ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Do you believe in Destiny [ D.O x YOU ]

    ลำดับตอนที่ #2 : First

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 67


    “first”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “พิม” หญิงสาวที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของใส่กระเป๋าและมองดูอย่างนึกคิดว่าจะลืมเอาอะไรไปอีกไหม

    ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือ ที่ตนตั้งใจว่าจะเอาไปอ่านที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย เธอวางหนังสือและกลับมาเท้าสะเอวอีกครั้ง พร้อมกับเดินกลับไปหยิบเทียนหอมที่เธอชื่นชอบ 

    ทุกการกระทำของพิมที่เดินไปมา 2-3 รอบ ได้อยู่ในสายตาของ “เจน” ผู้เป็นเพื่อนสนิทของพิม เจนมองท่าทางของพิมอย่างเบื่อหน่าย ก็จะหันไปดุพิม

    “มึงทำลิสต์มั้ย จะได้หยิบทีเดียว กูเห็นมึงเดินมา 2 3 รอบละ เวียนหัวนะ” เจนบ่นคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย

    “ทำแล้ว แต่อันนี้นอกลิสต์ แหะๆ” พิมตอบด้วยท่าทีน่าเอ็นดู เพื่อไม่ให้เพื่อนของเธอรู้สึกรำคายไปมากกว่านี้

    “นี่มึงกะจะไม่กลับมาหากูเลยใช่มั้ย หอบไปเยอะขนาดนี้” เจนพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่ดูจะน้อยใจ เพราะด้วยสัมภาระที่เยอะมากเกินไป พิมที่เห็นเพื่อนสนิทของเธอพูดเช่นนั้น ก็รีบเดินไปกอดพร้อมกับเอาหัวไปพิงไว้ที่ไหล่ของเจน

    “บ้า กูต้องกลับมาอยู่แล้วทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อนสนิทสุดซี้อยู่ที่นี่กันหมด ไม่งอนน้า ๆ” พิมพูดพร้อมทั้งโยกตัวของเจนไปมา 

    “กูไม่ได้งอน แต่ก็กลัวว่ามึงจะต้องเสียค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเถอะ ดูสภาพกระเป๋ามึง จะปิดได้มั้ยก่อน” เจนพูดจบพร้อมทำท่าหันหน้าไปทางกระเป๋าเดินทางที่อัดแน่นไปด้วยของที่ไม่สามารถยัดของอะไรได้แล้ว

    “กูซื้อตั๋วแบบที่น้ำหนักกระเป๋าเยอะที่สุดแล้ว เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลย” พิมพูดพร้อมทำท่าแบบสบาย ๆ เพื่อไม่่ให้เพื่อนกังวล

    “แล้วนี่มึงเตรียมเอกสารครบยัง กูไม่พาวิ่งไปมาที่ปริ้นที่สนามบินนะ” พิที่ได้ยินเช่นนั้นก็เดินไปที่คอมพิวเตอร์ก่อนที่จะหยิบเอกสารมาโชว์ให้เพื่อนของเธอดู 

    “เยี่ยม เก่งมาก” เจนทำท่ายกนิ้วโป่งให้กับพิม เจนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองที่พิมอีกครั้งพร้อมกับคำถามจากเธอ

    “แต่กูงงอยู่ ว่ามึงสอบภาษาเกาหลีเพื่อไปเกาหลี แต่ได้สวิต.” เจนสงสัยกับสิ่งที่พิมต้องเจอ เพราะพิมอยากจะไปที่ประเทศเกาหลี เพราะอุตสาหกรรมเกี่ยวกับหนังสือที่เกาหลีค่อนข้างดี แต่พิมหวยออกได้ไปอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

    “ที่เกาหลีมันเต็มอะ เขาเลยให้เลือกประเทศอื่นเอา” พิมตอบทั้งที่หน้ายังอยู่ที่คอมพิวเตอร์เพื่อเช็คเอกสารอีกครั้ง

    “อ้อ แต่แอบเสียดายอยู่นะ เรียนเกาหลี เพื่ือไปเกาหลี เป็นกูกูคงร้องไห้” เจนที่ทำหน้าเสียดายแทนเพื่อน เพราะเจนเป็นติ่งเกาหลีขั้นสุด มันคงจะดีถ้าพิมไปอยู่่เกาหลี

    “ร้องไห้ทำไม” พิมที่ได้ยินอย่างนั้น ก็หันมามองเจนอย่างสงสัย 

    “ประเทศที่มีแต่อปป้า ดีจะตาย ใช้อากาศเดียวกันกับเอ็กโซอีก ฟินสุด” ในระหว่างที่เจนพูดก็หยิบหมอนมากอด พร้อมกับเอนตัวนอนไปกับเตียง 

    “สวิต.ก็มีคนหล่อเถอะ ไว้ถ้าเจอเดี๋ยวดีลให้” พิมที่ได้ยินเจนพูดเช่นนั้น ก็เดินไปนั่งอยู่ข้างๆ

    “โอเค ดีล แต่ว่าพรุ่งนี้มึงไปกี่โมงนะ” 

    “ตี 4 ครึ่ง”

    .

    .

    .

    2:16 am. @ SuwannaPham Airport

    “หนูเตรียมของครบรึยังพิม ไม่ลืมอะไรใช่ไหม” เสียงผู้เป็นพ่อที่กำลังถามไถ่ลูกอย่างเป็นห่วง

    “เตรียมครบหมดแล้วจ้า ไม่มีลืมแน่นอน” พิมที่ตอบพ่ออย่างเสียงใส เพื่อลดความกังวลให้กับพ่อ

    “พ่อก็เป็นห่วงไป พิมมันโตขนาดนี้แล้ว มันจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว” แม่ที่เห็นพ่อดูเป็นห่วงลูกจนเกินเหตุ เลยพูดยับยั้งไม่พ่อเป็นกังวลจนมากเกินไป

    “จริงแม่ พ่อดูตัวพิมมัน ของครบจนเกินแล้วมั้งนั้น” พี่พู่ผู้เป็นพี่สาว ก็พูดสนับสนุนแม่ พร้อมทั้งให้พ่อดูสิ่งของบนตัวพิม ทั้งผ้าปิดตา หมอนรองคอ และตุ๊กตา ถ้าหากไม่มีใครบอกว่าเคยไปเรียนต่างประเทศมาแล้ว ก็นึกว่าเป็นมือใหม่ในการไปต่างประเทศเสียอีก

    “แหะๆ ดูเต็มไปหรอ” พิมพูดทั้งมองตัวเองก่อนจะมองมาทาพี่สาวก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อน

    “ไม่น่าถาม”  พี่พู่พูดพร้อมทั้งมองตาขว้างก่อนจะเดินไปกอดคอพิมผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ

    “แม่ว่าถึงเวลาเช็คอินได้แล้วนะ ดูจากเลขเกทแล้วน่าจะเดินไกลอยู่” แม่พูดพร้อมทั้งมองนาฬิกาและมองไปที่ป้ายแสดงเที่ยวบิน 

    “โอเค งั้นหนูไปเช็คอิน แล้วเดี๋ยวพวกพ่อไปรอตรงรูปปั้นยักษ์ จะได้ถ่ายรูปกัน” พ่อพูดพร้อมทั้งมองไปที่ยักษ์ก่อนที่จะหันกลับมามองที่ลุกสาวทั้งสอง 

    “ยักษ์อีกแล้วหรอ/ยักษ์อีกแล้วหรอ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน

    “ฮ่า ๆ ๆ  เอาหน่า เดี๋ยวไปรอตรงนู้น พู่ก็พาน้องไปเช็คอิน”

    “โอเคจ้า ไปไอพิม” ทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไปที่ๆ ควรจะต้องไป ในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เช็คกระเป๋าและพาสปอร์ต พิมก็ได้หันมาถามผู้เป็นพี่สาว

    “พี่ว่า พ่อจะโอเคมั้ย” พิมหันไปมองหน้าพี่สาวด้วยแววตาที่ดูเศร้าๆ 

    “เรื่องอะไร ที่แกไปเรียนต่ออะนะ” พิมที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าเพื่อแสดงคำตอบ

    “ทำไมถึงเครียดเรื่องนั้นอะ พี่ว่าพ่อไม่เครียดหรอก แกก็เคยไปเรียนต่อแล้วหนิ” พู่ที่เห็นอาการน้อง ก็ตอบด้วยความสบายใจกับเรื่องที่พิมกังวัล เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

    “ครั้งนั้นกับครั้งนี้ไม่เหมือนกันสิ รอบนี้ 4 ปีเลยนะ” พิมที่ยังไม่หายกังวลกับเรื่องพ่อ ก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลอยู่

    “เอาหน่า วีดิโอคอลได้ หรือไม่แน่ถ้าพ่อเป็นห่วงมากๆ ก็คงบินไปหาแกแหละ” พู่ก็ยังคงตอบด้วยน้ำใสที่ไร้กังวล เพราะเขารู้ว่าพ่อของเขาทั้งสองจะมีวิธีเพื่อเช็คว่าลูกสาวปอดภัยไหม

    “ถ้ามาหา พี่ต้องมาด้วยนะ ห้ามบิด” พิมชี้หน้าใส่ผู้เป็นพี่ เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจน

    “ถ้าไม่ติดงานอะนะ” พู่ยักไหล่ใส่น้อง 

    “ไม่รู้แหละๆ ต้องมา” หลังจากที่ทั้งคูู่จบบทสนทนา พนักงานก็ยื่นพาสปอรตพร้อมทั้งตั๋วเครื่องบินและบอกรายละเอียดอีกครั้ง

     

    หลังจากที่ทั้งคู่ได้ทำการเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปยังที่ๆ พ่อได้นัดหมายไว้ แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่เดินคุยกันตามประสาพี่น้องก็มีชายหนุ่มที่เดินอย่างเร่งรีบมุ่งมาทางพิมและพู่ ด้วยความที่ชายหนุ่มคนนั้นเดินอย่างไม่ดูทางก็ได้เดินเข้าอย่างจังกับพิม

    “โอ้ย!” พิมที่โดนชนเข้าอย่างจังก็อุทานออกมา

    “ขอโทษค่ะ / I’m sorry” เมื่อทั้งคู่เห็นว่าเดินชนอีกคน ก็รีบทำการขอโทษ พิมที่เห็นว่าคนที่เดินชนเธอเป็นชาวต่างชาติ ที่ลักษณะปิดแมสขาวใส่หมวกสีครีม 

    “Oh, I’s ok- อ้าวไปแล้ว” พิมที่กำลังหันไปตอบ ก็ไม่วี่แววของคนที่เดินมาชนเธอ 

    “เขาดูรีบเนาะ คงปวดขี้มั้ง” พู่ที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ก็ตอบแบบกวน ๆ ใส่น้องสาว

    “บ้า เขาอาจจะรีบเพราะจะตกเครื่องก็ได้” พิมที่หันมาดุพี่สาวกับคำพูดที่ดูกวน ๆ 

    “แล้วเมื่อกี๊แกจะไปขอโทษเขาทำไม เขาเดินมาชนแก” พู่ที่ได้ยิว่าน้องสาวหันไปขอโทษ ทั้งที่ตัวเองไม่ผิด 

    “แหะ มันติดปากอะ” พิมก็หันกลับมายิ้มกับพี่สาว

    “พิม พู่ มาเร็ว!” เสียงตะโกนจากผู้เป็นพ่อ ที่เรียกลูกสาวดังสนั่นสนามบิน

    “กำลังไปจ้า” พู่ที่ได้ยินก็หันไปตอบกำลัง ก่อนที่จะหันมาถามน้องสาว

    “แล้วแกเจ็บตรงไหนมั้ยเนี่ย วิ่งมาชนซะแรงเชียว” พู่พูดพร้อมทั้งจับหัวไหล่ของพิมเพื่อเช็คว่าน้องสาวบาดเจ็บตรงไหนไหม

    “ไม่ๆ รีบไปเถอะ พ่อกับแม่น่าจะรอนานละ” หลังจากที่พิมพูดจบ ก็พากันรีบเดินไปยังตรงที่พ่อกับแม่รออยู่

    .

    .

    .

    .

    “เอาล่ะ คราวนี้ต้องบอกลากันจริงๆละ” พิมพูดพร้อมทั้งกลั้นน้ำตาอยู่ในใจ เพราะภาพตรงหน้าของเธอจะเป็นภาพที่เธออาจจะได้เจอไปอีก 4 ปี 

    “โชคดีนะลูก เดินทางปลอดภัยถ้ามีอะไรทั้งมาหาพ่อกับแม่ได้ตลอดนะ” แม่ผู้ที่เริ่มกล่าวคำลาก่อนพร้อมทั้งลูบหัวของพิมอย่างอ่อนโยน 

    “ไปถึงนู้นแล้วทักมาบอกกันด้วยนะ ไม่ใช่หายไปเลย คนที่นี้เป็นห่วง ใช่มั้ยพ่อ” พู่พูดลาพร้อมทั้งโอบไหล่พ่อ และปิดท้ายประโยคเพื่อส่งให้พ่อพูดต่อ

    “ไปที่นู้นดูแล ตัวเองดีๆนะลูก อย่าให้ใครมาทำร้ายเราได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นครอบครัวเราพร้อมโอบรับลูกเสมออย่างที่เป็นมาตลอด อยู่นู้นก็ทักมาหาพ่อกับแม่บ้างนะ คนแก่คิดถึง” พ่อพูดพร้อมทั้งน้ำตาคลอ เพราะลุกสาวคนที่เขาค่อยถนุถนอมมาโดยตลอดกำลังจะออกไปใช้ชีวิต อย่างห่างสายตา 

    “พ่อเชื่อใจได้เลยว่าหนูอยู่ได้ หนูโตแล้วนะ ดูตัวหนูซะก่อน” พิมบอกกับพ่อด้วยน้ำใสที่ร่าเริง เพื่อไม่ให้พ่อที่เป็นห่วงต้องกังวล 

    “โอเค พ่อเชื่อใจหนู” พ่อพูดจบ ก็เข้าไปกอดพิมพร้อมกับลูบหัว จนทำให้พิมเริ่มรู้สึกร้อน ๆ ที่ตา 

    “แล้วก็อย่าลืมเอาผู้ชายมาฝากพี่แกด้วยนะ จะ 30 อยู่แล้วยังไม่แต่งงานอีก” แม่ที่เห็นบรรยายที่ซึ้งจนจะร้องไห้กันไปตามๆกัน ก็เอยคำพูดจาที่ตลกร้ายออกมา

    “หนูเกี่ยวอะไร” พู่ที่ได้ยินเช่นนั้น ก็หันมาถามแม่เธออย่างสงสัย

    “ได้เลยแม่ เดี๋ยวหนูจะหามาให้”  พิมพูดทั้งขำออกมาจากบทสนทนาของแม่และพี่สาว 

    “เอาล่ะ หนูไปจริงๆ แล้วนะคะ” พิมที่ทำท่ากระชับกระเป๋าสะพาย และมองดูครอบครัวตรงหน้า ที่อยู่ข้างเธอมาโดยตลอด วันนี้คงจะเป็นอีกครั้งที่เธอจะต้องจากครอบครัวไปทำหน้าที่ของเธอเป็นเวลา 4 ปี 

    “ป่ะ เดี๋ยวพ่อพาไปส่งตรงบรรไดเลื่อนเลย” พ่อพูดทั้งเดินนำไปทางบรรไดเลื่อน

    พิมเดินไปตามพ่อก่อนที่เธอจะเดินนำไปที่บรรไดเลื่อน และก้าวขึ้นไปตามขั้นบรรได เธอเริ่มรู้สึกว่าที่ตาของเธอมีน้ำตาไหลออกมา เพราะความคิดถึงที่เริ่มประทุขึ้นฉับพลัน จนทำให้เธอต้องหันกลัับหลังไปมองกลุ่มคนที่เธอคนคิดถึงมากที่สุด ในตอนนี้พวกเขาห่างกับเธอเพียงบรรไดไม่กี่ขั้นกับความรู้สึกคิดถึงที่มีมากขนาดนี้ เธอนึกไม่ถึงเลยว่า ถ้าหากเธอไปถึงที่หมายแล้วความรู้สึกคิดถึงนั้น จะเพิ่มมากไปขนาดไหน…

    .

    .

    .

    .

    พิมที่เดินถึงหน้าประตูทางเข้าเครื่องบินของเธอแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพนักงานและเครื่องบินลำที่เธอต้องขึ้น เธอเลยตัดสินใจเดินไปซื้อขนมแถวๆนั้น เพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา

    เธอเดินมาถึงหน้าร้านขนมก็เดินเข้าไปข้างในเพื่อเลือกซื้อของที่จะไปนั่งกิน ในระหว่างที่เธอกำลังเลือกซื้ออยู่ จู่ๆโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอใช้มือข้างขวาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะพบว่า เพื่อนสนิทของเธอได้โทรศัพท์มาหา

    “ฮัลโหล ว่าไงมึง”

    ‘เข้าเกทแล้วก๊ะ’ เป็นเสียงของเจนที่กำลังสลึมสลืออยู่บนที่นอน

    “เขามาได้สักพักแล้ว นี่มึงเพิ่งตื่นหรอ”

    ‘เปล่า กูยังไม่ได้นอน’

    “ห้ะ ทำไมยังไม่นอนอะ” พิมถามเพื่อนของเธออย่างสงสัย เพราะปกติเวลานี้เจนจะต้องนอนแล้ว

    ‘คือกูกำลังจะนอนแหละ แต่ตามันตื่นเพราะมีคนบอกเจออปป้ากูอยู่ไทย’ พิมนึกในใจว่า วันนี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมารอที่สนามบิน ตามแบที่เธอเคยเห็น

    “ใคร พี่แบคหรอ” เพราะเธอรู้ว่าคนที่เพื่อนเธอหลงใหล คือ แบคฮยอน วง EXO

    ‘ผิด ดีโอ ค่ะ’ พิมที่ได้ยินคำตอบก็ทำหน้าสงสัยพร้อมกับเอาโทรศัพท์แนบหูไว้ เพื่อจะเตรียมตัวจ่ายตังค์

    “ดีโอ คนไหนวะ” พิมถามด้วยความสงสัย เพราะเธอเองก็จำไม่ค่อยได้ว่าแต่ละคนใน EXO หน้าตาเป็นอย่างไร

    ‘ก็คนที่มึงบอกว่า เสียงนุ่มเหมือนเชลโล่อะ’ พิมที่ได้ยินคำตอบของเพื่อนก็ร้อง “อ้อ” ออกมา

    “แล้วเขามาทำอะไรที่ไทย” 

    ‘อันนี้ก็ไม่ทราบเลยว่ามาทำไม แต่แบบไม่ได้มาไทย แต่อยู่สนามบินไทยอะ เก็ทป่ะ’

    “อ่าๆ เก็ทๆ แล้วเขาจะมาทำอะไรที่นี้ ทรานเฟอร์หรอ”

    ‘คงจะใช่มั้ง แต่ถ้าเจอก็ฝากถ่ายหน่อย เอ้ย  ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเขาอึดอัด’

    “เอาเป็นว่าถ้าเจอ เดี๋ยวบอกละกัน” แต่พิมเองก็จำไม่ได้ว่าหน้าตาของเขา เป็นยังไง

    ‘เคมึง แต่กูมีเรื่องเด็ดกว่านั้น’ เจนจากที่เสียงสลึมสลือ แต่กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พิม

    “อะไรอะ” พิมที่ได้ยินเช่นนั้น ก็พลันตื่นเต้นไปด้วย จนทำให้เธอรีบเดินไปที่นั่งรอ เพื่อที่จะได้นั่งคุยกับเพื่อได้อย่างสนุกแต่เธอไม่รู้เลยว่า…

    คนที่เธอเดินผ่านตรงโซนที่นั่งไปเมื่อสักครู่นี้ คือคนก่อนหน้านี้ที่เธอพูดถึง…

    .

    .

    .

    .

    .

    @ the airplane

    พิมที่เดินมายังโซนที่นั่งของเธอ ก็จัดการวางสัมภาระและคาดเข็มขัดอย่างแน่นหนา เธอเริ่มทำการสำรวจสิ่งบริเวณรอบๆตัวเธอก็ที่รู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งข้างๆของเธอ เธอสังเกตุได้ว่าเป็นชาวต่างชาติหญิงวัยสูงอายุ เมื่อหญิงคนนั้นหันมามองหน้าเธอ เธอได้ทำการยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น ก่อนที่เธอจะสังเกตุเห็นว่าพาสปอร์ตขอคนข้างๆตกอยู่ที่พื้น เธอจึงก้มตัวลงไปหยิบแล้วมาคืนให้กับเจ้าของ

    “Excuse me, You dropped your passport.”  พิมได้ทำการยื่นของให้กับหญิงสูงอายุ

    “โอ๊ะ ขอบคุณนะจ๊ะ ให้ตายเถอะฉันทำของสำคัญหล่นได้ยังไงกัน”

    “ไม่เป็นไรค่ะ เป็นคนไทยหรอคะ” เธอถามไปด้วยความสงสัย เพราะนึกอายที่พูดภาษาอังกฤษใส่

    “เป็นคนสวิต.นี้แหละจ่ะ แต่พูดไทยได้” หญิงสูงสัยตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

    “แต่คุณน้าพูดไทยเก่งมากเลยนะคะ ออกเสียงได้ชัดมาก” พิมกล่าวชมไป ถึงแม้น้ำเสียงอาจจะยังดูติดเป็นสำเนียงชาวต่างชาติอยู่เล็กน้อย เพื่อเป็นการไม่ทำให้บรรยายดูอึดอัด

    “จริงหรอจ๊ะฉันเพิ่งเริ่มเรียนภาษาไทยได้ไม่นานนี้เอง” เธอกล่าวรับคำชมอย่างถ่อมตัว

    “ฉันไปฟรีบรู์เพื่อจะกลับบ้าน แล้วเธอล่ะไปทำอะไรที่นั้น” หญิงสูงวัยชวนพิมคุยอย่างเป็นมิตร

    “อ้อ หนูไปเรียนต่อที่นู้นค่ะ” เธอทำสีหน้าอย่างมีความสุข เพราะที่นั้นก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เธอฝันว่าอยากจะไปอยู่อาศัย

    “อ้อ เธอฝันว่าจะไปอยู่ที่นั้นใช่มั้ย” พิมที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหน้าหญิงสูงวัยอย่างตกใจ ราวกับเขาอ่านใจเธอออก

    “ไม่ต้องตกใจ เพราะที่นั้นเป็นที่ๆใครๆก็อยากจะไปอยู่อาศัย อาจจะรวมถึงคนที่เธอเคยเดินชนมาแล้ว” พิมที่ได้ยินประโยคต่อมาก็ยิ่งตกใจ ราวกับหญิงแก่ที่นั่งอยู่ข้างเธอตอนนี้ทั้งเห็นเหตุการณ์และอ่านใจเธอออก

     

    พิมตาค้างไปสักพักที่หญิงสูงวัยที่เห็นท่าทางของพิมก็หัวเราะในลำคอ และเหลือบสายตาไปมองที่กระเป๋าของพิม พร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้เธอประหลาดใจมากกว่าเดิม

    “ใบโคลเวอร์ที่เคยห้อยอยู่ที่กระเป๋าของเธอ อีกไม่นานเธอจะได้มันกลับมา” หญิงสูงวัยพูดพร้อมทั้งมองตาของพิมอย่างอ่อนโยน จนทำให้พิมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน จนทำให้เธอมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไป

    “คุณน้า ระ…รู้ได้ไ-” แต่ไม่ทันจะได้ถามก็แอร์โฮสเตสสาวเดินมาที่นั่งของเธอและหญิงสูงวัย

    “Sorry madam, this seat isn’t your seat. Let me take you to you space” หลังจากที่แอร์โฮสเตสสาวกล่าวขอให้หญิงสูงวัยย้ายไปยังที่นั่งของเขา ก่อนที่เธอจะลุกออกไปเธอก็หันมาบอกประโยคอำลากับพิม  ที่นั่งทำหน้าตาสงสัยที่ประโยคคำพูด

    “Do you believe in Destiny, I hope you do. Good luck” หญิงสูงวัยได้เดินออกไปจากที่นั่งข้างๆของพิม และกลายเป็นหญิงสาววัยใกล้เคียงกับพี่สาวของพิมมานั่งแทน และปล่อยให้พิมตกอยู่ในภวังค์กับคำถามมากมายที่อยู่ในหัวของเธอ จนทำให้เธอต้องหันไปมองที่หน้าต่างนั่งทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    @ Fribourg airport

    เป็นเวลารวมเกือบหลายชั่วโมงที่พิมอยู่บนเครื่องบิน ถึงแม้ว่าจะมีเวลได้พักผ่อนบนเครื่องบิน แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่เครื่องจะออกทำเอาเธอใช้เวลานานในการข่มตาหลับ แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เธอนอนหลับได้สบาย เพราะเธอเอาเรื่องนี้เก็บไปฝันจนเหมือนจะได้คำตอบจากในฝัน แต่ฝันก็สลายไปพร้อมกับเสียงของแอร์โฮสเตสที่ประกาศว่าอีก 10 นาที เครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินฟรีบูร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

    ในระหว่างที่พิมกำลังรอกระเป๋าเดินทาง เธอก็เลือบไปมองที่พวกกุญแจถุงนำโชคสีแดงที่เธอได้มาจากที่พ่อบินไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ยังแปลกตาสำหรับเธอ เพราะไม่มี ‘พวงกุญแจใบโคลเวอร์’ ที่เธอถักเองกลับมือ แต่เมื่อเธอมองก็ทำให้นึกถึงคำพูดของหญิงสูงวัยที่เธอเจอบนเครื่องบิน 

     

    ‘ใบโคลเวอร์ที่เคยห้อยอยู่ที่กระเป๋าของเธอ อีกไม่นานเธอจะได้มันกลับมา’

    พิมที่นึกถึงคำพูดชวนสงสัยของหญิงสูงวัยคนนั้น จนเธอทำหน้าตาสงสัยไปมาอย่างไม่หยุดคิด

    จนเธอมองไปเห็นกระเป๋าลากสีน้ำตาลใบโปรดของเธอ ก็ได้ทำการหยิบก่อนที่จะดึงที่จับขึ้นมาเพื่อลากออกไปข้างนอก 

    “สรุปแล้วคุณน้าคนนั้นเป็นใครกันนะ หมอดูหรอ บ้าบอ” พิมก็ยังคงไม่หายสงสัยกับตัวตนของผู้หญิงคนนั้น จนทำให้เธอต้องเอยปากพูดกับตัวเองออกมา 

    พิมที่ลากกระเป๋าเดินทางออกมาที่ประตูทางออก ก่อนที่เธอจะหยิบโทรศัพท์ขึ้น เธอก็ได้มองหา “โรแลน” ลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เคยเจอกันที่ไทยแล้วครั้งหนึ่ง แต่เธอก็ไม่เห็นวี่แววของโรแลน เธอเลยตัดสินใจเดินไปที่ร้านขายซิมการ์ดบริเวณนั้น เพื่อหาสัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อกับโรแลน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่พิมที่ต้องการสัญญาณโทรศัพท์ดูจากการต่อแถวที่ยาวจนน่าตกใจ อาจจะเป็นเพราะดูเหมือนจะมีอยู่ไม่กี่ร้านที่เปิดให้บริการ เธอเลยจำเป็นที่จะต้องต่อแถวรอเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ในระหว่างที่รออยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มใส่เสื้อโค้ทสีดำ รูปร่างคล้ายนายแบบชื่อดังที่ใครมองมาเป็นอันต้องหยุด แต่สิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้ทำอยู่คือการแอบมองพิม และค่อยเดินไปใกล้พร้อมกับสะกิดไหล่ของพิม

    “ถ้าซื้อตรงนี้ราคาจะแพงนะ” พิมที่ได้ยินภาษาบ้านเกิดของตัวเองและน้ำเสียงที่เธอจำได้ดีว่าเป็นใคร เธอเลยหันมาก่อนจะตีแขนโรแลนเบาๆ 

    “แล้วไหนบอกจะมารอตรงประตูทางออกเลย ขี้โม้หนิหว่า” พิมพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงดเล็กน้อย เพราะก่อนที่จะมาทำการนัดกันไว้ว่าโรแลนมาจะรอตรงประตูทางออก เพราะพิมรู้ดีว่าพอเธอมาถึงเธอจะไม่มีสัญญาณในการสื่อสาร 

    “แล้วใครจะไปคิดว่ายูจะออกมาเร็วขนาดนี้ ไอก็นั่งซดกาแฟรอสิ” โรแลนพูดด้วยเสียงที่ดูใจเย็น พร้อมกับเล่าถึงเหตุการณ์เกิดขึ้น

    “โอเค ถือว่าเข้าใจได้ แลวเรื่องซิมอะ คือยังไง ไอควรรอต่อไปหรือว่ายังไง” พิมทวงถามโรแลนเรื่องซิมอีกครั้ง 

    “งั้นยูออกมาเลยก็ได้ เดี๋ยวพาออกไปซื้อของนอก” โรแลนพูดแล้วก็ลากทั้งกระเป๋าเดินทางและตัวของพิมออกมาจากแถว ก่อนที่จะพาเดินออกไปทางที่จอด แต่ในระหว่างที่กำลังเดินออกไปทางลานจอดรถ พิมก็เจอเข้ากับร้านขายดอกไม้ในสนามบิน 

    “โรแลน หยุดก่อนแป๊บนึงได้มั้ย ไออยากซื้อดอกไม้ร้านนี้” พิมที่จับไปที่แขนของโรแลนก่อนที่จะเอ่ยขอให้เขาหยุดเดิน โรแลนที่เห็นท่าทางตื่นเต้นของพิม ก็ทำท่าผายมือเพื่อสื่อว่า ‘ตามสบาย’ พิมที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเดินไปที่ร้านดอกไม้ เธอจำได้ว่าเมืองนี้ส่วนใหญ่จะชอบพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส เธอเลยถือโอกาสนี้ฝึกพูดภาษาฝรั่งเศส

    ฉันเอาดอกดีเลียสีเหลือง 6 ดอกค่ะ (ภาษาฝรั่งเศส)” พิมพูดพร้อมทั้ง เอานิ้วไปชี้ที่ดอกดีเลีย พร้อมทั้งทำนิ้วไปเลข 6 เพื่อแสดงจำนวนที่อยากได้ แม่ค้าร้านดอกไม้ที่เห็นแบบนั้น เธอจึงหยิบดอกดีเลียมา 6 ดอกและยืนมาให้กับพิมด้วยรอยยิ้ม พิมยื่นมือไปรับพร้อมทั้งจ่ายเงินให้กับแม่ค้าและกล่าวขอบคุณก่อนที่เธอจะเดินตรงมาหาโรแลน

    “ซื้อไปทำอะไรอะ ไหว้พระหรอ” โรแลนที่งงกับสิ่งที่พิมซื้อมา ด้วยสภาพดอกไม้คล้ายกับดอกดาวเหลืองที่ไทย ทำให้โรแลนนึกถึงตอนที่ครอบครัวพาไปไหว้พระแล้วถือดอกไม้แบบนี้

    “บ้า อันนี้ดอกดีเลีย ไม่ใช่ดาวเหลือง ไอจะเอาไปตกแต่งบ้าน” พิมพูดทั้งยิ้มพร้อมกับค่อยๆจับไปที่ดอกดีเลีย 

    “ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นไปมากกว่านี้” โรแลนมองไปที่นาฬิกาข้อมือที่เวลาตอนนี้เริ่มจะเย็นแล้ว พิมที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าให้สัญญาณว่าพร้อมไปแล้ว ทั้งคู่จึงเดินไปที่ลานจอดเพื่อไปขึ้นรถของโรแลน

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    @ fribourg 

          โรแลนขับรถมาเทียบกับบ้านที่พิมจะต้องมาอยู่อาศัยเป็นเวลา 4 ปี พิมที่เห็นบ้านขนาดเล็กที่ไม่ได้ดูเหงา แต่ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ  โชคดีที่ครอบครัวโรแลนเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นบริษัทก่อสร้างอีกด้วย ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่คุณแม่ของโรแลน หรือว่าป้าของพิมเป็นคนออกแบบเอาไว้ให้ลูกชายอยู่ แต่ด้วยลูกชายต้องชอบการใช้ชีวิตในเมืองมากกว่าอยู่ในชนบท ทำให้ต้องปล่อยบ้านหลังนี้เช่าไป แต่ความที่บ้านขนาดเล็กจริงไม่ค่อยมีใครสนใจจะเช่า จึงทำให้พิมเป็นได้มาอาศัยบ้านนี้อยู่แทน 

           พิมที่มีท่าทางตื่นเต้นกับบ้านหลังแรกในชีวิตของเธอ เธอเริ่มสำรวจทุกอย่างบรรจง ตั้งแต่ทางเข้าบ้านจนถึงบริเวณลานหน้าบ้าน ที่เหมาะแก่การดื่มชาในยามเช้า เธอมองประตูบ้านที่เป็นลายไม้อย่างชอบใจ ก่อนจะหันไปขอกุญแจจากโรแลน โรแลนนำกุญแจมาวางไว้บนมือของพิม เธอรีบหันไปไขกุญแจเพื่อที่จะเข้าบ้าน เมื่อประตูเปิดออก ทำให้เห็นฟอนิเจอร์สีขาวตัดกับพื้นไม้อ่อนและมีแสงแดดยามเย็นเล็ดลอดเข้ามา ทำให้้ตัวบ้านดูอบอุ่นมากขึ้นทันที่ พิมที่ให้บรรยายกาศเป็นเช่นนี้ เธอก็ยิ้มออกมาอย่างเก็บไว้ไม่ได้ เดินหันหลังไปดูในโซนห้องครัวก็มีอุปกรณ์ให้ครบหมด ไม่ว่าจะทำอาหาร หรือทำขนมประเภทไหน เธอก็สามารถลงมือทำในครัวแห่งนี้ได้ เธอค่อยๆเดินไปดูในโซนห้องหนังสือ เธอได้ยินมาว่าคุณแม่ของโรแลนหอบหนังสือที่ท่านเคยอ่านมาไว้ในห้องนี้ทั้งหมด เพราะได้ยินมาว่าพิมชอบอ่านหนังสือนอกจากชั้นหนังสือที่มีอยู่เต็มพนังห้อง ก็มีโซฟาสีเขียวแก่พร้อมกับโต๊ะหน้าโซฟาลายไม้อ่อนที่มีเทียนหอมตั้งอยู่ เดินตรงไปอีกจะเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ ที่มีเตียงคิงไซส์วางไว้ที่หันไปเห็นวิวที่เป็นพื้นหญ้าและภูเขา 

    พิมที่ทำการเช็คทุกห้องทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินมาหาโรแลนที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะเอ่ยปากชมเรื่องการออกแบบบ้าน

    “ไอฝากยูไปบอกคุณป้าหน่อยว่าออกแบบมาดีมากๆเลย ไอถูกใจสุดๆ” พิมชมออกมาก่อนที่นั่งลงที่โซฟา และมองไปที่โรแลนกำลังกดโทรศัพท์อย่างมุ่งมั่ง

    “ได้ๆ แต่ว่าเดี๋ยวไอต้องไปแล้วอะ มีนัดเพื่อนต่อ ซิมการ์ดกับเบอร์ที่บ้านไอวางไว้บนโต๊ะกินข้าวนะ แล้วก็ถ้าอยู่หิวหาอะไรกินในตู้เย็นได้เลยนะ แม่ไอให้คนเอาของกินไปไว้ในตู้เย็นกับตู้ใส่ของเรียบร้อยแล้ว ไอไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” หลังจากที่โรแลนร่ายยาวเสร็จก็เดินออกจากบ้านไป ไม่ทันที่พิมจะบ่อยขอบคุณหรือบอกลาสักคำ แต่เธอก็คิดได้ว่าเดี๋ยวค่อยไปขอบคุณที่หลังก็ได้ 

     

    พิมที่ได้ยินว่ามีของกินอยู่ในตู้เย็นก็รีบกระเด้งตัวออกจากโซฟาก่อนไปที่ตู้เย็นและรีบทำการทำอาหารเย็นให้ตัวเองทาน

    มื้อเย็นของพิมในวันนี้เป็นผัดมักกะโรนีและซุปสาหร่าย เธอเริ่มทำการรับประทานอาหารก่อนจะเหลือบมองไปที่ดอกดีเลียที่ซื้อมาจากสนามบิน และค่อยๆหยิบช่อดอกดีเลีย  และค่อยๆลูบใบของมันก่อนมองอย่างบรรจง แต่หารู้ไม่ อีกฝากโลกของเธอ คนๆ นั้นก็กำลังนอนกอดดอกดีเลียอยู่เช่นกัน…

    .

    .

    .

    .
          

    .

     

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ หากมีข้อผิดพลาดตรงไหนสามารถติชม และ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

     

     

     

    6.12 pm.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×