ตอนที่ 19 : บทที่ 15 คลื่นใต้น้ำ
จบคำเหลียนฮวาก็เลือกที่จะปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งแบบนั้น เพราะการใช้ความรุนแรงทุกครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องดี ที่สำคัญที่สุดนางอยากที่จะลองงานปากที่พี่บัวเคยถนัดในสมัยที่นางยังเป็นสาว ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกดีแบบแปลกๆ มันยากที่จะอธิบายความรู้สึกเป็นคำพูดได้ แต่ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ แล้วก็คงเป็นความสะใจล่ะมั้ง เพราะการที่สามารถกรีดใจคนอื่นให้ลงไปดิ้นพล่านได้ด้วยวาจ้านั้นมันเป็นอะไรที่ไม่สามารถปล่อยไปได้ง่ายๆ...
“เสียนเฟยพะยะค่ะ ตามกฎแล้วพระสนมสามารถมีหญิงรับใช้ได้สี่คนและขันทีอีกสองคนพะยะค่ะ แต่เนื่องจากพระสนมทรงนำนางกำนัลมาจากจวนแม่ทัพมาแล้วสองคน ในวันนี้พระสนมจะสามารถเลือกนางกำนัลได้อีกสองคนและขันทีรับใช้ดีอีกสองคนพะยะค่ะ” จ้าวกงกงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งโดยไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แล้วหันไปมองเหล่าขันทีและนางกำนัลนับร้อยที่ยืนเข้าแถวตากแดดกันมาเกือบชั่วยามแล้วอย่างเฉยชา
“อ้อ เรารู้แล้ว”เหลียนฮวาหันไปมองทางต้นเสียงเล็กน้อย ก่อนที่จะละความสนใจไปจากอีกฝ่ายเช่นกัน ซึ่งด้วยเหตุนี้มันทำให้ขันทีเฒ่าค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้วเหล่านางสนมนั้นทักจะร้องเรียกหาความโปรดปราณจากฝ่าบาท แต่ผิดกับหลี่เสียนเฟยผู้ที่ ที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของแววตาที่คาดหวังหรือคำตามใดๆ มีเพียงแค่ประกายของความประหลาดใจเพียงเท่านั้น
“เสี่ยวเปาเจ้าไปเลือกนางกำนัลมาสักสองคนก็แล้วกัน” หญิงสาวหันไปหาแฝดผู้พี่ที่ยืนนิ่งสงบอยู่ข้างกาย ถึงแม้ว่านางจะมั่นใจในสายตาของตัวเองมาก ว่าสามารถแยกแยะสายสืบหรือพวกหนอนได้ แต่จากที่ดูๆ แล้วความรู้สึกที่ได้จากหญิงสาวพวกนี้นั้นแทบจะเป็นหนอนที่แทรกตัวเข้ามาแทบทั้งสิ้น นางจึงเลิกหวังความสบายใจแต่เป็นขอเรียกหาความสนุกสนานแทน‘การมีหนอนมาไว้ข้างตัวก็ดี...อะไรๆ จะได้ง่ายหน่อย’
“ขอตัวอ้วนๆ หน่อยล่ะ ไม่งั้นก็หมดสนุกกันพอดี” เสียงเบาราวกระซิบของเหลียนฮวาที่มีเพียงแค่เสี่ยวปิงกับเสี่ยวเปาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เท่านั้นที่ได้ยิน “เจ้าค่ะ”
“ว่าแต่เจ้ากงกง...”เมื่อสั่งการสาวใช้เรียบร้อยแล้วนางก็หันไปหาขันทีเฒ่าที่กำลังยืนสงบนิ่งอยู่ไม่ไกลแล้วถามออกมา “มีขันทีที่มาให้เราคัดเลือกกี่คนอย่างนั้นหรือ”
“เรียนพระสนม มีทั้งหมดสองร้อยคนพะยะค่ะ”
“ก็เยอะอยู่นะมันน่าจะพอมี...”เหลียนฮวารำพึงออกมาเบาหวิวอย่างนึกสนุก “ถ้าเช่นนั้นแล้วในบรรดาพวกเขาทั้งหมดนี้มีใครที่มีสกุลกงบ้างหรือไม่เล่า”
เอ่อ..... เมื่อได้ยินเสียงนี้ภายในแถวของขันทีที่มารอกันอยู่แม้แต่จ้าวกงกงที่เป็นขันทีเองยังหน้าเปลี่ยนสี ก่อนที่จะมีบางส่วนกำลังหน้าดำหน้าแดงอยู่...
“ก็มีนะพะยะค่ะ...” จ้าวกงกงกล่าวด้วยใบหน้าที่เริ่มจะหลั่งเหงื่ออกมาด้วยความอัดอั้น “พระสนมมีอะไรอย่างนั้นหรือพะยะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าเลือกสามกงกับใครอีกสักคนก็ได้ท่านเลือกมาเถอะ...”เหลียนฮวายิ้มกว้างกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน
ฮ่า........
ท้ายที่สุดแล้วเหล่าขันทีหรือแม้แต่นางกำนันบางส่วนเองก็อดไม่ไหว บ้างก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มตัว บ้างแอบอมยิ้ม บ้างก็ปล่อยเสียงคิดคักออกมา ....แม้แต่เจ้ากงกงเองก็ไม่เว้น
ในทุกแผ่นดินโดยปกติแล้วก็จะมีการคัดเลือกคนเข้ามาเป็นขันทีเพื่อรับใช้ภายในวังเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่นั่นก็จะมีสกุลหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหัวข้อขบขันในทุกๆ รุ่น นั้นก็คือเมื่อสกุลกงส่งคนเข้าคัดเลือกเป็นขั้นที
ทั้งๆ ที่สกุลกงก็เปรียบได้เป็นหนึ่งสี่ของตระกูลที่ส่งขันทีเข้าวังเพื่อรับใช้จักรพรรดิแห่งหยาซานมาตั้งแต่อดีต แต่ถึงอย่างนั้นในทุกๆ รุ่นขันทีน้อยจากสกุลกงก็มักเป็นที่หยอกล้ออยู่เช่นนี้เสมอ แม้ว่าหลังจากที่โตขึ้นมาพวกเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ต่างจากตอนที่ยังเป็นช่วงวัยนี้
และท่ามกลางความตึงเครียดของการถวายงานภายในวัง คนสกุลกงก็มักจะเป็นเรื่องตลกที่ทำให้เหล่าข้ารับใช้ในวังผ่อนคลายกันได้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เต็มใจนักก็ตามที...
“พวกเจ้า!”เจ้ากงกงหลังจากที่กลั้นหายใจไปชั่วครู่ก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้ ก่อนที่จะตวาดเหล่าขันทีและนางกำนัลน้อยใหญ่ที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมอยู่
“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ถือว่าเราขอร้องก็แล้วกัน”เหลียนฮวาหันไปยิ้มบางๆ ให้กับจ้าวกงกงและเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเปาเลือกได้แล้วนางก็พูดต่อ “เดี๋ยวท่านช่วยจัดการทั้งสี่คนนี้แล้วส่งไปยังตำหนักชั่วคราของเราหน่อยก็แล้วกัน เราไปล่ะ”
“...”
“อ้อฝากไปบอกฝ่าบาทด้วยว่า “ข้ายังไม่พร้อม” ”
..
.
.
.
“ฝ่าบาทตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนักพะยะค่ะ” หัวหน้าหน่วยเงาทมิฬที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าหยางชิงหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“หืม...” หยางชิงหลงเงยหน้าขึ้นมาจากฎีกาที่กองท่วมหัว ช่วงนี้แค่จัดการกับกองฎีกาพวกนี้เขาแทบจะไม่มีเวลาไปทำอะไรแล้ว “มีอะไร นี่ยังมีเรื่องไม่มากพออีกหรือไง ไอ้ขุนนางบ้านี่ก็เอาแต่ส่งฎีกามาอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่ไปกดดันแม่ทัพหลี่เสียเองล่ะ มากดดันข้าอยู่ได้ให้ตายเถอะ!”
“...”
“ว่าแต่มีอะไรงั้นหรอนานแล้วนะที่เจ้าไม่เข้ามาเองแบบนี้” หลังจากที่ได้ระบายออกไปบ้างจักรพรรดิหนุ่มก็หันไปสนใจรุ่นพี่ที่ติดตามตนกลับมาจากสำนัก ที่ตอนนี้เขาได้มอบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเงาทมิฬให้ และคอยเป็นหูเป็นตาให้กับเขามาตลอดหลายปี
“ทางเหนือตอนนี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้วพะยะค่ะ”
“เจ้าว่ายังไงนะ เป็นไปไม่ได้ทำไมถึงมาทำอะไรเอาตอนนี้!” ทันทีที่ได้ยินชายหนุ่มถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมกับรัศมีพลังที่พวยพุ่งออกมาอย่างไม่อาจจะควบคุมได้ จนแม้แต่ชายที่กำลังคุกเข่าอยู่ยังอดที่จะหวั่นเกรงไม่ได้ “แล้วทางนั้นกำลังคิดจะทำอะไร”
“เอ่อ...คือ”
“ไม่ต้องอ้ำๆ อึ้งๆ บอกมาเถอะข้ารับได้”
“ทางนั้นส่งองค์หญิงหมี่อิงมา...”
“...”
หัวหน้าหน่วยเหงาทมิฬยังไม่ทันจะพูดจบ กลิ่นอายของหยางชิงหลงก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง จนสามารถที่จะเห็นไอสีครามที่เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง
.
.
.
.
หลังจากเหตุการณ์คัดเลือกขันทีและนางกำนัลเพื่อมารับใช้ในตำหนักของเหลียนฮวา ตอนนี้มันก็ผ่านไปกว่าเดือนแล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านมาวังหลวงก็กลับมาสงบเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง แม้จะมีหลายๆ อย่างเกิดขึ้นมาบ้างแต่มันก็ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมอะไรเท่าไหร่นัก
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นก็คือการตายของจิ่วผินผู้ที่ถูกลงโทษไปจากเหลียนฮวาในวันถัดมา ด้วยเหตุที่หมอหลวงแจ้งมาก็คือนางไม่สามารถทนพิษบาดแผลได้ไหว และตกตายไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะรับไว้ได้ ซึ่งมันก็อยู่ในการคำนวณของหลายๆ คนอยู่แล้ว
คงจะมีแต่เจ้ากรมโยธาเท่านั้นที่แทบจะไม่สามารถรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุดด้วยอำนาจอันน้อยนิดที่มีอยู่ มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี แม้ว่าเขานั้นจะเป็นขุนนางระดับเจ้ากรม แต่เขาจะเอาอะไรไปเทียบกับแม่ทัพอย่างหลี่เจี้ยนเทียนและสกุลหลี่ได้ ท้ายที่สุดจึงทำได้แค่แบกรับความเคียดแค้นเอาไว้ภายในใจอย่างเงียบงัน...
วันถัดมาเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็ปรากฏขึ้น นั่นก็คือเรื่องของจางฮองเฮาที่ถูกวางยานั้นกลับกลายเป็นว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นมีสาเหตุมาจากสายลับจากแคว้นใดก็ไม่อาจจะทราบได้ ที่ได้ส่งคนแทรกซึมเข้ามาภายในเมืองหลวงหมายที่จะสร้างความแตกแยกให้กับราชวงก์กับจวนแม่ทัพ เพื่อสร้างความหวาดระแวงและบั่นทอนกำลังของหยาซานที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย
แม้ข้ออ้างนี้จะสามารถปลุกระดมความรักชาติรักแผ่นดินในตัวประชาชนได้ แต่มันกลับสร้างความขุ่นข้องครหาให้กับเหล่าขุนนางหลายฝ่าย รวมถึงตัวของหลี่เจี้ยนเทียนยังไม่ค่อยจะพอใจกับคำตอบที่ได้นัก เพราะถึงอย่างไรจวนแม่ทัพก็ยังเป็นจวนแม่ทัพ ถ้าหากพวกเขาอ่อนด้วยเรื่องข่าวสารก็คงไม่สามารถรักษาแผ่นดินได้จนมาถึงตอนนี้ จนกระทั่งจางเทียนจี้ยอมลดทิฐิลงแล้วไปคุยกับหลี่เจี้ยนเทียนเป็นการส่วนตัว เรื่องราวนี้ถึงได้สิ้นสุดลง แม้ว่าวันรุ่งขึ้นหลายๆ คนจะเห็นว่าเบ้าตาทั้งสองข้างของมหาเสนาบดีจางนั้นบวมช้ำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไร จนทำให้เรื่องนี้สิ้นสุดลงไปในที่สุด
อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความปีติยินดีให้กับคนทั้งแผ่นดินก็คือตอนนี้ครรภ์ของจางฮองเฮานั้นแข็งแรงปลอดภัยดี ทารกในครรภ์เองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ และที่สำคัญไปกว่านั้นที่ทำให้ทั้งหยาซานแทบจะร้องตะโกนออกมาด้วยความยินดี ทั้งเมืองต่างก็เฉลิมฉลองให้กับข่าวนี้ นั่นก็คือเรื่องที่ครรภ์มังกรของจางฮองเฮานั้นแน่ชัดแล้วว่าเป็นพระโอรส และเป็นทาญาติมังกรคนแรกของรัชสมัยของจักรพรรดิหยางชิงหลง ทั้งแผ่นดินจึงพากันแซ่ซ้องสรรเสริญกันยกใหญ่
ส่วนเหลียนฮวานั้นตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็เอาแต่เก็บตัวในตำหนักอยู่ตลอด จนหลายๆ คนแทบจะลืมไปแล้วว่านางเคยก่อเรื่องเอาไว้ใหญ่แค่ไหน ทั้งนั้นทั้งนี้เป็นเพราะพระโอรสในครรภ์ของจางฮองเฮาทำให้นางงดการถวายพระพรในตอนเช้า ทำให้วังหลังในช่วงนี้เงียบเหงาไปหลายส่วน
‘อีกนิดเดียว...’ เหลียนฮวาขมวดคิ้วแน่นในขณะที่กำลังพยายามที่จะทะลวงผ่านระดับถัดไปของเคล็ดวิชา แต่จนแล้วจนรอดตลอดเดือนที่ผ่านมานางก็ทำสำเร็จไปเพียงแค่ไม่ถึงสองในร้อยส่วน แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้นางก็แข็งแกร่งขึ้นพอสมควร แต่มันก็ยังไม่สามารถทำให้นางพอใจได้อยู่ดีแม้ตอนนี้หากเทียบกับการฝึกฝนของคนทั่วไปนางจะอยู่ในระดับสีเหลืองขั้นปลายแล้วก็ตามที...
อัก...
“ไม่ไหวจริงๆ หรอเนี่ย...” ในที่สุดเหลียนฮวาก็กระอักเลือดออกมาเล็กน้อยด้วยพลังที่ตีกลับ ด้วยเคล็ดวิชาที่ยังไม่เชี่ยวชาญแต่กลับเร่งรีบจนเกินไป ทำให้ปราณในร่างที่ไม่สามารถควบคุมได้หลุดจากการควบคุมจนส่งผลสะท้อนออกมาเช่นนี้ “หรือข้ารีบร้อนเกินไปกัน”
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” ในระหว่างที่นางกำลังคิดอะไรอยู่นั้น เสี่ยวปิงที่ออกไปหาข่าวคราวจากข้างนอกก็วิ่งกลับมาแล้วพรวดเข้ามายังห้องบรรทมของเหลียนฮวาทั้งๆ ที่นางก็เคยสั่งห้ามเอาไว้แล้ว “เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
“อะไร...” ในขณะที่เหลียนฮวากลับมารู้ตัวอีกครั้ง นางก็ใช้ผ้าซับเลือดที่กระอักออกมา แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ว๊ายย คุณหนู!” เสี่ยวปิงกรีดร้องออกมาทันทีที่เห็นเลือดของผู้เป็นนาย จนเสี่ยวเปาที่อยู่ไม่ไกลก็เข้ามาดูด้วยอีกคน “คุณหนูเอาอีกแล้วนะเจ้าคะ”
“...” เสี่ยวเปาไม่กล่าวอะไร แต่ล้วงเข้าไปในกำไลเก็บของเพื่อหยิบบางอย่างแล้วส่งไปให้เหลียนฮวาเงียบๆ
“ช่างเถอะ เดียวข้าก็ดีขึ้น แค่พลังตีกลับนิดหน่อย ว่าแต่มีอะไรล่ะหืม ถึงได้เสียงดังเอะอะโดวยวายเสียขนาดนั้น” เหลียนฮวากลืนยารักษาลงไปแล้วโคจรพลังเพื่อดูดซับตัวยาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
“มีข่าวสำคัญเจ้าค่ะ”
“ข่าวของเจ้าก็สำคัญมันทุกข่าวนั่นแหละ มีอะไรก็ว่ามาเถอะ” เหลียนฮวายิ้มน้อยๆ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแบบนี้ มันทำให้โลกรอบๆ ตัวนางสดใสยิ่งขึ้น
“คุณหนู!” เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเสี่ยวปิงก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้งตึง แต่ท้ายที่สุดก็ระบายลมหายใจออกมา “คือข้าได้ข่าวมาจากกงกงกงที่ได้ยินมาจากจ้าวกงกงว่า...”
“ว่าอะไร ลีลาอยู่นั่นแหละ”
“พระสนมเจ้าค่ะ จะมีพระสนมคนใหม่ถวายตัวเข้ามา”
“แล้ว?”
“พระสนมนางนี้จะเข้ามาเป็นเต๋อเฟยทันทีที่ถวายตัวเข้ามาเจ้าค่ะ!”
“…!!”
...............................
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
