สอนแต่อะไรบ้าๆน่ารำคาญ”
“ไม่...เรียกว่าสอนไม่ได้ซิ เข้ามาแล้วก็แจกงานแล้วจากไป ต้องเรียกว่า...คนชั่วกินเงินชาติ ซิถึงจะถูก”
“นี่ระวังคำพูดคำจาหน่อยจะได้มั้ย เดี๋ยวก็ซวยหรอก” ศุวิลกระซิบเตือนหญิงสาว
“อะไรเจ้าบ้า ยุ่งอะไรกับชีวิตฉัน ไปให้พ้นนะ อย่ามายุ่งกับฉัน แกนั่งเรียนของแกไปซิ!” หญิงสาวตะคอกใส่ศุวิลอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่ได้หายใจ
“โอ.เค. ก็ได้...ฉันไม่ยุ่งก็ได้” ศุวิลบอกกับหญิงสาว พร้อมหันหน้ากลับไปฟังที่อาจารย์วอซานกำลังพูด ทั้งๆที่ไม่ได้เต็มใจจะฟังมากนัก
เสียงนาฬิกาข้อมือส่งสัญญาณเตือนหมดเวลา 16:15 น. นักเรียนในชั้นเรียนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน หลังจากที่หัวหน้าห้องบอกเลิกชั้นเรียน ศุวิลเดินก้าวผ่านธรณีประตูห้อง ม.4/1ไปอย่างช้าๆ สายตาที่อ้อยอิ่งอยู่ที่ราวบันได ในใจนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน และแล้วทันใดนั้น เมื่อเท้าของศุวิลย่างมาถึงตีนบันได สิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น สายตาของศุวิลกวาดไปทั่วบริเวณที่เขาสามารถกวาดตามองได้ โดยไม่ต้องหันหลัง นี่เขากำลังยืนอยู่ที่โรงเรียนจริงหรือ - -
“สภาพโรงเรียนในตอนนี้ไม่น่าจะเงียบแบบนี้นี่ นี่มันพึ่งจะบ่าย...อะไรกันนี่ นาฬิกาบ้านี่ดันมาเป็นอะไรไปอีกเนี่ย” ศุวิลเริ่มเอะใจ นาฬิกาที่คาดอยู่ที่ข้อมือของเขาหมุนติ้วอย่างน่ากลัว และแล้วพื้นที่เขาเยียบอยู่เหมือนกลายเป็นปุยนุ่น ที่เขาสามารถก้าวเดินไปได้อย่างนุ่มนวล บริเวณโดยรอบเปลี่ยนแปลงไป เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือ...เสียงกรีดร้องของใครบางคน - -
ศุวิลสะดุ้งตกใจ เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ตอนนี้ทุกคนในห้องเรียนกำลังมองมาที่เขา รวมถึงอาจารย์วอซาน นี่เขากำลังฝันไปเองหรือนี่ - -
“นี่ ศุวิลนายเป็นอะไรไป”
“ออ..เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรนี่ ก็แค่ฝันร้ายหนะ” ศุวิลบอกกับเด็กสาวข้างๆ
“แต่นายดูแปลกๆไปนะ ตั้งแต่ตอนที่นายร้องตะโกนแล้ว”
“อะไรนะ ฉันตะโกนว่าอะไรหรอ”
“ก็นายตะโกนว่า “อะไรกันนี่”แล้วหละ” เด็กสาวเน้นเสียงเลียนแบบเสียงของศุวิล
“เธอไม่ต้องการเรียนวิชาของฉันหรือไง ศุวิล” อาจารย์วอซานถามศุวิลด้วยเสียงที่ราบเรียบ
“เปล่านะครับ เพียงแค่ผมรู้สึกปวดหัวเลยเผลอหลับไปนะครับ” ศุวิลโกหก
“นั่นแหละ สิ่งที่เธอต้องการจะทำในคาบเรียนของฉัน คือ หนี “
ศุวิลลุกพรวดออกจากโต๊ะ แล้วเดินจากไปพร้อมกระเป๋าสะพายของเขา เขาก้าวสามขุมออกไปด้วยความร้อนในร่างกายที่สูงขึ้น หนังสือร่วงหล่นออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขา หล่นลงสู่พื้น ลงกองอย่างแน่นิ่ง ศุวิลหมุนตัวก้มลงเก็บ สมองที่เหนื่อยอ่อนหลังจากใช้มานานของเขา ตอนนี้มันเริ่มทำให้เขารู้สึกหวิวๆ ดวงตาของเขาหรี่เล็กลง ทางเดินลงสู่สนามกลางแจ้ง ลีบเล็กลง หมอกสีดำปกคลุมเข้าแทนที่ ศีรษะของเขากระเเทกกับกองหนังสือที่เขาก้มเก็บ ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดแน่นิ่ง - -
“ศุวิล เธอเป็นอะไรไปหนะ”
ศุวิลลืมตาอย่างช้าๆ สายตาเพ่งมองไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาเห็นร่างของเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่มองดูได้อย่างไม่ชัดเจน
“ฉันเป็นอะไรไป” ศุวิลถาม
“เธอหนะเป็นลมอยู่ตรงระเบียงทางเดินไงหละ จำไม่ได้หรอ”
“เปล่าเลยฉันจำไม่ได้เลยสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นอะไร”
“อืม...ไม่เป็นไร อย่างไงตอนนี้เธอก็ตื่นแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปเรียกพยาบาลมาตรวจเธอนะ ฉันไปก่อนแล้วกัน”
“อืม...”
น้ำเสียงที่เขาได้ยิน เขาจำได้แล้ว “เป็นเสียงของเพื่อนสาวที่นั่งข้างเขานั่นเอง“ เขานึกในใจ “แต่ทำไมน้ำเสียงมันไม่เหมือนกับตอนที่เขานั่งเรียนคาบวิชาของอาจารย์วอซานเลย” หลังจากนั้นพยาบาลก็เข้ามาตรวจร่างกายของเขา
ในเช้าวันต่อมา ภายนอกหน้าต่าง หมอกลงจัดจนแทบมองทางเท้าไม่เห็น อากาศกำลังสดชื่นเย็นสบาย ผิดไปจากทุกๆวันที่ผ่านมา
ศุวิลสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงของนาฬิกาปลุกปลุกเตือนเวลาเจ็ดโมงเช้า แต่เขายังรู้สึกเพลีย จึงไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน จึงหลับต่อ - -
นาฬิกาปลุกจึงต้องเดินเข็มต่อไป อย่างไร้ความหมาย เดินวนต่อไปรอบแล้วรอบเล่า
เมื่อเวลาผ่านไป ศุวิลกระโดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เมื่อสายตาของเขาเหลือบมองไปเห็นเข็มนาฬิกาชี้อยู่ที่เลข 7 และ 2 เขากระโจนเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ เขาจึงเดินตรงไปยังกระเป๋าสะพายด้วยฝีเท้าที่รีบเร่ง เพื่อตรวจความเรียบร้อยของรายชื่อหนังสือที่จัดเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ
เขาคว้าสายสะพายขึ้นพาดบ่า แล้วเดินจ้ำลงสู่ห้องโถงชึ้นล่างอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันสังเกตแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากหน้าต่าง เขาคว้ากลอนประตูบิดและเปิดอย่างรวดเร็ว ลมกระโชกโหมกระหน่ำเข้าใส่ศุวิล พร้อมด้วยเม็ดฝนขนาดใหญ่ ที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย สีหน้าของศุวิลอ่อนล้าและเศร้าลงในทันที วันนี้อากาศย่ำแย่ทำให้เขาไม่สามารถไปโรงเรียนได้ทันการเข้าแถว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไปโรงเรียนสาย
เสียงของเม็ดฝนที่ตกกระทบบานหน้าต่าง ส่งเสียงดังอย่างไม่เป็นจังหวะ เสียงฟ้าร้องคำราม และเสียงสภาพอากาศภายนอกฟังแล้วใจหดหู่ แต่มีเพียงเสียงหนึ่งเสียงเดียวที่แว่วผ่านเสียงเม็ดฝนคือเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ในบ้าน มันกำลังรายงานข่าวสภาพอากาศ ศุวิลพยายามเงี่ยหูฟังการรายงานข่าว - -
“...เมื่อค่ำวานที่ผ่านมา--รายงานว่า สภาพอากาศทางตอนใต้ของประเทศ--จะมีลมปลอดโปร่ง มีหมอกเป็นหย่อมๆในบางพื้นที่ แต่ในเช้าวันนี้--ประหลาดขึ้น เมื่อผลการตรวจของทาง--รายงานข่าวผิดพลาด เมฆฝนเกาะรวมตัวกันอย่างหนาแน่น ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างเฉียบพลัน ความเร็วลมมากกว่า 50 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ทำให้บ้านเรือนในบาง--ตอนใต้ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ได้รับ--มากที่สุด... อีกสักครู่เราจะกลับมารายงานข่าวการเคลื่อนไหวของพายุฝนฟ้าคะนองอีกครั้งคะ ช่วงนี้--น่าสนใจกันก่อนคะ”
ศุวิลเดินก้าวเข้าไปใกล้และนั่งลงที่เก้าอี้ที่วางใกล้กับทีวีมากที่สุด เพื่อรอฟังข่าวการเคลื่อนไหวของพายุ
“เธอคิดว่ามันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติรึปล่าวหละเจ้าหนู” เสียงกระซิบฟังดูอ่อนล้าถามเขา เขาหันตัวกลับไปมองหาที่มาของเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นร่างของชายชราที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มีรอยปะชุนบนเสื้อผ้าตัวขาดๆ หน้าตาของชายชราผู้นี้ดูแล้วใจดีภายใต้ทรงผมที่ชุ่มน้ำ
“คุณเป็นใครหรือครับ”
“เป็นคำถามที่น่าฟังมากเจ้าหนู ฉันเป็นใครในตอนนี้คงบอกเธอไม่ได้ แต่บอกได้เพียงแค่ฉันเดินทางมาจากที่อันไกลโพ้น” ชายชราส่งสายตาเป็นเชิงเตือน “แล้วเธอจะรู้เอง ในภายหลังว่าฉันเป็นใคร” แล้ชายชราผู้นั้นจึงเดินผ่านธรณีประตูบ้านออกไป
ศุวิลไม่ทันตั้งตัว จึงลืมนึกไปว่า ขณะนี้ข้างนอกมีฝนพายุ เขารีบกระโจนไปเปิดประตู เพื่อมองหาชายชราผู้นั้น แต่...เขาหายไปแล้ว ศุวิลรู้สึกผิด --
รายงานข่าวพายุกลับมาอีกครั้ง
“พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้น ส่งผลให้โรงเรียนมากมายทางภาคใต้ต้องหยุดทำการสอนในวันนี้ เนื่องจากฝนพายุเพิ่มความแรงขึ้น รวมกับลูกเห็บที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย การจราจรในท้องถนนติดขัด ขณะนี้ทราบจำนวนผู้บาดเจ็บจากพายุครั้งนี้แล้ว 73 ราย ซึงยังไม่ทราบผลแน่ชัดในขณะนี้ คาดว่าจำนวนผู้บาดเจ็บจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ... ต่อไปเป็นข่าวการเมือง”
ศุวิลนั่งฟังการรายงานข่าวไปสักพัก ก่อนจะปิดโทรทัศน์และเดินจ้ำขึ้นไปบนห้องนอน สภาพอากาศในตอนนี้เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ศุวิลนอนขดบนที่นอนอยู่ลำพัง ในใจครุ่นคิดถึงคำพูดของชายชราที่เขายังคงไม่เข้าใจในตอนนี้ ลมหนาวที่สาดเข้ามาเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่ที่บ้านคนเดียวเพียงลำพัง “พ่อกับแม่จะเป็นไงบ้างตอนนี้” ศุวิลเริ่มคิดถึงพ่อและแม่ “ทำไมไม่ติดต่อกลับมาสักที” ความเบื่อหน่ายและความกังวลในตอนนี้เพิ่มมากขึ้น เมื่อเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้กระทั่งหยิบหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดมาอ่าน ก็ยังทำไม่ได้
เสียงลมและเสียงเม็ดฝน เริ่มทิ่มแทงหัวใจของเขา เขาทำได้เพียงแต่เดิน ยืน นั่ง และนอน --
เวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยง ท้องไส้ของศุวิลเริ่มบิดมวน เขาก้าวออกจากเตียง ลุกเดินไปยังเบื้องล่างอย่างช้าๆ ในใจนึกอยากทานอาหารอร่อยๆที่ไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูป แสงไฟจากห้องครัว ส่องปะทะกับสิ่งของที่วางอยู่รายรอบตัวห้อง กลิ่นหอมที่ลอยละล่องมาเป็นลำ สัมผัสจมูกศุวิล ท้องของเขายิ่งบิดตัวมากขึ้น เขาเพ่งมองลอดผ่านราวบันได สายตาส่ายหาต้นสายของกลิ่นหอมที่ลอยละล่อง อาหารรสเลิศมากมายวางอยู่บนโต๊ะในห้องครัว - - “แม่กลับมาแล้ว...” ศุวิลดีใจแล้วรีบวิ่งลงบันไดเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น