ตอนที่ 7 : บทที่ 4 จุดสิ้นสุด
เมื่อคำกล่าวข่มขู่ที่คุกคามเป็นอย่างยิ่งออกมาจากปากของแม่ทัพดาบสวรรค์ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินในตอนนี้ และไม่ใช่แค่ในอาณาจักรหยาซานเท่านั้นที่ความแข็งแกร่งของแม่ทัพดาบสวรรค์ผู้นี้เป็นที่รู้จัก ด้วยพลังที่เข้าใกล้ขีดจำกัดของมนุษย์เข้าไปทุกทีของเขา มันจึงทำให้แม้แต่แควนใกล้เคียงที่พยายามที่จะก่อความวุ่นวายหรือต้องการครอบครองแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ยังไม่กล้าที่จะทำอะไรรุนแรงหรือโจ่งแจ้งมากนัก
การที่ตระกูลจากที่คิดว่าตนเองแข็งแกร่งและน่ากริ่งเกรงมากพอจนสนับสนุนแผนการของจางฮองเฮา จนกระทั่งไปลูบเอาเกล็ดย้อนของมังกรจนทำให้หลี่เจี้ยนเทียนถึงกับระเบิดโทสะออกมาจนท้องพระโรงแทบจะพังทลายเช่นนี้มันกลับสร้างผลกระทบที่สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน
‘คำไหนคำนั้น’คือคติประจำใจของท่านแม่ทัพหลี่ยึดถือเสมอมา คำพูดของเขานั้นมีค่ายิ่งกว่าทองคำหรือเงินตำลึงใดๆ ที่ใครอยากได้ แต่เมื่อวาจาอันสัตย์ซื่อและเถนตรงของแม่ทัพดาบสวรรค์ผู้ปราบทุกสรทิศกล่าวออกมาเช่นนี้มันจึงทำให้แม้แต่จางเทียนจี้ที่ปกติจะคอยขัดขวางทุกความคิดหรือการกระทำของอีกฝ่ายมาโดยตลอดยังอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
เพราะจริงๆ แล้วทั้งสองนั้นถือได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่รู้จักและสนิทกันมากๆ คู่หนึ่ง แต่ด้วยเรื่องของหัวใจที่ทำให้ทั้งสองไม่ลงรอยกัน ทำให้จางเทียนจี้ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับหลี่เจี้ยนเทียนมาตั้งแต่บัดนั้น
แต่ทั้งนั้นทั้งนี้แล้วจางเทียนจี้ก็เคยเป็นคนที่รู้จักเจ้าไม้หน้าเดียวคนนี้ดีที่สุดคนหนึ่ง จึงเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายในตอนนี้นั้นกำลังเดือนแค่ไหน ในที่สุดเขาจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วยอมลงให้อีกฝ่าย เพราะหากตนยังจะดำเนินแผนการของพระมเหสีอีกต่อไปล่ะก็ ปีศาจที่ถูกคุมขังด้วยภาระหน้าที่มาตลอดหลายปีอาจจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยโทสะก็เป็นได้
แต่ครั้นจะยอมรับความจริงนั้นมันก็ไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะโทษของการหลอกลวงเบื้องสูงนั้นมันเป็นอะไรที่หนักหนาเกินไป และเขาก็ไม่คิดจะยอมเสียทุกอย่างไปอยู่ดี ดังนั้นจึงได้แต่เลือกวิธียืดเวลาของเรื่องราวออกไป ก่อนที่จะหาแพะสักตัวสองตัวมารับโทษ แล้วค่อยโยนความผิดไปให้ต่างแคว้นไม่ก็พวกคนเถื่อนเอาอีกที ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้อาจจะจบลงที่การล่มสลายของแผ่นดินนี้จริงๆ ก็เป็นได้...
อีกด้านหนึ่ง....
“...” ในขณะที่เหล่าทหารมากมายหลายหน่วยต่างกันพากันออกไปสืบค้นหาความจริง ว่าที่พระสนมเอกก็ได้ถูกกับบริเวณอยู่ในตำหนักโดยห้ามไม่ให้มีบุคคลใดเข้าออก ภายในตำหนักแห่งนี้จึงมีเพียงแค่หญิงสาวที่นั่งมองหน้าต่างด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา ซึ่งห่างออกไปมีสองสาวใช้ที่กำลังมองด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย
จริงๆ แล้วนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเหลียนฮวาเลยก็ว่าได้ หากไม่นับการจากไปอย่างไม่หวนคืนของมารดาด้วยโรคประหลาดเมื่อครั้งที่นางยังเล็กอยู่ ซึ่งจริงๆ เหตุการณ์ในครั้งนั้นมันอาจจะไม่เจ็บปวดเท่าครั้งนี้ด้วยซ้ำ เพราะในครั้งนั้นนางยังเป็นแค่เด็กน้อยที่เพิ่งจะรู้ความได้ไม่นานนัก
แต่ในครั้งนี้มันแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในครั้งนี้นั้นมันส่งผลกระทบต่อจิตใจของนางเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ไหนแต่ไรนางนั้นก็เติบโตมาท่ามกลางคนที่รักและเอาใจใส่นางอย่างดีมาโดยตลอด เป็นคุณหนูในห้องหอที่มีกิจวัตเพียงแค่การเรียนและการเล่น
ไม่แล้วนางก็จะออกไปเล่นนอกจวนกับพี่ๆ ที่คอยดูแลนางอยู่เสมอ จนกระทั่งในวันที่ศึกสงครามได้ปะทุจนต้องทำให้บรรดาพ่อและพี่ชายทั้งสองออกไปที่ชายแดนเพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดินเกิด นางจึงได้หาวิธีใหม่ๆ ที่จะทำให้ตนเองไม่เบื่อและเหงาจนเกินไป
ซึ่งนั้นก็คือต้นกำเนิดของการก่อตั้งโรงทานและศูนย์ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ที่ทำให้นางได้พบเจอกับผู้คนมากมาย และทุกๆ คนที่เข้ามาก็ล้วนแล้วแต่ยินดีและระลึกในสิ่งที่นางทำเสมอๆ และนั่นก็ทำให้ทั้งชีวิตที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยความสุขและความสบายใจมาโดยตลอด
“ทำไมกัน...” เสียงที่เคยหวานในวันวานตอนนี้กลับแห้งผากด้วยการที่ไม่ได้ทานข้าวทานปลามาเกือบสามวันแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นนางก็เอาแต่ตกอยู่ในความทุกข์ใจโดยตลอด หากมีก็เพียงแค่ชาที่จิบเขาไปบ้างเพียงเล็กน้อย จนทำให้ร่างบางดูซูบไปอีกหลายส่วน...
“ทั้งๆ ที่ผ่านมาข้าก็ทำแต่ความดีมาโดยตลอด ตั้งแต่จำความได้ข้าไม่เคยแม้แต่ทำร้ายใครด้วยซ้ำ แต่ทำไมข้าถึงต้องมาพบเจออะไรแบบนี้ด้วย... ” นางรำพึงออกมาเงียบๆ ด้วยความเจ็บปวด
ว่ากันว่าคนเราล้วนเกิดมาแตกต่างกัน บางคนก็เกิดมาลำบากยากแค้น บ้างก็เกิดมาสุขสบายบนกองเงินกองทอง บ้างก็เกิดมาปากกัดตีนถีบ บ้างก็เกิดมาในครอบครัวทั่วๆ ไป ยังไม่รวมถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมที่แตกต่างกัน ซึ่งมันทำให้คนเรามีพื้นฐานทางความรู้สึกนึกคิดที่ไม่มีทางจะเท่ากันได้
หากเทียบความสุขของคนยากไร้ที่ไม่แม้จะมีบ้านให้ซุกหัวนอน ความสุขของพวกเขาอาจจะแค่เพียงการมีเงินเพียงเล็กน้อยให้สามารถเติมเต็มท้องในมื้อนั้นให้อิ่มหนำ แล้วคนที่สุขสบายอยู่แล้วล่ะ ความสุขของพวกเขาจะต้องเป็นอย่างไร....
แล้วความทุกข์ของคนยากไร้เหล่านั้นมันอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก และขีดจำกัดของคำว่าความทรมานความแร้นแค้นของพวกเขาอาจจะสูงเสียดฟ้าเลยก็ว่าได้ นั้นก็เพราะความยากลำบากของคนทั่วๆ ไปนั้นมันก็แค่เรื่องปกติสำหรับพวกเขา นั่นมันทำให้ภูมิคุ้มกันของคนที่พบเจอแต่ความทุกข์มาโดยตลอดนั้นมันแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทานเลยทีเดียว
และเช่นเดียวกับเหลียนฮวาที่ทั้งชีวิตความเจ็บปวดที่สุดของนางนั้นอาจจะแค่การหกล้มหรือมีดบาดเล็กๆ น้อยๆ เมื่อต้องมาเผชิญกับคำครหานิทาความโกรธความเกลียดชังที่ถาโถมเข้ามาราวกลับคลื่นที่บ้าคลั่งเช่นนี้มันจึงทำให้หัวใจที่บอบบางต้องชอกช้ำจนจวนเจียนจะทนไม่ไหว.....
และแล้วหัวใจดวงน้อยๆ ก็ได้หยุดเต้นลง.....
...........จุดจบได้มาถึง......
...........พร้อมกับจุดเริ่มต้อนที่กำลังจะดำเนินต่อไป
.
.
.
“....” ร่างบางในชุดขาวค่อยๆ กระพริบตาถี่ๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ยังให้เกิดความแปลกใจและตื่นตาตื่นใจภายในเวลาเดียวกัน เพราะตอนนี้สถานที่ที่นางอยู่นั้นมันไม่ใช่ภายในตำหนักอันแสนขมขื่นอีกแล้ว “ที่นี่มันที่ไหนกัน...”
“ตื่นแล้วหรือเจ้าหน่ะ” ในระหว่างที่นางกำลังตื่นตาตื่นใจกับมวลเมฆขาวที่ล่องลอยไปมาอยู่รอบกาย แม้กระทั่งพื้นที่ยืนอยู่เองก็เหมือนจะบางเบาและนุ่มฟูราวกับฟองอะไรสักอย่าง ซึ่งมันทำให้ความรู้สึกเป็นลบที่เคยกัดกินนางมาตลอดหลายวันนี้กำลังถูกชะล้าง ราวกับว่ามันได้...ลอยหายไป
หลังจากที่หันไปหันมาอยู่ชั่วครู่ นางก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีดำขลับคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นร่างของหญิงวัยราวสี่สิบปลายๆ แต่ถึงอย่างนั้นรัศมีความงามของนางก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงตามอายุ แต่มันราวกลับให้ความรู้สึกน่าดึงดูดอย่างงประหลาด...
“แหน่ะ พูดด้วยก็ยังไม่พูดด้วยอีก นี่ฉันอุตส่าห์พูดภาษาเดียวกันกับเธอแล้วนะ” หญิงวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ และกล่าวขึ้นเมื่อเด็กสาวตรงหน้ามองเธอด้วยนัยน์ตากลมโตอย่างน่ารัก
“ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ? แล้วที่นี่มันที่ไหนกันข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายข้าอยู่ที่ตำหนักเสียนฮวา...” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ความรู้สึกแย่ๆ ก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้เหลียนฮวาทำหน้าหงอยลง คนที่มองอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะ...
เพียะ!!
เสียงที่ตบเข้าไปกลางกะบานของหญิงสาวจนทำให้อารมณ์ต่างๆ ที่กำลังแย่ลงกระเจิดกระเจิงไปหมดด้วยแรงตบ และด้วยความที่ไม่เคยเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อนมันจึงทำให้นางถึงกับทำหน้าเหรอหราไปไม่ถูกเลยทีเดียว “ท่านมาตีข้าทำไมกันเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย...”
“ก็เออ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่เมื่อคิดว่าตัวฉันอีกคนอ่อนแอได้ขนาดนี้นี่มันเหลือจะรับได้จริงๆ นี่เธอหน่ะเป็นตัวฉันอีกคนจริงๆ ใช่ไหมนะ ทำไมถึงได้อ่อนแอยิ่งกว่าอะไรดีแบบนี้”ราวกับเหลืออดเต็มที่แล้ว หญิงวัยกลางคนก็ทำท่าทางราวกับเด็กโดแย่งขนมแล้วเข้าไปหยิกแก้มขาวๆ ของอีกฝ่าย
“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะเจ้าค่ะ ปล่อยข้านะเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาร้องโวยวายออกมาด้วยความรู้สึกแปลก เพราะแม้ว่าจะถูกบีบแรงๆ ที่แก้มขนาดนี้แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ อันที่จริงมันแค่รู้สึกขัดใจและจั๊กจี๋เท่านั้นเอง
หลังจากปลุกปล้ำกันได้พักหนึ่งหญิงวัยกลางคนก็ปล่อยนางออกจากการเกาะกุม “เป็นยังไง ตอนนี้ใจเย็นลงแล้วหรือยัง”
“จะ...เจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว งั้นเจ้าตั้งใจฟังให้ดีก็แล้วกัน”
“อะไรหรือเจ้าคะ” เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายเหลียนฮวานั้นถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“เจ้าหน่ะ...ตายไปแล้ว”
“..!”
“และข้าก็กำลังจะมาอยู่ในร่างของเจ้าแทน......”
“..!!”
เมื่อได้ยินเพียงแค่สองประโยคสั้นๆ เหลียนฮวานั้นถึงกับช็อก ราวกับถูกค้อนหนักๆ มาทุบเข้าที่หัวอย่างจังจนสติที่มีเหลืออยู่น้อยนิดนั้นล่องลอยออกไปไกลแสนไกล
............................................
จบตอน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อาจหารหรืออาจหาญคะ
พระมเหสี นี่คือใครคือ ฮองเฮา หรือปล่าว
ยัยลูกสาวล่ะยังไม่รู้สึกตัวอีกรึยัยน่าโง่ที่จะทำให้ตระกูลถูกข้อหากบถน่ะ
งง อ่ะ ทำไม กุนซือกองทัพ หนึ่งในพี่ชายนางเอกถึง ไม่กล่าวว่า..ใครจะวางยาฮองเฮาเพื่อให้ฤกษ์การเข้าหอของตนเองโดนขัดขวาง มีแต่คนโง่เท่านั้นถึงจะทำ คนสกุลหลี่ไม่วางยาแน่
ใครเป็นนางเอกอ่ะเรื่องนี้
พังให้ยับ