ตอนที่ 54 : บทที่ 52 มารน้อย
หลายเดือนต่อมา หลังจากเหตุการณ์ล่มสลายและความวุ่นวายภายในแคว้นเมฆาคราม เรื่องราวของชายหนุ่มตระกูลเย่ก็ค่อยๆ กระจายออกไปยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ไม่ว่าจะเป็นเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ หรือเสียงก่นด่าชนิดแทบไม่มีชิ้นดี แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็อยู่ภายใต้ความหวาดกลัวที่มีต่อชายหนุ่มที่ไม่สามารถปกปิดได้
เพราะเมื่อกล่าวถึงเย่ เทียนหลงแล้ว ก็คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชายหนุ่มที่มีอายุรวมที่ไม่ถึงสามสิบปี แต่กลับสร้างความเสียหายแก่อาณาจักรหนึ่งได้ชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง ว่าคนธรรมดาๆ ที่ไหนจะสามารถทำได้
ข่าวลือที่ว่าชายหนุ่มได้ถูกสิงสู่โดยปีศาจที่คอยเฝ้าสมบัติถูกถ่ายทอดและเผยแพร่ออกไปอย่างไม่มีใครคิดค้าน เพราะด้วยจิตสำนึกของคนทั่วไปในแผ่นดินนภาครามคงไม่มีใครที่จะสามารถี่จะทำอย่างนี้ได้อย่างแน่นอนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ‘ถูกปีศาจครอบงำ’จึงเป็นอะไรที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจมันได้มากที่สุด
โดยที่ไม่รู้เลยว่าความเชื่อนั้นถูกปล่อยมาจากส่วนกลางที่ต้องการหาความชอบธรรมให้แก่ตนเอง เพื่อที่จะสามารถใช้กำลังแย่งชิงสิ่งที่ชายหนุ่มครอบครองอยู่ ซึ่งตลอดกว่าหกเดือนที่ผ่านมาข่าวลือก็ได้กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินตามที่พวกเหล่าผู้มีอำนาจนั้นปรารถนา โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกมันทั้งหมดกำลังพยายามที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองนั้น มันกลับไปประจวบเหมาะกับความต้องการของชายหนุ่ม…
“นี่เจ้ารู้ไหมว่ามารน้อยเย่นั้นได้ฆ่าคนในตระกูลของตัวเองไปราวกับผักปลาเชียวนะ เห็นว่าขนาดบิดาของมันเองยังถูกทุบตีเสียจนแทบจำหน้าไม่ได้เชียว…” ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปกล่าวกับเพื่อนในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของแคว้นกำแพงฟ้า ในขณะที่กำลังรับประทานมื้อเช้ากันอยู่
“ที่เจ้ารู้มานั่นยังน้อยไป เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้ามารน้อยนั้นฉีกแขนขาของฮูหยินใหญ่แล้วกลืนกินโลหิตสดๆ เข้าไปต่อหน้าต่อตาของทุกคนเลยเชียวนะ เจ้ามารน้อยนี่มันชั่วจริงๆ ” เพื่อนอีกคนที่ซดเหล้าแต่เช้าก็กล่าวเสริมไปอย่างสนุกปาก
“หึๆ พวกเจ้าแค่ได้ยินมา ข้านี่สิช่วงนั้นได้ตามบิดาไปค้าขายที่อาณาจักรเมฆาครามเข้าพอดี พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเห็นอะไร”อีกคนที่เริ่มออกอาการนั่งไม่ตรงเริ่มฝอยตามเพื่อนฝูงด้วยความเมามัน
“อะไรหรือ” ทั้งสองคนเองก็ราวกับลูกคู่รู้ใจ เพราะต้องให้อีกฝ่ายเลี้ยงเหล้าเฉกเช่นทุกๆ วัน
“ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ทั่วร่างอาบไปด้วยโลหิต เดินหน้าเข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว กระทั่งในช่วงสายมันก็มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงอย่างเชื่องช้า แล้วเข่นฆ่าทุกคนที่ขวางทางมันอย่างโหดเหี้ยม ขนาดลูกเด็กเล็กแดงมันยังไม่เว้นเลยเชียวล่ะ” บุตรชายพ่อค้าใหญ่เล่าอย่างออกรสออกชาติราวกับว่าได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองจริงๆ
“โห!!...” สองสหายที่กำลังซดเหล้าจนจวนจะเมาได้ที่ก็ร้องรับกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงอันดัง
ไม่ใช่เพียงแต่โต๊ะนี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายโต๊ะหลายกลุ่มที่กำลังบอกเล่าเรื่องทำนองเดียวกันอย่างออกรสออกชาติ แม้อันที่จริงพวกมันก็เพียงแค่ฟังมา มิได้รู้เรื่องราวความเป็นจริงแม้แต่น้อย แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าปากคนนั้นยาวยิ่งกว่าปากกา ยิ่งเป็นเรื่องที่สามารถแต่งเติมเสริมแต่งได้โดยไม่ถูกใครว่ากล่าวแบบนี้แล้วด้วยก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องประจำของทุกวงสนทนาไปเสียแล้ว
อันที่จริงการกระทำของเทียนหลงนั้นก็ใช่ว่าจะมีเพียงแค่ด้านที่ถูกมองว่าไม่ดี เพราะอย่างน้อยก็ยังมีหลายคนที่รู้ความจริงของเรื่องราวอยู่บ้าง และผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของทางราชวงศ์เมฆาเองก็มีไม่น้อยที่ออกมายกย่องสรรเสริญกันอย่างเปิดเผย
แต่ก็เพียงเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว คำเยินยอยกย่องที่เป็นด้านดีย่อมมีน้อยเป็นธรรมดา อย่างที่กล่าวกันว่าคนรักเท่าผืนหนังแต่คนชังเท่าผืนเสื่อ ถึงแม้การกระทำของเทียนหลงจะทำให้ระบบการปกครองเดิมได้เปลี่ยนไปจากเดิม และทำให้ชาวบ้านร้านตลาดที่เคยต้องทนทุกข์จากการกดขี่ของทางการ แต่การเปลี่ยนแปลงก็ใช่ว่าจะดีไปหมด เพราะหายคนก็หวาดกลัวในวันข้างหน้า เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่จะขึ้นมาแทนที่จะมีอุปนิสัยเช่นไร….
“นี่ๆ แต่เห็นว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นแถวๆ รอยต่อของแคว้นภูผากับแคว้นเรานะ เห็นว่าจู่ๆ ก็มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นที่นั่น ว่ากันว่าผู้ลงมือเป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีขาวที่อาบย้อมไปด้วยโลหิต ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคนๆ เดียวกับที่กำลังโด่งดังหรือเปล่า” โต๊ะข้างๆ ที่อยู่ในชุดทหารลาดตระเวนกล่าวกระซิบกับเพื่อนที่เพิ่งจะออกเวรมาด้วยกัน
“นั่นสิข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่กุขึ้นก็เป็นได้ เพราะว่าเจ้ามารเย่นั่นมันหายไปเกือบจะครึ่งปีแล้ว บางทีมันอาจจะหนีไปแล้วก็ได้นะ…และข้าหวังจะให้เป็นแบบนั้น” เพื่อนที่นั่งตรงข้ามกล่าวตอบ
“แต่ข้าคิดว่ามันเป็นไปได้อยู่นะที่มันจะกลับมา เจ้าลองคิดดูสินครั้งก่อนที่มันหายไปนับปี แต่กลับมามันสามารถทำให้อาณาจักรทั้งอาณาจักรล่มสลาย แล้วเจ้าคิดว่ามันจะรามือจริงๆ หรือหากว่ามันถูปปีศาจสิงสู่จริงๆ” ทหารผู้เริ่มบทสนทนากล่าวด้วยเสียงเบาราวกระซิบ
“เจ้าไม่รู้อะไร” ทหารคนนั้นยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อนแล้วกระซิบออกมาเบาๆ “ เจ้ามาใหม่อาจจะยังไม่รู้ข่าววงใน อันที่จริงชายหนุ่มนั่นได้รับสมบัติสวรรค์มาครองต่างหาก หาใช่ถูกปีศาจสิงหรืออะไรอย่างเช่นข่าวลือเสียที่ไหน”
“อ้าว…”
“ความจริงทั้งหมดก็คือพวกข้างบนแค่ต้องการสิ่งที่เจ้ามารเย่อะไรนั่นครอบครองต่างหาก ถึงได้กุเรื่องราวขึ้นมาเป็นตุเป็นตะหมายจะย้อมเจ้าเด็กนั่นให้ชั่วช้า มันก็เท่านั้นเอง”
“แล้วเจ้าไปเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหนกัน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”ทหารนายที่เริ่มบทสนทนาถามด้วยความไม่เข้าใจ เพราะตลอดกว่าปีครึ่งที่ผ่านมาสิ่งที่เขาได้ยินมันคนละเรื่องกันกับที่เพื่อนเขาเล่าให้ฟังเลย “เช่นนั้นแล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องที่เจ้าปีศาจนั่นฆ่าคนราวกับผักปลาอย่างไร เพราะเห็นว่าแม้แต่พ่อแม่ยังไม่เว้นเลยด้วยซ้ำ”
“นั่นมันแค่เรื่องที่ถูกแต่งขึ้นเท่านั้น ถ้าเจ้ารู้เรื่องราวของเขาทั้งหมดเจ้าคงไม่คิดแบบนี้”
“แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่”นายทหารคนนั้นถามด้วยความมึนงงสงสัย เพราะอะไรๆ มันเริ่มที่จะแตกต่างไปจากที่เขาเข้าใจทุกทีๆ
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้…” จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่ามารเย่ ให้เพื่อนฟังอย่างคร่าวๆ โดยที่ผู้ฟังทั้งตกใจและตื่นตาตื่นใจ จนผ่านไปเกือบเค่อเรื่องราวที่เหมือนกับอภินิหารก็จบลง
“บ้าน่า!”ผู้ฟังอดไม่ได้ที่ร้องอุทานออกมา เพราะเรื่องราวมันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เพราะแค่เรื่องชีพจรวิญญาณธรรมชาติคนแรกในรอบพันปีก็ว่าน่ากลัวแล้ว แต่เรื่องที่ชายหนุ่มที่อายุไม่ใกล้หลักร้อยปีกลับสามารถล้มยอดฝีมือที่มีอายุนับพันปี ทั้งยังสามารถเข่นฆ่าผู้มีพลังวัตกว่าสามพันปี แถมยังสามารถหลบหนีจากท่านจาง สงป้าของพวกเขาไปได้มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป “สมบัตินั่นมันต้องทรงพลังเป็นอย่างมากแน่นอน ถ้าข้าได้มันมานะ…”
“หึๆ เจ้าเข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมพวกข้างบนถึงได้ร้อนรนมากมายขนาดนี้ เพราะขนาดเจ้ายังอยากได้ แล้วคิดว่าพวกท่านๆ ทั้งหลายที่อยู่เบื้องบนจะไม่อยากครอบครองมันหรือ”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เพราะถึงอย่างไรมันก็เกินเอื้อมสำหรับพวกเราอยู่ดี”นายทหารนายนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายก่อนที่จะถามกลับในเรื่องที่ตนสงสัย “แต่ว่าก็ว่าเถอะ แล้วถ้ามันทรงพลังมากขนาดนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้ามารเย่มารน้อยอะไรนั่นถึงจะอยากหนีไปล่ะ ข้าว่าถ้ามันทรงพลังมากขนาดนั้นหากเป็นข้าคงจัดการทุกคนที่ต่อต้านแล้วกลายเป็นผู้ปกครองแผ่นดินนี้แต่เพียงผู้เดียว”
“เจ้าโง่! หากเจ้ามารน้อยอะไรนั่นทรงพลังขนาดนั้นมันคงไม่หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเหล่าผู้อาวุโสของอาณาจักรเมฆครามหรอก”
“เฮ้อ…ก็นั่นสินะ”
ทั้งสองก็ยังคงสนทนากันต่อไปอย่างออกรสออกชาติ เช่นเดียวกันกับโต๊ะอื่นๆ ที่คุยกันในเรื่องนี้เสียแปดในสิบ โดยที่ไม่ได้เอะใจเลยว่าผู้เป็นต้นเรื่องนั้นกำลังเฝ้ามองอยู่จากชั้นสองของโรงเตี๊ยม และคอยฟังเรื่องราวของตนเองในมุมต่างๆ ด้วยรอยยิ้ม…
......................................................
สนับสนุน : กดๆ
เรื่องอื่นๆ :
The legend of itoria : ตำนานจอมราชันย์พันธุ์พิลึก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ได้แจ้งเตือนนะ รอจบตอนค่อยแจ้งทีเดียว แฮ่ะๆ