ตอนที่ 15 : บทที่ 12 เพราะข้าคือนักเลง!
“ขออภัยฮองเฮาเพคะสำหรับความหยาบคายนี้ เพียงแต่หม่อมชั้นแค่อยากจะแบ่งเบาภาระของพระองค์เสียบ้าง เพราะได้ข่าวมาว่าฮองเฮานั้นต้องพิษเสียจนเกือบที่จะแท้งครรภ์มังกร หม่อมชั้นจึงอยากที่จะตัดสินลงโทษนางเสียเอง องครักษ์!” เหลียนฮวากล่าวด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจที่แสนจะสดใสไปให้กับจางฮองเฮา แต่มันกลับสวนทางกับการกระทำที่แทบจะไม่มีความเคารพยำเกรงใดๆ อยู่เลย เพราะแม้จะเป็นตอนนี้ปลายเท้าของนางก็ยังบดขยี้อยู่บนยอดอกของหม่าเจาอี้ที่ว่ากล่าวนางเมื่อครู่อยู่เลย
“พะยะค่ะ” ทางฝ่ายองครักษ์หลวงที่ยืนอยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากในตำหนักตงกงจึงรีบมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีเหตุด่วนเหตุร้ายอันใด แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับกลายเป็นว่ามันเป็นสภาวะกลืนก็ไม่เข้าจะคายก็ไม่ออก เพราะตอนนี้หญิงสาวที่ข่าวลือหนาหูจากผองเพื่อนว่าเพิ่งจะตบหน้าจักรพรรดิชิงหลงไปเมื่อวาน แต่ก็ยังอยู่ครบสามสิบสองมาจนถึงตอนนี้ และไม่มีแม้กระทั่งวี่แววของความเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ กำลังเหยียบร่างของหม่าเจ้าอี้ที่เขาจำได้ว่าเป็นพระสนมที่คอนเป็นปากเป็นเสียงให้กับจางฮองเฮามาตลอด ทั้งยังมีฮองเฮาที่กำลังขมวดคิ้วแน่นอยู่กลางอาสนะหลัก.... ‘เวรแล้ว ทำไมต้องมาซวยอะไรเอาวันนี้วะ’
“เราขอถามหน่อยได้ไหมว่าโทษของการหมิ่นพระสนมยศสูงกว่านั้นมีโทษอย่างไรบ้าง...” เหลียนฮวายังคงยิ้มพิมพ์ใจให้กับทหารคนนั้นทั้งๆ ที่กำลังเอ่ยคำกล่าวที่ราวกับเอามีดไปจ่อคอของอีกฝ่าย “ข้าว่าเจ้าน่าจะพอรู้นะ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นองครักษ์หลวงที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของฝ่ายใน...จริงไหม”
ฉึก....
“เอ่อ...คือ”
ราวกับมีดแหลมที่ถูกยื่นให้มาจู่ๆ ก็แทงลงไปกลางอก เพราะอีกฝ่ายถือได้ว่าเป็นตัวปัญหาที่เส้นใหญ่เอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจอันล้นหลามของจวนแม่ทัพ บารมีของไทเฮา แล้วไหนจะอภิสิทธิ์ที่ไม่ได้รับโทษใดๆ จากการทำร้ายพระวรกายของฝ่าบาทอีก....
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คือฮองเฮาที่ครองอำนาจในวังหลังอย่างเหนียวแน่นมาตลอดหลายปี แถมตอนนี้ยังทรงครรภ์มังกรอยู่อีกด้วย องครักษ์วัยกลางคนแทบอยากจะกัดลิ้นตายไปบัดเดี๋ยวนั้น...
“ก...กระหม่อมเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันพะยะค่ะพระสนม เพราะกระหม่อมปกติจะยืนอยู่หน้าตำหนักเพียงเท่านั้น แล้วคอยทำตามคำสั่งฮองเฮาที่จะเป็นคนตัดสินเรื่องราวในหวังหลังทั้งหมดพะยะค่ะ” องครักษ์นายนั้นกลั้นใจกล่าวออกมาด้วยความยากลำบาก พลางเหลือบไปมองใบหน้าของเสียนเฟยและจางฮองเฮา
“ช่างเถอะ ตอนนี้ฮองเฮาทรงพระประชวนอยู่ ทั้งตอนนี้ข้าในฐานะเสียนเฟยที่เพิ่งจะถวายตัวเข้ามารับใช้ฝ่าบาทเช่นกัน ก็ขอบังอาจแบ่งเบาภาระของฮองเฮาบ้าง หวังว่าซูกุ้ยเฟยคงจะไม่ว่าอะไรนะเพคะ” เหลียนฮวาหันไปทางหนึ่งที่ไม่ห่างจากที่ประทับของจางฮองเฮามากนัก แล้วกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม เพราะถึงแม้ว่าในอดีตนั้นนางจะไม่ค่อยได้ออกไปงานสังคมของเหล่าคุณหนูมากนัก แต่ซูซานเซียนบุตรสาวสุดรักสุดหวงของราชครูซูจ้งเหยียนนั้นก็เป็นที่รู้จักกันดี ว่าเป็นดอกไม้ที่งามพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุดดอกหนึ่งในแผ่นดิน และเท่าที่รู้มานางนั้นเป็นคนที่เป็นกลางที่สุดแล้วในวังหลัง
“เอาเถอะ หากว่าน้องสาวอยากจะแบ่งเบาภาระของพวกเราไปบ้าง ข้าในฐานะที่มาก่อนเจ้าก็อยากจะให้เจ้ามีประสบการณ์บ้าง เผื่อวันหนึ่งเจ้าได้ขึ้นไปสูง... เจ้าจะได้มีประสบการณ์ล่วงหน้า...”ซูกุ้ยเฟยยิ้มกล่าว
“งั้นหม่อมชั้นขอบังอาจถามกุ้ยเฟยได้หมือไม่เพคะ ว่าโทษของการหมิ่นเบื้องสูง ใส่ร้ายป้ายสีเรื่องที่หนักหนาอย่างลอบปลงพระชนสายเลือดมังกร และโทษของการพูดจาว่าร้ายผู้อื่นของนางนั้น...”
ต้องเจออะไรบ้าง
“นั่นสินะ...” ซูซานเซียนกล่าวยิ้มในขณะที่มองไปยังร่างบางของจางฮองเฮาที่ตอนนี้แม้จะยังคงดึงสติเอาไว้ได้ แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ยังไม่อาจจะปกปิดท่าทางที่แสดงความไม่พอใจเอาไว้ได้ และถ้าหาไม่ใช่คนที่รู้จักนางดีก็คงคิดว่านางนั้นกำลังเป็นเดือดเป็นแค้น แต่อันที่จริงแล้วตอนนี้ฮองเฮาในสายตาของกุ้ยเฟยอย่างนางกลับยังคงสงบนิ่งและไม่หวั่นไหวใดๆ แม้แต่น้อย
อาจจะด้วยความที่สู้รบปรบมือกันมาหลายปี นางจึงพอที่จะเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังอดที่จะหวาดหวั่นถึงความเลือดเย็นของอีกฝ่ายไม่ได้ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่านางนั้นราวกับปีศาจที่คอยทำลายล้างทุกคนในวังหลัง เพียงเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองให้มั่นคง แต่นางก็ไม่คิดว่าหลายวันมานี้ปีศาจแห่งวังหลังอย่างจางไป๋หลินจะถึงขนาดสละหมากไปหลายตัว เพียงเพื่อที่จะกำจัดเด็กน้อยคนนี้ออกไป
แต่ก็นั่นแหละ ขนาดนางที่แม้จะเคยได้ข่าวคราวถึงความแสนซื่อใจดีของเด็กสาว ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับปฏิกิริยาของนางในตอนนี้ ‘ไหนว่าเป็นคนเรียบร้อยและอ่านต่อโลกไง มันชักจะน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ’
“ถ้าจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ความผิดของหม่าเจาหรงนั้นก็คงเป็น...” ซูกุ้ยเฟยกล่าวพลางแสดงท่าทางกำลังสนุกสนานออกมา ในระหว่างนั้นก็เหลือบไปแลฝ่ายต่างๆ เป็นพักๆ ก่อนที่จะไปปิดท้ายที่ ‘หลิว ซูเฟย’ที่ตอนนี้กำลังแสดงท่าทางสูงศักดิ์ไม่สนใจต่อสิ่งใด ทั้งยังคงเหลือบแลไปยังทางจิ่วผินนางที่กำลังเป็นประเด็นด้วยความสงสาร ก่อนที่จะเอ่ยออกมา...
“โทษของนางที่ควรจะได้รับในการไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำก็คงเป็นการถอดป้ายสามเดือน และตัดเบี้ยหวัดอีกครึ่งปี ส่วนโทษที่กล่าวหาโทษร้ายแรงแก่พระสนมยศสูงกว่าโดยมิมีหลักฐานเช่นนี้จนทำให้น้องสาวเสื่อมเสียนั้นก็คงเป็นโทษโบยห้าสิบไม้ ยิ่งเป็นข้อกล่าวหาร้ายแรงเช่นนี้ที่อาจจะทำให้น้องสาวถึงตายแล้วล่ะก็ คงเป็นการประทานยาพิษไม่ก็ผ้าขาวสามฉื่อกระมัง ใช่หรือไม่หลิวซูเฟย”
“ข้านั้นเพิ่งจะถวายตัวแก่ฝ่าบาทได้เพียงแค่สามปี ทั้งยังต้องถวายงานบ่อยครั้ง ไหนจะเรื่องต้องดูแลตัวเองเพื่อให้ฝ่าบาทพอพระทัย ไหนจะเรื่องกิจกรรมต่างๆ ภายในตำหนักอีก ข้าคิดว่าตัวข้าคงมิอาจจะตัดสินโทษร้ายแรงเช่นนี้ได้หรอกเพคะพี่หญิง” หลิวฟางเซียน สาวงามเพียงคนเดียวที่แม้จะเป็นเพียงบุตรีแห่งคหบดีผู้ร่ำรวย แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นสนมขั้นเฟยได้ ในตลอดสามแผ่นดินที่ผ่านมา พระสนมขั้นเฟยนั้นแทบทั้งหมดถ้าหากไม่เป็นบุตรสาวของขุนนางระดับสูงก็ต้องเป็นเจ้าหญิงหรือเชื้อสายจากอดีตราชวงก์เท่านั้น
แต่ในรัชสมัยของจักรพรรดิชิงหลงนี้ กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวที่เพิ่งจะถวายตัวเข้ามานี้กลับสามารถสร้างความโปรดปราณให้แก่จักรพรรดิหนุ่มจนสามารถที่จะก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้และถึงแม้จะผ่านมากว่าสามปีนางก็ยังคงเป็นคนที่ฮ่องเต้หนุ่มเลือกป้ายบ่อยที่สุด หากจะคิดเป็นสัดส่วนก็คงไม่ต่ำกว่าสี่ในสิบเลยทีเดียว
นั้นทำให้แม้จะมีคนมากมายที่เหม็นขี้หน้านางบ้างก็อิจฉานาง แต่แต่ถึงกระนั้นขนาดเป็นจางฮองเฮาเองยังไม่กล้าที่จะทำอะไรนางอย่างโจ่งแจ้ง...ไม่สิต้องบอกว่าไม่สามารถทำอะไรหญิงสาวจากชนชั้นกลางคนนี้ได้เลย จนทำให้หญิงสาววัยยี่สิบหนาวผู้นี้สามารถรักษาตำแหน่งของตนเองเอาไว้ได้ทั้งๆ ที่สองสามปีมานี้ก็มีคนมากมายที่ถวายตัวเข้ามาก็ตามที
“อ้อ...”ซูกุ้ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เพราะคำอธิบายของนางนั้นมันกระแทกเข้ามาในใจนางอย่างแรง และไม่ใช่แค่นางเท่านั้นเพราะหลังจากที่นางกล่าวออกมาแม้แต่มเหสีจางที่ครองอำนาจสูงที่สุดในวังหลังก็ยังมีประกายตาที่ขุ่นมัวไปครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะ ไม่ทราบว่าน้องหญิงคิดเห็นประการใด พอใจในคำตัดสินของข้าหรือไม่”
“ข้า......” เหลียนฮวาแสดงสีหน้าครุ่นคิดในขณะที่จะเอ่ยออกมา เพราะนางกำลังชั่งใจของตัวเองอยู่กับสิ่งที่นางเลือกที่จะทำ เพราะแม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ตัวนางอีกคนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ตัวนางในตอนนี้นั้นมันแตกต่างออกไป เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็อยู่ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นเหลียนฮวาก็เลือกที่จะทำตามความตั้งใจของนางตั้งแตกต้น....นางนั้นจะเป็นเช่นเดียวกับพี่บัว...นางจะเป็นนักเลง!
ซูดดด.....ฮายย
ราวกับว่าตัดสินใจแน่นอนแล้ว เหลียนฮวาจึงผ่อนลมหายใจเข้าออกออกมาอย่างยาวเหยียด และตัดใจเลือกในสิ่งที่ตัวนางตั้งใจเอาไว้ ‘หวังว่าข้าคงจะหวังในตัวท่านได้นะ’
“ตกลงเจ้าว่าอย่างไรหรือน้องหญิง ข้าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเจ้า เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่นมาไม่ถึงสิบวันเสียด้วยซ้ำ การที่จะตัดสินใจเอาชีวิตใครมันคงจะหนักหนาเกินไป” ซูซานเซียนกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่ก็อดที่จะผิดหวัง เมื่อเห็นความลังเลของอีกฝ่าย เพราะด้วยการกระทำที่แข็งกร้าวเมื่อก่อนหน้านี้นางจึงคิดว่าเด็กน้อยจากจวนแม่ทัพคนนี้จะพอใช้การได้บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางราวกับเด็กสาวเพิ่งจะฆ่าไก่ครั้งแรกของเด็กสาวนางจึงได้แต่ถอนหายใจ ‘ข้าคงจะหวังมากเกินไปสินะ’
“คงจะเป็นเช่นนั้นเพคะพี่หญิง” เหลียนฮวาแย้มยิ้มในขณะที่กำลังกวาดสายตามองไปยังร่างที่กำลังนั่งสั่นเป็นลูกนกตกน้ำอยู่ของหม่าเจาอี้ อันที่จริงนางก็ไม่ได้อะไรกับอีกฝ่ายมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่ออยากแข็งแกร่งก็ต้องข้ามผ่าน มีหลายอย่างในโลกนี้ที่นางยังทำไม่ได้ และมีอีกหลายอย่างที่นางอยากทำตามสิ่งที่พี่บัวของนางคิดและปรารถนา... “เช่นนั้นหม่อมชั้นขอเรียนถามพี่หญิงสักเรื่องสองเรื่องได้หรือไม่เพคะ”
“หืม...มีอันใดที่เจ้ายังค้างคาใจอย่างนั้นรึ” ซูกุ้ยเฟยเมื่อเห็นท่าทางสดใสของเด็กสาวก็อดประหลาดใจและแปลกใจกับอารมณ์ที่หลากหลายและปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วของเด็กสาว ก็ได้ตอบออกมา
“อย่างแรกเลยก็คือเรื่องราวในวังหลังนั้นหากเกิดเรื่องขึ้น และไม่ใช่เรื่องราวที่ใหญ่โตเกินไป มันจะเป็นเรื่องราวที่จบอยู่ภายในวังหลังใช่หรือไม่เพคะ”
“ก็ใช่ มันย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรจางฮองเฮา ตัวข้า หรือแม้แต่พวกเจ้าทุกคนก็มีหน้าที่แบ่งเบาภาระรวมถึงความตึงเครียดของฝ่าบาทอยู่แล้ว โดยปกติวังหลังก็จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่ฮองเฮาที่มียศสูงสุดในหมู่พวกเรา ถ้าหากเหตุการณ์เช่นในครั้งนี้อย่างการที่พระสนมทรงประชวนก็จะมีข้าเป็นผู้รับมอบอำนาจส่วนนี้แทน หากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ เรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลงที่การตัดสินใจของพวกเรา....”
“ดียิ่งเพคะ”เหลียนฮวายิ้มกว้าง “ถ้าหากเช่นนั้นแล้วแสดงว่าตอนนี้สนมหม่าตอนนี้ถูกถอดยศและกำลังจะตายถูกหรือไม่เพคะ เพราะนางได้กล่าวหาข้าร้ายแรงปานนั้น”
“ตามหลักการและเหตุผลมันก็ควรเป็นเช่นนั้นล่ะนะ เจ้ามีอะไรสงสัยอย่างนั้นหรือ”คิ้วเรียวของซูซานเซียนขมวดลงเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่า...ตอนนี้ชีวิตของนางเป็นของข้าแล้วสินะเพคะ”เหลียนฮวาแย้มยิ้มสดใสในขณะที่มองไปยังร่างของหม่าเจาอี้
“ไม่ได้นะ ฮองเฮา ฮองเฮาเพคะ โปรดช่วยหม่อมชั้นด้วยนะเพคะ”หญิงสาวที่เห็นว่าผิดท่าแล้วก็ได้ร้องออกมาในขณะที่ตัวนางได้ถูกขันทีและนางกำนัลจับกุมเอาไว้ “หม่อมชั้นรับใช้พระองค์มาหลายปี และครั้งนี้เองหม่อมชั้นก็เพียงแค่โกรธนางแทนพระองค์เท่านั้นนะเพคะ ช่วยหม่อมชั้นด้วยนะเพคะ”
“...” เมื่อมองไปยังร่างที่กำลังร้องขอความเห็นใจอยู่ใบหน้าของจางไป๋หลินก็มืดลงไปหลายส่วน มันยังให้หลายๆ คนที่กำลังมองดูละครฉากนี้อย่างสนุกสนานอยู่นั้นถึงกับสะใจกันไปตามๆ กัน เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็แทบจะเป็นศัตรูที่คอยขัดแข้งขัดขากันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว การที่จะได้เห็นคู่แข่งน้อยลงไปอีกสักคนหนึ่งก็ย่อมทำให้ป้ายของพวกนางถูกพลิกเลือกมากขึ้นตามไปด้วย “น้องหญิงพอจะเห็นแก่หน้าข้าได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรวันนี้ก็เหมือนวันดีที่พวกเราได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก อย่าให้เกิดบานาติบาตเลยนะ”
“หรอเพคะ...”เหลียนฮวาหันขวับไปที่ต้นเสียง “แล้วสิ่งที่นางกล่าวไม่ได้ทำให้หม่อมชั้นเสื่อมเสียอย่างนั้นหรือเพคะ...คำกล่าวโทษที่ร้ายแรงพอที่จะทำให้หม่อมชั้นเสื่อมเสียกระทั่งมากพอที่จะทำให้ตระกูลหลี่ที่ทำเพื่อแผ่นดินมาทุกชั่วอายุคนตั้งแต่แผ่นดินหยาซานได้ถือกำเนิดถูกแปดเปื้อน...”
“แต่ในเมื่อข้อกล่าวหาที่เจ้าได้รับนั้นยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเจ้ามิได้กระทำผิด ข้าและคนอื่นๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะสงสัยมิใช่หรือจางฮองเฮาที่นั่งอยู่บนอาสนะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“....”
อ๊ากกกกกกกก
“!!”
ราวกับเส้นประสาทเส้นหนึ่งถูกดึงขาดลง ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของจางฮองเฮา ร่างของเหลียนฮวาแทบจะกลายเป็นภาพติดตา ก่อนที่จะไปยืนบนหน้า...ย้ำว่ายืนบนหน้า!
ของ...หม่าเจาหรง!!
สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ทั่วทั้งลานบุปผาของตำหนักตงกงถึงกับเงียบราวกับป่าช้า ไม่มีแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของใครสักคน จนกระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ ในที่สุดขันทีและนางกำนัลที่เคยกับตัวหม่าเจาอี้เอาไว้นั้นก็ได้ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ เพราะว่าพวกมันทั้งหลายนั้นไม่เห็นเลวว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอยู่ดีๆ พวกมันทั้งสี่ก็รู้สึกว่าร่างที่ถูกพวกมันจับกุมเอาไว้ก็ถูกกระชากอย่างแรง แล้วพวกมันก็ล้มลง...นั่นคือทั้งหมด
ท่ามกลางความตกตลึงนั้นมีเพียงแค่สายตาไม่กี่คู่เท่านั้นที่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง และหนึ่งในนั้นกำลังมองไปยังร่างที่กำลังเอาเท้ายีหน้าของหม่าเจาอี้พลางเหลือบสายตาไปมองยังจางฮองเฮาด้วยแววตาท้าทาย มันทำให้คนผู้นั้นถึงกับขนลุกเกรียวด้วยความตื่นเต้น
เพราะอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหม่าเจาอี้นั้นเป็นลูกไล่ลูกชนให้กับจางฮองเฮามาเนิ่นนาน ตลอดสองสามปีมานี้นางจึงสามารถที่จะไต่เต้ามาจากสนม ชั้นล่างอย่างไฉ่อวี้จนกระทั่งได้มาถึงจิ่วผินด้วยเวลาอันรวดเร็ว สิ่งนี้มันจึงทำให้นางสามารถที่จะกร่างได้มาตลอด และตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีใครกล้าเอาผิดนางแต่อย่างใด มันจึงทำให้ยิ่งนานวันนางยิ่งแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ
แต่น่าเสียดายนักที่ความโอหังและความทะเยอทะยานของนางต้องมาสิ้นสุดลง แม้จะเข้าใจได้ว่าสนมชั้นสองลงไปส่วนใหญ่ก็มักจะหาวิธีแต่งหน้าแต่งกายไม่ก็ทำตัวโดดเด่นเพื่อให้เป็นที่โปรดปราณ โดยไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างทั้งๆ ที่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงวันสองวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย แม้จะถูกปิดข่าวด้วยกรมองครักษ์หลวง แต่สำหรับนางสนมแล้วขอแค่เพียงพยายามก็จะได้รู้ว่าในช่วงวันสองวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง...
“คำตอบนั้นง่ายดายนักเพคะฮองเฮา” เหลียนฮวากล่าวพลางกระทืบลงบนใบหน้าของหม่าเจาอี้โดยไม่คิดจะออมแรง จนทำให้กันชนหน้าของหญิงสาวทั้งหมดแตกกระจายออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จนทำให้สนมคนอื่นๆ ต่างก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ขันทีหรือนางกำนันที่ติดตามพระสนมคนอื่นๆ มาเองแม้จะไม่กล้าที่จะส่งเสียงออกมา ก็ต่างพากันมองไปที่ร่างบางของเด็กสาววัยที่เพิ่งจะปักปิ่นอย่างหวาดกลัว
“มันก็จริงที่พระนางอาจจะสงสัยในเรื่องที่เป็นไปได้เช่นนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่พระนางต้องจดจำและรับรู้เอาไว้ นั่นก็คือคนสกุลหลี่เราหากจะจัดการใครพวกเราจะไม่เล่นลับหลังราวกับเดรัจฉานตัวหนึ่งที่ไร้จิตสำนึก แต่พวกเราจะจัดการมันซึ่งๆ หน้า และบดขี้มันให้จมฝ่าเท้า...แบบนี้!!”
บึก!!
สิ้นคำเหลียนฮวาก็กระทืบลงบนยอดอกของหม่าเจาอี้อย่างรุนแรง จนทำให้นางกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง ก่อนที่จะหมดสติไปในที่สุด
.............เงียบ
ทั้งหมดต่างก็อยู่ในความเงียบ มันเป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในวังหลัง ทั้งยังเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตพอสมควร เพราะถึงอย่างไรการที่สนมคนหนึ่งๆ จะขึ้นมาถึงตรงนี้ได้นั้น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นการสนับสนุนจากคนในอย่างจางฮองเฮาแล้ว ฐานะความมั่นคงของครอบครัวเดิมของนางนั้นก็จะต้องมีค่าพอด้วย
และบิดาของหม่าเจาหรงก็ครองตำแหน่งเจ้ากรมโยธา....
“.............เจ้า”
“อ้อ...”และเมื่อจางฮองเฮากำลังทำท่าทางว่าจะกล่าวอะไร เหลียนฮวาก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ข้าคิดว่าฮองเฮาอาจจะยังไม่รู้จักพวกเราสกุลหลี่ดี ข้าขอแนะนำให้ฮองเฮาไปปรึกษาบิดาก่อนดีกว่านะเพคะ หม่อมฉันขอกล่าวด้วยความหวังดี”
“องครักษ์!!” โดยไม่สนใจว่าหญิงที่เปรียบดั่งปีศาจแห่งวังหลังจะคิดอย่างไร เหลียนฮวาละความสนใจจากนางและหันมาเชือดไก่ให้ลิงดูต่อ
“พระยะค่ะ”
“ตามที่กุ้ยเฟยได้กล่าวถึงโทษของหม่าเจาอี้เอาไว้ เนื่องจากนางกล่าวใส่ร้ายป้ายสีเราที่เป็นเสียนเฟย ด้วยคำกล่าวที่เป็นเท็จ จนทำให้พระเกรียติของฝ่าบาททรงมัวหมอง ถอดยศนางออกเสีย นำนางไปโบยสามสิบไม้ แล้วนำไปทำงานที่โรงซักล้าง!”เหลียนฮวากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วหันกลับไปหาเสี่ยวเปาที่ยังคงยืนนิ่งสงบอยู่ที่เดิม “กลับกันเถอะเราเหนื่อยแล้ว...”
เหนื่อย...นางเหนื่อย
นางมาถวายพระพรมเหสีวันแรกด้วยการกระทืบหมากของนางเสียยับเยินก่อนที่จะส่งไปโบย
ยัง ยังไม่พอ นางยังให้อีกฝ่ายไปทำงานต่อที่โรงซักล้าง!
แค่โบยอย่างเดียวก็คงไม่รอดแล้วยังจะให้นาง...
เลือดเย็น!
ไม่สมควรไปยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างถึงที่สุด!!
......................................
*-*
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เมยเมย แปลว่า น้องสาว
ฮองเฮานั่งบน บัลลังก์ หรือ ที่ประทับ ไม่ควรใช้ อาสนะ เพราะมันใช้กับพระภิกษุ
เราว่า นักเลงโตทั้งตระกูลเลยอ่ะ เป็นนิยายแบบ อย่าไปเดาหาน้ำเน่า เพราะอ่านแล้วมันไม่มี
ตระกูลหลี่จะโดนข้อหากบฏหรือไม่ โทษฐานประทุษร้ายฮ่องเต้ บุกรุกฝ่ายใน พกพาอาวุธเข้าวังหลวง ทำลายตำหนัก ฯลฯ ประหารเก้าชั่วโคตรได้เลยนะนี่